มติกบง. (344)
กบง. ครั้งที่ 6 - วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 6/2558 (ครั้งที่ 6)
วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 13.30 น.
1. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนกรกฎาคม 2558
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายชวลิต พิชาลัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนกรกฎาคม 2558
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 เห็นชอบ การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก และการนำเข้า) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก ตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน โดยโครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนกรกฎาคม 2558 มีปัจจัยที่สำคัญคือ ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนกรกฎาคม 2558 อยู่ที่ 407 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน 12 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนมิถุนายน 2558 อยู่ที่ 33.8789 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนพฤษภาคม 2558 ที่ 0.1733 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับลดลง 0.1205 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 15.7969 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 15.6764 บาทต่อกิโลกรัม
2. จากราคาก๊าซ LPG Pool ของเดือนกรกฎาคม 2558 ที่ปรับลดลง 0.1205 บาทต่อกิโลกรัม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG เป็น 2 แนวทาง ดังนี้ (1) คงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่ 0.9520 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง 0.1289 บาทต่อกิโลกรัม จาก 23.96 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 23.83 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะทำให้กองทุนมีรายรับ 271 ล้านบาทต่อเดือน (2) ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่ 0.1205 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 0.9520 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 1.0725 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกคงเดิมที่ 23.96 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับ 314 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2558 มีฐานะกองทุนสุทธิ 7,395 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตและนำเข้ากิโลกรัมละ 1.0725 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) รับไปดำเนินการประกาศหยุดรับคำร้องขอขายไฟฟ้าในรูปแบบ Adder โดยให้มีผลนับถัดจากวันที่ กพช. มีมติ (ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2557) ซึ่งต่อมาสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ได้มีหนังสือถึงการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อแจ้งมติ กกพ. ให้การไฟฟ้าดำเนินการออกประกาศหยุดรับคำร้องขอขายไฟฟ้าในรูปแบบ Adder โดยให้มีผลนับถัดจากวันที่ กพช. มีมติ และต่อมา กฟน. กฟผ. และ กฟภ. ได้ดำเนินการออกประกาศ เรื่อง การหยุดรับคำร้องขอขายไฟฟ้าในรูปแบบ Adder เมื่อวันที่ 23 29 และ 30 มกราคม 2558 ตามลำดับ โดยประกาศทั้งหมดให้มีผลนับแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2557
2. เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2558 กพช. ได้มีมติมอบหมายให้ กกพ. รับไปแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนของโครงการพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Adder ที่หยุดรับซื้อไฟฟ้า ซึ่งมีผลถัดจากวันที่ กพช. มีมติซึ่งทำให้ผู้ยื่นขอขายไฟฟ้าในรูปแบบ Adder ไม่สามารถยื่นขอขายไฟฟ้าได้ทัน และเมื่อได้ข้อยุติแล้วให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
3. โดยที่ผ่านมาสำนักงาน กกพ. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ผลิตไฟฟ้าที่ได้ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้า ในรูปแบบ Adder ภายหลังจากที่ กพช. มีมติให้หยุดรับคำร้องขอขายไฟฟ้าในรูปแบบ Adder แต่เป็นการยื่นก่อนที่การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จะดำเนินการออกประกาศฯ จำนวน 8 ราย แบ่งออกเป็น VSPP จำนวน 5 ราย และ SPP จำนวน 3 ราย คิดเป็นปริมาณเสนอขายประมาณ 97.966 เมกะวัตต์ โดยผู้ผลิตไฟฟ้าได้ร้องเรียนขอความเป็นธรรมและขอให้ทบทวนมติ กพช. เนื่องจากผู้ผลิตไฟฟ้าได้ยื่นคำขอขายไฟฟ้าตามหลักเกณฑ์ปฏิบัติ ประกอบกับได้ลงทุนและมีค่าใช้จ่ายคิดเป็นเงินจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีความเห็นว่าการออกประกาศของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งที่มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
4. ในการประชุมเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2558 กกพ. ได้มีมติว่าประกาศของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ไม่สามารถมีผลใช้บังคับย้อนหลังไปถึงวันถัดจากวันที่ กพช. มีมติได้ เนื่องจากเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับความเห็นของคณะอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์คำวินิจฉัยและกลั่นกรองคำสั่ง ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือข้อกำหนด ดังนั้น กกพ. จึงได้มอบหมายให้สำนักงาน กกพ. นำเสนอเรื่องดังกล่าวต่อ กบง. เพื่อพิจารณาหาข้อยุติ ตามมติของ กพช. โดย กกพ. ได้มีหนังสือถึงการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง เพื่อให้จัดส่งข้อมูลการยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Adder ที่ได้รับระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 2557 จนถึงวันที่การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จะดำเนินการออกประกาศฯ พร้อมทั้งเอกสารหลักฐานการยื่นคำร้องของผู้ยื่นคำร้องและข้อเสนอทุกราย รวมถึงผู้ยื่นคำร้องและข้อเสนอที่ถูกปฏิเสธ ซึ่งสำนักงาน กกพ. ได้รับหนังสือรายงานข้อมูลการยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้าจากการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง รวมทั้งสิ้น 35 โครงการ มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายทั้งสิ้น 314.706 เมกะวัตต์ แบ่งออกเป็น (1) กฟผ. จำนวนทั้งสิ้น 4 โครงการ มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายทั้งสิ้น 131.866 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นเป็นเชื้อเพลิงขยะ และชีวมวลจำนวน 1 และ 3 โครงการ มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขาย 70 และ 61.866 เมกะวัตต์ ตามลำดับ (2) กฟภ. จำนวนทั้งสิ้น 31 โครงการ มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายทั้งสิ้น 182.840 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นเป็นเชื้อเพลิงขยะ ชีวภาพ ชีวมวล และน้ำจำนวน 13 5 12 และ 1 โครงการ มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขาย 67.600 8.840 106.300 และ 0.100 เมกะวัตต์ ตามลำดับ และ (3) กฟน. ไม่มีผู้เสนอขอ ทั้งนี้มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาเทียบเคียง ได้แก่ คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด อ.64–79/2551 และคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.66/2553 ได้มีคำวินิจฉัยว่า ประกาศเป็นการใช้อำนาจทางปกครองที่มีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป จึงเป็นกฎ และต้องอยู่ภายใต้บังคับของหลักกฎหมายทั่วไปที่ว่า นิติกรรมทางปกครองไม่มีผลย้อนหลัง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ประกาศการหยุดรับคำร้องขอขายไฟฟ้าในรูปแบบ Adder ของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง โดยให้มีผลใช้บังคับถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป ดังนี้
(1) การไฟฟ้านครหลวง ให้มีผลใช้บังคับนับแต่วันที่ 24 มกราคม 2558
(2) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ให้มีผลใช้บังคับนับแต่วันที่ 30 มกราคม 2558
(3) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ให้มีผลใช้บังคับนับแต่วันที่ 31 มกราคม 2558
โดยให้สิทธิแก่ผู้ผลิตไฟฟ้าที่ได้ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้าระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 2557 จนถึง วันที่ประกาศ เรื่อง การหยุดรับคำร้องขอขายไฟฟ้าในรูปแบบ Adder ของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีผลใช้บังคับตามข้อ (1) – (3) ทั้งนี้ ให้การไฟฟ้าพิจารณาคำร้องขอขายไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าที่ได้ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้าภายหลังจากที่ กพช. ได้มีมติให้หยุดรับคำร้องขอขายไฟฟ้าในรูปแบบ Adder และได้ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้าก่อนที่การไฟฟ้า ออกประกาศหยุดรับคำร้องขอขายไฟฟ้า แต่การไฟฟ้าได้ปฏิเสธการรับคำขอขายไฟฟ้าไว้ เนื่องจากเป็นการยื่นภายหลังวันที่ 16 ธันวาคม 2557
2. ให้การไฟฟ้าพิจารณาคำร้องขอขายไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าข้างต้น โดยคำนึงถึงศักยภาพของระบบไฟฟ้า (Grid Capacity) ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2558 ทั้งนี้ให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานดำเนินการแจ้งมติของที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ทราบทันที
กบง. ครั้งที่ 5 - วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2558
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2558 (ครั้งที่ 5)
วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.30 น.
2. แนวทางการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG
3. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายณรงค์ชัย อัครเศรณี กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ เป็นกรรมการและเลขานุการ(แทน)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ได้มีมติเห็นชอบกรอบและแนวทางในการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้ (1) ราคาพลังงานต้องสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง (2) ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ขนส่งแต่ละประเภทควรจะมีอัตราภาษีสรรพสามิตที่ใกล้เคียงกัน (3) กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ใช้เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาและส่งเสริมพลังงานทดแทน (4) ลดการชดเชยข้ามประเภทเชื้อเพลิง (5) ค่าการตลาดควรอยู่ในระดับที่เหมาะสม (6) ช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และ (7) เก็บเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเชื้อเพลิงในแต่ละประเภทในอัตราที่ใกล้เคียงกัน ตามค่าความร้อน
2. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลงให้เท่ากับภาษีสรรพสามิตน้ำมันและภาษีเทศบาลที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งเท่ากับ 2.75 บาทต่อลิตร (ภาษีสรรพสามิตน้ำมันปรับเพิ่ม 2.50 บาทต่อลิตร และภาษีเทศบาลปรับเพิ่ม 0.25 บาทต่อลิตร) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2557 ซึ่งในวันที่ 17 ธันวาคม 2557 ได้มีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น จาก 0.75 บาทต่อลิตร เป็น 3.25 บาทต่อลิตร และภาษีเทศบาลเพิ่มขึ้นจาก 0.075 บาทต่อลิตร เป็น 0.325 บาทต่อลิตร รวมภาษีสรรพสามิตและภาษีเทศบาล ปรับเพิ่ม 2.75 บาทต่อลิตร ในขณะที่กองทุนน้ำมันฯ ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนลง 2.75 บาทต่อลิตร จาก 4.50 บาทต่อลิตร เป็น 1.75 บาทต่อลิตร ซึ่งจะเห็นว่าภาษีสรรพสามิตและภาษีเทศบาลที่ปรับขึ้นเท่ากับเงินกองทุนฯ ที่ปรับลดลง ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่เปลี่ยนแปลง
3. ตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 10 ภายใต้บังคับมาตรา 11 วรรคสอง มาตรา 12 วรรคสอง และมาตรา 13 ความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษี ระบุว่ากรณีสินค้า ที่ผลิตขึ้นในราชอาณาจักร ถ้าสินค้าอยู่ในโรงอุตสาหกรรม ให้ถือว่าความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีเกิดขึ้น ในเวลาที่นําสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรม ดังนั้น จากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2557 น้ำมันดีเซลที่ค้างอยู่ในโรงอุตสาหกรรมซึ่งได้เสียภาษีสรรพสามิตในอัตรา 0.75 บาทต่อลิตร ภาษีเทศบาลในอัตรา 0.075 บาทต่อลิตร และกองทุนน้ำมันฯ ในอัตรา 4.50 บาทต่อลิตร แล้ว เมื่อนำออกจาก โรงอุตสาหกรรม ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2557 จะต้องเสียภาษีในอัตราใหม่ คือ ภาษีสรรพสามิตในอัตรา 3.25 บาทต่อลิตร ภาษีเทศบาลในอัตรา 0.325 บาทต่อลิตร และกองทุนน้ำมันฯ ในอัตราเดิมที่ 4.50 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ผู้ผลิตต้องรับภาระส่วนต่างในอัตรา 2.75 บาทต่อลิตร ปัจจุบันมีผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงจำนวน 6 ราย มีหนังสือถึงกระทรวงพลังงานเพื่อขอให้พิจารณาแนวทางบรรเทาผลกระทบจากการขาดทุนปริมาณน้ำมันคงเหลือ โดย ในเบื้องต้น มีประมาณปริมาณน้ำมันคงเหลือรวมจำนวน 745.01 ล้านลิตร และมีภาระขาดทุนรวมประมาณ 2,048.77 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง แนวทางการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 มีมติเห็นชอบ แนวทางการปรับโครงสร้างก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โดยให้ยกเลิกการกำหนดราคา ณ โรงกลั่นของโรงแยก ก๊าซธรรมชาติ ที่ระดับ 332.7549 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปกำหนดราคา ณ โรงกลั่นของโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม กำหนดราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซปิโตรเลียมเหลวสำหรับการใช้ประเภทต่างๆ ให้อยู่ในระดับเดียวกัน และปรับเงินจ่ายเข้า/ออกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีค่าใกล้ศูนย์ โดยมอบหมายให้ กบง. รับไปดำเนินการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ต่อไป
2. แนวทางการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG มีดังนี้
2.1 ราคาก๊าซ LPG ของโรงแยกก๊าซธรรมชาติ: เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2552 กบง. เห็นชอบให้กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ทำในราชอาณาจักรและนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักรอยู่ที่ระดับ 332.7549 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ทำให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติต้องจำหน่ายก๊าซ LPG สำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงที่ราคา 332.7549 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน แต่ต้นทุนการผลิตก๊าซ LPG ของโรงแยกก๊าซธรรมชาติในปัจจุบันอยู่ที่ 498 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ทำให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติต้องแบกรับต้นทุนส่วนต่างที่ประมาณ 165 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน แนวทางดำเนินการคือเสนอให้ ปรับราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติให้สะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริงในปัจจุบันที่ระดับ 498 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
2.2 ราคาก๊าซ LPG ของโรงกลั่นน้ำมัน: เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2554 กบง. มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ LPG ของโรงกลั่น เท่ากับ (0.24 x 333) + (0.76 x CP) มีหน่วยเหรียญสหรัฐฯต่อตัน โดยใช้ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เป็นตัวแทนต้นทุนก๊าซ LPG ของโรงกลั่นน้ำมัน แนวทางดำเนินการคือ เสนอให้ปรับราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันให้สะท้อนราคาตลาดโลกมากขึ้น โดยอ้างอิงราคา ก๊าซ LPG ตลาดโลกลบด้วยค่าขนส่งจากประเทศไทยไปจีนใต้ (CP - 20 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน)
2.3 ราคาก๊าซ LPG นำเข้า: เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2556 กบง. มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ LPG นำเข้าเท่ากับ (CP + Premium + ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ) มีหน่วยเหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยที่ CP เท่ากับ ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบีย เป็นสัดส่วนระหว่างโปรเปนกับ บิวเทนที่ 60 ต่อ 40 ณ เดือนที่มีการนำเข้า Premium เท่ากับ ค่าขนส่งและค่าธรรมเนียม ณ เดือนที่นำเข้า และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ได้แก่ Insurance, Loss, Demurrage, Import duty, Surveyor / witness fee & Lab, expenses, Management Fee, Depot Operating Expenses และ Adjust Demurrage (ส่วนต่างระหว่างค่า Demurrage ที่เกิดขึ้นจริงกับค่าประมาณการของเที่ยวเรือก่อนหน้าที่สามารถเจรจาจนได้ข้อยุติแล้ว) โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศโดยธนาคาร แห่งประเทศไทยเฉลี่ยเดือนก่อนหน้าเดือนที่นำเข้า แนวทางดำเนินการคือ เสนอให้ปรับราคาก๊าซ LPG นำเข้า เป็นราคาตลาดโลก (CP) บวก 85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ซึ่งประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายสำหรับขนส่งโดยเรือขนาด 44,000 ตัน เท่ากับ 70 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และค่าใช้จ่ายสำหรับคลังนำเข้าเท่ากับ 15 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
2.4 การกำหนดราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก (LPG Pool) เพื่อให้ราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักสะท้อนต้นทุนการจัดหาก๊าซ LPG ของประเทศ จึงกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของก๊าซ LPG เท่ากับ [0.48 x 498] + [0.25 x (CP -20)] + [0.27 x (CP + 85)] โดยที่ CP เท่ากับ ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียรายเดือนเป็นสัดส่วนระหว่างโปรเปนกับบิวเทนที่ 60 ต่อ 40 อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยเดือนก่อนหน้า โดยมีสัดส่วนแบ่งตามแหล่งจัดหาได้ดังนี้ (1) โรงแยกก๊าซธรรมชาติ ปริมาณการจัดหา 299 พันตันต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 48 (2) โรงกลั่นน้ำมัน ปริมาณการจัดหา 155 พันตัน ต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 25 และ (3) นำเข้า ปริมาณการจัดหา 172 พันตันต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 27 จากหลักเกณฑ์ดังกล่าว ราคา ณ โรงกลั่นของก๊าซ LPG ของเดือนมกราคม 2558 จะเท่ากับ 488 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน หรือ 16.1156 บาทต่อกิโลกรัม (คิดจากราคา CP เดือนมกราคม 2558 ที่ 443 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยเดือนธันวาคม 2557 เท่ากับ 33.0459 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ)
2.5 แนวทางการบริหารจัดการราคา ณ โรงกลั่นของก๊าซ LPG ให้เป็นราคาเดียวกัน ให้ใช้กองทุนน้ำมันฯ เป็นกลไกในการบริหารจัดการ โดยแหล่งจัดหาใดที่มีต้นทุนการจัดหาต่ำกว่าราคา ณ โรงกลั่นของ ก๊าซ LPG เฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก จะต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามส่วนต่าง และแหล่งจัดหาใดที่มีต้นทุนการจัดหาสูงกว่าราคา ณ โรงกลั่นของก๊าซ LPG เฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ตามส่วนต่าง
2.6 เปรียบเทียบโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ก่อนและหลังปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG พบว่ากองทุนน้ำมันฯจะมีรายรับลดลงประมาณ 70 ล้านบาทต่อวัน จากเดิม 76 ล้านบาทต่อวัน เป็น 6 ล้านบาทต่อวัน โดยจำนวนเงินดังกล่าวนำไปใช้ในการปรับราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool)
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอดังนี้ (1) ยกเลิกการกำหนดราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม ให้เป็นไปตามต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 และยกเลิกการกำหนดราคา ขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนและภาคขนส่งให้เป็นไปตามต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2557 โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 (2) กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่จำหน่ายก๊าซให้ผู้บรรจุก๊าซหรือร้านค้าก๊าซเพื่อจำหน่ายต่อให้ภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง และภาคอุตสาหกรรม ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ 5.64 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 - 27 มกราคม 2558 เพื่อให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG อยู่ที่ 24.16 บาทต่อกิโลกรัม (3) กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 498 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันเป็นราคาตลาดโลก (CP) ลบ 20 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน กำหนดราคาก๊าซ LPG นำเข้า เป็นราคาตลาดโลก (CP) บวก 85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน กำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก (LPG Pool) เท่ากับ [0.48 x 498] + [0.25 x (CP -20)] + [0.27 x (CP + 85)] กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯสำหรับก๊าซ LPG ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในอัตรา 0.8203 บาทต่อกิโลกรัม ให้ใช้กองทุนน้ำมันฯ เป็นกลไกในการบริหารจัดการราคา ณ โรงกลั่นของก๊าซ LPG ให้เป็นราคาเดียวกัน โดยมอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานรับไปดำเนินการต่อไป และมอบหมายให้ ปตท. รับผิดชอบโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน (ครัวเรือนรายได้น้อย) ทั้งหมด ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2558 และ (4) มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ยกเลิกการกำหนดราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 และ ยกเลิกการกำหนดราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนและภาคขนส่งให้เป็นไปตามต้นทุนโรงกลั่นน้ำมันตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2557 โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558
2. เห็นชอบการกำหนดผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่ได้จำหน่ายก๊าซให้กับผู้บรรจุก๊าซหรือร้านค้าก๊าซ เพื่อจำหน่ายต่อให้กับภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง และภาคอุตสาหกรรม ต้องส่งเงินเข้ากองทุน 5.64 บาทต่อกิโลกรัม โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 ถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2558
3. เห็นชอบให้ยกเลิกการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซ LPG ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทนที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียม 1 บาทต่อกิโลกรัม โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558
4. เห็นชอบการกำหนดราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา ดังนี้
(1) กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ณ ระดับราคา 498 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
(2) กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก เป็นราคาตลาดโลก (CP) ลบ 20 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
(3) กำหนดราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า เป็นราคาตลาดโลก (CP) บวก 85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน โดยที่ CP = ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียของเดือนนั้น เป็นสัดส่วนระหว่างโปรเปน กับ บิวเทน 60 ต่อ 40ทั้งนี้ ราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหาจะมีการเปลี่ยนแปลงทุกเดือน และมีการทบทวนราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหาทุก 3 เดือน
5. เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก และ นำเข้า) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน เท่าที่มีการรายงานจากกรมธุรกิจพลังงาน โดยที่อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เฉลี่ยเดือนก่อนหน้า
ทั้งนี้ปริมาณการผลิตก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติกไม่รวมที่ใช้เองเป็นเชื้อเพลิง และในส่วนของการนำเข้าจะครอบคลุมเฉพาะปริมาณก๊าซ LPG จากการนำเข้าเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในประเทศเท่านั้น
ทั้งนี้อัตราแลกเปลี่ยนใช้อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยเดือนก่อนหน้า (บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ)
6. ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นกลไกในการบริหารจัดการราคา ณ โรงกลั่นซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG ให้เป็นราคาเดียวกัน โดยให้ผู้ผลิตหรือผู้จัดหาก๊าซ LPG ที่มีต้นทุนสูงกว่าราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG ได้รับเงินชดเชย ในทางกลับกันผู้ผลิตหรือผู้จัดหาก๊าซ LPG ที่มีต้นทุนต่ำกว่าราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามปริมาณการผลิตและการจัดหา โดยมอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานรับไปดำเนินการต่อไป
หลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน = ราคาก๊าซ LPG เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก- ราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตหรือแหล่งจัดหา
7. ขอความร่วมมือให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับผิดชอบโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน (ครัวเรือนรายได้น้อย) ทั้งหมด ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีแนวทางอื่นมาทดแทน
8. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานให้มีผลบังคับใช้ต่อไป โดยการออกประกาศในแต่ละเดือนต้องออกภายใน 5 วันทำการแรกของเดือนนั้น
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2557 ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 ขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลขึ้น 0.70 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 และน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2557 อยู่ที่ 1.8498 และ 1.6876 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
2. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 6 มกราคม 2558 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 22 ธันวาคม 2557 พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลปรับตัวลดลง มาอยู่ที่ระดับ 48.70 59.82 และ 66.31 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 6 มกราคม 2558 อยู่ที่ 33.1006 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.1057 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคา ไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันของวันที่ 7 มกราคม 2558 อยู่ที่ 34.86 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 1.32 บาทต่อลิตร เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่ 23 ธันวาคม 2557 ทั้งนี้เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2557 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 และ E20 ลง 0.30 บาทต่อลิตร และเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2558 ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินลง 0.80 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอลลง 0.50 บาทต่อลิตร ยกเว้น E85 ปรับลง 0.20 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลปรับลง 0.50 บาทต่อลิตร จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 7 มกราคม 2558 อยู่ที่ 2.3703 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่า ค่าการตลาดที่เหมาะสม
3. เพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.7703 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 31.61 ล้านบาท หรือ 948 ล้านบาทต่อเดือน จากมีรายรับ 6,567 ล้านบาทต่อเดือน เป็นมีรายรับ 7,516 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 4 มกราคม 2558 มีทรัพย์สินรวม 29,022 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 11,401 ล้านบาท โดยมีฐานะสุทธิเป็นบวก 17,622 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 0.60 บาท ต่อลิตร จาก 2.45 บาทต่อลิตร เป็นส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่อัตรา 3.05 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2558 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 5 - วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2558
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2558 (ครั้งที่ 5)
วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 10.00 น.
โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมิถุนายน 2558
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายชวลิต พิชาลัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง รายงานการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเดือนเมษายน 2558
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 เห็นชอบ การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก และการนำเข้า) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก ตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนเมษายน 2558 อยู่ที่ 419 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน 50 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนพฤษภาคม 2558 อยู่ที่ 33.7056 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนเมษายน 2558 ที่ 1.0479 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับลดลง 0.3233 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 16.1202 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 15.7969 บาท ต่อกิโลกรัม
2. จากราคาก๊าซ LPG Pool ของเดือนมิถุนายน 2558 ที่ปรับลดลง 0.3233 บาทต่อกิโลกรัม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG เป็น 3 แนวทาง ดังนี้ (1) คงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของก๊าซ LPG ที่ 0.6287 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง 0.3459 บาทต่อกิโลกรัม จาก 23.96 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 23.61 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะทำให้กองทุนมีรายรับ 218 ล้านบาทต่อเดือน (ชดเชยค่าขนส่งไปยังคลังภูมิภาค 70 ล้านบาทต่อเดือน) (2) เพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของก๊าซ LPG ที่ 0.1644 บาทต่อกิโลกรัม และราคาขายปลีกลดลง 0.17 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของก๊าซ LPG เพิ่มขึ้นจาก 0.6287 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 0.7931 บาท ต่อกิโลกรัม และราคาขายปลีกลดลงจาก 23.96 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 23.79 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะทำให้กองทุนฯ มีรายรับ 275 ล้านบาทต่อเดือน (ชดเชยค่าขนส่งไปยังคลังภูมิภาค 70 ล้านบาทต่อเดือน) และ (3) เพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของก๊าซ LPG ที่ 0.3233 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกคงเดิมที่ 23.96 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของก๊าซ LPG ณ วันที่ 24 พฤษภาคม 2558 มีฐานะกองทุนสุทธิ 6,944 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 0.952 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2558 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 4 - วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2558 (ครั้งที่ 4)
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.00 น.
1. รายงานการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเดือนเมษายน 2558
2. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนพฤษภาคม 2558
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายชวลิต พิชาลัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง รายงานการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเดือนเมษายน 2558
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2558 มีมติเห็นชอบในการมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานฯ สามารถพิจารณาปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุน น้ำมันฯ หรืออัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงได้ไม่เกิน 1 บาทต่อลิตร จากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 17 เมษายน 2558 โดยกำหนดช่วงที่สามารถพิจารณาปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ หรืออัตรา เงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ ดังนี้ (1) น้ำมันเบนซิน อยู่ในช่วง 5.65 ถึง 7.65 บาทต่อลิตร (2) น้ำมัน แก๊สโซฮอล 95 อยู่ในช่วง -0.05 ถึง 1.95 บาทต่อลิตร (3) น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 อยู่ในช่วง -0.55 ถึง 1.45 บาทต่อลิตร (4) น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 อยู่ในช่วง -2.40 ถึง -0.40 บาทต่อลิตร (5) น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 อยู่ในช่วง -8.23 ถึง -6.23 บาทต่อลิตร และ (6) น้ำมันดีเซล อยู่ในช่วง -0.55 ถึง 1.45 บาทต่อลิตร
2. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 30 เมษายน 2558 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 17 เมษายน 2558 พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.20 4.16 และ 3.90 มาอยู่ที่ระดับ 63.30 82.30 และ 77.45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 1 พฤษภาคม 2558 อยู่ที่ 0.8363 0.9597 0.9219 0.9460 และ 0.9836 ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม
ดังนั้น เพื่อรักษาค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอความเห็นชอบจากประธานฯ ให้มีการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน และกลุ่มน้ำมัน แก๊สโซฮอล ยกเว้น น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ลง 0.50 บาทต่อลิตร และปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ น้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2558 เป็นต้นไป ผลจากการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ 1.3363 1.4597 1.4219 1.4460 และ 1.3836 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องลดลงประมาณ 1,071 ล้านบาทต่อเดือน จากมีรายรับ 1,093 ล้านบาทต่อเดือน เป็นมีรายรับ 22 ล้านบาทต่อเดือนดังนั้น เพื่อรักษาค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอความเห็นชอบจากประธานฯ ให้มีการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน และกลุ่มน้ำมัน แก๊สโซฮอล ยกเว้น น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ลง 0.50 บาทต่อลิตร และปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ น้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2558 เป็นต้นไป ผลจากการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ 1.3363 1.4597 1.4219 1.4460 และ 1.3836 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องลดลงประมาณ 1,071 ล้านบาทต่อเดือน จากมีรายรับ 1,093 ล้านบาทต่อเดือน เป็นมีรายรับ 22 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนพฤษภาคม 2558
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยก ก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก และนำเข้า) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน ทั้งนี้ให้มีการทบทวนราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหาทุกๆ 3 เดือน โดยราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG ของโรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก และนำเข้า อยู่ที่ 498 CP-20 และ CP+85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามลำดับ และบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อยู่ที่ 13.90 บาทต่อกิโลกรัม
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ทบทวนต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2558 แล้ว สรุปว่ามีแหล่งที่ต้นทุนเปลี่ยนแปลงหนึ่งแหล่ง คือ ต้นทุนจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ส่วนต้นทุนจากอีก 3 แหล่งคงที่ จึงได้มีข้อเสนอ ดังนี้ (1) ต้นทุนจากโรงแยกฯ ลดลง 1 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน จาก 498 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน เป็น 497 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน (2) คงต้นทุนโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก อ้างอิงราคาตลาดโลกอยู่ที่ CP-20 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน (3) คงต้นทุนก๊าซ LPG จากการนำเข้าอยู่ที่ CP + 85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน (4) คงต้นทุนบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อยู่ที่ 13.90 บาทต่อกิโลกรัม
3. ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนพฤษภาคม 2558 อยู่ที่ 469 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มจากเดือนเมษายน 2558 จำนวน 5 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนเมษายน 2558 อยู่ที่ 32.6577 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจากเดือนมีนาคม 2558 จำนวน 0.1221 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับลดลง 0.0943 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 16.2145 บาทต่อกิโลกรัม มาอยู่ที่ 16.1202 บาทต่อกิโลกรัม ดังนั้น เพื่อให้โครงสร้างราคาสะท้อนกับต้นทุนก๊าซ LPG ที่ลดลง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้คงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่ 0.5344 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง 0.10 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้กองทุนน้ำมันจะมีรายรับอยู่ที่ประมาณ 197 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการกำหนดราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา ดังนี้
1.1 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ณ ระดับราคา 497 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
1.2 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันและโรงอะโรเมติก เป็นราคาตลาดโลก (CP) ลบ 20 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
1.3 กำหนดราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า เป็นราคาตลาดโลก (CP) บวก 85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
1.4 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร ณ ระดับราคา 13.90 บาทต่อกิโลกรัมโดยที่ CP = ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียของเดือนนั้น เป็นสัดส่วน ระหว่างโปรเปน กับ บิวเทน 60 ต่อ 40ทั้งนี้ให้มีการทบทวนราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหาทุกๆ 3 เดือน
2. เห็นชอบกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 0.6287 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน
ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2558 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2557 ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอโครงการปฏิรูปเร็ว (Quick Win) ของคณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน สปช. เรื่อง โครงการส่งเสริมการติดตั้งโซล่าร์รูฟอย่างเสรี โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ (1) โครงการส่งเสริมฯ หมายถึง การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์จากการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาบ้านและอาคาร โดยกำหนดให้นำไฟฟ้าที่ผลิตได้ไปใช้ในบ้านหรืออาคารก่อน แล้วส่งไฟฟ้าที่เหลือไปขายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้ (2) เป้าหมาย ในช่วง พ.ศ. 2558 – 2563 จะมีโซล่าร์รูฟขนาด ไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ อย่างน้อย 100,000 ชุด และในอีก 20 ปีข้างหน้าจะมีอย่างน้อย 1,000,000 ชุด รวมทั้ง 5,000 เมกะวัตต์ สำหรับอาคารขนาดกลางและใหญ่ (3) ให้กระทรวงพลังงาน ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พิจารณาออกระเบียบ ประกาศ หลักเกณฑ์ให้การเข้าร่วมโครงการส่งเสริมฯ เป็นไปอย่างสะดวก (4) ให้บรรจุโครงการส่งเสริมฯ ไว้ในแผนการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าระยะยาว (PDP 2558 - 2579) และ (5) ให้มีมาตรการส่งเสริมการลงทุนในด้านภาษีนำเข้าและภาษีเงินได้ ซึ่ง สปช. จะได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และคณะรัฐมนตรี ต่อไป
2. เมื่อวันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2558 และวันอังคารที่ 7 เมษายน 2558 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้จัดประชุมหารือ เรื่อง โครงการส่งเสริมฯ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงาน กกพ. กฟผ. กฟน. และ กฟภ. โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้ (1) เห็นด้วยกับข้อเสนอโครงการส่งเสริมฯ โดยที่ประชุมเน้นให้เป็นการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองเป็นหลัก แล้วจึงขายไฟฟ้าส่วนที่เหลือให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (2) การกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการส่งเสริมฯ จะต้องเป็นภาระค่าไฟฟ้าต่อประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าให้น้อยที่สุด และ (3) ควรมีการกำหนดพื้นที่ในการดำเนินโครงการ (Pilot Project) เพื่อพิจารณาถึง ผลดี/ผลเสีย โดยพื้นที่ทดลองจะต้องอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของ กฟน. และ กฟภ. หน่วยงานละ 1 พื้นที่
3. ปัจจุบัน สำนักงาน กกพ. อยู่ระหว่างการดำเนินการโครงการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar PV Rooftop) ในรูปแบบ FiT ซึ่งจะรับสมัครถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2558 ดังนั้น เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้สนใจ ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอกรอบและหลักการในการดำเนินโครงการส่งเสริมฯ ในระยะแรก ดังนี้ (1) กำหนดระยะเวลาเริ่มต้นดำเนินโครงการส่งเสริมฯ ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นไป (2) กำหนดกรอบเป้าหมายโครงการนำร่องในพื้นที่ในความรับผิดชอบของ กฟน. และ กฟภ. ครอบคลุมการติดตั้งบนหลังคาบ้านอยู่อาศัยขนาดชุดละไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ และบนอาคารชุดละไม่เกิน 500 กิโลวัตต์ ภายในปี 2558 (3) มุ่งเน้นให้เป็นการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองในบ้านและอาคารเป็นหลัก แล้วจึงขายไฟฟ้าส่วนที่เหลือให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (4) การกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้าต้องเป็นภาระค่าไฟฟ้าต่อประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าให้น้อยที่สุด (5) ระบบมิเตอร์ควรเป็นแบบมิเตอร์สุทธิ โดยควรเสนอกระทรวงการคลังให้เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเฉพาะปริมาณไฟฟ้าที่มีการขายสุทธิเท่านั้น (6) ให้ กฟภ. และ กฟน. คัดเลือกโครงการนำร่อง พร้อมทั้งให้ สนพ. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ประเมินผลโครงการเพื่อใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาขยายการปฏิบัติไปทั่วประเทศต่อไป และ (7) เห็นควร มอบให้ กบง. พิจารณาโครงการส่งเสริมฯ ในรายละเอียดต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักการการดำเนินโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซล่าร์รูฟอย่างเสรี โดยเน้นให้เป็นการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองในบ้านและอาคารเป็นหลัก แล้วจึงขายไฟฟ้าส่วนที่เกินให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ให้น้อยที่สุด โดยราคารับซื้อไฟฟ้าจะต้องไม่ก่อภาระต่อประชาชน
2. มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) รับไปดำเนินโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซล่าร์รูฟอย่างเสรี โดยให้ดำเนินการในรูปแบบโครงการนำร่อง (Pilot Project) ก่อน เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการดำเนินโครงการ และให้ กฟภ. และ กฟน. คัดเลือกพื้นที่ในการดำเนินโครงการ Pilot Project พร้อมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย พพ. สนพ. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ประเมินผลโครงการ หากได้ผลดีสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดก็ขอให้พิจารณาแนวทางขยายผลการปฏิบัติไปทั่วทุกภูมิภาค ของประเทศ และรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการ Solar เสรี ให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ทราบเป็นระยะต่อไป
3. เห็นควรให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (Solar Farm) ขนาดไม่เกิน 1,000 kWp สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง. 4) ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 เพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ได้อย่างเสรียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการติดตั้ง ในสถานการศึกษา โรงพยาบาล และสถานที่อื่นๆ ที่ใช้ไฟฟ้าเป็นปริมาณมาก
กบง. ครั้งที่ 3 - วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2558
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2558 (ครั้งที่ 3)
วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 13.30 น.
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การมอบอำนาจให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาปรับอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายชวลิต พิชาลัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 และน้ำมันดีเซลลง 1.00 0.50 และ 1.00 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ รวมทั้งผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 และน้ำมันดีเซลลง 1 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 91E10 และ E20 ปรับลดลง 0.50 บาทต่อลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ปรับลดลง 0.80 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 E85 และน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 4 เมษายน 2558 อยู่ที่ 2.2750 2.3977 2.3570 1.8822 3.2109 และ 1.9245 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
2. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 16 เมษายน 2558 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 2 เมษายน 2558 พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.20 6.64 และ 3.97 มาอยู่ที่ระดับ 60.10 78.14 และ 73.55 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 16 เมษายน 2558 อยู่ที่ 32.5609 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.0403 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันของวันที่ 17เมษายน 2558 อยู่ที่ 30.18 บาทต่อลิตร ลดลง 0.40 บาทต่อลิตร ส่วนราคาเอทานอล ณ เดือนเมษายน 2558 อยู่ที่ 25.56 บาทต่อลิตร จากราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 17 เมษายน 2558 อยู่ที่ 0.9696 1.2232 1.1819 0.8383 3.0151 และ 0.9073 ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม
ดังนั้น เพื่อรักษาค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินลง 0.50 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 และ 91E10 ปรับลดลง 0.30 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และน้ำมันดีเซลปรับลดลง 0.60 บาทต่อลิตร ซึ่งผลจากการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ 1.4696 1.5232 1.4819 1.4383 และ 1.5073 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องลดลงประมาณ 1,324 ล้านบาทต่อเดือน จากมีรายรับ 2,558 ล้านบาทต่อเดือน เป็นมีรายรับ 1,234 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 12 เมษายน 2558 มีทรัพย์สินรวม 45,497 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 5,480 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นบวก 40,017 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2558 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 4 (4) ระบุไว้ว่า ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรืออัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร น้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้าเพื่อใช้ในราชอาณาจักร น้ำมันเชื้อเพลิงที่ส่งออก น้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายให้แก่เรือเพื่อใช้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร ก๊าซที่จำหน่ายเพื่อใช้ในราชอาณาจักร และก๊าซที่ซื้อหรือได้มาจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมซึ่งผลิตได้จากการแยกก๊าซธรรมชาติในราชอาณาจักร
2. ที่ผ่านมากระทรวงพลังงานมีการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน ส่งผลให้ราคาพลังงานส่วนใหญ่สะท้อนต้นทุนแท้จริงแล้ว และไม่มีการชดเชยข้ามประเภทเชื้อเพลิง (Cross Subsidy) แต่เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงและผันผวนอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศผันผวนตาม ดังนั้น เพื่อให้การรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิงดำเนินการได้ทันกับสถานการณ์ โดยมีความคล่องตัวในการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในกรณีที่อัตราการปรับไม่มากอย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่ต้องมีการจัดประชุม กบง. ทุกครั้ง ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้วขอเสนอให้ กบง. มอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธาน กบง. สามารถพิจารณาปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน กลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซลได้ไม่เกินครั้งละ 1 บาทต่อลิตร และพิจารณาปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG และ NGV ได้ไม่เกินครั้งละ 1 บาทต่อกิโลกรัม
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในการมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน สามารถพิจารณาอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรืออัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
กบง. ครั้งที่ 2 - วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2558
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2558 (ครั้งที่ 2)
วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 13.00 น.
1. เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 55/2557
2. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนเมษายน 2558
3. แนวทางการจัดสรรเงินประเดิมสำหรับกลุ่มน้ำมันสำเร็จรูปและก๊าซ LPG
4. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายชวลิต พิชาลัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 55/2557 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ลงวันที่ 6 มิถุนายน 2557 โดยมีรองหัวหน้า คสช. (หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ) เป็นประธานกรรมการ และมีผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นกรรมการและเลขานุการ ซึ่งต่อมา เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2557 ได้มีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีเพื่อบริหารประเทศแทน คสช. ส่งผลทำให้คณะกรรมการตามคำสั่ง คสช. ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน ดังนั้น การประชุม กบง. จึงเป็นไปตามคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ 1/2557 เรื่อง แต่งตั้ง กบง. ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2557 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (รมว.พน.) เป็นประธานกรรมการ
2. เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2557 สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) แจ้งว่า หัวหน้า คสช. มีนโยบายให้คณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศหรือคำสั่งของ คสช. บางคณะยังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ได้มอบหมายให้ สคก. ยกร่างพระราชบัญญัติ ซึ่งต่อมา พระราชบัญญัติการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการที่แต่งตั้งตามประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับ พ.ศ. 2558 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2558 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2558 ส่งผลให้ กบง. ตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 55/2557 เป็น กบง. ที่ กพช. แต่งตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วย กพช. ดังนั้น เพื่อให้ กบง. สามารถบริหารงานได้อย่างต่อเนื่องและสอดคล้องกับโครงสร้างการบริหารราชการในปัจจุบัน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เสนอขอเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ กบง. ตำแหน่งประธานกรรมการ จากรองหัวหน้า คสช. (หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ) เป็น รมว.พน. ซึ่งหัวหน้า คสช. ได้ลงนามในคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 1/2558 เรื่อง เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ กบง. ตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 55/2557 แล้ว เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2558
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมีนาคม 2558
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 เห็นชอบการคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก และการนำเข้า) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนเมษายน 2558 อยู่ที่ 464 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน 20 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนมีนาคม 2558 อยู่ที่ 32.7798 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนมีนาคม 2558 ที่ 0.0602 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับลดลง 0.3753 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 16.5898 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 16.2145 บาท ต่อกิโลกรัม
2. จากราคาก๊าซ LPG Pool ของเดือนเมษายน 2558 ที่ปรับลดลง 0.3753 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อให้ราคาสะท้อนต้นทุนการจัดหาที่ลดลง จึงขอคงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของก๊าซ LPG ที่ 0.3460 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ปรับลดลงจาก 24.16 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 23.79 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับ 131 ล้านบาทต่อเดือน
3. การกำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจาก บริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร จากมติ กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 ที่กำหนดให้ราคาต้นทุนก๊าซ LPG (LPG Pool) มาจาก 3 แหล่ง ได้แก่ ต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง และการนำเข้า แต่เนื่องจากก๊าซ LPG ที่ผลิตได้จากโรงแยกก๊าซ บริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด สำนักคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ตีความว่า ไม่ได้เป็นก๊าซที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติจึงไม่สามารถคำนวณรวมกับโรงแยกก๊าซธรรมชาติได้ ดังนั้น กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ จึงได้คำนวณต้นทุนก๊าซ LPG ที่ผลิตได้จากแหล่ง ปตท.สผ.ฯ ให้ใหม่ โดยมีต้นทุนอยู่ที่ระดับ 13.90 บาทต่อกิโลกรัม (ประมาณ 420 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน)
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบกำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร ณ ระดับราคา 13.90 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2558 เป็นต้นไป
2. เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันและโรงอะโรเมติก นำเข้า และ ปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือนเท่าที่มีการรายงานจากกรมธุรกิจพลังงาน โดยที่อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เฉลี่ยเดือนก่อนหน้า
หลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก (LPG Pool)
3. เห็นชอบกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 0.5344 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2558 เป็นต้นไป
เรื่อง แนวทางการจัดสรรเงินประเดิมสำหรับกลุ่มน้ำมันสำเร็จรูปและก๊าซ LPG
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ได้มีมติเห็นชอบกรอบและแนวทางในการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยให้ลดการชดเชยข้ามประเภทเชื้อเพลิง (Cross Subsidy) เพื่อให้เป็นไปตามมติดังกล่าว จึงจำเป็นต้องมีการจัดสรรเงินประเดิมจากกองทุนน้ำมันฯ ที่ 39,082 ล้านบาท ณ วันที่ 29 มีนาคม 2558 ให้กับกลุ่มน้ำมันสำเร็จรูปและกลุ่มก๊าซ LPG เพื่อใช้ในการรักษาระดับราคาในช่วงที่ราคาน้ำมันตลาดโลกผันผวน
2. แนวทางในการการจัดสรรเงินประเดิมมี 2 แนวทาง ดังนี้
2.1 การจัดสรรเงินประเดิมจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามสัดส่วนการใช้ โดยในปี 2557 มีความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปและก๊าซ LPG ประมาณ 104 ล้านลิตรต่อวัน แบ่งเป็นความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปประมาณ 79.65 ล้านลิตรต่อวัน หรือร้อยละ 76.57 และความต้องการใช้ก๊าซ LPG ประมาณ 24.38 ล้านลิตรต่อวัน หรือร้อยละ 23.43 ถ้าจัดสรรเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 39,082 ล้านบาท ให้กับกลุ่มน้ำมันสำเร็จรูปและกลุ่มก๊าซ LPG ตามสัดส่วนการใช้ จะทำให้กลุ่มน้ำมันสำเร็จรูปมีเงินประเดิมที่ 29,924 ล้านบาท และกลุ่มก๊าซ LPG มีเงินประเดิมที่ 9,158 ล้านบาท
2.2 การจัดสรรเงินประเดิมจากกองทุนน้ำมันฯ ตามมูลค่าการใช้ที่ระดับราคา ณ โรงกลั่น ในปี 2557 มีมูลค่าการใช้น้ำมันสำเร็จรูปและก๊าซ LPG ที่ระดับราคา ณ โรงกลั่นประมาณ 1,493 ล้านบาทต่อวัน โดยแยกเป็นมูลค่าการใช้น้ำมันของสำเร็จรูปประมาณ 1,274 ล้านบาทต่อวัน หรือร้อยละ 85 และมูลค่าการใช้ก๊าซ LPG ประมาณ 218 ล้านบาทต่อวัน หรือร้อยละ 15 ถ้าจัดสรรเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ 39,082 ล้านบาท ให้กับกลุ่มน้ำมันสำเร็จรูปและกลุ่มก๊าซ LPG ตามมูลค่าการใช้ที่ระดับราคา ณ โรงกลั่น จะทำให้กลุ่มน้ำมันสำเร็จรูปมีเงินประเดิมที่ประมาณ 33,365 ล้านบาท และกลุ่มก๊าซ LPG มีเงินประเดิมที่ประมาณ 5,717 ล้านบาท
ดังนั้น เพื่อให้การจัดสรรเงินประเดิมจากกองทุนน้ำมันฯ เป็นไปอย่างเหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า ควรใช้แนวทางที่ 2 เนื่องจากการจัดสรรเงินประเดิม โดยใช้สัดส่วนของมูลค่า ได้มีการคำนึงถึงปริมาณ และราคาของแต่ละชนิดน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้จัดสรรเงินประเดิมจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่กลุ่มน้ำมันสำเร็จรูปและกลุ่มก๊าซ LPG ตามมูลค่าการใช้ที่ระดับราคา ณ โรงกลั่นในปี 2557 โดยกลุ่มน้ำมันสำเร็จรูปมีเงินประเดิมที่ประมาณ 33,365 ล้านบาท และกลุ่มก๊าซ LPG มีเงินประเดิมที่ประมาณ 5,717 ล้านบาท โดยมอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานรับไปดำเนินการต่อไป ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2558
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ณ วันที่ 29 มีนาคม 2558 กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีฐานะสุทธิอยู่ที่ 39,082 ล้านบาท หากพิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเชื้อเพลิงบางชนิดลง จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันฯ ในประเทศปรับลดลงได้อีก ที่ประชุมฯ จึงเห็นสมควรพิจารณาปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและสอดคล้องกับกรอบและแนวทางในการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557
2. ข้อเสนอการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ มีดังนี้ (1) น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ปัจจุบันอยู่ที่ 2.05 บาทต่อลิตร หากปรับลดลง 1.00 บาทต่อลิตร จะทำให้ปรับลดราคา ขายปลีกน้ำมันลงได้ 1.00 บาทต่อลิตร (2) น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 ปรับลดลง 1.00 บาทต่อลิตร จากเดิม 2.25 บาทต่อลิตร เป็น 1.25 บาทต่อลิตร จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันลดลง 1.00 บาทต่อลิตร และ (3) น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 E10 ปรับลดลง 0.50 บาทต่อลิตร จากเดิม 1.25 บาทต่อลิตร เป็น 0.75 บาทต่อลิตร จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันลดลง 0.50 บาทต่อลิตร โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2558 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ในส่วนของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 และ E20 ปัจจุบันมีค่าการตลาดอยู่ในระดับที่ 3.9393 และ 2.2473 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ผู้ค้าน้ำมันควรพิจารณาปรับลดราคาขายปลีกลงเพื่อทำให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับที่เหมาะสม
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2558 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 1 - วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2557 (ครั้งที่ 1)
วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 14.00 น.
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายณรงค์ชัย อัครเศรณี กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการกลุ่มสำนักธุรกิจปิโตรเลียม นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู เป็นกรรมการและเลขานุการ(แทน)
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2557 ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2557 อยู่ที่ 1.6506 บาทต่อลิตร
2. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2557 พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวลดลง 7.49 8.61 และ 8.73 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 65.90 79.08 และ 82.50 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 1 ธันวาคม 2557 อยู่ที่ 33.0467 บาท ต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.0662 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ ของกรดไขมันของวันที่ 2 ธันวาคม 2557 อยู่ที่ 34.60 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 2.91 บาทต่อลิตร เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่ 17 พฤศจิกายน 2557 ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 E85 และน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2557 อยู่ที่ 4.3378 2.7331 2.7736 2.6653 2.7923 และ 2.4154 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม
ดังนั้น เพื่อรักษาค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นสองกรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันของน้ำมันเบนซิน 95 และกลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอลขึ้นลิตรละ 1.00 บาทต่อลิตร ยกเว้น E85 และน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.90 บาทต่อลิตร ซึ่งผลจากการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 3.3378 1.7331 1.7736 1.6653 และ 1.5154 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 69.84 ล้านบาท จากมีรายรับ 289.40 ล้านบาทต่อวัน เป็น 359.24 ล้านบาทต่อวัน
กรณีที่ 2 ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันของน้ำมันเบนซิน 95 กลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.50 บาทต่อลิตร ยกเว้น E85 ซึ่งผลจากการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 3.8378 2.2331 2.2736 2.1653 และ 1.9154 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 37.55 ล้านบาท จากมีรายรับ 289.40 ล้านบาทต่อวัน เป็น 326.94 ล้านบาทต่อวัน
ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2557 มีทรัพย์สินรวม 21,119 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 13,197 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นบวก 7,923 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไป
เรื่อง แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง
สรุปสาระสำคัญ
เพื่อให้ราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนและภาคขนส่งสะท้อนต้นทุนการจัดหามากขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคครัวเรือนและ ภาคขนส่งในส่วนของผู้ค้าก๊าซเป็นผู้นำส่งขึ้น 0.9671 บาทต่อกิโลกรัม จาก 4.6729 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 5.64 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไป ส่งผลให้ราคาขายปลีก LPG ภาคครัวเรือนและ ภาคขนส่งเพิ่มขึ้น 1.03 บาทต่อกิโลกรัม จาก 23.13 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 24.16 บาทต่อกิโลกรัม และทำให้กองทุนน้ำมันมีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณ 332 ล้านบาทต่อเดือน
ดังนั้น เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ตามที่เสนอ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอความเห็นชอบกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่ได้จำหน่ายก๊าซให้กับผู้บรรจุ ก๊าซหรือร้านค้าก๊าซ เพื่อจำหน่ายต่อให้กับภาคครัวเรือน และภาคขนส่งต้องส่งเงินเข้ากองทุนเพิ่มขึ้น 0.9671 บาทต่อกิโลกรัม จาก 4.6729 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 5.64 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไป โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รวมทั้ง ขอความเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคครัวเรือน และเรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่ได้จำหน่ายก๊าซให้กับผู้บรรจุก๊าซหรือร้านค้าก๊าซ เพื่อจำหน่ายต่อให้กับภาคครัวเรือน และภาคขนส่งต้องส่งเงินเข้ากองทุนเพิ่มขึ้น 0.9671 บาทต่อกิโลกรัม จาก 4.6729 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 5.64 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไป โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
2. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคครัวเรือน และเรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง
3. เห็นชอบให้กำหนดราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง และภาคอุตสาหกรรม ให้เท่ากัน โดยเป็นไปตามต้นทุนโรงกลั่นน้ำมันตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไป
เรื่อง แนวทางการปรับราคาก๊าซ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2557 ได้มีมติให้ปรับโครงสร้างราคาก๊าซ NGV ดังนี้ เป้าหมายคือราคาขายปลีกเป็นไปตามกลไกตลาดที่ 16.00 บาทต่อกิโลกรัม โดย (1) ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคล 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ให้ปรับขึ้นราคาขายปลีก 1 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 11.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2557 และ (2) คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2557 กบง. มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV โดยให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลขึ้น 1.00 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมอยู่ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม มาอยู่ที่ 11.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2557 และให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม และขอความร่วมมือให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินการขยายสถานีบริการ และร่วมลงทุนขยายท่อส่งก๊าซ เพื่อให้การบริการทั่วถึงทุกภูมิภาค
3. เพื่อให้สามารถดำเนินการตามมติ คสช. ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอแนวทางการปรับราคา ขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้ (1) ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคล 11.50 บาทต่อกิโลกรัม ให้ปรับขึ้นราคาขายปลีก 1 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 12.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2557 (2) ให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 1.00 บาท ต่อกิโลกรัม จากเดิมอยู่ที่ 11.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็นอยู่ที่ 12.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2557
2. ให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะเพิ่มขึ้น 1.00 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมอยู่ที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็นอยู่ที่ 9.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2557
กบง. ครั้งที่ 1 - วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2558
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2558 (ครั้งที่ 1)
วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 13.30 น.
1. รายงานผลคดีหมายเลขดำที่ 348/2558 เรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG
2. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมีนาคม 2558
3. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายชวลิต พิชาลัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง รายงานผลคดีหมายเลขดำที่ 348/2558 เรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG
สรุปสาระสำคัญ
1. นายวัชระ เพชรทอง ได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ต่อศาลปกครองกลาง เรื่องการปรับโครงสร้างราคา ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 ทำให้ต้นทุนราคาก๊าซ LPG เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อประชาชนและไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคทั้งประเทศ โดยขอให้เพิกถอนมติ กบง. ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558 และขอให้ศาลไต่สวนและกำหนดวิธีการชั่วคราวเพื่อระงับการประกาศใช้มติ กบง. ดังกล่าวไว้ชั่วคราวก่อนการพิพากษา ต่อมาเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558 ศาลปกครองกลาง ได้มีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีไปให้ถ้อยคำต่อศาลในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2558 เพื่อรับฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมและพิจารณาคำขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติของผู้ถูกฟ้องคดี
2. ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ กบง. ได้มอบหมายให้รองผู้อำนวยการ สนพ. (นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ) เป็นผู้ให้ถ้อยคำต่อศาล ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2558 แทน เนื่องจากติดราชการสำคัญ โดยยืนยันว่า การปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ในครั้งนี้จะส่งผลให้เกิดสาธารณประโยชน์ สร้างความเป็นธรรมให้แก่ทุกภาคส่วน ยกเลิกการบิดเบือนราคา ลดการชดเชยจากน้ำมันประเภทอื่น (cross subsidy) และทำให้การผลิต การบริโภค และการลงทุนเป็นไปตามกลไกตลาด อย่างที่ควรจะเป็น
3. เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2558 ศาลปกครองกลาง ได้มีหนังสือแจ้งคำสั่งศาล คดีหมายเลขดำที่ 348/2558 คดีหมายเลขแดงที่ 561/2558 โดยศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีทั้งเจ็ดไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ทั้งนี้ เหตุผลที่ศาลไม่รับคำฟ้องคือ ผู้ฟ้องคดียังไม่ถือว่าเป็นผู้เดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จากมติ กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 จึงไม่เป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ศาลจึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมีนาคม 2558
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก และนำเข้า) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนมีนาคม 2558 อยู่ที่ 484 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากเดือนก่อน 22 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนกุมภาพันธ์ 2558 อยู่ที่ 32.7196 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนมกราคม 2558 ที่ 0.1619 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติกและนำเข้า) ปรับเพิ่มขึ้น 0.1920 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 16.3978 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 16.5898 บาทต่อกิโลกรัม
2. จากราคาก๊าซ LPG Pool ของเดือนมีนาคม 2558 ที่ปรับเพิ่มขึ้น 0.1920 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะส่งผลทำให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น และเพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภายในประเทศเปลี่ยนแปลง ฝ่ายเลขานุการขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ลง 0.1920 บาทต่อกิโลกรัม จาก 0.5380 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 0.3460 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับลดลง 73 ล้านบาทต่อเดือน จากเดิม 137 ล้านบาทต่อเดือน เป็น 64 ล้านบาทต่อเดือน
3. ตามมติ กบง. ได้กำหนดราคาต้นทุนจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ณ ระดับราคา 498 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน เนื่องจากโรงแยกก๊าซ บริษัท ปตท.สผ. สยาม จำกัด อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร มีความแตกต่างกับโรงแยกก๊าซ 1 – 6 คือเป็นการผลิตน้ำมันดิบและจะมีแก๊สส่วนหนึ่งขึ้นมาด้วย ซึ่งนำมาแยกจะได้ ก๊าซ LPG เป็นผลพลอยได้ โดยราคาต้นทุนก๊าซ LPG จะแตกต่างจากราคาต้นทุนก๊าซ LPG ของโรงแยกก๊าซ 1 – 6 ในขณะนี้อยู่ระหว่างประเมินราคาต้นทุนก๊าซ LPG ของโรงแยกก๊าซ บริษัท ปตท.สผ.ฯ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักร ที่อัตรา 0.3460 บาทต่อกิโลกรัม โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการ ออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2558 เป็นต้นไป
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2558 ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอลลง 95E10 ลง 0.40 บาทต่อลิตร และปรับเพิ่มของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 และน้ำมันดีเซล ณ 13 มกราคม 2558 อยู่ที่ 0.5356 และ 1.3719 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
2. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 6 มีนาคม 2558 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 12 มกราคม 2558 พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 11.10 19.15 และ 9.71 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 58.30 77.04 และ 74.28 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 6 มีนาคม 2558 อยู่ที่ 32.5709 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.4307 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันของวันที่ 9 มีนาคม 2558 อยู่ที่ 34.40 บาทต่อลิตร ลดลง 3.11 บาทต่อลิตร เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่ 12 มกราคม 2558 จากราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 E20 E85 และน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 9 มีนาคม 2558 อยู่ในระดับที่ไม่เหมาะสม ดังนี้ 2.1666 1.2976 1.2890 1.2575 3.1846 และ 1.7877 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
3. เพื่อรักษาค่าการตลาดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินลง 2.00 บาทต่อลิตร และกลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอลลง 1.00 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ปรับลดอัตราชดเชยลง 1.00 บาทต่อลิตร โดยทั้งนี้จะประสานขอความร่วมมือกับผู้ค้า ให้ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินลง 2 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 และ E20 ลง 1.00 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ราคาคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ในส่วนของน้ำมันดีเซลเสนอปรับลดอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 2 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 เสนอให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ลง 0.20 บาทต่อลิตร เพื่อให้ราคาขายปลีกของน้ำมันดีเซลปรับลดลง 0.50 บาทต่อลิตร และส่วนที่ 2 เสนอให้ปรับลดเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ลงอีก 1.10 บาทต่อลิตร เพื่อนำไปรักษาระดับราคาขายปลีกของน้ำมันดีเซลให้คงเดิม หลังจากที่กระทรวงการคลังปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตและภาษีเทศบาลของน้ำมันดีเซลขึ้น 1.10 บาทต่อลิตร รวมทั้งยกเว้นการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลคงคลัง ณ วันที่ปรับภาษีสรรพสามิตอีกจำนวนหนึ่ง (1.10 บาทต่อลิตร x ปริมาณน้ำมันคงเหลือ)
4. จากการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผล ดังนี้ (1) กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องลดลงประมาณ 3,155 ล้านบาทต่อเดือน จากมีรายรับ 7,821 ล้านบาทต่อเดือน เป็นมีรายรับ 4,666 ล้านบาทต่อเดือน (2) ภาษีสรรพสามิตมีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณ 1,793 ล้านบาทต่อเดือน จากมีรายรับ 10,507 ล้านบาทต่อเดือน เป็นมีรายรับ 12,301 ล้านบาทต่อเดือน และ (3) กองทุนน้ำมันฯ จะรับภาระขาดทุนปริมาณน้ำมันคงเหลือ เท่ากับ 1.10 บาทต่อลิตร x ปริมาณน้ำมันคงเหลือ ณ วันที่ปรับภาษีสรรพสามิต ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 8 มีนาคม 2558 มีทรัพย์สินรวม 41,415 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 6,344 ล้านบาท โดยมีฐานะสุทธิเป็นบวก 35,072 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2558 เป็นต้นไป
2. เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 1.10 บาทต่อลิตร จาก 3.15 บาทต่อลิตร เป็น 2.05 บาทต่อลิตร และยกเว้นการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ของน้ำมันดีเซลคงเหลือ ณ คลัง (1.10 บาท/ลิตร x ปริมาณน้ำมันดีเซลคงเหลือ ณ คลัง) โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ในวันที่มีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดีเซล เพื่อให้ราคาน้ำมันดีเซลคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง