Super User
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 1-7 กันยายน 2557
กพช. ครั้งที่ 103 - วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน 2548
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 5/2548 (ครั้งที่ 103)
วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.แนวทางการจัดสรรหุ้นให้ประชาชนทั่วไป ของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน)
3.มติคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพ
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 แนวทางการจัดสรรหุ้นให้ประชาชนทั่วไป ของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน)
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้แจ้งมติข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการพลังงาน เกี่ยวกับการกระจายหุ้นสามัญเพื่อเพิ่มทุนของ บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) (บมจ. กฟผ.) ให้ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าตามจำนวนมิเตอร์ ซึ่งมีประมาณ 15 ล้านราย ได้รับสิทธิ์ในการซื้อหุ้นอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และต่อมาเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2548 กพช. ได้มีมติมอบหมายให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ กฟผ. พิจารณาข้อเสนอการกระจายหุ้นสามัญเพื่อเพิ่มทุน บมจ. กฟผ. ให้ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าตามสัดส่วนจากมิเตอร์การใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าแต่ละ ราย ซึ่งมีประมาณ 15 ล้านราย ได้รับสิทธิ์ในการซื้อหุ้นอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม และรายงานผลการพิจารณาให้ กพช. ทราบต่อไป
2. คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2548 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการกระจายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไป ของ บมจ. กฟผ. โดยจะให้สิทธิ์ผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศได้รับการจัดสรรหุ้นก่อนประชาชนทั่วไป โดยมีเงื่อนไข คือ 1) ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับสิทธิ์จองซื้อหุ้นจะต้องเป็นบุคคลธรรมดา 2) ให้ผู้จองซื้อระบุในใบจองซื้อหุ้นว่าเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าหรือประชาชนทั่วไป และบุคคลหนึ่งจะยื่นจองซื้อได้เพียงหนึ่งใบจองซื้อเท่านั้น และ 3) ผู้จองซื้อหุ้นที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าจะต้องแสดงหลักฐานประกอบการจองซื้อ ได้แก่ ใบเสร็จรับเงิน ค่าไฟฟ้าต้นฉบับของเดือนกรกฎาคม หรือสิงหาคม หรือกันยายน พ.ศ. 2548 โดยรายชื่อผู้จองซื้อจะต้องถูกต้องตรงกันกับใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้า และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมทั้ง สำเนาทะเบียนบ้าน
3. นอกจากนี้ วิธีการจัดสรรจะให้ความสำคัญกับผู้จองซื้อที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าก่อนเป็นลำดับ แรก โดยผู้จองซื้อหุ้นจะได้รับสิทธิการจัดสรรผ่านกระบวนการสุ่มเลือก (Random) ก่อนผู้จองซื้อที่เป็นประชาชนทั่วไป โดยที่
ขั้นที่ 1 ผู้จองซื้อที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าจะได้รับการจัดสรรหุ้นตั้งแต่ 400 หุ้นขึ้นไป และไม่เกิน 10,000 หุ้น
ขั้นที่ 2 หุ้นที่เหลือจากการจัดสรรขั้นที่ 1 จะนำไปจัดสรรให้กับผู้จองซื้อที่เป็นประชาชนทั่วไป โดยจะจัดสรรหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปจำนวน 400 หุ้นขึ้นไป และไม่เกิน 10,000 หุ้น
ขั้นที่ 3 หุ้นที่เหลือจากการจัดสรรขั้นที่ 2 จะจัดสรรให้กับผู้จองซื้อที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้า เพิ่มอีกจำนวนไม่เกิน 35,000 หุ้น
ขั้นที่ 4 หุ้นที่เหลือจากการจัดสรรขั้นที่ 3 จะจัดสรรให้กับผู้จองซื้อที่เป็นประชาชนทั่วไปเพิ่มอีกจำนวนไม่เกิน 35,000 หุ้น
ขั้นที่ 5 หุ้นที่เหลือจากการจัดสรรขั้นที่ 4 จะจัดสรรให้กับผู้จองซื้อที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้า สำหรับจำนวนหุ้นส่วนที่เกินกว่า 45,000 หุ้น ขึ้นไป (ได้รับการจัดสรรในขั้นที่ 1 จำนวน 10,000 หุ้น และในขั้นที่ 3 อีก 35,000 หุ้น)
ขั้นที่ 6 หุ้นที่เหลือจากการจัดสรรขั้นที่ 5 จะจัดสรรให้กับผู้จองซื้อที่เป็นประชาชนทั่วไป สำหรับจำนวนหุ้นส่วนที่เกินกว่า 45,000 หุ้น ขึ้นไป (ได้รับการจัดสรรในขั้นที่ 2 จำนวน 10,000 หุ้น และในขั้นที่ 4 อีก 35,000 หุ้น)
4. เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2548 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแนวทางการกระจายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปของ บมจ. กฟผ. ตามมติคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2548 แล้ว
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 กองทุนรักษาระดับราคาไฟฟ้า
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2548 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2548 เรื่องหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า และต่อมาเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2548 กพช. ได้มีมติเห็นชอบการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า และให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ค่าไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคม 2548 เป็นต้นไป โดยสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 เป็นต้นไป จะเปลี่ยนแปลงตามค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงจากค่า Ft ณ ระดับ 0.4683 บาท/หน่วย และได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ รับไปพิจารณาดำเนินการ ส่งผ่านค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่มีการบริหารการใช้เชื้อ เพลิงที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมต่อผู้ใช้ไฟฟ้า
2. คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2548 ได้มีมติเห็นชอบค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าในเดือนตุลาคม 2548 - มกราคม 2549 เท่ากับ 56.83 สตางค์/หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 10 สตางค์/หน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่เรียกเก็บจากประชาชนเพิ่มขึ้นจาก 2.72 บาท/หน่วย เป็น 2.82 บาท/หน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.68
3. จากแนวโน้มความต้องการใช้ไฟฟ้าและราคาเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับ ข้อจำกัดด้านระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ทำให้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - กันยายน 2548 จะต้องผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันเตา และน้ำมันดีเซลซึ่งมีราคาแพงเพิ่มขึ้น ส่งผลทำให้ค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ในช่วงต่อไปมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นมาก โดยคาดว่า ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - พฤษภาคม 2549 และในช่วงเดือนมิถุนายน - กันยายน 2549 ค่า Ft จะเพิ่มสูงขึ้นจากระดับ 56.83 สตางค์/หน่วย ในปัจจุบัน เป็น 88.45 และ 94.15 สตางค์/หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 31.62 และ 5.70 สตางค์/หน่วย ตามลำดับ หลังจากนั้น การเปลี่ยนแปลงของค่า Ft จะอยู่ในระดับ -9.50 ถึง 7.64 สตางค์/หน่วย
4. ข้อเสนอแนวทางการรักษาระดับราคาไฟฟ้า การปรับค่าไฟฟ้าจะสะท้อนถึงต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า โดยการเปลี่ยนแปลงของค่า Ft จะสะท้อนถึงค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปที่มี การบริหารการใช้เชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมต่อผู้ใช้ไฟฟ้า ตามแนวทางที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2548 อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ค่า Ft มีการเปลี่ยนแปลงมากและรัฐบาลเห็นควรให้มีการ รักษาเสถียรภาพของราคาไฟฟ้า จึงเห็นควรให้มีการจัดตั้งกองทุนรักษาระดับราคาไฟฟ้าขึ้น เพื่อลดผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชนจากแนวโน้ม ราคาไฟฟ้าที่ปรับเพิ่มขึ้นตามสถานการณ์ราคาเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมีข้อเสนอกลไกในการบรรเทาผลกระทบของราคาไฟฟ้า ดังนี้
4.1 ให้มีการจัดตั้งกองทุนรักษาระดับราคาไฟฟ้า เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าในกรณีที่ค่า Ft มีการปรับเพิ่มสูงขึ้นมาก อันเป็นผลจากสถานการณ์ราคาเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้นหรือมีการใช้เชื้อเพลิงที่ มีราคาแพง (น้ำมันเตา และน้ำมันดีเซล) ในการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น ตั้งแต่การปรับค่า Ft ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - พฤษภาคม 2549 เป็นต้นไป
4.2 การจัดหาแหล่งเงินทุนในการจัดตั้งกองทุนรักษาระดับราคาไฟฟ้า จัดหาจากเงินกู้ยืม การออกพันธบัตร หรือจากเงินงบประมาณแผ่นดิน โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานรับไปพิจารณาและจัดทำข้อเสนอ ในรายละเอียดของแหล่งที่มาของเงินกองทุน
4.3 หลักการเรียกเก็บและการจ่ายเงินเข้ากองทุนฯ เพื่อรักษาเสถียรภาพของค่า Ft มอบหมายให้กระทรวงพลังงานรับไปพิจารณากำหนดแนวทางปฏิบัติในรายละเอียด และนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำไปใช้ปฏิบัติ
4.4 แนวทางการดำเนินงาน กำหนดเป็น 2 ระยะ คือ (1) ระยะแรก ให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) เป็นผู้ดำเนินการ โดยให้คณะรัฐมนตรีมีมติเพิ่มภารกิจให้กับ สบพ. และเห็นชอบในหลักการการจัดหาเงินทุนรายละเอียดตามข้อ 4.2 โดยให้ดำเนินการแก้ไขพระราชกฤษฎีกาการจัดตั้งสถาบันกองทุนพลังงานให้สอด คล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ให้มีการแยกบัญชีที่เกี่ยวเนื่องกับการรักษาระดับราคาไฟฟ้าออกมาอย่างชัดเจน และ (2) ในระยะยาว เห็นควรกำหนดให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า เป็นผู้พิจารณา เมื่อมีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าขึ้นตามกฎหมายแล้วเสร็จ
มติของที่ประชุม
1.เห็นควรให้ค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงตามค่าใช้ จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่เป็นจริง โดยให้มีการบริหารการใช้เชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมต่อผู้ใช้ ไฟฟ้า
2.มอบหมายให้กระทรวงพลังงานรับไปพิจารณาแนวทางการบรรเทาผลกระทบของผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัย ที่มีการใช้ไฟฟ้าน้อย กรณีที่ค่า Ft มีการเปลี่ยนแปลงมาก และนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำไปใช้ปฏิบัติ
เรื่องที่ 3 มติคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2548 คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบการแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมเชื้อ เพลิงชีวภาพ (กชช.) โดยมีอำนาจหน้าที่ครอบคลุมภารกิจของคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ พร้อมทั้งให้ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการเอทานอลแห่ง ชาติ พ.ศ. 2545 โดยการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการยกเลิกระเบียบดังกล่าว เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2548
2. กชช. ในการประชุมครั้งที่ 3/2548 (ครั้งที่ 3) เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2548 โดยได้พิจารณาและมีมติเรื่องต่างๆ ดังนี้
2.1 เรื่องหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการอนุญาตจัดตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง
(1) การปฏิบัติตามข้อเสนอโครงการ ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตต้องปฏิบัติตามเอกสารข้อเสนอโครงการซึ่งผู้ ประกอบการได้นำเสนอเพื่อประกอบการพิจาณาอนุญาต ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการมีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญประการใด จะต้องแจ้งให้ กชช. พิจาณาโดยเร็ว
(2) การตั้งโรงงานผลิตเอทานอล ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตต้องดำเนินการจัดตั้งโรงงานผลิตเอทานอลเพื่อใช้ เป็นเชื้อเพลิงตามที่ได้รับอนุญาตให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2550 ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการ มีเหตุสุดวิสัยที่ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ แต่ผู้ประกอบการได้เริ่มดำเนินการและมีความคืบหน้า ในการจัดตั้งโรงงานผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงตามที่ได้รับอนุญาตไป มากพอสมควรแล้ว ผู้ประกอบการสามารถยื่นคำร้องต่อ กชช. เพื่อพิจาณาผ่อนปรนการปฏิบัติตามเงื่อนไขได้
(3) การกำกับดูแลโรงงานผลิตเอทานอล ผู้ประกอบการต้องรายงานผลความคืบหน้าของโครงการต่อคณะกรรมการ กชช. ทุก 60 วัน นับจากวันที่ได้รับอนุญาต และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายเอทานอ ลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงที่ กชช. กำหนดขึ้นทุกประการ สำหรับกรณีที่ผู้ประกอบการไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการอนุญาตจัด ตั้งโรงงานผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงที่กำหนด กชช. สงวนสิทธิที่จะดำเนินการเพิกถอนการอนุญาต หรือดำเนินการอื่นใด ตามที่เห็นสมควร นอกจากนี้ในการอนุญาตตามหนังสือแจ้งการอนุญาตเป็นสิทธิของผู้ประกอบการที่ ได้รับอนุญาตแต่เพียงผู้เดียว ห้ามเปลี่ยนแปลง โอน หรือซื้อขายสิทธิในการอนุญาตให้กับบุคคลอื่น รวมทั้งห้ามปฏิบัติแตกต่างจากที่ได้รับอนุญาตไว้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจาก กชช.
2.2 มติในการพิจารณาคำขอของผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตจัดตั้งโรงงานผลิตและ จำหน่าย เอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง มีดังนี้ 1) การขอเพิ่มประเภทวัตถุดิบ ซึ่งประเภทวัตถุดิบที่ขอเพิ่ม ได้แก่ มันสำปะหลัง ข้าวฟ่างหวาน และวัตถุดิบทางเกษตรอื่น ได้อนุมัติให้ 5 บริษัทเพิ่มประเภทวัตถุดิบในการผลิตเอทานอลได้ 2) การขอเปลี่ยนแปลงสภาพที่ตั้งโรงงาน ได้อนุมัติให้บริษัท ปิคนิค เอทานอล จำกัด เปลี่ยนแปลงที่ตั้งจากจังหวัดปราจีนบุรี เป็นจังหวัดฉะเชิงเทรา 3) การขอเพิ่มกำลังการผลิตเอทานอล โดยได้อนุมติให้ 3 บริษัท ขยายกำลังผลิตตั้งแต่ 100,000 ลิตรต่อวันเป็น 200,000 ลิตรต่อวัน และ 4) การขอเปลี่ยนแปลง รายละเอียดโครงการ โดยอนุมัติให้บริษัท บุญอเนก จำกัด ดำเนินการจัดตั้งโรงงานผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงจำนวน 3 แห่ง บริเวณจังหวัดนครราชสีมาหรือจังหวัดสระแก้ว มีขนาดกำลังผลิตแห่งละไม่เกิน 200,000 ลิตรต่อวัน และใช้มันสำปะหลังหรือวัตถุดิบทางเกษตรอื่นเป็นวัตถุดิบ ทั้งนี้ให้เปิดเสรีในการเลือกใช้วัตถุดิบและสถานที่ตั้งโรงงานสำหรับการผลิต เอทานอล
3. สำหรับการขอส่งออกเอทานอลได้กำหนดหลักการ ดังนี้
3.1 ให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตจัดตั้งโรงงานผลิตเอทานอลทำการผลิตและ จำหน่ายเอทานอลตามที่ได้รับอนุญาตให้เพียงพอกับความต้องการใช้เอทานอลเป็น เชื้อเพลิงภายในประเทศก่อนเป็นลำดับแรก และหากมีกำลังการผลิตเหลือ ผู้ประกอบการสามารถทำการผลิตและส่งออกเอทานอลที่มีความบริสุทธิ์ของ แอลกอฮอล์ ณ ระดับต่างๆ เพื่อจำหน่ายให้กับผู้ซื้อต่างประเทศได้ แต่จะต้องจัดเก็บเอทานอลไว้จำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของกำลังการผลิต
3.2 ให้คณะอนุกรรมการพัฒนาและส่งเสริมการใช้เอทานอลพิจารณาอนุมัติการขอส่งออกเอ ทานอลไปจำหน่ายยังต่างประเทศของผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตจัดตั้งโรงงาน ผลิตเอทานอล แล้วรายงานให้ กชช.ทราบต่อไป
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพ ครั้งที่ 3/2548 (ครั้งที่ 3) เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2548 ในเรื่องหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการอนุญาตจัดตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอ ลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง และเรื่องการพิจารณาคำขอของผู้ประกอบการที่ได้รับจัดตั้งโรงงานผลิตและ จำหน่ายเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง
2.เห็นชอบตามที่ประธาน กชช. ได้อนุมัติให้บริษัท น้ำตาลไทยเอทานอล จำกัด เปลี่ยนแปลงที่ตั้งโรงงานผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงจากจังหวัด ราชบุรี เป็นจังหวัดกำแพงเพชร และมีหนังสือแจ้งไปยังบริษัท น้ำตาลไทยเอทานอล จำกัด เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2548
3.มอบหมายให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพชี้แจงต่อคณะ กรรมการฯ เรื่อง การส่งออกเอทานอลที่เห็นควรให้ชะลอเรื่องนี้ไว้ก่อน เนื่องจากขณะนี้การส่งออกเอทานอลยังไม่เกิดขึ้นด้วยความต้องการใช้เอทานอ ลภายในประเทศ อยู่ระดับสูง
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 7-13 มกราคม 2556
รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 22 กุมภาพันธ์ 55
กพช. ครั้งที่ 102 - วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2548
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 4/2548 (ครั้งที่ 102)
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2548 เวลา 11.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (ระหว่างวันที่ 1 ส.ค. - 10 ต.ค. 48)
2.การปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
3.ข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการพลังงานต่อนโยบายด้านพลังงาน
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (ระหว่างวันที่ 1 ส.ค. - 10 ต.ค. 48)
สรุปสาระสำคัญ
1. เดือนสิงหาคม 2548 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ 56.60 และ 63.93 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.63 และ 6.13 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากข่าวการก่อการร้ายโดย ลอบยิงขีปนาวุธโจมตีเรือรบสหรัฐอเมริกาที่ท่าเรือ Aqaba ประเทศจอร์แดน และข่าวโรงกลั่น Rotterdam ของ คูเวตปิดฉุกเฉิน ประกอบกับตลาดกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดเฮอริเคน ทำให้นักลงทุนเข้าซื้อน้ำมันอย่างต่อเนื่อง ในตลาดซื้อขายล่วงหน้า NYMEX และ IPE ต่อมาในเดือนกันยายน ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ 56.41 และ 63.13 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากข่าว IEA ประกาศที่จะส่งน้ำมันสำรองฉุกเฉินประมาณ 2 ล้านบาร์เรล/วัน เพื่อแก้ปัญหาอุปทานตึงตัวในสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศยุโรปได้จัดส่งน้ำมันเบนซินสำรองฉุกเฉินจำนวนกว่า 30 Cargoes ไปยังสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้ง โอเปคยืนยันที่จะพิจารณาปรับเพิ่มเพดานการผลิตขึ้นอีก 500,000 บาร์เรล/วัน
2. สำหรับในช่วงวันที่ 1 - 10 ตุลาคม ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ 55.04 และ 59.73 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากนาย Sam Bodman (เลขานุการพลังงานของสหรัฐอเมริกา) ออกมายืนยันว่าสหรัฐอเมริกาพร้อมที่จะนำน้ำมันดิบ 700 ล้านบาร์เรล และ น้ำมันเพื่อความอบอุ่น 2 ล้านบาร์เรล จากปริมาณสำรองน้ำมันสำเร็จรูปเชิงยุทธศาสตร์ออกมาใช้หากเกิดภาวะขาดแคลน น้ำมัน ประกอบกับการใช้น้ำมันดิบจะลดลงจากโรงกลั่นในฝรั่งเศสต้องปิดดำเนินการ เนื่องจากคนงานประท้วง
3. เดือนสิงหาคม 2548 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ,92 และดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 73.20, 72.52 และ 70.66 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 8.50 , 9.09 และ 1.31 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาซื้อขายน้ำมันดิบระหว่างวันในตลาด NYMEX และ IPE ประกอบกับอุปทานในภูมิภาคค่อนข้างตึงตัว และ จากรายงานปริมาณสำรองน้ำมันเบนซินของสหรัฐลดลงขณะที่ความต้องการใช้อยู่ ระดับสูงมากในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวเพิ่มขึ้นจากข่าวอินโดนีเซียจะนำเข้า น้ำมันสำเร็จรูปในเดือนกันยายน 2548 เพิ่มขึ้นร้อยละ 30% จากโรงกลั่นจะปิดซ่อมบำรุงเป็นเวลา 3 สัปดาห์ สำหรับในเดือนกันยายน ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ,92 และดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 78.89, 77.86 และ 75.33 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตามราคา น้ำมันเบนซินในสหรัฐอเมริกาที่อยู่ในระดับสูงกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากผลกระทบของพายุเฮอริเคน แคทรีนา ทำให้นักลงทุนในสิงคโปร์นำน้ำมันเบนซินไปขายในสหรัฐอเมริกาเพิ่มมากขึ้น ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวเพิ่มขึ้นจากตลาดคาดว่า Sinopec ของจีนกำลังจะประมูลซื้อน้ำมันดีเซลส่งมอบช่วงครึ่งหลังของเดือนตุลาคม และข่าวอินเดียยกเลิกการประมูลขายน้ำมันดีเซลส่งมอบเดือนตุลาคม เนื่องจากราคาเสนอซื้อต่ำ
4. เดือนสิงหาคม 2548 ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 2 ครั้งๆ ละ 0.40 บาท/ลิตร รวมเป็น 0.80 บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และ ดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 26.54 , 25.74 และ 23.39 บาท/ลิตร ตามลำดับ และในเดือนกันยายน ผู้ค้าน้ำมัน (ยกเว้น ปตท.) ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 3 ครั้งๆละ 0.40 บาท/ลิตร และปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 2 ครั้งๆ ละ 0.40 บาท/ลิตร ส่วน ปตท. ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 3 ครั้งๆ ละ 0.40 บาท/ลิตร และปรับราคาขายปลีก น้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 2 ครั้งๆละ 0.40 บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และ ดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 อยู่ที่ระดับ 27.74 , 26.94 และ 24.19 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ในระหว่างวันที่ 1 - 10 ตุลาคม 2548 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินลดลง 0.40 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 27.34 , 26.54 และ 24.19 บาท/ลิตร ตามลำดับ
6. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 3 ตุลาคม 2548 มีเงินสดสุทธิ 1,303 ล้านบาท มีเงินหนี้สินค้างชำระ 83,237 ล้านบาท แยกเป็นหนี้เงินกู้ 71,000 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยตรึงราคาค้างชำระ 2,600 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 9,291 ล้านบาท และหนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ 159 ล้านบาท ดอกเบี้ยเงินกู้ประจำเดือนจำนวน 158 ล้านบาท และภาระผูกพัน 29 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิติดลบ 81,934 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 เห็นชอบการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า โดยกำหนดให้ใช้เป็นระยะเวลา 3 ปี (ปีงบประมาณ 2544 - 2546) ต่อมาคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2548 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2548 เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและมอบหมายให้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) (1) หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางที่เหมาะสมในการชดเชยรายได้ระหว่าง การไฟฟ้าเสนอ กพช. พิจารณาเห็นชอบก่อนการนำไปใช้ในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า และ (2) จัดทำรายละเอียดข้อเสนอการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าเสนอคณะกรรมการบริหาร นโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาเห็นชอบก่อนการประกาศใช้ต่อไป
2. ข้อเสนอการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ได้กำหนดตามหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตรา ค่าไฟฟ้าตามที่คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2548 ให้ความเห็นชอบ ดังนี้
2.1 หลักเกณฑ์ทางการเงิน (Financial Criteria) เห็นควรกำหนดให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีอัตราส่วนทางการเงินในช่วงปี 2549 - 2551 ดังนี้
2.1.1 อัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุน (Return on Invested Capital: ROIC) สำหรับ บมจ. กฟผ. ในระดับ 8.39 และสำหรับ กฟน. และ กฟภ. ในระดับ 4.80 เนื่องจาก บมจ. กฟผ. มีกำหนดการกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 2548 จึงจำเป็นต้องได้รับผลตอบแทนเงินลงทุนที่จูงใจผู้ลงทุนในระดับหนึ่ง
2.1.2 อัตราส่วนรายได้สุทธิต่อการชำระหนี้ (Debt Service Coverage Ratio: DSCR) สำหรับ บมจ. กฟผ. ในระดับ 1.3 เท่า และสำหรับ กฟน. และ กฟภ. ในระดับ 1.5 เท่า เช่นเดียวกับปัจจุบัน
2.1.3 อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุน (Debt/Equity Ratio) สำหรับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ในระดับ ไม่เกินกว่า 1.5 เท่า สำหรับหลักเกณฑ์ทางการเงินสำหรับการพิจารณากำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ภายหลังปี 2551 จะพิจารณากำหนดให้อัตราผลตอบแทนเงินลงทุนของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง อยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของต้นทุนทางการเงิน (Weighted Average Cost of Capital: WACC) ในแต่ละกิจการไฟฟ้า
2.2 ข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง ดังนี้
2.2.1 โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่งที่ บมจ.กฟผ. ขายให้ กฟน. และ กฟภ. กำหนดเป็นโครงสร้างเดียวกัน ประกอบด้วย ค่าผลิตไฟฟ้า และค่ากิจการระบบส่ง โดยค่าไฟฟ้าจะแตกต่างกันตามระดับแรงดัน และช่วงเวลาของการใช้
2.2.2 กำหนดบทปรับค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ในระดับขายส่ง ระหว่าง กฟผ. กับ กฟน. และ กฟภ. หากค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้าต่ำกว่า 0.875 ในอัตรา 5 บาท/kVar/เดือน (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เช่นเดียวกับปัจจุบัน และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า รับไปพิจารณาทบทวนค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า ในระดับขายส่งที่เหมาะสมเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนการประกาศใช้ต่อไป
2.2.3 ราคาขายส่งเฉลี่ยจะลดลงจากค่าไฟฟ้าขายส่งปัจจุบันร้อยละ 3.54 ซึ่งเป็นการเกลี่ยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าเพื่อให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีฐานะการเงินตามหลักเกณฑ์ทางการเงินในข้อ 2.1
2.3 ข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก ดังนี้
2.3.1 โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีกไม่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ได้ปรับปรุงกำหนดวันแรงงานให้เป็นวันหยุดราชการแทนวันพืชมงคลในการคิดค่า ไฟฟ้าอัตราค่าไฟฟ้าตามช่วงเวลาของการใช้ (Time of Used Tariff: TOU) ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นไป
2.3.2 กำหนดแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก โดยให้ทบทวนการกำหนดค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ในระดับขายปลีก โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า รับไปพิจารณาจัดทำรายละเอียดเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนการประกาศใช้ต่อไป
2.4 ข้อเสนอสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) สูตร Ft ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 เป็นต้นไป จะประกอบด้วย (1) ค่า Ft คงที่ ณ ระดับปัจจุบัน 0.4683 บาท/หน่วย และ (2) การเปลี่ยนแปลงของ ค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงจากค่า Ft ณ ระดับ 0.4683 บาท/หน่วย หรือ DFt ทั้งนี้มอบหมาย ให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไปพิจารณา ดำเนินการส่งผ่านค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่มีการบริหารการ ใช้เชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมต่อผู้ใช้ไฟฟ้า โดยพิจารณาจากมาตรฐานค่าสูญเสียในระบบ (Loss Rate) มาตรฐานอัตราการใช้ความร้อน (Heat Rate) ตลอดจนแผนการใช้เชื้อเพลิงและการสั่งการเดินเครื่องโรงไฟฟ้า
2.5 การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า (Financial Transfers)
2.5.1 เนื่องจากการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายมีต้นทุนในการจัดหาไฟฟ้าที่แตกต่างกัน ในขณะที่ โครงสร้างค่าไฟฟ้าขายปลีกเป็นอัตราเดียวกันทั่วประเทศ จึงควรมีการชดเชยรายได้ในลักษณะเหมาจ่าย (Lump sum financial Transfer) จาก กฟน. ไปยัง กฟภ. ในปี 2548-2551 เท่ากับ 9,083 10,507 10,728 และ 11,014 ล้านบาท/ปี ตามลำดับ ทั้งนี้ หากมีการแปลงสภาพ กฟน. หรือ กฟภ. เป็นบริษัท จำกัด (มหาชน) ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพลังงานพิจารณากำหนดแนวทางการกำหนดเงินชด เชยรายได้ระหว่าง การไฟฟ้า เพื่อไม่ให้เกิดภาระภาษีเงินได้ในการจ่ายเงินชดเชยรายได้
2.5.2 กำหนดหลักเกณฑ์การปรับปรุงเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า พร้อมทั้ง ค่าปรับกรณีที่การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ไม่จัดส่งข้อมูลฐานะการเงินให้ สนพ. หรือองค์กรกำกับดูแลที่จะจัดตั้งขึ้น ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยนำเงินดังกล่าวมาปรับลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าผ่านค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft
2.6 แนวทางกำกับการดำเนินงานตามแผนการลงทุนของการไฟฟ้า กำหนดให้พิจารณานำค่าใช้จ่ายการลงทุนที่ไม่เป็นไปตามแผนพร้อมทั้งค่าปรับ มาปรับลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าผ่านค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก รายละเอียดตามข้อ 4.5 ของเอกสารประกอบวาระที่ 4.1 โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 เป็นต้นไป และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า รับไปดำเนินการทบทวนค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้าที่เหมาะสมในระดับขายส่งและขาย ปลีก ตลอดจนแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีกเสนอต่อคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนการประกาศใช้ต่อไป
2.เห็นชอบหลักการข้อเสนอสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) รายละเอียดตามข้อ 4.6 และเอกสารแนบ 11 ของเอกสารประกอบวาระที่ 4.1 และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไป ดำเนินการปรับค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ภายใต้หลักการดังกล่าว
3.เห็นชอบการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า และแนวทางกำกับการดำเนินงานตามแผนการลงทุนของการไฟฟ้า รายละเอียดตามข้อ 4.7 และ 4.8 ของเอกสารประกอบวาระที่ 4.1
4.มอบหมายให้ สนพ. หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนบทปรับกรณีการลงทุนของการไฟฟ้า ไม่เป็นไปตามแผนการลงทุนที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ตลอดจน การกำหนดอัตราค่าบริการพิเศษสำหรับธุรกิจโรงแรมบนเกาะ และอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าระบบเติมเงิน ตามข้อเสนอของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณา ให้ความเห็นชอบก่อนการประกาศใช้ต่อไป
เรื่องที่ 3 ข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการพลังงานต่อนโยบายด้านพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้มีหนังสือถึงประธานฯ ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2548 แจ้งให้ทราบถึงข้อเสนอของคณะกรรมาธิการพลังงาน เกี่ยวกับการบริหารการส่งเสริมพัฒนาการจัดหา การใช้ การอนุรักษ์พลังงาน และผลกระทบจากการจัดหาและการใช้พลังงาน เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการของรัฐบาล
2. คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร ได้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังนี้
2.1 การอ้างอิงราคาก๊าซธรรมชาติกับราคาน้ำมันเตา ที่มีราคาเพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้น และส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง รัฐบาลจึงควรหาแนวทางปลดราคาก๊าซธรรมชาติไม่ให้อิงกับราคาน้ำมันที่เปลี่ยน แปลง
2.2 ปตท. มีผลประกอบการที่ดีมีกำไร ประมาณ 62,000 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2547 และคาดว่าในปี 2548 จะมีผลกำไร 90,000 ล้านบาท ขณะที่ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาด้านพลังงานและประชาชน ได้รับผลกระทบโดยตรงจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ประกอบกับจะมีการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในเดือนตุลาคม 2548 รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ควรหารือกับ ปตท. ให้ปรับลดราคาก๊าซธรรมชาติที่ขายให้แก่ บมจ. กฟผ. ในราคาเดียวกันกับ ปตท. ขายให้แก่โรงแยกก๊าซของ ปตท. ซึ่งจะสามารถลดค่าไฟฟ้าลงได้ประมาณ 30 สตางค์ต่อหน่วย
2.3 รัฐบาลควรชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นในการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและค่า ไฟฟ้า ผันแปรให้ประชาชนมีความเข้าใจ. เพื่อไม่ให้เกิดการต่อต้านการแปรรูปของ บมจ. กฟผ.
2.4 ควรให้ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าประมาณ 15 ล้านราย มีสิทธิ์ที่จะซื้อหุ้นได้ตามสัดส่วนที่เหมาะสม โดยกำหนดสัดส่วนจากมิเตอร์การใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟแต่ละราย สำหรับผู้ที่สละสิทธิ์ควรนำหุ้นส่วนนี้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นจะต้องถือสิทธิ์การครอบครองไว้ไม่น้อยกว่า 1 ปี การกระจายหุ้นให้สิทธิ์แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง จะทำให้ปัญหาการต่อต้านการกระจายหุ้นหมดไป และอาจส่งผลดีต่อการกำหนดราคาหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ. กฟผ. ด้วย
มติของที่ประชุม
1.มอบหมายให้กระทรวงพลังงานรับไปพิจารณาเจรจาราคาก๊าซธรรมชาติที่ ปตท. ขายให้แก่ บมจ.กฟผ. ในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม และรายงานให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ทราบต่อไป
2.มอบหมายให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ กฟผ. พิจารณาข้อเสนอการกระจายหุ้นสามัญเพื่อเพิ่มทุนของ บมจ. กฟผ. ให้ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าตามสัดส่วนจากมิเตอร์การใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าแต่ละ ราย ซึ่งมีประมาณ 15 ล้านราย ได้รับสิทธิ์ในการซื้อหุ้นอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม และรายงานผลการพิจารณาให้ กพช. ทราบต่อไป
รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 13 กุมภาพันธ์ 55
กพช. ครั้งที่ 101 - วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม 2548
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 3/2548 (ครั้งที่ 101)
วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2548 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุม 603 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.สรุปผลการดำเนินงานมาตรการประหยัดพลังงาน
3.แผนระดมทุนของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน)
4.หลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
5.การออกตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน)
6.การแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมด้านพลังงานทดแทน
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เดือนกรกฎาคม 2548 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ 52.97 และ 57.81 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.89 และ 2.85 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากพายุแฟรงคลินเริ่มก่อตัวขึ้นในทะเลแคริเบียน และอาจจะพัดเข้าอ่าวเม็กซิโกในช่วงสุดสัปดาห์ ประกอบกับจีนประกาศลอยตัวค่าเงินหยวน และจาก Reuter Polls คาดการณ์ปริมาณสำรองน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซินของสหรัฐอเมริกาจะปรับตัวลดลง สำหรับในช่วงวันที่ 1 - 24 สิงหาคม 2548 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ 56.06 และ 63.30 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.08 และ 5.49 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากข่าวเกิดเหตุระเบิด 3 ครั้งบริเวณด้านนอกของสำนักงานใหญ่บริษัทน้ำมันแห่งชาติของเวเนซูเอล่า และข่าวขู่ก่อการร้ายสถานที่สำคัญของชาวตะวันตกในซาอุดิอาระเบีย ประกอบกับ ความกังวลในการปิดฉุกเฉินของโรงกลั่นต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา
2.ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ เดือนกรกฎาคม 2548ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 64.70, 63.43 และ 69.35 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.05 และ 5.03และ 1.68 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เป็นผลจากข่าวรัฐบาลจีนลดการส่งออกด้วยความต้องการใช้น้ำมันเบนซินในประเทศ ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่วนดีเซลหมุนเร็วปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้มีการส่งออกดีเซลกำมะถัน 0.05% ปริมาณ 460,000 บาร์เรล จากบริษัท อัลลายแอนซ์ รีไฟน์นิ่ง จำกัด ภายหลังรัฐบาลไทยลดเงินชดเชยราคาขายปลีกในประเทศ โดยใช้มาตรการปล่อยลอยตัวแบบบริหารจัดการ และในช่วงวันที่ 1 - 24 สิงหาคม 2548 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 71.24, 70.61 และ 69.63เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.55และ 7.18 และ 02.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากรายงานปริมาณสำรองน้ำมันเบนซินสหรัฐอเมริกาลดลง ขณะที่ความต้องการใช้อยู่ระดับสูงมากในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ประกอบกับตลาดอินโดนีเซียจะเพิ่มการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปในเดือนกันยายน 2548 เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 มาอยู่ที่ระดับ 11.52 ล้านบาร์เรล เนื่องจากโรงกลั่นจะปิดซ่อมบำรุงจึงส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัว เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
3.ราคาน้ำมันขายปลีก เดือนกรกฎาคม 2548 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 2 ครั้ง รวมเป็น 0.80บาท/ลิตร และปรับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (ยกเว้น ปตท.) เพิ่มขึ้น 4 ครั้ง และปรับลดลง 2 ครั้ง รวมเป็น 1.20 บาท/ลิตร ส่วน ปตท. ปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 4 ครั้ง และปรับลดลง 1 ครั้ง รวมเป็น 1.60บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 25.74, 24.94 และ 22.59 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนในช่วงวันที่ 1 - 24 สิงหาคม 2548 ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 0.40 บาท/ลิตร เมื่อวันที่ 11สิงหาคม 2548 โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 26.14, 25.34 และ 22.99 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4.ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2548 มีเงินสดสุทธิ 449 ล้านบาท มีหนี้สินค้างชำระ 80,746 ล้านบาท แยกเป็นหนี้เงินกู้ 71,000 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยราคาน้ำมัน (1 - 12 กรกฎาคม 2548) 700ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 8,708 ล้านบาท หนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ 140 ล้านบาท ดอกเบี้ยเงินกู้เดือนสิงหาคม 2548 เป็นเงิน 145ล้านบาท และภาระผูกพัน 53 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิติดลบ 80,297 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 สรุปผลการดำเนินงานมาตรการประหยัดพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548ได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ โดยให้มีการดำเนินมาตรการประหยัดพลังงานทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจอุตสาหกรรม และภาคประชาชน โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงานประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตาม ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาฯ และติดตามผลปฏิบัติของทุกภาคส่วน สำหรับในเดือนกรกฎาคม 2548 ผลการใช้พลังงาน สรุปได้ดังนี้
1. ปริมาณการใช้ไฟฟ้ารวมทั้งประเทศ เดือนกรกฎาคม 2548 จำนวน 10,125 ล้านหน่วย ซึ่งลดลงจากเดือนมิถุนายน 2548 จำนวน 399ล้านหน่วย หรือลดลงร้อยละ 3.8 คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 1,073 ล้านบาท โดยปริมาณการใช้ไฟฟ้า ในเขตนครหลวง ลดลงร้อยละ 6.3 และในเขตภูมิภาค ลดลงร้อยละ 2.3
2. ปริมาณการใช้ไฟฟ้าจำแนกตามสาขาต่างๆ ในเดือนมิถุนายน 2548 ประกอบด้วย ปริมาณการใช้ ไฟฟ้าภาคประชาชนลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2548 จำนวน 294ล้านหน่วย คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 790 ล้านบาท และสำหรับผลการดำเนินงานตามโครงการ "ประหยัดไฟ กำไร 2 ต่อ" ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2547 - พฤษภาคม 2548 ประชาชน 4 ล้านครัวเรือน ลดใช้ไฟฟ้าลง 3,456 ล้านหน่วย คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 10,748 ล้านบาท ขณะที่ปริมาณการใช้ไฟฟ้าภาคราชการเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2548 จำนวน 4.6 ล้านหน่วย และปริมาณการใช้ไฟฟ้าห้างสรรพสินค้าลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2548 จำนวน 12 ล้านหน่วย คิดเป็นเงิน ที่ประหยัดได้ 32 ล้านบาท นอกจากนี้ ในกรณีป้ายโฆษณาสินค้าได้เริ่มบังคับใช้มาตรการปิดป้ายโฆษณา สินค้าหรือบริการหรือสถานที่ทำธุรกิจหรือป้ายชื่อร้าน ป้ายชื่อโรงภาพยนตร์ที่มีขนาดตั้งแต่ 32 ตรม. ขึ้นไป สูงกว่าพื้นไม่น้อยกว่า 4 เมตร ใช้ไฟส่องสว่างอย่างต่ำ 1,000 วัตต์ โดยให้ใช้ไฟฟ้าได้ระหว่างเวลา 19.00 - 20.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม เป็นต้นมา
3. ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซิน และแก๊สโซฮอล์ในเดือนกรกฎาคม 2548 เฉลี่ย 20.85 ล้านลิตร/วัน โดยน้ำมันเบนซิน อยู่ในระดับ 17.5 ล้านลิตร/วัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 3.9 ล้านลิตร/วัน หรือลดลงร้อยละ 18.1 และ Gasoholอยู่ในระดับ 1.65 ล้านลิตร/วัน และการใช้น้ำมันดีเซลอยู่ในระดับ 46.8 ล้านลิตร/วัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 8.7 ล้านลิตร/วัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 แผนระดมทุนของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน)
สรุปสาระสำคัญ
1. ในปี 2546 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม และ 3 ตุลาคม 2543 เรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า และเห็นชอบในหลักการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แปลงสภาพเป็นบริษัททั้งองค์กร โดยใช้พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 พร้อมทั้งอนุมัติในหลักการให้แปลงสภาพ กฟผ.ทั้งองค์กรเป็นบริษัท โดยใช้พระราชบัญญัติทุน รัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานดำเนินการให้เกิดความชัดเจนเรื่องโครงสร้าง กิจการไฟฟ้า และการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าก่อนการกระจายหุ้น กฟผ.ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยทั้งนี้เพื่อให้ กฟผ.สามารถแปลงสภาพให้สอดคล้องกับโครงสร้างใหม่ได้ตามระยะเวลาที่กำหนด จึงเห็นชอบให้ (1) กฟผ.ไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจำหน่ายกิจการหรือ หุ้นที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ พ.ศ. 2504 และ (2) ให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชน เพื่อทำหน้าที่พิจารณาประเมินราคาหุ้นที่เสนอขาย ขั้นตอนและวิธีการกระจายหุ้น
2. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2547 มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ (กนท.) ให้แปลงทุนของ กฟผ. เป็นทุนเรือนหุ้น และจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) โดยให้นำหุ้นออกจำหน่ายได้ไม่เกินร้อยละ 25 ของหุ้นทั้งหมด ตลอดจนอนุมัติในหลักการ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท กฟผ.จำกัด (มหาชน) และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วย กฟผ.
3. ต่อมาคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2547 ได้พิจารณาหลักเกณฑ์เกี่ยวกับ การแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจ และมีมติเห็นชอบกรอบหลักเกณฑ์การกระจายหุ้นรัฐวิสาหกิจให้ประชาชนทั่วไป หลักเกณฑ์การจัดสรรหุ้นให้พนักงานรัฐวิสาหกิจที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย และ หลักการดูแลผลประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน ผู้บริโภค และพนักงานรัฐวิสาหกิจ เพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานในการดำเนินการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
4. สำหรับหลักเกณฑ์การกระจายหุ้นรัฐวิสาหกิจให้ประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นแนวทางในการเสนอขายหุ้นครั้งแรก (Initial Public Offering: IPO)ในตลาดหลักทรัพย์ โดยในกรณีประชาชนทั่วไป จะจัดสรรผ่านกระบวนการสุ่มเลือก (Random) ด้วยวิธีการจัดสรรแบบขั้นบันไดผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนกรณีเป็นลูกค้าของสถาบันการเงิน ให้จองหุ้นผ่านกระบวนการ Random เช่นเดียวกัน และไม่มีการจัดสรรหุ้นให้ผู้มีอุปการคุณ ทั้งนี้ สำหรับรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการด้านไฟฟ้าและน้ำประปา ภาครัฐจะยังคงถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของทุนจดทะเบียน เพื่อคงสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ
5. นอกจากนี้หลักเกณฑ์การจัดสรรหุ้นให้พนักงานรัฐวิสาหกิจ โดยให้พนักงานได้รับผลประโยชน์ตอบแทนเป็นจำนวน 8 เท่าของเงินเดือน ณ วันก่อนการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท และเป็นการให้ครั้งเดียว และในการจัดสรรหุ้นมี 2 ทางเลือก คือ (1) พนักงานจ่ายเงินซื้อหุ้นในราคาที่ตราไว้ (PAR) (2) รัฐวิสาหกิจจ่ายแทนพนักงานในราคา PARในกรณีนี้พนักงานจะได้รับหุ้นในจำนวนที่น้อยกว่าทางเลือกที่ (1)ขณะที่กองทุนสำรอง เลี้ยงชีพของพนักงานรัฐวิสาหกิจ จะได้รับการจัดสรรหุ้นจำนวนหนึ่งในราคาที่เสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป
6. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2548 ได้มีมติเห็นชอบการแปลงทุนของ กฟผ. เป็นทุนเรือนหุ้น และจัดตั้งบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) (บมจ. กฟผ.) โดยมีทุนจดทะเบียนจำนวน 60,000 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นจำนวน 6,000ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 10 บาทต่อหุ้น ตลอดจนเห็นชอบ หลักการร่างพระราชกฤษฎีกา กำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท กฟผ.จำกัด (มหาชน) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ซึ่งปัจจุบันพระราชกฤษฎีกาทั้ง 2 ฉบับ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2548 และต่อมา กฟผ. ได้ยื่นจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) (บมจ. กฟผ.) แล้ว เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2548
7. คณะกรรมการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ กฟผ. ได้เสนอแผนระดมทุนของ บมจ. กฟผ. ดังนี้
7.1 เห็นชอบการเพิ่มทุนจดทะเบียนของ บมจ. กฟผ.จาก 60,000 ล้านบาท เป็น 80,000ล้านบาท โดยการจดทะเบียนหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 2,000 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10บาท
7.2 เห็นชอบให้ออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 460 ล้านหุ้นเพื่อเสนอขายให้แก่ (1) พนักงานประจำ ซึ่งมีชื่อปรากฏเป็นพนักงานของ บมจ.กฟผ. ณ วันจดทะเบียนจัดตั้ง บมจ.กฟผ. และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของ บมจ. กฟผ. (2) พนักงานของ บมจ.กฟผ. ที่ครบเกษียณอายุในวันที่ 30กันยายน พ.ศ. 2548 และ (3) พนักงานของ บมจ. กฟผ. ที่เข้าร่วมโครงการลาออก จากงานด้วยความยินดีทั้งสองฝ่ายในปี พ.ศ. 2548โดยมีมูลค่ารวมของผลประโยชน์ตอบแทนที่ได้รับจำนวน 8 เท่าของเงินเดือน
7.3 เห็นชอบให้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนส่วนที่เหลือทั้งหมด และหุ้นสามัญส่วนที่เหลือจากการจัดสรรและ/หรือการเสนอขายตามข้อ 7.2 จัดสรรและเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัด จำหน่ายหลัก และให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของพนักงาน บมจ. กฟผ. ได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญจำนวนหนึ่งในราคาที่เสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป โดยให้คณะกรรมการของ บมจ. กฟผ. ร่วมกับคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ เป็นผู้พิจารณากำหนดรายละเอียดและเงื่อนไขอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง กับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การกำหนดจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุน ที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป จะต้องคำนึง (1) ราคาเสนอขายสุดท้าย (Final IPO Price) (2) ความต้องการเงินลงทุนของ บมจ.กฟผ. (3) จำนวนหุ้นเก่าของกระทรวงการคลังที่จะนำออกจำหน่าย และ (4) จำนวนหุ้นสามัญที่จะเสนอขายให้แก่พนักงาน บมจ. กฟผ. และประชาชนทั่วไปจะต้องมีจำนวนไม่เกิน ร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญจดทะเบียนและเรียกชำระแล้ว โดยภายหลังการกระจายหุ้นแล้ว กระทรวง การคลังจะต้องถือหุ้นใน บมจ.กฟผ. ในสัดส่วนที่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ตามมติคณะรัฐมนตรี
7.4 เห็นชอบให้นำหุ้นสามัญเดิมของ บมจ. กฟผ.ที่ถือโดยกระทรวงการคลังเสนอขายให้แก่ นักลงทุนทั่วไปควบคู่กับการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน
7.5 เห็นชอบแนวทางการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Over-Allotment Option Program) โดยยืมหุ้นเดิมของกระทรวงการคลังในจำนวนไม่เกินร้อยละ 15 ของจำนวนหุ้นสามัญที่เสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไปทั้งหมด เพื่อเสนอขายเพิ่มเติมให้แก่นักลงทุนทั่วไปควบคู่กับการเสนอขายหุ้นสามัญ เพิ่มทุนของ บมจ. กฟผ.
7.6 เห็นชอบให้ บมจ.กฟผ. หรือ กระทรวงการคลัง (รายใดรายหนึ่ง) ให้สิทธิแก่บริษัทหลักทรัพย์ผู้มีหน้าที่จัดหาหุ้นส่วนเกิน (Stabilization Agent) ในการซื้อหุ้นสามัญใหม่จาก บมจ. กฟผ. หรือหุ้นสามัญเดิมจากกระทรวงการคลัง (รายใดรายหนึ่ง) จำนวนไม่เกินร้อยละ 15 ของหุ้นสามัญที่เสนอขายให้ประชาชนทั่วไปทั้งหมดที่ราคาเดียวกับที่เสนอขาย ให้แก่ประชาชนทั่วไป ทั้งนี้ เพื่อส่งมอบหุ้นดังกล่าวคืนให้แก่กระทรวงการคลัง
7.7 เห็นชอบกรอบโครงสร้างการเสนอขายหุ้นให้แก่นักลงทุนทั่วไป ดังนี้
(1) เสนอขายหุ้นสามัญให้นักลงทุนต่างประเทศเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไป
(2) เสนอขายหุ้นสามัญให้แก่นักลงทุนในประเทศเป็นสัดส่วนร้อยละ 70 ของหุ้นที่เสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไป ซึ่งรวมถึงนักลงทุนสถาบันในประเทศ และนักลงทุนรายย่อยในประเทศ เพื่อรักษาความยืดหยุ่น ให้สามารถปรับเพิ่มหรือลดสัดส่วนการเสนอขายหุ้นให้แก่ นักลงทุนในประเทศและนักลงทุนต่างประเทศ (Clawback / Clawforward)ได้ไม่เกินร้อยละ 20 ของจำนวน หุ้นสามัญที่จะเสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไปทั้งหมด
7.8 เห็นชอบการกำหนดให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน บมจ. กฟผ.ได้รับการจัดสรรหุ้นจำนวนหนึ่งในราคาที่เสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป
7.9 เห็นชอบให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ สามารถพิจารณาอนุมัติการปรับเปลี่ยนแนวทาง และรายละเอียดแผนการ และแนวทางการเสนอขายหุ้นสามัญของ บมจ. กฟผ. ได้ตามความจำเป็น และเหมาะสม
7.10 เห็นชอบให้ บมจ. กฟผ.และกระทรวงการคลังไม่ต้องนำสัญญา และ/ หรือข้อตกลงต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเสนอขายหุ้นสามัญของ บมจ. กฟผ.เสนอต่อสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาก่อนลงนาม
7.11 เห็นชอบให้กระทรวงการคลังขายหุ้นของกระทรวงการคลังใน บมจ. กฟผ.โดยไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจำหน่ายกิจการ หรือหุ้นที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ พ.ศ. 2504
8. ในการนี้ ฝ่ายเลขานุการมีความเห็นว่า ควรให้ บมจ. กฟผ. เร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2546 ซึ่งเห็นชอบการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้ารูปแบบ ESB และแนวทางการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยให้ กฟผ. แบ่งแยกระบบบัญชี (Account Unbundling)ระหว่างกิจการผลิตและกิจการระบบส่งไฟฟ้า และจัดทำกระบวนการแบ่งขอบเขตงาน (Ring Fence) ของศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า (System Operator)เพื่อสร้างความโปร่งใสและส่งเสริมการปรับปรุงประสิทธิภาพในการ ดำเนินงาน ให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2548 ทั้งนี้ ให้เสนอข้อมูลและรายงานความคืบหน้าต่อ สนพ. หรือองค์กรกำกับดูแลที่จะจัดตั้งขึ้น นอกจากนี้ ปัจจุบัน บมจ. กฟผ. เป็นเจ้าของทั้งธุรกิจผลิตไฟฟ้า (Generation) ธุรกิจระบบส่ง (Transmission)และศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า (System Operator) หากเข้าร่วมประมูลแข่งขันการผลิตไฟฟ้ากับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน จะทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมกัน เห็นควรให้จัดสรรกำลังการผลิต ในสัดส่วนร้อยละ 50 ของกำลังการผลิตใหม่ ในช่วงปี 2554-2558 ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าใหม่ 4 โรง ของ บมจ.กฟผ. ที่ได้รับอนุมัติโครงการแล้ว และโรงไฟฟ้าที่จะได้รับการจัดสรรใหม่ จัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในลักษณะเดียวกับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน รวมทั้ง ดำเนินการผลิตไฟฟ้า โดยปฏิบัติตาม IPP Grid Code ด้วย
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแผนระดมทุนของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) (บมจ. กฟผ.)ตามข้อเสนอของคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ กฟผ. ดังนี้
1.1 เห็นชอบการเพิ่มทุนจดทะเบียนของ บมจ. กฟผ. จาก 60,000 ล้านบาท เป็น 80,000 ล้านบาท โดยการจดทะเบียนหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 2,000 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท
1.2 เห็นชอบให้ออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 460 ล้านหุ้นเพื่อเสนอขายให้แก่ (1) พนักงานประจำ ซึ่งมีชื่อปรากฏเป็นพนักงานของ บมจ. กฟผ.ณ วันจดทะเบียนจัดตั้ง บมจ. กฟผ.และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของ บมจ.กฟผ. (2) พนักงานของ บมจ. กฟผ. ที่ครบเกษียณอายุในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2548 และ (3)พนักงานของ บมจ. กฟผ. ที่เข้าร่วมโครงการลาออก จากงานด้วยความยินดีทั้งสองฝ่ายในปี พ.ศ.2548 โดยมีมูลค่ารวมของผลประโยชน์ตอบแทนที่ได้รับจำนวน 8 เท่าของเงินเดือน ทั้งนี้ มอบหมายให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ พิจารณากำหนดราคาในเบื้องต้นเพื่อกำหนดผลประโยชน์ตอบแทนที่พนักงานจะได้รับ โดยการจัดสรรหุ้น
1.3 เห็นชอบให้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนส่วนที่เหลือทั้งหมด และหุ้นสามัญส่วนที่เหลือจากการจัดสรรและ/หรือการเสนอขายตามข้อ 1.2 จัดสรรและเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัด จำหน่ายหลักทรัพย์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ของ บมจ.กฟผ. และเป็นผู้มีหน้าที่จัดหาหุ้นส่วนเกินตามประกาศหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่เกี่ยวข้อง และให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของพนักงาน บมจ. กฟผ. ได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญจำนวนหนึ่งในราคาที่เสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป โดยให้คณะกรรมการของ บมจ. กฟผ. ร่วมกับคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ เป็นผู้มีอำนาจพิจารณากำหนดรายละเอียดและเงื่อนไขอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง กับ การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าว เช่น จำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเสนอขายในแต่ละคราว ราคา ระยะเวลาจองซื้อและการชำระเงินค่าหุ้น การจัดสรรหุ้นในกรณีที่มีหุ้นเหลือจากการเสนอขายดังกล่าวข้างต้น อย่างไรก็ตาม สำหรับการกำหนดจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป จะต้องคำนึง (1) ราคาเสนอขายสุดท้าย (Final IPO Price) (2) ความต้องการเงินลงทุนของ บมจ. กฟผ. (3) จำนวนหุ้นเก่าของกระทรวงการคลังที่จะนำออกจำหน่าย และ (4) การจัดสรรหุ้นส่วนเกินทั้งในส่วนที่ บมจ. กฟผ. เป็นผู้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนไว้รองรับ และส่วนที่กระทรวงการคลังเป็นผู้จัดหาหุ้นส่วนเกิน โดยจำนวนหุ้นสามัญที่จะเสนอขายให้แก่พนักงาน บมจ. กฟผ.และประชาชนทั่วไป ในครั้งนี้จะต้องมีจำนวนไม่เกิน ร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญจดทะเบียนและเรียกชำระแล้ว โดยภายหลังการกระจายหุ้นแล้ว กระทรวง การคลังจะต้องถือหุ้นใน บมจ. กฟผ. ในสัดส่วนที่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ตามมติคณะรัฐมนตรี
1.4 เห็นชอบให้นำหุ้นสามัญเดิมของ บมจ. กฟผ. ที่ถือโดยกระทรวงการคลังเสนอขายให้แก่ นักลงทุนทั่วไปควบคู่กับการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนโดยให้คำนึงถึงความต้องการ ใช้เงินทุนของ บมจ. กฟผ. ก่อนเป็นสำคัญ
1.5 เห็นชอบแนวทางการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Over-Allotment Option Program) โดยยืมหุ้นเดิมของกระทรวงการคลังในจำนวนไม่เกินร้อยละ 15 ของจำนวนหุ้นสามัญที่เสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไป ทั้งหมดเพื่อเสนอขายเพิ่มเติมให้แก่นักลงทุนทั่วไปควบคู่กับการเสนอขายหุ้น สามัญเพิ่มทุนของ บมจ. กฟผ.
1.6 เห็นชอบให้ บมจ.กฟผ. หรือ กระทรวงการคลัง (รายใดรายหนึ่ง) ให้สิทธิแก่บริษัทหลักทรัพย์ผู้มีหน้าที่จัดหาหุ้นส่วนเกิน (Stabilization Agent) ในการซื้อหุ้นสามัญใหม่จาก บมจ. กฟผ. หรือหุ้นสามัญเดิมจากกระทรวงการคลัง (รายใดรายหนึ่ง) จำนวนไม่เกินร้อยละ 15 ของหุ้นสามัญที่เสนอขายให้ประชาชนทั่วไปทั้งหมดที่ราคาเดียวกับที่เสนอขาย ให้แก่ประชาชนทั่วไป ทั้งนี้ เพื่อส่งมอบหุ้นดังกล่าวคืนให้แก่กระทรวงการคลัง
1.7 เห็นชอบกรอบโครงสร้างการเสนอขายหุ้นให้แก่นักลงทุนทั่วไป
1.7.1 เสนอขายหุ้นสามัญให้นักลงทุนต่างประเทศเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 ของจำนวนหุ้น ที่เสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไป
1.7.2 เสนอขายหุ้นสามัญให้แก่นักลงทุนในประเทศเป็นสัดส่วนร้อยละ 70 ของหุ้นที่ เสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไป ซึ่งรวมถึงนักลงทุนสถาบันในประเทศ และนักลงทุนรายย่อยในประเทศ เพื่อรักษาความยืดหยุ่น ให้สามารถปรับเพิ่มหรือลดสัดส่วนการเสนอขายหุ้นให้แก่นักลงทุนในประเทศและ นักลงทุนต่างประเทศ (Clawback / Clawforward) ได้ไม่เกินร้อยละ 20 ของจำนวน หุ้นสามัญ ที่จะเสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไปทั้งหมด
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการของ บมจ. กฟผ.ร่วมกับคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ เป็นผู้พิจารณากำหนดรายละเอียดและเงื่อนไขอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การกำหนดราคาขั้นสุดท้ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคณะกรรมการ บมจ. กฟผ. ร่วมกับคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ จะร่วมกันตัดสินใจทันทีที่การทำ Management Roadshow เพื่อเสนอขายหุ้นแล้วเสร็จ
1.8 เห็นชอบการกำหนดให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน บมจ. กฟผ. ได้รับการจัดสรรหุ้นจำนวนหนึ่งในราคาที่เสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป โดยให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจในเรื่องการจัดสรรหุ้นสามัญของ บมจ. กฟผ. ให้แก่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน บมจ. กฟผ. โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของสัดส่วนการกระจายการถือหุ้นทั้งหมดในภาพรวม
1.9 เห็นชอบให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ สามารถพิจารณาอนุมัติการปรับเปลี่ยนแนวทาง และรายละเอียดแผนการ และแนวทางการเสนอขายหุ้นสามัญของ บมจ. กฟผ.ได้ตามความจำเป็น และเหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดทุน ณ ช่วงเวลาการเสนอขาย
1.10 เห็นชอบให้ บมจ. กฟผ. และกระทรวงการคลังไม่ต้องนำสัญญา และ/ หรือข้อตกลงต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเสนอขายหุ้นสามัญของ บมจ.กฟผ. เสนอต่อสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาก่อนลงนาม
1.11 เห็นชอบให้กระทรวงการคลังขายหุ้นของกระทรวงการคลังใน บมจ. กฟผ. โดยไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจำหน่ายกิจการหรือ หุ้นที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ พ.ศ. 2504
2.ให้ บมจ. กฟผ. เร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 9 ธันวาคม 2546 โดยดำเนินการแบ่งแยกระบบบัญชี (Account Unbundling) ระหว่างกิจการผลิตและกิจการระบบส่งไฟฟ้า และจัดทำกระบวนการแบ่งขอบเขตงาน (Ring Fence) ของศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า (System Operator) ให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2548 ทั้งนี้ ให้เสนอข้อมูลและรายงานความคืบหน้าต่อ สนพ. หรือองค์กรกำกับดูแลที่จะจัดตั้งขึ้น
3.เห็นควรกำหนดให้ บมจ.กฟผ. มีสัดส่วนกำลังการผลิตในสัดส่วนร้อยละ 50 ของกำลังการผลิตใหม่ ในช่วงปี 2554 - 2558
3.1 ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าที่ได้รับการจัดสรรใหม่ จะต้องไม่สูงกว่าโรงไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน
3.2 โรงไฟฟ้าใหม่ 4 โรง ของ บมจ. กฟผ. ที่ได้รับอนุมัติโครงการแล้ว และโรงไฟฟ้าที่จะได้รับการจัดสรรใหม่ ให้จัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในลักษณะเดียวกับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และดำเนินการผลิตไฟฟ้า โดยปฏิบัติตาม IPP Grid Code ด้วย
เรื่องที่ 4 หลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
สรุปสาระสำคัญ
บมจ. กฟผ. มีกำหนดการกระจายหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 จึงจำเป็นต้องได้รับนโยบายการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าที่ชัดเจนสำหรับ การประมาณการรายได้ของ บมจ. กฟผ. และการชี้แจงต่อนักลงทุนในการเสนอขายหุ้น บมจ. กฟผ. กระทรวงพลังงาน จึงนำเสนอหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ดังนี้
1. โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีกจะประกอบด้วย ค่าไฟฟ้าฐานและค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ในลักษณะเดียวกับปัจจุบัน โดยกำหนดให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของการไฟฟ้าในการคำนวณค่า ใช้จ่ายการดำเนินงานของการไฟฟ้า คือ (1) ใช้หลักการ CPI-X โดยกำหนดค่าการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของการไฟฟ้า หรือค่า X สำหรับแต่ละกิจการไฟฟ้า สำหรับกิจการผลิต กิจการระบบส่ง และกิจการระบบจำหน่ายไฟฟ้าและค้าปลีกไฟฟ้า ร้อยละ 5.8 2.6และ 5.1 ต่อปี ตามลำดับ และ (2)ให้นำค่าสัมประสิทธิ์ความยืดหยุ่นของต้นทุนต่อปริมาณ (Cost Volume Elasticity: CVE) ในระดับ 0.8 มาใช้ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นไป
2. การกำหนดโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ อยู่บนพื้นฐานที่ค่าไฟฟ้าขายปลีกเฉลี่ยเมื่อรวมค่า Ftณ ระดับปัจจุบัน 0.4683 บาท/หน่วย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ในระหว่างเดือนตุลาคม 2548 จนถึงปี 2551 การ เปลี่ยนแปลงของค่าไฟฟ้า จะปรับตามค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ใหม่ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 เป็นต้นไป
3. ปรับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ใหม่ ให้ประกอบด้วยองค์ประกอบหลักเพียงค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปจากค่าไฟฟ้าฐานใหม่ (ค่า Ft ณ ระดับ 0.4683 บาท/หน่วย) โดยการประมาณการค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่จะเรียกเก็บ ทั้งนี้ มอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ รับไปพิจารณาดำเนินงานส่งผ่านค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง และค่าซื้อไฟฟ้าที่มีการบริหารการใช้เชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ต่อผู้ใช้ไฟฟ้า สำหรับแนวทางการกำกับ ดูแลการบริหารการใช้เชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพ ให้พิจารณาจากมาตรฐานค่าสูญเสียในระบบ (Loss Rate) มาตรฐานอัตราการใช้ความร้อน (Heat Rate) และแผนการใช้เชื้อเพลิงและการสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้า
4. หลักเกณฑ์ทางการเงินในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า จะพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนการลงทุน (Return on Invested Capital: ROIC)เป็นหลัก และพิจารณาอัตราส่วนรายได้สุทธิต่อการชำระหนี้ (Debt Service Coverage Ratio: DSCR) และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุน (Debt/Equity Ratio) ประกอบ เข้าด้วย
5. ผลกระทบจากการปรับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ให้ กฟผ.เป็นผู้รับภาระลูกหนี้ค่า Ft คงค้างที่ กฟผ. คาดว่าจะบันทึกเป็นรายได้ในงวดบัญชีก่อนการแปลงสภาพ กฟผ. เป็นบริษัท ทั้งนี้ ตั้งแต่ วันที่ 24 มิถุนายน 2548 ให้ บมจ.กฟผ. รับรู้รายได้ตามอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บได้จริงในงวดนั้น ๆ โดยผลจากการบันทึกบัญชีดังกล่าว จะไม่รวมอยู่ในการคำนวณกำไรเพื่อจัดสรรเป็นโบนัสกรรมการและพนักงาน และการนำเงินส่งรายได้แผ่นดิน
6. กำหนดการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในลักษณะการชดเชยรายได้โดยตรงจากการ ไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ไปยังการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ทั้งนี้ เมื่อมีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการไฟฟ้าแล้ว เสร็จ เห็นควรกำหนดให้มีการชดเชยรายได้ผ่านกองทุนที่จะจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่อไป
7. โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าจะกำหนดจากหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ อัตราค่าไฟฟ้าดังกล่าว จะมีการกำกับดูแลโดยองค์กรกำกับดูแล
ทั้งนี้ มอบหมายให้ สนพ. จัดทำรายละเอียดข้อเสนอการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ตลอดจนกลไกการปรับการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า และการกำกับดูแลประสิทธิภาพการดำเนินงานของการไฟฟ้าตามแนวนโยบายในข้อ 1เสนอต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาเห็นชอบก่อนการประกาศใช้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ดังนี้
1.1 โครงสร้างค่าไฟฟ้าขายปลีก ประกอบด้วย ค่าไฟฟ้าฐานและค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ในลักษณะเดียวกับปัจจุบัน โดยกำหนดให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของการไฟฟ้า ในการคำนวณค่าใช้จ่ายการดำเนินงานของการไฟฟ้า ดังนี้
1.1.1 ใช้หลักการ CPI-X โดยกำหนดค่าการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของการไฟฟ้าหรือค่า X สำหรับแต่ละกิจการไฟฟ้า ดังนี้
กิจการผลิต ร้อยละ 5.8 ต่อปี
กิจการระบบส่ง ร้อยละ 2.6 ต่อปี
กิจการระบบจำหน่ายและค้าปลีกไฟฟ้า ร้อยละ 5.1 ต่อปี
1.1.2 นำค่าสัมประสิทธิ์ความยืดหยุ่นของต้นทุนต่อปริมาณ (Cost Volume Elasticity : CVE) ในระดับ 0.8 มาใช้ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นไป
1.2 การกำหนดโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ อยู่บนพื้นฐานที่ค่าไฟฟ้าขายปลีกเฉลี่ยเมื่อรวมค่า Ft ณ ระดับปัจจุบัน 0.4683 บาท/หน่วย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ในระหว่างเดือนตุลาคม 2548 จนถึงปี 2551 การเปลี่ยนแปลงของค่าไฟฟ้า จะปรับตามค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ใหม่ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 เป็นต้นไป
1.3 ปรับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ใหม่ ให้ประกอบด้วย องค์ประกอบหลักเพียงค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลง ไปจาก ค่าไฟฟ้าฐานใหม่ (ค่า Ft ณ ระดับ 0.4683 บาท/หน่วย) โดยการประมาณการค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่จะเรียกเก็บ ทั้งนี้ มอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไป พิจารณาดำเนินงานส่งผ่านค่าใช้จ่ายด้าน เชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่มีการบริหารการใช้เชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมต่อผู้ใช้ไฟฟ้า แนวทางการกำกับดูแลการบริหารการใช้เชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพ ให้พิจารณาจากมาตรฐานค่าสูญเสียในระบบ (Loss Rate) มาตรฐานอัตราการใช้ความร้อน (Heat Rate) ตลอดจนแผนการใช้เชื้อเพลิงและการสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้า
1.4 หลักเกณฑ์ทางการเงินในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า จะพิจารณาจากอัตราส่วนผลตอบแทนการลงทุน (Return on Invested Capital: ROIC) เป็นหลัก และพิจารณาอัตราส่วนรายได้สุทธิต่อการชำระหนี้ (Debt Service Coverage Ratio: DSCR) และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุน (Debt/Equity Ratio) ประกอบการพิจารณา
1.5 ผลกระทบจากการปรับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ให้ กฟผ. เป็นผู้รับภาระ ลูกหนี้ค่า Ft คงค้างที่ กฟผ. คาดว่าจะบันทึกเป็นรายได้ในงวดบัญชีก่อนการแปลงสภาพ กฟผ. เป็นบริษัท ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2548 ให้ บมจ. กฟผ. รับรู้รายได้ตามอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บได้จริงในงวดนั้นๆ โดยผลจากการบันทึกบัญชีดังกล่าว จะไม่รวมอยู่ในการคำนวณกำไรเพื่อจัดสรรเป็นโบนัสกรรมการและพนักงาน และการนำเงินส่งรายได้แผ่นดิน
1.6 โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าจะกำหนดจากหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ เมื่อมีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลแล้วเสร็จ อัตราค่าไฟฟ้าดังกล่าวจะกำกับดูแลโดยองค์กรกำกับดูแล
2.มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปดำเนินการ ดังนี้
2.1 หารือกับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางที่เหมาะสมในการชดเชยรายได้ระหว่างการ ไฟฟ้า และนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาให้ความ เห็นชอบก่อนการนำไปใช้ในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
2.2 จัดทำรายละเอียดข้อเสนอการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ตลอดจน กลไกการปรับการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า และการกำกับดูแลประสิทธิภาพการดำเนินงานของการไฟฟ้า ตามแนวนโยบายในข้อ 1 เสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาเห็นชอบก่อนการประกาศใช้ต่อไป
เรื่องที่ 5 การออกตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2548 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพ.) ออกและเสนอขายตราสารหนี้ให้กับนักลงทุนทั่วไปจำนวนไม่เกิน 85,000 ล้านบาท โดยเสนอขายเป็นชุดและอายุไถ่ถอนแต่ละชุดไม่เกิน 5 ปี เพื่อนำไปชำระหนี้เงินกู้จ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง จ่ายดอกเบี้ย และเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และให้ผู้อำนวยการ สนพ. เป็นผู้พิจารณาปรับเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของ น้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล โดยปรับเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ได้ไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร/ครั้ง และต้องทำให้ สบพ. สามารถจ่ายดอกเบี้ยและไถ่ถอนตราสารหนี้ได้เมื่อครบกำหนดจ่าย แต่ทั้งนี้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซลรวมแล้วจะต้องไม่เกิน 1.50 บาท/ลิตร ต่อมาเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2548 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติ กบง. ดังกล่าว พร้อมทั้งให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณาความจำเป็นในการจัดสรรเงินอุดหนุนให้ สบพ. เพื่อเป็นทุนให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและ เสริมสภาพคล่องให้กองทุนน้ำมันฯ
2. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้ทยอยปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 91 เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเพิ่มขึ้น เป็น 1,476 ล้านบาท/เดือน
3. กระทรวงพลังงานได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามมติคณะรัฐมนตรีข้างต้น และ ที่ประชุมได้มีมติให้ สบพ. ขอรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลในวงเงินไม่เกิน 12,000 ล้านบาท ในรูปเงินยืมไม่มีดอกเบี้ย ทยอยเบิกจ่ายเงินตามความจำเป็น และชำระคืนรัฐบาลเมื่อ สบพ. ไถ่ถอนตราสารหนี้ครบถ้วนแล้ว โดยให้ สบพ. ตั้งเรื่องขอในงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2550 แต่หากกองทุนน้ำมันฯ ขาดสภาพคล่องในช่วงก่อนปี งบประมาณ พ.ศ. 2550 ให้ สบพ. นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอรับเงินอุดหนุนในรูปเงินยืมจากเงินงบกลาง
4. ปัจจุบัน สบพ. อยู่ระหว่างการดำเนินการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายพันธบัตรต่อสำนัก งานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และกระบวนการการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหลักทรัพย์และองค์กร ซึ่งคาดว่าจะเสนอขายในช่วงปลายเดือนกันยายน - ต้นเดือนตุลาคม 2548
5. ในการออกตราสารหนี้ของ สบพ. กระทรวงการคลังหรือหน่วยงานอื่นของรัฐไม่สามารถค้ำประกันหนี้ ให้ สบพ. ได้ เนื่องจากต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ขณะที่รายรับจาก เงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นแหล่งเงินในการชำระหนี้ของ สบพ. จะขึ้นกับอัตราเงินส่งเข้ากองทุน น้ำมันเชื้อเพลิงและ/หรือปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่า กบง. จะไม่ปรับเพิ่ม เงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามที่มีมติไว้ หากรัฐบาลได้รับความกดดันจากปัญหาราคาน้ำมันแพง และราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น จะทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งรัฐบาลอาจจะกลับไปใช้นโยบายการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอีก ซึ่งจะส่งผลให้รายรับลดลงและ/หรือรายจ่ายเพิ่มขึ้น จนทำให้ สบพ. ไม่สามารถชำระหนี้ได้ครบถ้วนตามเวลาที่กำหนด
6. เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือตราสารหนี้และเจ้าหนี้ของ สบพ. ว่าจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วนตามกำหนดเวลา สบพ. จึงขอเสนอดังนี้
6.1 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติรับทราบในการจัดหาเงินกู้โดยการออกตราสาร หนี้ของ สบพ. ซึ่งเป็นหน่วยงานในการกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน เพื่อนำเงินไปชำระหนี้เงินกู้จ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง จ่ายดอกเบี้ย และเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และจะสนับสนุนให้ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานบริหารสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้ มีสถานะทางการเงินที่เข้มแข็งเพื่อให้ สบพ. สามารถชำระดอกเบี้ยและเงินต้นให้กับผู้ถือตราสารหนี้และเจ้าหนี้ของ สบพ. ได้ครบถ้วนตามกำหนดเวลา
6.2 ให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานบริหารรายรับของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้ สอดคล้องกับภาระการชำระดอกเบี้ยและเงินต้นของ สบพ. ที่จะเกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาและรายจ่ายอื่นๆ ของกองทุน น้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้ สบพ. สามารถชำระหนี้ทั้งหมดได้ครบถ้วนตามกำหนดเวลา และเพื่อให้เกิดความชัดเจนในรายจ่ายและจำนวนเงินที่จะเหลือสะสมไว้ชำระหนี้ ให้ สบพ. ประกาศแจ้งแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนที่เป็นรายจ่าย ประจำและจำเป็นล่วงหน้าเป็นเวลา 5 ปี
6.3 ในกรณีที่รัฐบาลมีการกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงนโยบายใดๆ ก็ตาม ที่อาจส่งผลกระทบถึงฐานะทางการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและ/หรือความ สามารถในการชำระหนี้ของ สบพ. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติจะประสานงานกับรัฐบาลเพื่อให้มีมาตรการใน การให้ความคุ้มครองสิทธิของผู้ถือ ตราสารหนี้และเจ้าหนี้ของ สบพ. ให้ได้รับชำระหนี้อย่างครบถ้วนตามกำหนดเวลา
มติของที่ประชุม
1.คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติรับทราบในการจัดหาเงินกู้โดยการออกตรา สารหนี้ของ สบพ. ซึ่งเป็นหน่วยงานในกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน เพื่อนำเงินไปชำระหนี้เงินกู้ จ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง จ่ายดอกเบี้ย และเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และจะสนับสนุนให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานบริหารสภาพคล่องของกองทุน น้ำมันเชื้อเพลิง ให้มีสถานะทางการเงินที่เข้มแข็งเพื่อให้ สบพ. สามารถชำระดอกเบี้ยและเงินต้นให้กับผู้ถือตราสารหนี้และเจ้าหนี้ของ สบพ. ได้ครบถ้วนตามกำหนดเวลา
2.ให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน บริหารรายรับของกองทุนน้ำมันฯให้สอดคล้องกับภาระการชำระดอกเบี้ยและเงินต้น ของ สบพ. ที่จะเกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาและรายจ่ายอื่นๆ ของกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิงเพื่อให้ สบพ. สามารถชำระหนี้ทั้งหมดได้ครบถ้วนตามกำหนดเวลา และเพื่อให้เกิดความชัดเจนในรายจ่ายและจำนวนเงินที่จะเหลือสะสมไว้ชำระหนี้ ให้ สบพ. ประกาศแจ้งแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนที่เป็นรายจ่ายประจำและจำเป็นล่วงหน้าเป็นเวลา 5 ปี
3.ในกรณีที่รัฐบาลมีการกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงนโยบายใดๆก็ตาม ที่อาจส่งผลกระทบถึงฐานะทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯและ/หรือความสามารถในการ ชำระหนี้ของ สบพ. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติจะประสานงานกับรัฐบาลเพื่อให้มีมาตรการใน การให้ความคุ้มครองสิทธิของผู้ถือตราสารหนี้และเจ้าหนี้ของ สบพ ให้ได้รับชำระหนี้อย่างครบถ้วนตามกำหนดเวลา
เรื่องที่ 6 การแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมด้านพลังงานทดแทน
1. ประธาน (รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม) ได้เสนอต่อที่ประชุมว่า จากประชุมคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพ (กชช.) ที่ผ่านมา ได้มีประเด็นกรณีที่กระทรวงพลังงานได้ทักท้วงเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของ กชช. เมื่อมีการยุบคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติของกระทรวงอุตสาหกรรม ขณะที่ตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการเอทานอลฯ สามารถอนุมัติให้มีการจัดตั้งโรงงานเอทานอลได้ และ กชช. มีอำนาจหน้าที่เสนอแนะนโยบายและแผนพัฒนาและส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพต่อ กพช. ดังนั้นเมื่อยุบคณะกรรมการเอทานอลแล้วการขออนุมัติโรงงานเอทานอลจะเสนอต่อ คณะกรรมการชุดใด ซึ่งจากการตีความตามกฤษฎีกาที่จัดตั้งพบว่า การที่คณะกรรมการชุดหนึ่งซึ่งมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการอีกชุด เพื่อช่วยเสนอแนะนโยบายและปฏิบัติงานอื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย ถือเป็นการแต่งตั้งเพื่อปฏิบัติหน้าที่แทน เมื่อ ดำเนินการแล้ว จะต้องกลับมารายงานผลต่อคณะกรรมการที่ระดับเหนือกว่า นอกจากนี้ ท่านนายกรัฐมนตรี มีความประสงค์ให้จัดตั้งกระทู้ด้านน้ำมันขึ้นทุกวันอังคาร เนื่องจากราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัญญาณอันตราย ดังนั้นเพื่อให้เกิดการติดตามสถานการณ์ด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง จึงควรมีการ จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อดูแลเรื่องนี้ โดยเน้นด้านพลังงานทดแทนและเพื่อเป็นการบอกให้ประชาชนรับรู้ว่ารัฐบาลได้ ดำเนินการแก้ปัญหาด้านนี้อย่างต่อเนื่อง
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้ออกคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมพลังงานทดแทน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน และอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานเป็นเลขานุการ โดยมีหน้าที่ในการเสนอแนะนโยบายและพัฒนาด้านพลังงานทดแทน
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 25-31 สิงหาคม 2557
กพช. ครั้งที่ 100 - วันพุธที่ 22 มิถุนายน 2548
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 100)
วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2548 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.การแต่งตั้งองค์ประกอบเพิ่มเติมในคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพ
3.การรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการน้ำงึม 2
4.มาตรการประหยัดพลังงานตามยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ
5.การดำเนินธุรกิจและจำหน่ายไฟฟ้าในลักษณะ Distributed Generation (DG)
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
1. ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า จากภาวะปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลได้ประกาศมาตรการด้านพลังงานในช่วงแรกเป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2548 และในช่วงที่ 2 จะเป็นการสร้างสิ่งจูงใจให้กับภาครัฐและภาคเอกชนในการประหยัดพลังงานเพิ่ม ขึ้น และหากสถานการณ์ราคาน้ำมันยังไม่ดีขึ้น จะดำเนินการมาตรการบังคับ ได้แก่ การกำหนดกฎเกณฑ์การปิด - เปิดไฟฟ้า เป็นต้น แต่ทั้งนี้ ทุกมาตรการสามารถดำเนินการปรับเปลี่ยนระยะเวลาได้ตามความจำเป็น และวันนี้ได้เชิญรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุรนันท์ เวชชาชีวะ) เพื่อร่วมหารือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ และการเปิด - ปิดสถานีโทรทัศน์และวิทยุ ในเรื่องมาตรการประหยัดพลังงาน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ตระหนักถึงปัญหาด้านน้ำมัน ในปัจจุบันมีความแตกต่างจากปัญหาด้านนี้ที่เกิดขึ้นในอดีต จึงควรมีแนวทางแก้ไขที่แตกต่างกัน
2. นอกจากนี้ ประธานฯ ได้แจ้งว่ารัฐบาลได้ถวายร่างพระราชกฤษฎีกาเรื่อง กำหนดเลื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และเรื่อง กำหนด อำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) เพื่อโปรดเกล้าลงพระปรมาภิไธยเรียบร้อยแล้ว
3. ประธานฯ ได้ขอให้ฝ่ายเลขานุการฯ สรุปผลการดำเนินมาตรการประหยัดพลังงานในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า จากเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2548 ถูกกำหนดให้เป็นวันรวมพลังไทยลดใช้พลังงาน โดยกำหนดมาตรการ 3 ข้อ ได้แก่ การปิดแอร์ช่วงเวลา 12.00 - 13.00 น และปิดไฟอย่างน้อย 1 ดวง เป็นเวลา 1 ชม. รวมทั้งการขับรถไม่เกิน 90 กม./ชม. และผลการดำเนินการพบว่า การปิดแอร์ 1 ชั่วโมง ในวันที่ 1 มิถุนายน สามารถประหยัดไฟได้ 822 เมกะวัตต์ คิดเป็นเงิน 1.57 ล้านบาท และการปิดไฟ 5 นาที สามารถประหยัดไฟฟ้าได้ 702 เมกะวัตต์ คิดเป็นเงิน 118,736 บาท และผลสถิติการลดใช้ไฟฟ้าช่วงเวลา 12.00 - 13.00 น ตั้งแต่วันที่ 1 - 20 มิถุนายน 2548 พบว่าสามารถลดใช้ไฟฟ้าได้ลงครึ่งหนึ่ง ทั้งนี้ โดยมีการประชาสัมพันธ์ผ่านทางโทรทัศน์ช่อง 11 และ อสมท.
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.62 และ 4.50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากข่าวการระเบิดที่อิหร่าน และประกาศตัวเลขปริมาณสำรองน้ำมันดิบของสหรัฐอเมริกาโดย Energy Information Administration (EIA) ลดลง 1.8 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 329 ล้านบาร์เรล ประกอบกับผลกระทบของพายุโซนร้อน Ariene พัดผ่าน Gulf of Mexico ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ ณ วันที่ 21 มิถุนายน 2548อยู่ที่ระดับ 52.77 และ 57.75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2.ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.77 และ 3.76เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากความต้องการซื้อมีอย่างต่อเนื่องจากตะวันออกกลาง ประกอบกับจีนจะลดการส่งออกเนื่องจากความต้องการใช้ในประเทศปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนโรงกลั่นในเกาหลีใต้และไต้หวันได้ปิดซ่อมบำรุง ทำให้อุปทาน High - octane ค่อนข้างตึงตัว ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.93 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยอินโดนีเซียเริ่มเข้าซื้อน้ำมันดีเซลมากขึ้น ขณะที่ความต้องการซื้อในภูมิภาคเอเซีย เช่น อินเดีย และเวียดนามยังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 21 มิถุนายน 2548อยู่ที่ระดับ 62.83, 62.30 และ 69.81 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3.ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีก น้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 4ครั้งๆ ละ 0.40 บาท/ลิตร รวมเป็น 1.16บาท/ลิตร และปรับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (ยกเว้น ปตท.) เพิ่มขึ้น 5 ครั้ง รวมเป็น 2.00 บาท/ลิตร ในช่วงเดือนมิถุนายน ส่วน ปตท. ปรับราคาดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 4 ครั้ง ๆ ละ 0.40 บาท/ลิตร รวมเป็น 1.60 บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว (ยกเว้น ปตท.) ณ วันที่ 21 มิถุนายน 2548 อยู่ที่ระดับ 23.74, 22.94 และ 20.19 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วของ ปตท. อยู่ที่ระดับ 19.79 บาท/ลิตร ทั้งนี้ นับแต่เริ่มดำเนินการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่วันที่ 10มกราคม - 17 มิถุนายน 2548 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายเงินอุดหนุนตรึงราคาน้ำมันไปแล้ว รวมประมาณ 89,988 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การแต่งตั้งองค์ประกอบเพิ่มเติมในคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพ
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงพลังงานได้เสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมเชื้อเพลิง ชีวภาพ (กชช.) ขึ้น เพื่อทำหน้าที่เสนอแนะนโยบายและแผนพัฒนาและส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพของ ประเทศ โดยมีองค์ประกอบ
ที่ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี (นายพินิจ จารุสมบัติ) เป็นประธานกรรมการ และผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการรวม 23 คน และต่อมา ในการประชุม กพช. เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2548 ได้มีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพขึ้นตามที่ กระทรวงพลังงานเสนอ ซึ่งประธาน กพช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้ง กชช. เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2548
2. ในการประชุม กชช. ครั้งที่ 1/2548 เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2548ได้มีมติเห็นชอบให้เพิ่มเติม องค์ประกอบของ กชช. เพิ่มเติม โดยเพิ่มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นรองประธานกรรมการ และนายวิเชียร กีรตินิจกาล ผู้เชี่ยวชาญด้านวิจัยพืชน้ำมัน จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นกรรมการ ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ กชช.ได้มีหนังสือขอให้ฝ่ายเลขานุการ กพช. ดำเนินการตามมติ กชช. ดังกล่าว ซึ่งเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2548 ประธาน กพช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งองค์ประกอบเพิ่มเติมในคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริม เชื้อเพลิงชีวภาพแล้ว
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 การรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการน้ำงึม 2
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2539 ปัจจุบันภายใต้ MOU ดังกล่าวมี 2 โครงการที่จ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แล้ว ได้แก่ โครงการเทิน - หินบุน และห้วยเฮาะ นอกจากนี้ มีอีก 1 โครงการที่ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว ได้แก่ โครงการน้ำเทิน 2 โดยมีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เข้าระบบ กฟผ. ในเดือนพฤศจิกายน 2552 ต่อมา นายกรัฐมนตรี สปป. ลาว ได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีไทยเรื่อง โครงการน้ำงึม 2 โดยขอให้พิจารณาลงนามข้อตกลงโครงการน้ำงึม 2 เนื่องจากเป็นโครงการที่มีความก้าวหน้ามากกว่าโครงการอื่นๆ กฟผ. จึงได้ดำเนินการเจรจากับกลุ่มผู้ลงทุนโครงการน้ำงึม 2 คือ บริษัท SouthEast Asia Energy Limited (SEAN) จนได้ข้อยุติเรื่องอัตราค่าไฟฟ้าและเงื่อนไขสำคัญ และได้จัดเตรียมร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) แล้วเสร็จ
2. กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2548 ได้เห็นชอบในหลักการร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) โครงการน้ำงึม 2ระหว่าง กฟผ. และบริษัท SEAN แต่ให้มีการเจรจาเพิ่มเติมในประเด็นต่างๆ คือ 1) สัดส่วนการจ่ายเงินของ Primary Energy (PE) ให้ปรับเปลี่ยนเป็นจ่ายอย่างละร้อยละ 50 2) ให้มีการแบ่งช่วงเวลา ในอนาคตเพื่อให้มีการตกลงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ และ 3) ให้พิจารณาอัตราค่าไฟฟ้าในช่วงก่อนเริ่มอายุสัมปทาน (Scheduled Initial Operation Date : SIOD) ควรมีราคาต่ำกว่าช่วงหลังกำหนดจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (Scheduled Commercial Operation Date : SCOD)
3. โครงการน้ำงึม 2 เป็นสายส่งฝั่งลาวยาว 107 กิโลเมตร ฝั่งไทยยาว 93 กิโลเมตร จะเชื่อมกับระบบส่งไฟฟ้าของ กฟผ. ที่สถานีไฟฟ้าแรงสูงอุดรธานี 3 โดยระบบ 500 กิโลโวลต์ ซึ่งกำหนดแล้วเสร็จของโครงการประมาณเดือนกรกฎาคม 2553 กลุ่มผู้ลงทุน คือ บริษัท SouthEast Asia Energy จำกัด ซึ่งมีบริษัท ช. การช่าง จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 51 บริษัท Shlapak Group จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 10 รัฐบาลลาวถือหุ้นร้อยละ 25 และอื่นๆ ถือหุ้นร้อยละ 14
4. สาระสำคัญของ MOU โครงการน้ำงึม 2 ประกอบด้วย โครงการมีกำลังผลิตติดตั้งประมาณ 615 เมกะวัตต์ และมีเป้าหมายผลิตไฟฟ้าเฉลี่ยรายปีของ Primary Energy (PE) เท่ากับ 2,218 ล้านหน่วย และ Secondary Energy (SE) เท่ากับ 92 ล้านหน่วย และจะมี Excess Energy (EE) อีกจำนวนหนึ่ง โดย กฟผ. จะรับประกันการรับซื้อเฉพาะ PEและ SE และมีอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ย คือ Primary Energy (PE)Tariff เท่ากับ 4.997 Cents/หน่วย , Seconday Energy (SE) Tariff เท่ากับ 1.289 บาท/หน่วย , Excess Energy (EE) Tariff เท่ากับ 1.091 บาท/หน่วย, Pre IOD Energy Tariff เท่ากับ 1.448 บาท/หน่วย และการคำนวณและชำระเงิน ค่า PE : 70% บาท (Fx=39 บาท/USD)บวกกับ 30% USD นอกจากนี้ สัญญาซื้อขายไฟฟ้าจะมีอายุ 25 ปี นับจากวันจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ( Commercial Operation Date ) ทั้งนี้ MOU จะสิ้นสุดเมื่อมีเหตุการณ์ใดต่อไปนี้เกิดขึ้นก่อน ได้แก่ เมื่อมีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า หรือมีอายุครบ 18 เดือนนับจากวันลงนามหรือวันที่ช้ากว่าหากมีการตกลงเลื่อนอายุ MOU ออกไป หรือทั้งสองฝ่ายตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อเลิกก่อนได้ สำหรับกำหนดวันแล้วเสร็จของงานจะเป็น Scheduled Financial Close Date (SFCD) เท่ากับ 6 เดือนนับจากลงนาม PPA ส่วน Scheduled Initial Operation Date (SIOD) (กำหนดจ่ายไฟฟ้าช่วงก่อนเริ่มอายุสัมปทานที่รับจาก สปป. ลาว) เท่ากับ 52 เดือน นับจากวันที่ช้ากว่าระหว่างวัน Financial Close Date และ วัน SFCD หรือวันที่ 1 กรกฎาคม 2553 และ Commercial Operation Date (COD) (กำหนดจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์) คือวันที่ 1 มกราคม 2556 โดยที่สัญญาซื้อขายไฟฟ้าจะถูกบังคับใช้ภายใต้กฎหมายไทย
5. กฟผ. ได้ดำเนินการตามมติ กพช. โดยได้เจรจากับบริษัท SEAN แล้ว และได้ผลสรุปว่า ประเด็นที่ 1 บริษัทฯ ยอมรับที่จะปรับสัดส่วนการจ่ายเงินเป็นสกุลเงินบาทและสกุลดอลลาร์ฯ อย่างละร้อยละ 50 ประเด็นที่ 2 เรื่องให้มีการแบ่งช่วงเวลาในอนาคตเพื่อให้มีการตกลงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ที่จะใช้ในการแปลงอัตราค่าไฟฟ้าจากสกุลเงินดอลลาร์ฯ เป็นสกุลเงินบาทในอนาคตได้ บริษัทฯ ได้แจ้งว่าเงื่อนไขดังกล่าวนี้บริษัทฯ ไม่สามารถรับได้ เนื่องจากจะทำให้เป็นอุปสรรคต่อการกู้ยืมเงินจากเงื่อนไขนี้จะทำให้เกิดความ ไม่แน่นอนต่อฐานะการเงินของบริษัทฯ และประเด็นที่ 3 บริษัทฯ ยินยอมปรับอัตราค่าไฟฟ้าช่วงก่อนเริ่มอายุสัมปทาน (SIOD) ถึงกำหนดจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (SCOD) ลดลงจากอัตราค่าไฟฟ้าเดิม 0.2 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งคิดเป็นเงินประมาณ 12 ล้านบาท ในช่วง 2.5ปี โดยมีเงื่อนไขว่าเฉพาะในช่วง 2.5 ปีนี้ บริษัทฯ สามารถเสนอขาย Secondary Energy (SE) ด้วยจำนวนชั่วโมงที่เพิ่มขึ้นในวันธรรมดาจาก 2 ชั่วโมงเป็น 4 ชั่วโมง และในวันอาทิตย์จาก 8 ชั่วโมง เป็น 12ชั่วโมง โดยยังคงจำกัดจำนวนเป้าหมาย SE ต่อปีไว้เท่าเดิม (92 ล้านหน่วย) ซึ่ง กฟผ.พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่เป็นอุปสรรคทางเทคนิค และราคา SEต่ำกว่าต้นทุนที่หลีกเลี่ยงได้ (Avoided Cost) ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ไม่เสียหายต่อ กฟผ. อนึ่งจากผลการเจรจา กฟผ. ได้ปรับปรุง MOU ให้สอดคล้องกับเงื่อนไขข้างต้นแล้วและได้ลงนาม MOU น้ำงึม 2 กับบริษัท SEANแล้วเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2548
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 มาตรการประหยัดพลังงานตามยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาด้าน พลังงานของประเทศ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอและมอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลัก ประสานกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศต่อ ไป โดยสาระสำคัญของยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาด้านพลังงาน ประกอบด้วย
1.1 เร่งใช้พลังงานทดแทนน้ำมัน และใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ : เป้าหมายลดการใช้พลังงานโดยรวมร้อยละ 15 และร้อยละ 20 ในปี 2551 และ 2552 ตามลำดับ (เมื่อระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแล้วเสร็จ) โดยภาคขนส่งลดการใช้น้ำมันลงร้อยละ 25 ภายในปี 2552 ดำเนินการใช้เชื้อเพลิงอื่นแทนน้ำมัน เช่น NGV ก๊าซโซฮอล์ ไบโอดีเซล และปรับปรุงระบบ Logistics ขนส่งมวลชนและระบบขนส่งสินค้า ส่วนภาคอุตสาหกรรมลดการใช้พลังงานร้อยละ 25 ในปี 2551 โดยใช้มาตรการกระตุ้นธุรกิจและอุตสาหกรรมโดยตรง และใช้ก๊าซธรรมชาติแทนน้ำมัน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมตามแนวท่อก๊าซ ใช้ระบบการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าและน้ำเย็น (Gas District Cooling and Cogeneration) สำหรับภาครัฐลดการใช้พลังงานร้อยละ 10 - 15 ทันที โดยกำหนดให้เป็น KPI ของทุกหน่วยงาน และนำเงินส่วนหนึ่งที่ประหยัดได้นำไปเป็นเงินรางวัล (Bonus) และภาคประชาชนลดการใช้พลังงานร้อยละ 10 โดยกำหนดให้วันที่ 1 มิถุนายน 2548 เริ่ม Kick Off เร่งรณรงค์ประหยัดพลังงานอย่างจริงจังและต่อเนื่องทั้งประเทศ
1.2 การจัดหาแหล่งพลังงาน : เสริมสร้างความมั่นคงระยะยาว โดยการจัดหาจากแหล่งพลังงานในประเทศเพื่อนบ้าน จากการลงทุนไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศเพื่อนบ้าน และการสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียมในประเทศพม่าและมาเลเซีย เป็นต้น รวมทั้งแหล่งพลังงานในภูมิภาคอื่น ตลอดจนการร่วมเป็น National Champion ปตท. ปตท.สผ. และ กฟผ. เพื่อร่วมเจรจาและหรือลงทุนแหล่งพลังงานในต่างประเทศ
1.3 การสร้างมูลค่าเพิ่มให้ทรัพยากรพลังงาน โดยในระยะ 4 ปี (2548 - 2551) จะมีการ ลงทุนประมาณ 800,000 ล้านบาท ประกอบด้วย การพัฒนาไบโอดีเซลและก๊าซโซฮอล์ ซึ่งจะนำไปสู่การปรับ โครงสร้างภาคเกษตรยุคใหม่ และการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะเป็นการเพิ่มมูลค่าก๊าซในอ่าวไทย
2. คณะรัฐมนตรีได้ลงมติมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบในการกำหนด แนวทางการกำกับ ติดตาม การดำเนินงานในรายละเอียดของแต่ละภาคส่วนดังนี้
2.1 การประหยัดพลังงานภาครัฐ มอบรองนายกรัฐมนตรี (ดร. วิษณุ เครืองาม) เป็นผู้รับผิดชอบ โดยมีกระทรวงพลังงาน เป็นผู้สนับสนุนหลัก
2.2 การประหยัดพลังงานภาคเอกชน มอบรองนายกรัฐมนตรี (ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นผู้รับผิดชอบ โดยมีกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้สนับสนุนหลัก
2.3 การประหยัดพลังงานภาคประชาชน มอบรองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) เป็นผู้รับผิดชอบ โดยมีกระทรวงวัฒนธรรม เป็นผู้สนับสนุนหลัก
3. เพื่อให้การดำเนินมาตรการประหยัดพลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุ ตามเป้าหมายที่กำหนด กระทรวงพลังงานจึงแต่งตั้ง "คณะกรรมการประสานการรณรงค์และติดตามการประหยัดพลังงาน" ทำหน้าที่ในการประสาน ติดตาม และประเมินผลการประหยัดพลังงาน ภาครัฐ ภาคธุรกิจอุตสาหกรรม และภาคประชาชน และคณะกรรมการประสานฯ ได้ประชุมเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2548 โดยเห็นชอบแผนปฏิบัติการรณรงค์ ติดตามการประหยัดพลังงานภาครัฐ ภาคธุรกิจอุตสาหกรรม และภาคประชาชน ในช่วงทดสอบ 3 เดือน พร้อมทั้งมอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบในแต่ละมาตรการ และเมื่อสิ้นสุดเดือนสิงหาคม 2548 ให้ผู้รับผิดชอบสรุปผลการดำเนินการ ปัญหาอุปสรรค วิธีการแก้ไข ให้ฝ่ายเลขานุการฯ (สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน) รวบรวมประเมินผลด้วยตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ รายงานคณะรัฐมนตรี
4. จากการที่จะแก้ปัญหาขาดดุลการค้าของไทย โดยลดการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อเป็นวัตถุดิบผลิตเพื่อการส่งออก และรณรงค์ให้คนไทยร่วมใจกันประหยัดพลังงานจริงจัง หากยังไม่ได้ผลรัฐบาลอาจต้องนำมาตรการบังคับมาใช้ เพื่อให้คนไทยร่วมใจกันประหยัดพลังงาน ประกอบด้วย
4.1 ด้านไฟฟ้า ได้แก่ 1) หากผลการใช้ไฟฟ้า ณ เดือนสิงหาคม 2548 ยังไม่ลดลง จะปรับอัตราค่าไฟฟ้ากลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย ให้มีอัตราก้าวหน้ามากขึ้น โดยใช้มาก จ่ายแพง 2) ปรับอัตราค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจการค้า ประเภทสถานบันเทิง เป็นอัตราพิเศษสูงกว่ากลุ่มธุรกิจประเภทอื่น 3) ให้บังคับกำหนดเวลาปิด - เปิดสถานีโทรทัศน์ รวมถึง Cable TV และวิทยุชุมชน ให้ถ่ายทอดถึงเวลา 24.00 น. 4) บังคับปิดไฟโฆษณาทุกป้าย หลัง 4 ทุ่ม 5) บังคับสนามไดร์ฟกอล์ฟ ห้ามเปิดบริการหลัง 21.00 น. 6) บังคับให้ทุก หน่วยงานราชการ เปิดเครื่องปรับอากาศได้ตั้งแต่ 09.00 - 16.00 น. และอุณหภูมิต้องไม่ต่ำกว่า 25 - 26 องศา 7) ห้ามข้าราชการใส่สูททำงาน ยกเว้นวันที่มีงานพิธี 8) ลดจำนวนรถขบวนข้าราชการการเมือง และ 9) ให้ สมอ. เร่งกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำด้านพลังงาน ของวัสดุอุปกรณ์ที่จะผลิต/จำหน่ายในประเทศไทย ภายในปี 2549 รวมทั้งการติดฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และส่งเสริมให้มีการจัดตั้งศูนย์ทดสอบประสิทธิภาพ พลังงานที่มีมาตรฐาน
4.2 สำหรับด้านน้ำมัน ได้แก่ 1) ให้ กระทรวงคมนาคม สร้าง Park & Ride ชานเมืองให้เสร็จภายในปี 2549 อย่างน้อย 10 แห่ง 2) ให้ กทม. ปรับเพิ่มอัตราค่าจอดรถยนต์ในพื้นที่ที่จราจรหนาแน่น 3) ให้กระทรวงคมนาคมเร่งจัด Zoning กำหนดสถานที่จอดรถแท๊กซี่ และรถสามล้อเครื่อง 4) ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลให้มีการปฏิบัติ ตามกฎหมายโดยเคร่งครัด 5) ให้กระทรวงคมนาคมกำหนดนโยบายขนาดเครื่องยนต์ที่ใช้ในประเทศไทย ไม่เกิน 1,800 CC เพิ่มค่าธรรมเนียมฯ รถเกิน 1,800 CC 6) ให้กระทรวงการคลังกำหนดนโยบายราคาและภาษีรถยนต์ ที่เอื้อต่อการประหยัดพลังงาน ประกาศใช้ภายในปี 2549 และ 7) ให้ สมอ. บังคับผู้ผลิต/จำหน่ายรถยนต์ในประเทศไทยต้องติดฉลากแสดง ข้อมูลอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน ขนาดเครื่องยนต์ และน้ำหนักรถ ภายในปี 2548
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแนวทางการขอความร่วมมือทุกภาคส่วนลดใช้พลังงาน กรณีผลการลดใช้พลังงาน 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2548 ไม่บรรลุตามเป้าหมายจึงใช้มาตรการบังคับ โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานไปศึกษารายละเอียดผลกระทบของ มาตรการบังคับต่างๆ
2.ให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้มงวดกฎระเบียบจราจรต่อผู้ใช้รถอย่างเข้มงวด
เรื่องที่ 5 การดำเนินธุรกิจและจำหน่ายไฟฟ้าในลักษณะ Distributed Generation (DG)
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงมหาดไทย ได้มีหนังสือถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ขอให้พิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรี ให้พิจารณาอนุมัติข้อเสนอของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ในประเด็นดังต่อไปนี้ (1) ให้ กฟน. ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า น้ำร้อน และน้ำเย็นร่วมกัน (Combined Heat and Power) ในลักษณะ Distributed Generation (DG) ตามความต้องการของลูกค้า (2) ให้ กฟน. ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงจากขยะ มูลฝอย และพลังงานนอกรูปแบบ ตามความเหมาะสมของเทคโนโลยี และสภาพพื้นที่ และ (3) ให้ กฟน. ดำเนินการจัดตั้งบริษัท จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจเกี่ยวเนื่อง
2. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะ รัฐมนตรี คณะที่ 6.2 (ฝ่ายกฎหมาย) พิจารณาเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2548ที่ผ่านมา และที่ประชุมมีมติ มอบหมายให้กระทรวงพลังงานพิจารณาแผนดำเนินธุรกิจ (Business Plan) ในลักษณะ DG ของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตลอดจนประเด็นนโยบายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ โครงสร้างกิจการไฟฟ้า การส่งเสริมการแข่งขันในกิจการไฟฟ้า และนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนการนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
3. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.)ได้จัดให้มีการประชุมหารือ เรื่อง การดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า น้ำร้อน และน้ำเย็นร่วมกัน (Combined Heat and Power) ในลักษณะ Distributed Generation (DG) ร่วมกับการไฟฟ้าทั้ง 3แห่ง และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยมีรองปลัดกระทรวง พลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) เป็นประธาน เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2548 และมีข้อสรุปดังนี้
3.1 การผลิตไฟฟ้าในลักษณะ DG เป็นการสนับสนุนนโยบายการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ พลังงาน ตามยุทธศาสตร์กระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรของประเทศให้เกิดประโยชน์และมี ประสิทธิภาพสูงสุด กล่าวคือ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ช่วยประเทศประหยัดค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ลดการสูญเสียพลังงานไฟฟ้า ช่วยลดการลงทุนก่อสร้างระบบส่งไฟฟ้า เพิ่มความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า และช่วยเสริมความมั่นคงในการจัดหาพลังงาน ตลอดจนช่วยลดต้นทุน การผลิตสินค้าและบริการ และช่วยลดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak demand) ด้วย
3.2 เห็นชอบในหลักการการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าในลักษณะ Distributed Generation (DG)โดยระบบการผลิตไฟฟ้า น้ำร้อน และน้ำเย็นร่วมกัน (Combined Heat and Power : CHP) ทั้งนี้ ได้กำหนดนิยามของ DG ดังนี้ "เป็นการผลิตไฟฟ้า ณ จุดใช้งานของผู้ใช้ไฟฟ้า (Customer's Site) โดยอาจติดตั้งขนานกับระบบจำหน่าย (local distribution network) หรือติดตั้งแยกอิสระจากระบบจำหน่ายไฟฟ้าทั่วไป (stand alone)"
3.3 เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น ในกรณีที่มีปริมาณพลังไฟฟ้าส่วนเกินจากระบบ CHP เห็นควรให้สามารถขายเข้าระบบของการไฟฟ้าตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าใน ปัจจุบัน ดังนี้
3.3.1 ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายไม่เกิน 1 เมกะวัตต์ ให้ขายเข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายตามปริมาณที่กำหนดในระเบียบการรับซื้อ ไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมาก (VSPP) ทั้งนี้ สนพ. อยู่ระหว่างการศึกษาการขยายระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP เพื่อขยายปริมาณพลังไฟฟ้าที่จะรับซื้อจาก VSPPดังนั้น หากการศึกษาแล้วเสร็จ จะทำให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายสามารถรับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP ได้เพิ่มขึ้น
3.3.2 ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายเกินกว่าที่กำหนดตามระเบียบ VSPP ให้ขายเข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ทั้งนี้ สนพ. อยู่ระหว่างเตรียมการศึกษาแนวทางการปรับปรุงระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP สำหรับการรับซื้อ ไฟฟ้าจาก SPP ที่ผลิตไฟฟ้าโดยระบบ CHP
3.4 สำหรับการดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงจากขยะมูลฝอย และพลังงานนอกรูปแบบนั้น ปัจจุบันสามารถดำเนินการได้อยู่แล้ว โดยสามารถขายไฟฟ้าเข้าระบบได้ตามระเบียบ SPP และ VSPPอย่างไรก็ตาม การผลิตไฟฟ้าจากขยะมีต้นทุนสูง ทำให้ราคารับซื้อไฟฟ้าไม่จูงใจให้โครงการดังกล่าวเกิดขึ้น ซึ่งกระทรวงพลังงาน อยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่มี ต้นทุนการผลิตสูง ได้แก่ พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ ขยะ เป็นต้น
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบในหลักการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าในลักษณะ Distributed Generation (DG)โดยระบบการผลิตไฟฟ้าและความร้อนร่วมกัน (Combined Heat and Power : CHP) เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรของประเทศให้เกิดประโยชน์และมี ประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ กำหนดนิยามของ DG ดังนี้
"เป็นการผลิตไฟฟ้า ณ จุดใช้งานของผู้ใช้ไฟฟ้า (Customer's Site) โดยอาจติดตั้งขนานกับระบบจำหน่าย (local distribution network) หรือติดตั้งแยกอิสระจากระบบจำหน่ายไฟฟ้าทั่วไป (stand alone)"
2.เห็นควรให้ผู้ผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ CHP ที่มีปริมาณพลังไฟฟ้าส่วนเกิน สามารถขายไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้าตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าในปัจจุบัน เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการผลิตไฟฟ้า
3.มอบหมายให้ สนพ. ดำเนินการศึกษาแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าในลักษณะ CHP รวมทั้งปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมต่อไป