ความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (49)
Sectoral Approach: SA
Sectoral Approach: SAตั้งแต่อนุสัญญาฯ ถูกรับรองขึ้นและประกาศพิธีสารเกียวโต มาตรการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมุ่งเน้นการจัดการในรูปแบบ Country-specific Quantitative Approach คือการกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้แต่ละประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศจะไปกำหนดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของแต่ละสาขาการผลิตเอง ในประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งถูกจำกัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภาคการผลิตใดที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าระดับเป้าหมายที่กำหนดไว้ สามารถนำเอา Carbon Credit ไปซื้อขายในตลาดการค้าคาร์บอนได้แต่แนวคิดหนึ่งของการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกใหม่หลังหมดพันธกรณีแรกของพิธีสารเกียวโต โดยมีแนวคิดการลดก๊าซเรือนกระจกด้วยการพิจารณาแยกตามรายสาขาการผลิตหรือบริการต่างๆ ที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงกว่าสาขาทั่วไป เช่นสาขาโรงงานเหล็ก โรงงานปูนซีเมนต์ อุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน หรืออุตสาหกรรมด้านพลังงาน เป็นต้น โดยใน COP 16 นั้น ไม่ได้มีวาระและการเจรจาใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับมาตรการในส่วนนี้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นที่ปรึกษาจะสรุปรายละเอียดตามการเจรจาล่าสุดของ AWG-LCA 10 ดังนี้
แนวทาง Cooperative Sectoral และข้อปฎิบัติที่เฉพาะเจาะจงตามรายสาขาควร (should) สอดคล้องกับข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องและหลักการที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาฯ [โดยเฉพาะหลักการรับผิดชอบร่วมกันแต่แตกต่างกัน] [และอาจจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศภาคีที่จะสำรวจแนวทาง (Measures) และข้อปฎิบัติ (Actions) เหล่านี้ต่อไป] [ที่ซึ่งการจำกัดการปล่อยก๊าซฯ และการลดการปล่อยก๊าซฯ ที่ไม่ได้ถูกควบคุมภายใต้พิธีสารมอนทรีออล อันเนื่องมาจากเชื้อเพลิงที่ใช้สำหรับการบิน (Aviation) และเชื้อเพลิงที่ใช้สำหรับการขนส่งโดยเรือ (Marine Bunker Fuels) ควร (should) ได้รับการดำเนินการต่อไปผ่านทาง International Civil Aviation Organization สำหรับการบิน และ the International Maritime Organization สำหรับภาคการขนส่งโดยเรือ [โดยคำนึงถึงหลักการและข้อกำหนดที่ระบุไว้ในอนุสัญญาฯ] [ในอัตราการลดที่สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวในระดับโลก ที่ระบุไว้ในหัวข้อวิสัยทัศน์ระยะยาวร่วมกัน ที่กล่าวไว้ในข้างต้นของร่างเอกสารการเจรจาฉบับนี้] ประเทศภาคีต้อง (shall) สืบสานแนวทางรายสาขา และข้อปฎิบัติที่เฉพาะเจาะจงตามรายสาขา เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามที่ระบุไว้ในมาตราที่ 4.1 (c) ของอนุสัญญาฯในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสาขาการผลิตภาคเกษตรกรรมดังที่ระบุไว้ในเอกสาร FCCC/AWG-LCA/2010/6 โดยสาระสำคัญที่ระบุไว้ในเอกสารที่กล่าวถึงคือ การดำเนินการตามแนวทาง Cooperative Sectoral และข้อปฎิบัติที่เฉพาะเจาะจงตามรายสาขาในภาคเกษตรกรรม ควรพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างการเกษตรกรรมและความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ความเชื่อมโยงระหว่างการปรับตัวและการลด กับความจำเป็นในการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงทางอาหารจาการใช้แนวทางและข้อปฎิบัติเหล่านั้น โดยทุกประเทศภาคีได้ตัดสินใจบนหลักการความรับผิดชอบร่วมกันแต่แตกต่างกัน ที่ควร (should) ร่วมมือกันในด้านการค้นคว้าวิจัย พัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี, วิธีปฎิบัติ (Practices) และกระบวนการ (Process) ที่ควบคุม ลด และป้องกันการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, การเพิ่มประสิทธิภาพและการเพิ่มผลผลิตในภาคเกษตรกรรมตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ซึ่งสามารถสนับสนุนการปรับตัวต่อความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งเป็นการสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารด้วยเช่นกันการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายสาขาการผลิตเป็นกรอบแนวคิดมากกว่าแนวทางนโยบายใดแนวทางนโยบายหนึ่ง ตั้งแต่อนุสัญญาฯ ถูกจัดตั้งขึ้น และประกาศใช้พิธีสารเกียวโต แนวทางนโยบายบรรเทาภาวะโลกร้อนมุ่งเป้าไปที่แนวทางองค์รวมของแต่ละประเทศ (comprehensive approach) ทางอนุสัญญาฯ ตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้แต่ละประเทศ แล้วรัฐบาลประเทศเหล่านั้นกระจายความรับผิดชอบไปให้แต่ละสาขาการผลิตภายในประเทศตัวเอง กรณีนี้มีชื่อเรียกคือ Country-specific Quantitative Approach ซึ่งก็ถือเป็น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายสาขาการผลิตรูปแบบหนึ่ง (รศ. ดร. นิรมล สุธรรมกิจ, 2553) แนวทางที่น่าสนใจอีกแนวทางหนึ่งคือ Transnational Quantitative Sectoral Approach เป็นความร่วมมือกันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับนานาชาติ โดยการกำหนดระดับการปล่อยของแต่ละสาขาการผลิต คุณประโยชน์หลักๆ ของแนวทางฯ ในแต่ละสาขาการผลิตแบบนี้คือผู้ประกอบการในประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่ได้ถูกผูกมัดตามพิธีสารเกียวโตก็สามารถมีส่วนร่วมได้การเจรจาสามารถทำได้โดยง่าย เนื่องจากแต่ละผู้เจรจาล้วนแล้วแต่เป็นผู้ประกอบการในสาขาเดียวกันช่วยลดปัญหาช่องว่างของการแข่งขันอันเกิดจากนโยบายสิ่งแวดล้อมที่ไม่สมมาตรระหว่างประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา อันจะนำไปสู่การรั่วไหลของคาร์บอน (Carbon Leakage)อย่างไรก็ดี คุณสมบัติของสาขาการผลิตที่เหมาะสมกับนโยบายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรูปแบบนี้ควรจะต้องเป็นอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมหาศาลและมีศักยภาพที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้
ข้อมูล: บริษัทอีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด
Nationally Appropriate Mitigation Actions: NAMAs
Nationally Appropriate Mitigation Actions: NAMAs เป็นแนวคิดหนึ่งของการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกใหม่หลังหมดพันธกรณีแรก (วาระแรก) ของพิธีสารเกียวโต โดยจะเน้นตามความเหมาะสมของแต่ละประเทศที่มีความแตกต่างกันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยคาดว่าจะอาศัยหลักการเดิม คือ ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาแล้วจะรับผิดชอบด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกัน แต่ด้วยความรับผิดชอบที่แตกต่างกันตามศักยภาพ รวมทั้งการดำเนินการในมาตรการ NAMAs จะต้องเป็นไปโดยสมัครใจผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศพัฒนาแล้ว ในปัจจุบัน แนวคิด NAMAs นี้ยังถือว่าอยู่ในระหว่างการตกลงแนวทางการดำเนินงานร่วมกันอยู่ และยังไม่มีแนวทางที่เป็นมติเอกฉันท์ใดๆ โดยสามารถสรุปรายละเอียดหลักตามการเจรจาล่าสุดของ AWG-LCA 13 ดังแสดงใน (Draft decision -/CP16) ดังนี้ตกลงว่า (agree) ประเทศกำลังพัฒนาจะดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจก (NAMAs) ในบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยได้รับการสนับสนุนทางเทคโนโลยี การเงิน และการเสริมสร้างศักยภาพเพื่อให้บรรลุการลดก๊าซเรือนกระจกลงจากการปล่อยตามปกติ ภายในปี ค.ศ. 2020รับทราบ (take note) ว่าการลดก๊าซเรือนกระจกที่จะดำเนินการโดยประเทศกำลังพัฒนา ตามที่ได้สื่อสาร และระบุในเอกสาร FCCC/AWGLCA/2010/INF.Yเพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 4 วรรค 3 ของอนุสัญญาฯ ประเทศพัฒนาแล้วต้องให้การสนับสนุนทางการเงิน เทคโนโลยี และเสริมศักยภาพต่อประเทศกำลังพัฒนา สำหรับการเตรียมการและดำเนินการ NAMAs รวมทั้งยกระดับด้านการรายงานผลให้จัดตั้งระบบลงทะเบียน (Registry) เพื่อบันทึกกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจกที่ต้องการขอรับการสนับสนุนระหว่างประเทศ และช่วยจัดคู่การสนับสนุนทางการเงิน เทคโนโลยี และการเสริมศักยภาพ ต่อกจิกรรมลดก๊าซเรือนกระจกดังกล่าว และให้สำนักเลขาธิการฯเป็นผู้บันทึกข้อมูลกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจกและการสนับสนุน ลงในส่วนของการลงทะเบียนต่อไปเรียกร้อง (Request) ให้เลขาธิการฯ ทำการบันทึกและปรับปรุงข้อมูลที่ได้จากประเทศสมาชิกในระบบลงทะเบียน ดังนี้
NAMAs ที่กำลังหาการสนับสนุนการสนับสนุนจากประเทศกำลังพัฒนาที่มีให้แก่การดำเนินงานด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกการสนับสนุนที่มีให้แก่ NAMAs กรณีการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ (Internationally supported mitigation actions) ให้มีการตรวจสอบ รายงานผล และทวนสอบอย่างน้อยภายในประเทศ (MRV domestically) และควรจะต้องมีการตรวจสอบ รายงานผล และทวนสอบตามแนวทางระหว่างประเทศที่จะพัฒนาขึ้นภายใต้อนุสัญญาฯ กรณีการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการสนับสนุนภายในประเทศ (Domestically supported mitigation actions) ให้มีการตรวจสอบ รายงานผล และทวนสอบอย่างน้อยภายในประเทศ (MRV Domestically) ตามแนวทางที่จะพัฒนาขึ้นภายใต้อนุสัญญาฯ ให้จัดตั้ง Work Program เพื่อพัฒนา Modalities and Guidelines ต่างๆ ได้แก่การช่วยเหลือด้านการสนับสนุนต่อ NAMAs ผ่านระบบ Registry MRV ของกิจกรรมที่ได้รับการสนับสนุน และการสนับสนุนที่ให้รายงานราย 2 ปี ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของรายงานแห่งชาติของประเทศกำลังพัฒนา Domestic Verification ของ Domestic NAMAs กระบวนการ International Consultation and Analysis เนื่องจากคำว่า NAMAs เป็นคำที่ถกเถียงกันมากในแง่ของความหมายและการใช้เพื่อแสดงความหมายในเวทีเจรจาโลก ที่ปรึกษาจะขออ้างอิงความหมายและการจำแนกประเภทของ NAMAs ทั้งจากการทบทวนเอกสารของ UNFCCC และตามการศึกษาของ Zhakata (2009) และ สกว. (พ.ศ. 2553) ที่ได้จัดแบ่ง NAMAs ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. Domestically supported mitigation actions หรือการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการสนับสนุนภายในประเทศ
2. Internationally supported mitigation actions หรือการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการสนับสนุนระหว่างประเทศ
3. NAMA Crediting Mechanism หรือการลดก๊าซเรือนกระจกที่แต่ละประเทศสามารถนำเอาคาร์บอนเครดิตที่ได้รับจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
จากการทบทวนมาตรการ NAMAs ตามเอกสารเจรจาที่มีอยู่ในการประชุมล่าสุด พบว่า ถึงแม้ว่าแนวทางการดำเนินการของ NAMAs ยังไม่ชัดเจน เนื่องจาก ยังไม่มีการตกลงกันอย่างแน่ชัดในที่ประชุมของ AWG-LCA โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับแนวทาง Crediting Mechanism แต่มาตรการนี้ก็อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อหาข้อตกลงอย่างจริงจังเพื่อให้เป็นมาตรการที่สามารถช่วยประเทศกำลังพัฒนาและกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงื่อนไขของ Domestically supported mitigation actions และ Internationally supported mitigation actions เพื่อให้ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันทั้งเพื่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการได้รับการสนับสนุนการพัฒนาทางเทคโนโลยีควบคู่กันต่อไปในอนาคต
ข้อมูล: บริษัทอีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด
AWG-LCA
ภายหลังปี ค.ศ. 2012 ที่พิธีสารเกียวโตสิ้นสุดพันธกรณีแรก ประเทศไทยอาจจะถูกจัดกลุ่มใหม่ หรืออาจได้รับข้อกำหนดเพื่อรับผิดชอบในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น โดยนโยบายว่าด้วยความร่วมมือระยะยาวภายใต้อนุสัญญาฯ ภายหลังปี ค.ศ. 2012 ที่มีแนวโน้มว่าจะมีผลกระทบกับภาคพลังงานของประเทศไทย
ข้อมูล: บริษัทอีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด
Bali Action Plan
COP 13(3-15 December, 2008) การประชุมครั้งที่ 13 หรือ COP 13 ถูกจัดขึ้นในวันที่ 3-15 ธันวาคม ค.ศ. 2008 ที่เมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย โดยในการประชุมครั้งนี้ประเทศภาคีสมาชิกได้ร่วมกันร่าง Bali Road Map ซึ่งเป็นมติให้จัดทำกระบวนการที่จะเร่งรัดให้สามารถดำเนินการภายใต้อนุสัญญาฯ อย่างเต็มรูปแบบและมีประสิทธิภาพ บนพื้นฐานของ common but differentiated responsibilities and respective capabilities และเรียกร้องให้แต่ละประเทศกำลังพัฒนามีการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยวิธีการที่เหมาะสม (National Appropriate Mitigation Actions - NAMAs) และสมัครใจ โดยกิจกรรมเหล่านั้นจะต้องสนับสนุนต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ รวมถึงส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี ส่งเสริมศักยภาพของคนในประเทศ และ สามารถตรวจวัด รายงาน และตรวจสอบได้
ข้อมูล: บริษัทอีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด
Clean Development Mechanism (CDM)
ตามมาตราที่ 12 ของพิธีสารเกียวโตได้กำหนดกลไกการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เรียกว่า CDM ขึ้น ซึ่งเป็นกลไกที่ช่วยประเทศในภาคผนวกที่ I ของอนุสัญญาฯในการบรรลุถึงเป้าหมายการกำจัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามพันธกรณีของต้น และเพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับประเทศนอกภาคผนวกที่ I โดยมีรายละเอียดโดยคร่าว ดังต่อไปนี้
CDM มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือภาคีที่ไม่รวมอยู่ในภาคผนวกที่ I ให้สามารถบรรลุถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable development) และให้มีส่วนสนับสนุนวัตถุประสงค์สูงสุดของอนุสัญญาฯและเพื่อช่วยเหลือประเทศภาคีในกลุ่มภาคผนวกที่ I ให้สามารถปฏิบัติพันธกรณีเกี่ยวกับการจำกัดและการลดการปล่อยตามปริมาณที่กำหนด ได้อย่างสอดคล้องภายใต้ CDM ภาคีที่ไม่รวมอยู่ในภาคผนวกที่ I จะได้รับประโยชน์จากการดำเนินกิจกรรมโครงการ (project activities) อันเป็นผลจากการลดการปล่อยก๊าซที่ได้ผ่านการรับรองแล้ว (certified emission reductions) ภาคีที่มีชื่อรวมอยู่ในภาคผนวกที่ I อาจนำปริมาณการลดการปล่อยก๊าซซึ่งผ่านการรับรองแล้วที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมโครงการดังกล่าวไปใช้ เพื่อให้สอดคล้องกับส่วนหนึ่งของพันธกรณีในการจำกัดและการลดการปล่อยตามปริมาณที่กำหนด ภายใต้มาตราที่ 3 ตามการพิจารณาของที่ประชุมภาคีในฐานะที่เป็นการประชุมของภาคีตามพิธีสารนี้ได้รูปแบบและแนวปฏิบัติของ CDM จะถูกกำหนดโดยมติที่ประชุมรัฐภาคีในฐานะที่เป็นการประชุมของภาคีตามพิธีสารนี้ และโดยให้คณะกรรมการบริหาร (Executive Board) ของ CDM เป็นผู้กำกับดูแลการลดการปล่อยก๊าซที่เป็นผลจากการดำเนินกิจกรรมของแต่ละโครงการต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานปฏิบัติงาน (Designated Operational Entities) ที่ประชุมภาคีในฐานะที่เป็นการประชุมของภาคีตามพิธีสารนี้ ได้มอบหมายบนพื้นฐานของการมีส่วนร่วมโดยสมัครใจ ตามที่แต่ละภาคีที่เกี่ยวข้องเห็นชอบผลประโยชน์ในระยะยาวที่แท้จริงและที่สามารถวัดได้ ที่เกี่ยวข้องกับการบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโครงการลดการปล่อยก๊าซที่จะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดการสนับสนุนภายใต้กลไก CDM
CDM ต้องช่วยหลือในการจัดหาเงินทุนในการดำเนินกิจกรรมโครงการที่ผ่านการรับรองแล้วตามความจำเป็นในการประชุมสมัยแรกของประเทศภาคีตามพิธีสารนี้ ต้องจัดทำรูปแบบและวิธีการปฏิบัติงานอย่างละเอียดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้เกิด ความโปร่งใส (transparency) ประสิทธิภาพ (efficiency) และความรับผิดชอบ (accountability) โดยให้มีการตรวจสอบอย่างอิสระ (independent audition) และการตรวจทานความถูกต้อง (verification) ของกิจกรรมโครงการที่ประชุมภาคีตามพิธีสารนี้ ต้องทำให้แน่ใจว่าเงินส่วนแบ่ง (share) ที่ได้มาจากการดำเนินกิจกรรมโครงการที่ผ่านการรับรองแล้ว ถูกนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายทางด้านบริหาร และนำไปช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาที่จะได้รับผลกระทบในเชิงลบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง (costs of adaptation)การเข้าไปมีส่วนร่วมภายใต้กลไก CDM รวมถึงกิจกรรมที่กล่าวในข้อที่ 3 และการเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดหาเพื่อให้ได้มาซึ่งการลดการปล่อยก๊าซซึ่งผ่านการรับรองแล้ว อาจเกี่ยวข้องกับองค์กรเอกชน และ/หรือองค์กรของรัฐ จะต้องขึ้นอยู่กับแนวปฏิบัติตามที่คณะกรรมการบริหารของ CDM จัดทำขึ้นการลดการปล่อยก๊าซซึ่งผ่านการรับรองแล้ว ที่ได้มาในระหว่างปี ค.ศ. 2000 จนถึงจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาดำเนินการตามพันธกรณีช่วงแรก (ปี ค.ศ. 2008) สามารถนำไปใช้เพื่อช่วยในการบรรลุตามพันธกรณีในช่วงพันธกรณีแรกได้
ข้อมูล: บริษัทอีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด
Emission Trading (ET)
กลไกการซื้อขายสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading: ET) เป็นกลไกตามมาตรา 17 โดยประเทศในกลุ่มภาคผนวก B ของพิธีสาร สามารถซื้อหรือขายปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการจัดสรร ที่เรียกว่า Assigned Amount Unit (AAU) ด้วยกันเองได้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามพันธกรณี ทั้งนี้ปริมาณ AAU ที่ซื้อต้องเป็นส่วนที่เสริมจากปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดจากการดำเนินการในประเทศ
ตารางแสดงประเทศในกลุ่มภาคผนวก B ภายใต้พิธีสารเกียวโต
ประเทศในกลุ่มภาคผนวกB | ||
ออสเตรเลีย (Australia) | กรีซ (Greece) | โรมาเนีย (Romania) |
ออสเตรีย (Austria) | ฮังการี (Hungary) | สหพันธรัฐรัสเซีย (Russian Federation) |
เบลเยียม (Belgium) | ไอซ์แลนด์ (Iceland) | สโลวาเกีย (Slovakia) |
บัลแกเรีย (Bulgaria) | ไอร์แลนด์ (Ireland) | สโลวีเนีย (Slovenia) |
แคนาดา (Canada) | อิตาลี (Italy) | สเปน (Spain) |
โครเอเชีย (Croatia) | ญี่ปุ่น (Japan) | สวีเดน (Sweden) |
สาธารณรัฐเช็ก (Czech Republic) | ลัตเวีย (Latvia) | สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) |
เดนมาร์ก (Denmark) | ลิกเตนสไตน์ (Liechtenstein) | ยูเครน (Ukraine) |
เอสโตเนีย (Estonia) | ลิทัวเนีย (Lithuania) | สหรัฐอเมริกา (United States of America)* |
ประชาคมเศรษฐกิจแห่งยุโรป | ลักเซมเบิร์ก (Luxembourg) | สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ (United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland) |
(European Community) | ||
ฟินแลนด์ (Finland) | โมนาโก (Monaco) | |
ฝรั่งเศส (France) | เนเธอร์แลนด์ (Netherlands) | |
เยอรมนี (Germany) | นิวซีแลนด์ (New Zealand) | |
โปรตุเกส (Portugal) | นอร์เวย์ (Norway) | |
โปแลนด์ (Poland) |
ที่มา: UNFCCC website (www.ipcc.ch/pdf/glossary/tar-ipcc-terms-en.pdf)
หมายเหตุ * หมายถึง ประเทศในกลุ่มภาคผนวกที่ I ที่ ไม่เข้าร่วมในพิธีสารเกียวโต
ข้อมูล: บริษัทอีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด
Joint Implementation (JI)
กลไกการดำเนินการร่วมกัน (Joint Implementation: JI) เป็นกลไกตามมาตรา 6 ที่เปิดโอกาสให้ประเทศในกลุ่มภาคผนวกที่ I ร่วมกันดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งนี้โครงการจะต้องได้รับอนุมัติจากประเทศที่เข้าร่วมทั้งหมด และการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้น จะต้องเป็นการลดเพิ่มเติมจากการดำเนินงานตามปกติด้วย โดยคาร์บอนเครดิตตามปริมาณก๊าซที่ลดได้ในกรณีนี้เรียกว่า Emission Reduction Unit (ERU) ทั้งนี้ปริมาณ ERU ที่จัดหาต้องเป็นส่วนที่เสริมจากปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดจากการดำเนินการในประเทศ
ข้อมูล: บริษัทอีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด
พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol)
จากการที่มีการพิจารณารายงานแห่งชาติของประเทศภาคีอนุสัญญาฯ ในภาคผนวกที่ I เมื่อปี ค.ศ. 1995 ที่แสดงให้เห็นว่า ประเทศเหล่านี้ไม่สามารถดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้อยู่ในระดับที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาฯได้ และปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามพันธกรณีก็ไม่เพียงพอทีจะช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์สูงสุดของอนุสัญญาฯได้จึงได้มีการทบทวนพันธกรณีและกำหนดมาตรการที่ละเอียดและรัดกุมมากกว่าเดิม โดยตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อดำเนินการชื่อ Ad Hoc Group on Berlin Mandate (AGBM) ซึ่งก็ได้มีการประชุมต่อเนื่องโดยได้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์สูงสุดของอนุสัญญาฯ คือ เพื่อให้บรรลุถึงการรักษาระดับความหนาแน่นของก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศให้คงที่ ในระดับที่ปลอดภัยจากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของมนุษยชาติ เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และภายใต้หลักการโดยเฉพาะด้านความเสมอภาคและความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างกัน
การประชุม COP 3 ณ นครเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการยกร่างพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ขึ้นเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1997 เพื่อจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีรายละเอียดสาระสำคัญของพิธีสาร ดังนี้
ประเทศในกลุ่มภาคผนวกที่ I ให้มีการปฏิบัติและ/หรือเพิ่มเติมรายละเอียดในนโยบายและมาตรการตามสถานการณ์ของประเทศ อาทิ การเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้พลังงาน การปกป้องรักษาและการขยายแหล่งรองรับและที่กักเก็บก๊าซเรือนกระจก โดยต้องกระทำอย่างสอดคล้องกับข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน การฟื้นฟูป่าและการปลูกป่าการส่งเสริมรูปแบบการเกษตรที่ยั่งยืนโดยการคำนึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศการศึกษาวิจัยและส่งเสริมการพัฒนาและเพิ่มการใช้พลังงานในรูปแบบใหม่ๆ โดยใช้เทคโนโลยีที่ช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่รักษาสิ่งแวดล้อมลดหรือเลิกการสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในสาขาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ขัดต่อวัตถุประสงค์ของอนุสัญญาฯ จัดให้มีการพัฒนาองค์ความรู้ในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสมเพื่อเป้าหมายในการส่งเสริมนโยบายและมาตรการที่จำกัดหรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ไม่ได้ควบคุมโดยพิธีสารมอนทรีออล การดำเนินมาตรการจำกัดและ/หรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ไม่ได้ควบคุมโดยพิธีสารมอนทรีออลในสาขาการคมนาคมขนส่ง และจำกัดและหรือลดการปล่อยก๊าซมีเทนโดยวิธีการนำกลับมาใช้ใหม่ในการจัดการของเสีย การผลิต การคมนาคมขนส่ง และการกระจายพลังงานสามารถร่วมมือกับประเทศภาคีอื่นในการเพิ่มประสิทธิภาพของนโยบายและมาตรการของประเทศตนเองหรือร่วมกันประเทศในกลุ่มภาคผนวกที่ I ต้องจำกัดหรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ไม่ได้ควบคุมโดยพิธีสารมอนทรีออลจากการคมนาคมขนส่งทางอากาศและที่ขนส่งทางทะเล โดยการประสานความร่วมมือกับองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) และองค์การพาณิชย์นาวีระหว่างประเทศ (International Maritime Organization: IMO)ประเทศในกลุ่มภาคผนวกที่ I แต่ละประเทศหรือหลายประเทศร่วมกัน ต้องปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่กำหนดไว้ภายใต้พิธีสาร ไม่เกินปริมาณที่ได้รับการจัดสรร โดยตั้งเป้าหมายในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่างๆ ให้ต่ำกว่าระดับที่ปล่อยในปี ค.ศ. 1990 อย่างน้อยร้อยละ 5 ภายในช่วงพันธกรณีแรก คือ ระหว่างปี ค.ศ. 2008-2012ให้ประเทศในกลุ่มภาคผนวกที่ I จัดทำรายงานบัญชีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์จากแหล่งต่างๆ และการกำจัดโดยแหล่งรองรับก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ไม่ได้ควบคุมโดยพิธีสารมอนทรีออลทุกปี และต้องจัดทำรายงานแห่งชาติตามข้อกำหนดภายใต้อนุสัญญาฯ โดยข้อมูลเหล่านี้จะได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญและวิธีการที่กำหนดโดยที่ประชุมอนุสัญญาฯ ประเทศภาคีสามารถเข้าร่วมในกลไกการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 3 รูปแบบ คือ กลไกการซื้อขายสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading: ET) กลไกการดำเนินการร่วมกัน (Joint Implementation: JI) และกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism: CDM) โดยกลไกทั้ง 3 เป็นกลไกทางการตลาดเพื่อช่วยประเทศในกลุ่มภาคผนวกที่ I ในการบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามพันธกรณี ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
กลไกการซื้อขายสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading: ET) เป็นกลไกตามมาตรา 17 โดยประเทศในกลุ่มภาคผนวก B ของพิธีสาร สามารถซื้อหรือขายปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการจัดสรร ที่เรียกว่า Assigned Amount Unit (AAU) ด้วยกันเองได้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามพันธกรณี ทั้งนี้ปริมาณ AAU ที่ซื้อต้องเป็นส่วนที่เสริมจากปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดจากการดำเนินการในประเทศ
ตารางแสดงประเทศในกลุ่มภาคผนวก B ภายใต้พิธีสารเกียวโต
ประเทศในกลุ่มภาคผนวก B | ||
ออสเตรเลีย (Australia) | กรีซ (Greece) | โรมาเนีย (Romania) |
ออสเตรีย (Austria) | ฮังการี (Hungary) | สหพันธรัฐรัสเซีย (Russian Federation) |
เบลเยียม (Belgium) | ไอซ์แลนด์ (Iceland) | สโลวาเกีย (Slovakia) |
บัลแกเรีย (Bulgaria) | ไอร์แลนด์ (Ireland) | สโลวีเนีย (Slovenia) |
แคนาดา (Canada) | อิตาลี (Italy) | สเปน (Spain) |
โครเอเชีย (Croatia) | ญี่ปุ่น (Japan) | สวีเดน (Sweden) |
สาธารณรัฐเช็ก (Czech Republic) | ลัตเวีย (Latvia) | สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) |
เดนมาร์ก (Denmark) | ลิกเตนสไตน์ (Liechtenstein) | ยูเครน (Ukraine) |
เอสโตเนีย (Estonia) | ลิทัวเนีย (Lithuania) | สหรัฐอเมริกา (United States of America)* |
ประชาคมเศรษฐกิจแห่งยุโรป | ลักเซมเบิร์ก (Luxembourg) | สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ (United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland) |
(European Community) | ||
ฟินแลนด์ (Finland) | โมนาโก (Monaco) | |
ฝรั่งเศส (France) | เนเธอร์แลนด์ (Netherlands) | |
เยอรมนี (Germany) | นิวซีแลนด์ (New Zealand) | |
โปรตุเกส (Portugal) | นอร์เวย์ (Norway) | |
โปแลนด์ (Poland) |
ที่มา: UNFCCC website (www.ipcc.ch/pdf/glossary/tar-ipcc-terms-en.pdf)
หมายเหตุ * หมายถึง ประเทศในกลุ่มภาคผนวกที่ I ที่ ไม่ เข้าร่วมในพิธีสารเกียวโต
กลไกการดำเนินการร่วมกัน (Joint Implementation: JI) เป็นกลไกตามมาตรา 6 ที่เปิดโอกาสให้ประเทศในกลุ่มภาคผนวกที่ I ร่วมกันดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งนี้โครงการจะต้องได้รับอนุมัติจากประเทศที่เข้าร่วมทั้งหมด และการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้น จะต้องเป็นการลดเพิ่มเติมจากการดำเนินงานตามปกติด้วย โดยคาร์บอนเครดิตตามปริมาณก๊าซที่ลดได้ในกรณีนี้เรียกว่า Emission Reduction Unit (ERU) ทั้งนี้ปริมาณ ERU ที่จัดหาต้องเป็นส่วนที่เสริมจากปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดจากการดำเนินการในประเทศกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism: CDM) เป็นกลไกตามมาตรา 12 ซึ่งเป็นกลไกที่ดำเนินการร่วมกันระหว่างประเทศในกลุ่มภาคผนวกที่ I และประเทศในกลุ่มนอกภาคผนวกที่ I โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ประเทศในกลุ่มภาคผนวกที่ I บรรลุเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจก ควบคู่ไปกับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และช่วยให้ประเทศในกลุ่มนอกภาคผนวกที่ I บรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยผู้ดำเนินการโครงการจะได้รับ Certified Emission Reductions (CERs) สำหรับก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการรับรองแล้ว โดยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะต้องเป็นการเข้าร่วมโดยสมัครใจ สามารถเกิดประโยชน์ในการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศ และต้องเป็นการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกเพิ่มเติมจากการดำเนินงานตามปกติพิธีสารนี้จะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 90 วัน นับจากวันที่ประเทศภาคีอนุสัญญาฯ ไม่น้อยกว่า 55 ประเทศ และมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของประเทศในกลุ่มภาคผนวกที่ I รวมกันอย่างน้อยร้อยละ 55 ของปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดในปี ค.ศ. 1990 ของประเทศในกลุ่มภาคผนวกที่ I ทั้งหมด ได้มอบสัตยาบันสาร สารยอมรับ สารเห็นชอบ หรือสารภาคยานุวัติของตนพิธีสารเกียวโตมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2005 เมื่อสหพันธรัฐรัสเซียได้ลงนามให้สัตยาบัน ส่งผลให้ปริมาณรวมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปี ค.ศ. 1990 คิดเป็นร้อยละ 61.6 ปัจจุบันมีประเทศต่างๆ เข้าร่วมในพิธีสารเกียวโตรวมทั้งสิ้นกว่า 192 ประเทศสำหรับประเทศไทยได้ให้สัตยาบันต่อพิธีสารเกียวโต เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 2002 และประเทศไทยไม่ได้อยู่ในกลุ่มภาคผนวกที่ I จึงไม่มีพันธกรณีในการลดก๊าซเรือนกระจกในช่วงพันธกรณีแรก แต่ประเทศไทยสามารถมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้จากการดำเนินโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean development Mechanism: CDM) ตามที่นิยามไว้ในมาตราที่ 12 ของพิธีสารเกียวโตสำหรับประเทศไทยได้ให้สัตยาบันแก่พิธีสารเกียวโต
ข้อมูล: บริษัทอีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด