![programmer_ener](http://www.gravatar.com/avatar/f993fd4247d701baeff765b954dd0bd1?s=100&default=https%3A%2F%2Feppo.go.th%2Fepposite%2Fcomponents%2Fcom_k2%2Fimages%2Fplaceholder%2Fuser.png)
programmer_ener
กอ. ครั้งที่ 26 - วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2544
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26)
วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2544 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. โครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น
2. ความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
3. โครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว
6. โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 โครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2540 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2540 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในวงเงิน 90 ล้านบาท (เก้าสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะทำการวิจัยในเรื่องการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ขึ้นในประเทศไทย ตลอดจนวิธีการประกอบแผง การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตขนาดย่อมเชิงสาธิต (Pilot Plant) โดยมีประมาณการผลิตที่ 150 kW เป็นแนวทางการผลิตเต็มรูปแบบในเชิงพาณิชย์ และเผยแพร่สู่สาธารณชนต่อไปในอนาคต
การดำเนินงานของโครงการดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมานั้น มีความล่าช้าและไม่เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ แต่ สวทช. ได้ดำเนินการปรับแผนการดำเนินงานของโครงการดังกล่าวให้สอดคล้องกับสถานภาพของโครงการ ในปัจจุบันแล้ว โดยในปัจจุบันนี้ สวทช. ได้ทำการทดลองผลิตเซลล์ชนิดอะมอร์ฟัสซิลิกอน และสามารถพัฒนาประสิทธิภาพของเซลล์ได้ที่ระดับ 7.3 % และ สวทช. คาดว่าจะสามารถพัฒนาได้ถึง 10% โดย สวทช. ได้ใช้จ่ายเงินลงทุนไปในโครงการนี้ไปแล้วทั้งสิ้น 148 ล้านบาท ประกอบด้วยงบประมาณจาก สวทช. 58 ล้านบาท และงบสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นค่าครุภัณฑ์และวัสดุประกอบการผลิตเซลล์ 90 ล้านบาท
เนื่องจาก สวทช. ประสบปัญหาที่ไม่ได้รับจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ เพื่อนำมาสมทบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนงานที่ได้เคยเสนอไว้กับกองทุนฯ ทำให้ สวทช. ไม่สามารถจัดซื้อวัสดุที่จำเป็นเพื่อนำมาวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ได้ทั้งหมด สวทช. จึงได้มีหนังสือที่ วว 5201/2619 ลงวันที่ 2 ตุลาคม 2544 เพื่อขอปรับแผนการดำเนินงานโดย สวทช. จะขอทำการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์แล้วจะร่วมมือกับ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) และกรมโยธาธิการ ในการนำไปติดตั้งทดสอบการใช้งาน โดยในการปรับแผนงานครั้งนี้ สวทช. ขอเงินสนับสนุนเพิ่มเติมจากกองทุนฯ เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 29,587,500 บาท (ยี่สิบเก้าล้านห้าแสน แปดหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ สวทช. พพ. และ กรมโยธาธิการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมร่วมกับผู้แทนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่เกี่ยวข้องในด้านเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2544 ณ อาคารสำนักงาน สพช. เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องแนวทางการดำเนินโครงการดังกล่าว โดยสรุปความเห็นของที่ประชุมได้ดังนี้
1. ที่ประชุมมีความเห็นสอดคล้องกันว่า แม้นว่าเซลล์แสงอาทิตย์ที่ สวทช. เลือกผลิตนั้น เป็นเซลล์ชนิดอะมอร์ฟัสซิลิกอน ซึ่งมีเทคโนโลยีแบบฟิล์มบางแบบอื่นที่น่าสนใจมากกว่า เช่น Copper Indium Diselenide (CIS) และมีแนวโน้มจะมีประสิทธิภาพดีกว่าเทคโนโลยีที่ สวทช. พัฒนาอยู่ก็ตาม แต่การที่กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุน สวทช. เพื่อพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ตามเทคโนโลยีที่ สวทช. เลือกใช้ นั้น ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นของการสร้างภูมิความรู้ในการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ในประเทศไทย โดย สวทช. สามารถ ออกแบบสภาพเครื่องจักรและดำเนินการประกอบเครื่องจักรได้เอง นอกจากนี้โครงการนี้ยังเป็นการเตรียมความพร้อมของบุคลากรด้านเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อรองรับงานวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ในอนาคตอีกด้วย
2. ที่ประชุมได้มีความเห็นเพื่อให้ สวทช. นำไปปรับปรุงรายละเอียดของแนวทางและวิธีการดำเนินงานศึกษาวิจัยให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ ก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา ดังนี้
(1) กองทุนฯ ควรให้การสนับสนุนโครงการวิจัยนี้ โดยสนับสนุนเพียงเฉพาะในส่วนของค่าวัสดุในการวิจัยและพัฒนา และ สวทช. ควรพยายามเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่มีในประเทศไทยก่อน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและเวลาที่ต้องใช้ไปในการนำเข้าวัสดุอุปกรณ์จากต่างประเทศ
(2) นักวิจัยที่เป็นพนักงานของ สวทช. และได้รับผลตอบแทนจาก สวทช. อยู่แล้ว ไม่ควรได้รับค่าตอบแทนจากโครงการนี้เพิ่มเติม แต่ในส่วนของลูกจ้างชั่วคราวมีสัญญาเป็นรายปีซึ่งมีหน้าที่ดูแลการทำงานของเครื่องจักรและกระบวนการผลิต ประกอบกับ สวทช. มีพนักงานเพียง 2 คน เท่านั้น ไม่เพียงพอที่จะดำเนินโครงการฯ ได้ ดังนั้น ที่ประชุมเห็นควรให้มีการว่าจ้างลูกจ้างชั่วคราวได้
(3) ควรสนับสนุนให้มีการนำเซลล์ที่ สวทช. ผลิตได้ไปติดตั้งทดสอบการใช้งาน แม้ว่าจะไม่ได้มีการทดสอบอายุการใช้งานอย่างแน่ชัด เพื่อจะได้มีการเก็บข้อมูลและวัดประสิทธิภาพเพื่อนำไปสู่การวิจัยและพัฒนาประสิทธิภาพให้สูงขึ้นต่อไปในอนาคต แต่อย่างไรก็ตาม สวทช. ต้องมีแผนงานการดำเนินงาน ในแต่ละขั้นตอนที่ชัดเจน และในขั้นต้นนี้ก่อนที่ สวทช. จะนำเซลล์ที่ผลิตได้ส่งมอบให้ พพ. และกรมโยธาธิการ นำไปใช้งานนั้น สวทช. ต้องมีการทดสอบเซลล์แสงอาทิตย์นั้นให้เป็นไปตามข้อกำหนดมาตรฐานเซลล์แสงอาทิตย์ของประเทศไทย ที่กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุน สวทช. เป็นผู้รวบรวมและจัดทำข้อกำหนดมาตรฐานดังกล่าวไว้แล้วด้วย
(4) สวทช. ควรร่วมกับหน่วยงานต่างๆ นำเซลล์ที่ผลิตได้ในโครงการฯ ไปใช้ โดยในขั้นแรกอาจร่วมงานกับ พพ. และ กรมโยธาธิการ ก่อนได้ โดยทางหน่วยงานที่ทำการติดตั้งจะต้องบันทึกและประเมินผลเซลล์แสงอาทิตย์ของโครงการฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นข้อมูลในการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ของโครงการฯ ต่อไป
(5) สวทช. ควรปรับปรุงรายละเอียดของโครงการฯ ที่เสนอมาให้มีความชัดเจน ทั้งในด้านแผนงาน ขั้นตอน กิจกรรม กำหนดเวลาและเงื่อนไขต่างๆ ในการดำเนินงานวิจัย การผลิตต้นแบบแผงเซลล์แสงอาทิตย์ การติดตั้งสาธิต ดัชนีชี้วัดความสำเร็จของโครงการฯ วิธีการตรวจวัด วิธีการประเมินผล โครงสร้างการบริหาร แนวทางการบริหาร การประสานงานและการควบคุมงบประมาณ ระหว่าง สวทช. และหน่วยงานที่จะดำเนินการติดตั้งทดสอบ โดย สวทช. ควรกำหนดแผนที่มีความรอบคอบและรัดกุมในทุกๆ ด้าน และมีรายละเอียดที่ชัดเจนมากกว่าที่เสนอมา
ฝ่ายเลขานุการฯ จะประสานงานกับ สวทช. เพื่อปรับปรุงรายละเอียดของแผนงานโครงการฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของที่ประชุมดังกล่าว และจะได้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ได้จัดสรรเงินจากกองทุนฯ ให้การสนับสนุนโครงการต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2542 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2544 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5,278.90 ล้านบาท
การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระหว่างปีงบประมาณ 2538 - 2544 ได้มีการใช้เงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปแล้วรวมทั้งสิ้น 11,531.40 ล้านบาท ซึ่งผลที่ได้รับนั้น เฉพาะในส่วนงานโครงการอาคารของรัฐ และโครงการต่างๆ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ ซึ่งคาดว่าจะลดการใช้พลังงานลงได้ คิดเป็นเงินประมาณ 812.93 ล้านบาท/ปี และชะลอการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าได้ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,844.5 ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงประโยชน์ที่ได้รับในส่วนที่ไม่สามารถประเมินศักยภาพการอนุรักษ์พลังงานและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เป็นจำนวนเงินได้ เช่น การสร้างเสริมประสบการณ์และให้ความรู้แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องให้มีความพร้อมและชำนาญการทางเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น การปลูกจิตสำนึกให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
นอกจากนี้ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าผลการประเมินการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 1 ปีงบประมาณ 2538-2542 ได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนการจะจัดสัมมนาเพื่อระดมความคิดเห็นก่อนที่จะนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบต่อไป
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 โครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่ สพช. ได้รับมอบหมายให้ทำการรณรงค์ ให้ประชาชนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน และมีความเห็นว่ามาตรการปิดถนนบางส่วน ในบางช่วงเวลาในเขตกรุงเทพมหานครเป็นมาตรการที่สามารถลดการใช้พลังงานลงได้ และ สพช. ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญ และผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อหารือและพิจารณาถึงความเป็นไปได้และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากมีการปิดถนนบางส่วนในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งที่ประชุมเห็นควรให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) จัดทำแผนการดำเนินงานและให้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการ เพื่อทำหน้าที่ในการพิจารณารายละเอียดการดำเนินงานของโครงการและกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปอย่างรัดกุมและคุ้มค่ากับงบประมาณในการดำเนินการโครงการ
มจธ. ได้ยื่นข้อเสนอโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อ ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 37,156,820 บาท ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำข้อเสนอโครงการดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 14/2544 (ครั้งที่ 88) ที่ประชุมได้พิจารณาในรายละเอียดของโครงการแล้วเห็นว่าควรปรับกิจกรรมการประชาสัมพันธ์ให้เหมาะสมเนื่องจากลักษณะของพื้นที่สามารถทำการโฆษณาในรูปแบบของการบอกต่อได้ และสำหรับกิจกรรมที่จะมีตลอดแนวพื้นที่ปิดถนนนั้น ควรจะสนับสนุนเรื่องการประหยัดพลังงานด้วย เช่น มีการขายของที่ประหยัดพลังงานหรือขายอาหารที่เน้นการบริโภคแบบประหยัดพลังงาน ทั้งนี้ เพื่อให้ได้รับประโยชน์ที่วัดผลได้ทั้งในด้านพลังงานและลดมลพิษ โดยคาดว่าจะได้รับความร่วมมือจากภาคธุรกิจในพื้นที่เป็นอย่างดี และเห็นว่าโครงการดังกล่าว เป็นโครงการที่ทำให้ประชาชนทั่วไปเห็นความสำคัญในการลดการใช้ยานพาหนะส่วนบุคคล โดยหันมาเดินทางโดยใช้ระบบขนส่งสาธารณะ จักรยานและการเดินทางด้วยเท้า เพื่อประหยัดน้ำมันและลดมลพิษในท้องถนน จึงมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ เห็นควรให้ มจธ. ปรับลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเป็น 10% โดยไม่เห็นควรสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทัศนศึกษา จึงทำให้ งบประมาณในการดำเนินงานโครงการลดลง เป็นภายในวงเงิน 33,073,000 บาท และให้นำเสนอ คณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป ซึ่ง มจธ. ได้ปรับปรุงข้อเสนอโครงการตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ แล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติกรอบไว้แล้วสำหรับแผนงานสนับสนุน ในส่วนของงบประมาณปี 2545 ให้กับ มจธ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษและส่งเสริมการท่องเที่ยว ในวงเงิน 33,073,000 บาท โดยให้ มจธ. ทำรายละเอียดการดำเนินงานเสนอคณะอนุกรรมการอำนวยการโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุม ครั้งที่ 4/2542 (ครั้งที่ 70) เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานและแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และมอบหมายให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับแผนงานและโครงการ ในปีงบประมาณ 2543-2547 ซึ่งมีวงเงินรวม 29,110.61 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ และการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้ให้สอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลำดับความสำคัญ ตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ ด้วย โดยโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ได้รับจัดสรรงบประมาณ ในวงเงิน 13,542 ล้านบาท
จากผลการดำเนินโครงการฯ ของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ที่ผ่านมามีปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่ทำให้การดำเนินงานอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุมและโรงงานควบคุมไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยในช่วงที่ผ่านมานั้น พพ. ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ ไปบ้างแล้วบางส่วน ดังนี้
1. ว่าจ้างสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อให้ศึกษาถึงแนวทางปรับปรุงและแก้ไขกฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ระเบียบการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ และขั้นตอนต่างๆ เพื่อเอื้อให้การดำเนินงานของ พพ. มีความคล่องตัวมากขึ้น และได้มีการจัดประชุมเพื่อรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปแล้วหลายครั้ง คาดว่าผลการศึกษาจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกันยายนนี้
2. ปรับปรุงขั้นตอนและแยกสิทธิในการขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ออกจากการดำเนินงานอนุรักษ์พลังงานตาม พ.ร.บ.ฯ ให้ชัดเจน ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ ให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาในครั้งนี้ด้วย
3. ว่าจ้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาเป็นที่ปรึกษาเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนงานภาคบังคับ
พพ. ได้ดำเนินการปรับแผนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ปีงบประมาณ 2545-2547 เพื่อให้สอดคล้องในทางปฏิบัติและสามารถบรรลุตามเป้าหมายของโครงการที่ตั้งไว้ในแต่ละปี โดย พพ. ได้นำแผนดังกล่าว เสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 21) เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2544 ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป โดยการปรับแผนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ปีงบประมาณ 2545-2547 สรุปได้ดังนี้
1. แผนการดำเนินงานที่ปรับปรุงใหม่ในส่วนของอาคารควบคุม ปีงบประมาณ 2545-2547
การดำเนินการตาม พ.ร.บ.ฯ | ปี 2545 | ปี 2546 | ปี 2547 | รวม 2545-2547 | ||||
แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | |
(1). การตรวจสอบฯ เบื้องต้น | 160 | 43.0 | 50 | 17.0 | 50 | 17.0 | 260 | 77.0 |
- เอกชน | 115 | 11.5 | 30 | 3.0 | 30 | 3.0 | 175 | 17.5 |
- ราชการ | 45 | 31.5 | 20 | 14.0 | 20 | 14.0 | 85 | 59.5 |
(2). การจัดทำเป้าหมายและแผนฯ | 220 | 258.2 | 200 | 230.0 | 72 | 58.4 | 490 | 546.6 |
- เอกชน | 106 | 53.0 | 100 | 50.0 | 52 | 26.0 | 258 | 129.0 |
- ราชการ | 114 | 205.2 | 100 | 180.0 | 18 | 32.4 | 232 | 417.6 |
(3) การลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงาน | 60 | 770.0 | 150 | 1,990.0 | 150 | 1,990.0 | 360 | 4,750.0 |
- เอกชน | 10 | 20.0 | 20 | 40.0 | 20 | 40 | 50 | 100.0 |
- ราชการ | 50 | 750.0 | 130 | 1,950.0 | 130 | 1,950.0 | 310 | 4,650.0 |
(4). การบริหารและสนับสนุนโครงการ | - | 155.0 | - | 205.0 | - | 135.0 | - | 495.0 |
รวม | - | 1,226.2 | - | 2,442.0 | - | 2,200.4 | - | 5,868.6 |
2. แผนการดำเนินงานที่ปรับปรุงใหม่ในส่วนของโรงงานควบคุม ปีงบประมาณ 2545-2547
การดำเนินการตาม พ.ร.บ.ฯ | ปี 2545 | ปี 2546 | ปี 2547 | รวม 2545-2547 | ||||
แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | |
(1) การตรวจสอบฯ เบื้องต้น | 400 | 40 | 230 | 23 | 50 | 5 | 680 | 68 |
(2) การจัดทำเป้าหมายและแผนฯ | 152 | 76 | 150 | 75 | 200 | 100 | 502 | 251 |
(3) การลงทุนตามแผนฯ | 25 | 150 | 75 | 450 | 80 | 480 | 180 | 1,080 |
(4) การบริหารและสนับสนุนโครงการ | - | 1,185 | - | 1,095 | - | 115 | - | 2,395 |
รวม | - | 1,451 | - | 1,643 | - | 700 | - | 3,794 |
โดยมีกลยุทธ์ในการดำเนินการตามแผนที่ปรับปรุงใหม่ มีดังนี้
(1) ส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับว่าประหยัดพลังงานได้จริงและคุ้มค่าต่อการลงทุน (Standard Measure)
(2) ศึกษาการจัดตั้งกองทุนหมุนเวียนให้เป็นแหล่งเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ
(3) ส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจประเภทบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO)
(4) เร่งรัดโครงการอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นกรณีพิเศษ (Fast Track) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
(5) ให้มีการนำมาตรฐานการอนุรักษ์พลังงานไปใช้ในการออกแบบก่อสร้างอาคารของภาครัฐ
(6) ส่งเสริมการสาธิตโรงงานต้นแบบด้านอนุรักษ์พลังงานในอุตสาหกรรมแต่ละประเภท (Best Practice)
(7) เร่งรัดให้มีการใช้มาตรการลงโทษตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ฯ ตลอดจนให้มีการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้ไฟฟ้า
(8) สนับสนุนให้มีการประชาสัมพันธ์ในเชิงรุกอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อกระตุ้นให้อาคารและโรงงานควบคุมดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน
(9) ปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ ให้มีความเหมาะสมและจูงใจมากขึ้น
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ พพ. ปรับแผนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ในปีงบประมาณ 2545-2547 ได้ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ เสนอมา
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า การดำเนินงานตามวิธีการและขั้นตอนในการให้การสนับสนุนโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ที่ผ่านมาก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ พพ. จึงได้ดำเนินการปรับปรุงวิธีการและขั้นตอนในการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อให้มีการแยกหน้าที่ที่เจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และสิทธิที่จะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ออกจากกันอย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในทางปฏิบัติและสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่กำหนดไว้ โดย พพ. ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับพิจารณาในการประชุมครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 20) เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2544 ดังนี้
1. ปรับปรุงวิธีการและขั้นตอนในการให้การสนับสนุน สำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน แผนงานภาคบังคับ โดยกำหนดให้เจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม สามารถดำเนินการตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ได้แก่ การส่งรายงานผลการศึกษาการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียดและการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ให้ พพ. ได้ก่อน แล้วจึงขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในภายหลังภายในระยะเวลาที่กำหนด
2. ในการดำเนินการตามข้อ 1. จะต้องนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อขอยกเว้นการใช้เอกสารแบบคำขอรับการสนับสนุนและหนังสือยืนยันการขอรับการสนับสนุน ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 ข้อ 11 และข้อ 16 และฉบับที่ 2 พ.ศ. 2539 ข้อ 4
3. ขอให้ใช้แผนการใช้จ่ายเงินประจำแต่ละงวดของปี ในการเบิกจ่ายเงินจากกรมบัญชีกลางแทนมติการอนุมัติแบบคำขอรับการสนับสนุนตามวิธีปฏิบัติเดิม เพื่อให้มีความคล่องตัวมากขึ้น
4. ขอยกเลิกการจ่ายเงินสนับสนุนสำหรับการตรวจสอบและวิเคราะห์การใชัพลังงานเบื้องต้น การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียดและการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานจากเดิม ที่ให้แบ่งจ่ายเป็น 2 งวด ให้เป็นการจ่ายเงินเพียงงวดเดียว
5. ในกรณีที่เจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมได้ยื่นแบบคำขอรับการสนับสนุนไว้ก่อนที่คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติอนุมัติให้ดำเนินการตามวิธีการและขั้นตอนใหม่แล้ว ก็ให้ดำเนินการต่อไปตามระเบียบและขั้นตอนเดิมจนกว่าการดำเนินการจะแล้วเสร็จ หรือจะดำเนินการตามวิธีการและขั้นตอนใหม่ก็ได้
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว มีมติเห็นชอบตามที่ พพ. เสนอและให้ พพ. นำเสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาอนุมัติต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. ปรับปรุงวิธีการและขั้นตอนในการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ในช่วงปีงบประมาณ 2545-2547 ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้มีมติเห็นชอบ
2. เห็นชอบให้ พพ. ยกเว้นการใช้เอกสารแบบคำขอรับการสนับสนุนและหนังสือยืนยันการขอรับการสนับสนุน สำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 ข้อ 11 และข้อ 16 และฉบับที่ 2 พ.ศ. 2539 ข้อ 4
3. เห็นชอบให้ พพ. ใช้แผนการใช้จ่ายเงินประจำแต่ละงวดของปี ในการเบิกจ่ายเงินจากกรมบัญชีกลางแทนมติการอนุมัติแบบคำขอรับการสนับสนุนตามวิธีปฏิบัติเดิม
4. เห็นชอบให้ พพ. ยกเลิกการจ่ายเงินสนับสนุนสำหรับการตรวจสอบและวิเคราะห์การใชัพลังงานเบื้องต้น การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียดและการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน จากเดิมที่ให้แบ่งจ่ายเป็น 2 งวด ให้เป็นการจ่ายเงินเพียงงวดเดียว
5. ในกรณีที่เจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมได้ยื่นแบบคำขอรับการสนับสนุนไว้ก่อนที่คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติอนุมัติให้ดำเนินการตามวิธีการและขั้นตอนใหม่แล้ว ก็ให้ดำเนินการต่อไปตามระเบียบและขั้นตอนเดิมจนกว่าการดำเนินการจะแล้วเสร็จ หรือจะดำเนินการตามวิธีการและขั้นตอนใหม่ก็ได้
เรื่องที่ 6 โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (The Industrial Finance Corporation of Thailand : IFCT) ได้นำเสนอโครงการกองทุนหมุนเวียนอนุรักษ์พลังงาน โดยจะเข้ามารับบริหารเงินกองทุนหมุนเวียนเพื่ออนุรักษ์พลังงาน จำนวน 4,000 ล้านบาท เพื่อให้โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมนำไปใช้ในโครงการอนุรักษ์พลังงานและจ่ายคืนกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามระยะเวลาที่กำหนด โดยมีหลักการดังต่อไปนี้
1. IFCT เป็นผู้พิจารณาและอนุมัติเงินกู้ตามกรอบ/หลักเกณฑ์ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ
2. IFCT เป็นผู้ประกันความเสี่ยงเงินกู้ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3. IFCT คิดค่าบริหารเป็นจำนวน ร้อยละ 4 โดยเก็บจากผู้กู้ในลักษณะดอกเบี้ย และมีอายุเงินกู้ไม่เกิน 7 ปี
4. IFCT จะขอเบิกเงินเป็นงวดๆ โดยเริ่มจากงวดแรก 500 ล้านบาท และจะขอเบิกงวด ต่อไป หลังจากที่ได้มีการจัดสรรเงินกู้ไปแล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 เพื่อมาสมทบ
5. IFCT จะส่งคืนดอกเบี้ยเงินฝากคืนกองทุนฯ เฉพาะในส่วนของเงินที่ยังมิได้จัดสรรให้ เจ้าของโรงงานและอาคารไปใช้ และในส่วนของเงินที่เก็บคืนมาแล้วจากผู้กู้
6. โครงการที่มีสิทธิ์ได้รับการสนับสนุน ต้องเป็นโครงการอนุรักษ์พลังงานที่มีวงเงินไม่เกิน 300 ล้านบาท หากเกินวงเงินดังกล่าว IFCT ต้องขออนุมัติจากคณะอนุกรรมการฯ ก่อน
พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าว เสนอต่อ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 20) เมื่อวันพุธที่ 5 กันยายน 2544 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว เห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาอนุมัติให้จัดตั้งโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน เพื่อเป็นเงินหมุนเวียนให้โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมนำไปใช้ในการอนุรักษ์พลังงาน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยใช้เงินโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท (สองพันล้านบาทถ้วน) ระยะเวลา 3 ปี โดยที่ประชุมมีข้อสังเกต ดังนี้
1. การตั้งโครงการกองทุนหมุนเวียน ไม่น่าจะสามารถดำเนินการได้ ตามมาตรา 24 ของ พรบ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ดังนั้น จึงสมควรให้เปลี่ยนชื่อโครงการเป็น "โครงการเงินหมุนเวียน"
2. โครงการฯ ดังกล่าวนี้เป็นโครงการที่ดีสมควรจะดำเนินการ แต่เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานมากขึ้น จึงควรให้สถาบันการเงินต่างๆ มีโอกาสเข้ามาแข่งขันเพื่อบริหารโครงการมากขึ้น โดยให้ พพ. เชิญสถาบันการเงินอื่นๆ นอกเหนือจาก IFCT อย่างเป็นทางการเพื่อยื่นข้อเสนอโครงการฯ ตามแนวทางของ IFCT และให้ พพ. พิจารณาคัดเลือกสถาบันที่มีข้อเสนอโครงการฯ ดีที่สุดเป็นผู้บริหารโครงการ
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ พพ. ให้จัดตั้ง "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน" ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับเสนอมา โดยให้ พพ. จัดทำประกาศเชิญชวนให้สถาบันการเงินต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อยื่นข้อเสนอโครงการฯ ตามแนวทางและขั้นตอนในการดำเนินงานตามที่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ร่างแนวทางไว้ และให้ พพ. พิจารณาคัดเลือกสถาบันการเงินที่มีข้อเสนอโครงการฯ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ พพ. เสนอซึ่งอาจจะมากว่า 1 แห่งมาเป็นตัวแทนในการปล่อยเงินกู้ เรียกเก็บ และประกันเงินกู้ โดย พพ. ต้องปรับปรุงร่างแนวทางดังกล่าว ให้มีความชัดเจน มีการควบคุมการใช้จ่ายเงินอย่างรอบครอบและรัดกุม เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ
2. อนุมัติให้ พพ. ใช้เงินจากโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท (สองพันล้านบาทถ้วน) เพื่อให้สถาบันการเงินที่ผ่านการคัดเลือก นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมนำไปใช้ในการอนุรักษ์พลังงาน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยสถาบันการเงินจะต้องปล่อยเงินกู้ ภายในระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติโครงการฯ
อนุ กอ. ครั้งที่ 3 - วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2549
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2549 (ครั้งที่ 3)
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิติพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. เห็นชอบผลการดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3 ปีที่ 2 และพิจารณาแผนงานโครงการฯ ปีที่ 3
2. เห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ปีที่ 1 และพิจารณาแผนงานโครงการฯ ปีที่ 2
3. พิจารณาการลงทุนอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมของ 3 หน่วยงาน
4. เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) อนุกรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เรียนให้ที่ประชุมทราบว่า ตาม พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 หมวด 4 มาตรา 27 ที่ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกิน 7 คน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ร่วมเป็นเป็นกรรมการ ให้มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละ 3 ปี เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ และด้วยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ รวม 7 ท่าน ได้หมดวาระลง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้จัดทำรายชื่อกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดใหม่เสนอรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ ปรีดิยาธร เทวกุล) ประธานกรรมการกองทุนฯ พิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 โดยมีมติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนฯ เรียบร้อยแล้ว ตามรายนามดังต่อไปนี้
(1) นายปิยะวัติ บุญ-หลง
(2) นายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์
(3) นายกฤษณพงศ์ กีรติกร
(4) นายอรรจน์ เศรษฐบุตร
(5) นายยอดเยี่ยม เทพธรานนท์
(6) คุณพรทิพย์ จาละ
(7) นายพรายพล คุ้มทรัพย์
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีหนังสือแจ้งให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทราบแล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบถึงความก้าวหน้าของผลการดำเนินงานของ "โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3" ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2544 (ครั้งที่ 25) เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2444 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ในวงเงินรวม 853,079,794 บาท มีเป้าหมายดำเนินงานภายในเวลาระยะเวลา 8 ปี (มิถุนายน 2545 ถึงธันวาคม 2553) จะติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพให้สามารถรองรับของเสียจากสุกรขุนได้ 2 ล้านตัว หรือคิดเป็น 70-80% ของปริมาณสุกรที่เลี้ยงอยู่ในฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลงานแต่ละปี ให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ทราบและเห็นชอบก่อนเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ในส่วนบริหารโครงการฯ ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในปีถัดไป
2. คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 7/2547 (ครั้งที่ 14) เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2547 ได้รับทราบผลงานปีที่ 1 และเห็นชอบให้ สนพ.เบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปีที่ 2 ในวงเงิน 43,718,818 บาท ซึ่งบัดนี้ มช. ได้การดำเนินงานตามแผนงานปีที่ 2 ครบเรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยคณะกรรมการกองทุนฯ ได้ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ และคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปแล้ว โดย ณ ปัจจุบัน ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน คณะนี้ไว้เพื่อพิจารณากลั่นกรองงาน ในการนี้ฝ่ายเลขานุการฯ จึงนำผลการดำเนินงานของโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3 ปีที่ 2 ที่ดำเนินการมาตั้งแต่มิถุนายน 2545 ถึงธันวาคม 2548 มารายงานดังต่อไปนี้
2.1 ผลการดำเนินโครงการฯ ปีที่ 2
ส่วนที่ 1: ฟาร์มขนาดใหญ่ เป้าหมายรวมของโครงการฯ คือ 130,000 ลบ.ม โดยกองทุนฯ สนับสนุนในอัตรา 1,128 บาท/ลบ.ม. (ร้อยละ 18ของราคาระบบ) ผลการดำเนินงาน 43 เดือน มีฟาร์มเข้าร่วมโครงการฯ รวม 24 ฟาร์ม คิดเป็นปริมาตรระบบรวม 82,700 ลบ.ม คาดว่าจะผลิตก๊าซชีวภาพได้ 66,160 ลบ.ม. สามารถนำไปผลิตไฟฟ้าได้ 15 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นเงิน 37 ล้านบาทต่อปี
ส่วนที่ 2: ฟาร์มขนาดกลาง เป้าหมายรวมของโครงการฯ คือ 150,000 ลบ.ม โดยกองทุนฯ สนับสนุนในอัตรา 965 บาท/ลบ.ม. (ร้อยละ 18 ของราคาระบบ) ผลการดำเนินงาน 25 มีฟาร์มเข้าร่วมโครงการฯ รวม 46 ฟาร์ม คิดเป็นปริมาตรระบบรวม 36,500 ลบ.ม คาดว่าจะผลิตก๊าซชีวภาพได้ 29,200 ลบ.ม. สามารถนำไปผลิตไฟฟ้าได้ 5.8 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นเงิน 14.6 ล้านบาทต่อปี
ส่วนที่ 3: งานวัยพัฒนา ได้พัฒนาถังหมัก H-UASB รูปแบบใหม่ เพื่อให้ได้แบบวิศวกรรมที่ง่ายต่อการก่อสร้าง, ราคาลดลง, และมีประสิทธิภาพสูง ผู้ปฏิบัติงานมีความสะดวก และมีความเข้าใจในแบบที่ถูกต้องตรงกัน โดยคาดว่าจะลดภาระค่าก่อสร้างระบบก๊าซชีวภาพได้ถึงร้อยละ 42 ที่ประสิทธิภาพการย่อยสลายสารอินทรีย์คงเดิม และได้มีการพัฒนาเพื่อนำก๊าซชีวภาพไปใช้ประโยชน์ ปรับปรุงคาร์บูเรเตอร์สำหรับเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้ก๊าซชีวภาพ งานวิจัยโครงการพัฒนาเครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงคู่ (ก๊าซชีวภาพ/น้ำมันดีเซล) การสาธิตการใช้ประโยชน์จากความร้อนร่วมของการใช้ก๊าซชีวภาพ ใช้ก๊าซชีวภาพสำหรับรถจักรยานยนต์ รถอีแต๋น และรถยนต์ งานวิจัยการศึกษาการเผากระเบื้องเคลือบโดยใช้ก๊าซชีวภาพ งานวิจัยการปรับปรุงคุณภาพก๊าซชีวภาพ ลดก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์โดยใช้ Biofilter เป็นต้น
2.2 ผลการประเมินโครงการฯ
สนพ. ได้ว่าจ้าง บริษัท อีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด ประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ ทั้งด้านเทคโนโลยี ผลตอบแทนการลงทุน ความสามารถในการประหยัดพลังงาน หรือความสามารถในการทดแทนเชื้อเพลิงประเภทอื่น ตรวจสอบความสามารถของผู้เจ้าของโครงการฯ ความเหมาะสมในการบริหารงบประมาณและทรัพยากรของโครงการ ประเมินปัญหาอุปสรรค ประเมินผลกระทบของโครงการฯ ที่มีต่อปัจจัยอื่นๆ ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเลือกตัวแทนของฟาร์มขนาดใหญ่ ได้แก่ วีระชัยฟาร์ม ต.วังมะนาว จ.ราชบุรี และปากช่องฟาร์ม อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ตัวแทนของฟาร์มขนาดกลาง ได้แก่ ฟาร์มไทยรุ่งโรจน์ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี, จักกริชฟาร์ม อ.บ้างบึง จ.ชลบุรี และฟาร์มเรืองศิริ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น โดยมีผลสรุปว่า มช. ได้ดำเนินงานครบถ้วนตามแผนงานที่เสนอแล้ว พร้อมทั้งมีการประชาสัมพันธ์โครงการอย่างต่อเนื่อง สำหรับปัญหาอุปสรรคในช่วงที่ผ่านมา มช. ได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้ว ดังนี้
(1) การขอปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีในฟาร์มขนาดกลางในช่วงแรก ทำให้งานล่าช้าไป 18 เดือน
(2) จำนวนฟาร์มที่เข้าร่วมโครงการฯ เริ่มแรกมี 232 ฟาร์ม คิดเป็น 183,350 ลบ.ม. เมื่อเวลาผ่านไปด้วยปัญหาต่างๆ เช่น ฟาร์มมีพื้นที่ไม่เพียงพอ ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก ไม่พร้อมด้านการเงิน ฯลฯ จึงทำให้เหลือฟาร์มเข้าร่วมโครงการฯ 46 ฟาร์ม คิดเป็นปริมาตรระบบรวม 36,500 ลบ.ม
(3) มีคู่แข่งเทคโนโลยี คือ ระบบบ่อหมักแบบ Anaerobic Lagoon แย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากโครงการฯ ไปค่อนข้างมาก มช. ได้พยายามประชาสัมพันธ์ถึงข้อดีและข้อเสียของทั้งสองระบบฯ เปรียบเทียบกัน เพื่อให้ฟาร์มได้รับความรู้ความเข้าใจมากขึ้น
(4) เกิดความล่าช้าในการก่อสร้างและติดตั้งระบบฯ ซึ่งมีเหตุจากเจ้าของฟาร์มส่วนใหญ่จะดำเนินการก่อสร้างเอง ทำให้ มช. ไม่สามารถเร่งงานก่อสร้างให้เป็นไปตามกำหนดได้
3. แผนการดำเนินงานระยะที่ 3 ปีที่ 3
3.1 ฟาร์มขนาดใหญ่ : ติดตามประเมินผลการทำงานของระบบที่ได้ก่อสร้างในรุ่นที่ 3 และรุ่นที่ 4 งานก่อสร้างและติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพ รุ่นที่ 4 แล้วเสร็จและสามารถเดินระบบได้ ปริมาตรของระบบก๊าซชีวภาพรวมไม่น้อยกว่า 90,000 ลบ.ม. และงานก่อสร้างและติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพ รุ่นที่ 5 ปริมาตรรวม 40,000 ลบ.ม.
3.2 ฟาร์มขนาดกลาง : ก่อสร้างและติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพ รุ่นที่ 3 ปริมาตรรวม 30,000 ลบ.ม. แล้วเสร็จ และสามารถเดินระบบได้ ปริมาตรของระบบก๊าซชีวภาพรวมไม่น้อยกว่า 55,000 ลบ.ม. และเริ่มงานก่อสร้างและติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพ รุ่นที่ 4 ปริมาตรรวม 30,000 ลบ.ม.
3.3 การพัฒนาศูนย์เทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ : สร้างอาคารปฏิบัติการเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ และจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์วิทยาศาสตร์บางส่วน ที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์งานวิจัยและพัฒนาทางด้านการหมักย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจน รวมถึงการใช้ประโยชน์จากก๊าซชีวภาพ
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอความเห็นต่อที่ประชุมว่า ผลงานของ มช. ในปีที่ 2 อาจล่าช้ากว่าแผนงานที่เสนอไว้บ้าง แต่อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ด้วยเหตุเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น ผู้ร่วมโครงการฯ ขอเลื่อนกำหนดการก่อสร้างระบบ ทั้งเพราะขาดสภาพคล่องของเงินทุน ขาดแรงงาน ปัญหาเรื่องฤดูกาล เป็นต้น ซึ่งมิได้เกิดจากเจตนาของ มช. ที่จะไม่ดำเนินงานให้เป็นไปตามแผน ซึ่งผลงาน ณ เดือนตุลาคม 2549 มช. ได้มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ฟาร์มใหญ่ครบตามเป้าหมายแล้ว และได้ร่วมมือกับ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ เบทาโกรฟาร์ม เพื่อลดข้อจำกัดผู้เข้าร่วมโครงการฯ ฟาร์มขนาดกลาง ที่ไม่มีความพร้อมด้านการเงิน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้ มช. ดำเนินโครงการฯ ตามแผนฯ ในปีที่ 3 ต่อไป
มติที่ประชุม
เห็นชอบรายงานผลการดำเนินงาน "โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3" ปีที่ 2 ตามที่ มช. เสนอมา และเห็นชอบการสนับสนุนเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน "โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3" ในส่วนบริหารโครงการฯ ให้ มช. รวม 78,143,841 บาท ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 ฟาร์มขนาดใหญ่ ในวงเงิน 60,623,000 บาท และส่วนที่ 2 ฟาร์มขนาดกลาง ในวงเงิน 17,520,841 บาท
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบถึงความเป็นมาของโครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ที่คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2548 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ในวงเงินรวม 50 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (มิถุนายน 2548-มิถุนายน 2552) โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ โดยการเบิกจ่ายเงินสนับสนุนในปีที่ 2-5 จะพิจารณาอนุมัติจัดสรรปีต่อ
2. มช. ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ตามแผนงานปีที่ 1 ในวงเงิน 9,996,000 บาท ซึ่งบัดนี้ มช. ได้ดำเนินงานครบตามแผนแล้ว โดยฝ่ายเลขานุการฯ สรุปได้ดังนี้
2.1 การคัดเลือกสายพันธ์ : คัดเลือกสายพันธุ์ปาล์มน้ำมัน 3,200 ต้น จาก 4 พันธุ์ คือ พันธุ์สุราษฎร์ธานี 1 และ 2 พันธุ์เดลี่-ลาเม่ และพันธุ์เดลี่-ไนจีเรีย โดยใช้ระยะปลูก 9X9X9 เมตร และคัดเลือกสายพันธุ์สบู่ดำ 10,000 ต้น จาก 6 สายพันธุ์ มีชื่อเรียกตามแหล่งต่างๆ คือ สตูล กำแพงแสน กาญจนบุรี ปราจีนบุรี ชัยภูมิ และ ตากฟ้า ในระยะปลูก 3X3 เมตร
2.2 การปลูกปาล์มน้ำมันและสบู่ดำ
(1) ปลูก ในแปลงวิจัย จะเป็นพื้นที่ที่ควบคุมดูแลการเจริญเติบโต โดยปลูกในพื้นที่ของ มช. 2 แห่ง รวม 155 ไร่ คือ แปลงวิจัยศรีบัวบาน จ.ลำพูน 120 ไร่ ควบคุมสภาวะแวดล้อม 100% และที่แปลงวิจัยแม่เหียะ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ 35 ไร่ ควบคุมสภาวะแวดล้อม 50% ปัจจุบันปาล์มน้ำมัน อายุ 14 เดือน สามารถออกดอกเกสรตัวผู้และตัวเมียแล้ว
(2) ปลูกในแปลงสาธิต เป็นพื้นที่ปลูกตามสภาวะแวดล้อมปกติ โดยอบรมให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้ปลูกและมอบสายพันธุ์ปาล์มน้ำมันและสบู่ดำให้นำกลับไปปลูกในพื้นที่ โดยแนะนำให้ปลูกเป็นพืชแซมในไร่สับปะรด ที่รกร้างในนาข้าว ในสวนลำไย
- ปาล์มน้ำมัน มี 2 พื้นที่ คือ ศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ 270 ต้น ที่กองพันสัตว์ต่าง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 80 ต้น พื้นที่ของเกษตรกรคือ นายไพฑูรย์ หล้าโสด อ.เมือง จ.ลำพูน 90 ต้น และนายรังสรรค์ สุรินทร์ ต.น้ำดิบ อ.เมือง จ.ลำพูน 54 ต้น
- สบู่ดำ มี 3 พื้นที่ คือ บ้านร้องวัวแดง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ขนาด 20 ไร่, บ้านแม่กรณ์ อ.เมือง จ.เชียงราย 10,000 ต้น และพื้นที่ในหมู่บ้านของ นายไพฑูรย์ ล่าโสต ต.ศรีบัวบาน อ.เมือง จ.ลำพูน 10 ไร่ ซึ่งอยู่ระหว่างเริ่มดำเนินการและจัดเก็บข้อมูลการปลูก
2.3 งานด้านวิศวกรรม : พัฒนาออกแบบเครื่องสกัดน้ำมันสบู่ดำแบบสกรู ขนาด 3 กิโลกรัมต่อชั่วโมง หีบน้ำมันได้ 30% ของเมล็ดสบู่ดำ ที่อุณหภูมิ 95 องศาเซลเซียส ที่ราคา 35,000 บาทต่อเครื่อง ขณะที่ราคาในท้องตลาดประมาณ 60,000 บาทต่อเครื่อง โดยจะสร้างเครื่องสกัดและสาธิตใช้งานร่วมกับเกษตรกรหลังจากที่เก็บผลผลิตสบู่ดำได้ในปีที่ 2 ซึ่งจะได้เครื่องที่เหมาะสมจะนำไปส่งเสริมในชุมชนได้
2.4 งานด้านเศรษฐกิจ สังคม และ ICT :
การประชุมสำรวจความเห็นของประชาชนในพื้นที่รอบแปลงสาธิตจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน เกี่ยวกับการผลิตและใช้ไบโอดีเซล พบว่าส่วนมากรู้จักนโยบายของรัฐ และเห็นด้วยกับการส่งเสริมการผลิตและใช้ ตลอดจนยินดีที่จะทดลองใช้น้ำมันไบโอดีเซล แต่อยากให้ภาครัฐและบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รับรองและชี้แจงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับรถยนต์เมื่อใช้น้ำมันไบโอดีเซลด้วย ตลอดจนพัฒนาศูนย์เผยแพร่ข้อมูลการปลูกพืชน้ำมัน โดยจัดทำสื่อสารสนเทศเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชน้ำมัน ประกอบด้วย จัดทำ Website www.thaiodiesel.com และ www.thaibioenergy.com พร้อมทั้งเผยแพร่ข้อมูลความรู้การปลูกพืชน้ำมันโดยสื่อสิ่งพิมพ์เช่นนิตยสาร หนังสือพิมพ์ รายการโทรทัศน์ และรายการวิทยุ
3. ผลการประเมินโครงการฯ คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์ ในการประชุมครั้งที่ 4/2549 (ครั้งที่ 27) เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2549 ได้รับทราบผลประเมินโครงการฯ โดยด้านประสิทธิผล อยู่ในระดับ 4 คือ ดีมาก ด้านประสิทธิภาพ อยู่ในระดับ 3 คือ ดี และที่ปรึกษาประเมินผลฯ ได้มีข้อเสนอแนะดังนี้
(1) การศึกษาวิจัยการปลูกสบู่ดำ สามารถทราบผลวิจัยได้ภายใน 2 ปี เนื่องจากเป็นพืชที่ให้ผลผลิตเร็ว ภายในระยะเวลาดังกล่าวผู้ร่วมโครงการฯ ควรสรุปผลการวิจัยการปลูกสบู่ดำในเขตภาคเหนือได้
(2) การศึกษาวิจัยการปลูกปาล์มน้ำมัน จะใช้เวลาในการสรุปผลวิจัยมากกว่า 5 ปี ดังนั้นระยะเวลาของโครงการอาจไม่เพียงพอที่จะสรุปผลการวิจัยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาวิจัยการปลูกในเขตภาคเหนือ ซึ่งมีสภาพพื้นที่และสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสม
(3) การศึกษาวิจัยการปลูกสบู่ดำและปาล์มน้ำมัน ควรเพิ่มดัชนีชี้วัดการเจริญเติบโตและผลผลิตที่ชัดเจนในแต่ละปีที่ดำเนินการวิจัย
4. แผนการดำเนินงาน ปีที่ 2
4.1 งานด้านเกษตรกรรม
(1) วิจัย เก็บข้อมูล และวิเคราะห์ผลการเจริญเติบโตปาล์มและสบู่ดำต่อเนื่องจากปีที่ 1
(2) ขยายพื้นที่ปลูกปาล์มที่สถานีวิจัยศรีบัวบาน จ.ลำพูน อีก 230 ไร่ เป็นพื้นที่เพาะพันธุ์ และเน้นเป็นระบบกึ่งควบคุมจัดการน้ำและปล่อยตามฤดูกาลปกติ ซึ่งจะเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ชุมชนและเกษตรกรจะเข้ามามีส่วนร่วมในการศึกษาวิจัยมากขึ้น
4.2 งานด้านวิศวกรรม
(1) ปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องหีบน้ำมันสบู่ดำ และสาธิตใช้งานในเครื่องยนต์การเกษตร
(2) วิจัยและสร้างเครื่องผลิตไบโอดีเซลจากน้ำมันปาล์ม และน้ำมันสบู่ดำในระดับชุมชน
(3) พัฒนาระบบการใช้ประโยชน์จากกลีเซอรีน
4.3 งานด้านเศรษฐกิจ สังคมและ ICT
(1) เก็บและจัดทำข้อมูลด้านสภาพแวดล้อม การเจริญเติบโต และการให้ผลผลิตพืช ต่อเนื่องจากปีที่ 1 เพื่อทำแบบจำลอง Process-base ตลอดจนการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ และสังคม
(2) จ้ดตั้งศูนย์ให้บริการแนะนำส่งเสริมและแก้ปัญหาการปลูกพืช ปาล์มน้ำมัน และสบู่ดำในสวนครบวงจร
มติที่ประชุม
รับทราบและเห็นชอบรายงานผลการดำเนิน "โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ" ปีที่ 1 และเห็นชอบแผนดำเนินงานของโครงการฯ ในปีที่ 2 ตามที่ มช.เสนอมา และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2549 ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนงานโครงการฯ ดังกล่าว ในวงเงินรวม 8,346,000 บาท
เรื่องที่ 3 พิจารณาการลงทุนอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมของ 3 หน่วยงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2547 (ครั้งที่ 39) เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 มีมติให้ยกเลิกการสนับสนุนฯ ในส่วนเงินผูกพันภายใต้แผนงานภาคบังคับที่เป็นเงินลงทุนกับหน่วยงานภาครัฐที่ยังไม่ได้มีการลงทุน และคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 1) เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2548 มีมติให้ระงับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานแก่เจ้าของอาคารควบคุมในกรณีที่ยังไม่ดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2548 เป็นต้นไป พพ. ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบการดำเนินงานภายใต้แผนงานภาคบังคับ ที่จะสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ให้แก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จึงได้เร่งออกหนังสือแจ้งเตือนไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่ พพ. ได้แจ้งยืนยันไปแล้วว่าจะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ขอให้หน่วยงานนั้นๆ เร่งดำเนินการจัดหาผู้รับจ้างพร้อมส่งคู่สัญญาจ้างให้ พพ. ตามระยะเวลาที่ระบุในหนังสือแจ้งยืนยันการขอรับการสนับสนุน
2. มีหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติการสนับสนุนการลงทุนอนุรักษ์พลังงานจาก พพ. แล้ว แต่ยังไม่สามารถเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ ให้กับผู้รับจ้างได้ เนื่องจาก
2.1 กรณีจังหวัดกระบี่ : พพ. ได้แจ้งให้จังหวัดกระบี่ ทราบการสนับสนุนการลงทุนอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารโรงพยาบาลกระบี่ ในวงเงิน 2,256,294 บาท โดยจังหวัดกระบี่ได้ว่าจ้าง บริษัท เค แอนด์ พี ซินเซียริตี้ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เป็นผู้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานอาคารโรงพยาบาลกระบี่ ในวงเงิน 2,248,331 บาท ตามสัญญาเลขที่ 69/2548 ลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2548 แต่ พพ. ไม่ได้รับคู่สัญญาจ้าง จึงได้แจ้งยกเลิกการสนับสนุนฯ ซึ่งเมื่อจังหวัดกระบี่ได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและพบว่า มีการผิดพลาดในการจัดส่งสำเนาสัญญาจ้างให้ พพ. เพราะเจ้าหน้าที่ของจังหวัดได้จัดส่งเรื่องดังกล่าวไปผิดที่ โดยส่งไปที่ สำนักงานโครงการส่งเสริมอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงสาธารณสุข
2.2 กรณีกรมยุทธโยธาทหารบก : พพ. ได้แจ้งให้กรมยุทธโยธาทหารบก ทราบการสนับสนุนการลงทุนอนุรักษ์พลังงาน วงเงินรวม 3,914,238 บาท สำหรับ 2 อาคาร คือ
- มณฑลทหารบกที่ 23 (ค่ายศรีพัชรินทร) จ.ขอนแก่น โดยว่าจ้าง บริษัท อี อี แอนด์ ไอ คอนซัลแตนท์ จำกัด ในวงเงิน 3,189,000 บาท เป็นผู้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน ตามสัญญาเลขที่ อ.14/2547 ลงนาม 14 ม.ค. 2548 ส่งให้ พพ. 18 ม.ค. 2548
- กรมรบพิเศษที่ 1 (ค่ายวชิราลงกรณ์) จ.ลพบุรี โดยว่าจ้าง บริษัท จินตรงค์ จำกัด ในวงเงิน 719,967 บาท เป็นผู้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน ตามสัญญาเลขที่ อ. 25/2547 ลงนาม 24 ม.ค. 2548 ส่งให้ พพ. 10 ก.พ. 2548
แต่ พพ. ไม่ได้รับคู่สัญญาจ้างทั้ง 2 สัญญา จึงได้แจ้งยกเลิกการสนับสนุนฯ
บริษัท อี อี แอนด์ ไอ คอนซัลแตนท์ จำกัด และบริษัท จินตรงค์ จำกัด ได้ร้องเรียนต่อสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา และมีผลสรุปการวินิจฉัยว่า ผู้รับจ้างทั้ง 2 ราย ได้ลงนามในสัญญากับกรมยุทธโยธาฯ ก่อนที่ พพ. จะบอกยกเลิกการสนับสนุน ทำให้เกิดความผูกพันทางนิติกรรมระหว่างคู่สัญญาแล้ว ขณะที่เมื่อกรมยุทธโยธาฯ ขอเปลี่ยนแปลงมาตรการของอาคารมณฑลทหารบกที่ 23 (ค่ายศรีพัชรินทร) เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2548 พพ. มิได้ทักท้วงแต่อย่างใด ประกอบกับงานที่ปรับปรุงได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงไม่เป็นธรรมกับผู้ร้องเรียนทั้งสองซึ่งได้ดำเนินการตามสัญญาครบถ้วนแล้ว จึงเสนอแนะต่อคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ เพื่อเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้กับผู้ร้องเรียนทั้งสองต่อไป
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ พพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้จังหวัดกระบี่ เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารโรงพยาบาลกระบี่ ในวงเงิน 2,248,331 บาท ตามสัญญาเลขที่ 69/2548 ลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2548 โดยใช้งบประมาณที่ได้ผูกพันไว้แล้วต่อไป
2. เห็นชอบให้ พพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กองทัพบก เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารมณฑลทหารบกที่ 23 (ค่ายศรีพัชรินทร) จ.ขอนแก่น ในวงเงิน 3,189,000 บาท ตามสัญญาเลขที่ อ. 11/2547 ลงวันที่ 14 มกราคม 2548 โดยใช้งบประมาณที่ได้ผูกพันไว้แล้วต่อไป
3. เห็นชอบให้ พพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กองทัพบก เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารกรมรบพิเศษที่ 1 (ค่ายวชิราลงกรณ์) จ.ลพบุรี ในวงเงิน 719,967 บาท (เจ็ดแสนหนึ่งหมื่นเก้าพันเก้าร้อยหกสิบเจ็ดบาทถ้วน) ตามสัญญาเลขที่ อ. 25/2547 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2548 โดยใช้งบประมาณที่ได้ผูกพันไว้แล้ว
4. เห็นชอบให้ พพ. ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทุนในการอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนฯ ตามข้อ 1 ถึง ข้อ 3 โดยให้สามารถเบิกจ่ายเงินภายในระยะเวลา 3 เดือน นับจากวันที่ได้รับหนังสือแจ้งมติคณะกรรมการกองทุนฯ ด้วย
5. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำมติของอนุกรรมการฯ ข้อ 1ถึง ข้อ 4 เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
เรื่องที่ 4 เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดว่า การเปลี่ยนแปลงรายการ ระยะเวลาดำเนินการ ไปจากรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนได้อนุมัติไว้แล้ว จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ก่อน จึงจะเปลี่ยนแปลงได้
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 40) เมื่อ 25 สิงหาคม 2548 เห็นชอบระบบการบริหารงานของกองทุนฯ ให้สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยภารกิจในเรื่องที่มีหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ แล้ว หากจะเปลี่ยนแปลงรายการ ระยะเวลาดำเนินการ ไปจากรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนได้เห็นชอบหรืออนุมัติไว้ ให้ดำเนินการโดยการประชุมคณะอนุกรรมการฯ และเสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ
3. มีหน่วยงานต่างๆ ที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้แล้ว รวม 18 โครงการ ดังนี้
3.1 ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 16 โครงการ คือ
โครงการ | เจ้าของโครงการ | |
(1) | โครงการการใช้ก๊าซชีวภาพผลิตไฟฟ้าและทำความเย็นในโรงเลี้ยงสุกร | ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
(2) | โครงการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1 | สนพ. |
(3) | โครงการส่งเสริมการใช้ก๊าซชีวภาพจากระบบจัดการน้ำเสียโรงฆ่าสัตว์ | มูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม |
(4) | โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อเป็นพลังงานทดแทนในโรงงานอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง | ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
(5) | โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพจากน้ำเสียในโรงงานอุตสาหกรรม | พพ. |
(6) | โครงการสาธิตเตาเผาอิฐแบบประหยัดพลังงาน | มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
(7) | โครงการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอนด้านพลังงาน ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา | มูลนิธิสิ่งแวดล้อมไทย |
(8) | โครงการศูนย์เผยแพร่ความรู้ด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ | สนพ. |
(9) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่างประเทศ | สนพ. |
(10) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศ | สนพ. |
(11) | โครงการศึกษาวิศวกรรมแบบบูรณาการเพื่อการอนุรักษ์พลังงานสำหรับพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม | ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
(12) | โครงการวิจัยการนำความร้อนทิ้งกลับมาใช้ในใหม่ใน Heat Processes | มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ |
(13) | โครงการปรับปรุงระบบงานฐานข้อมูลอนุรักษ์พลังงาน | พพ. |
(14) | โครงการปรับปรุงโปรแกรมประยุกต์และฐานข้อมูลการอนุรักษ์พลังงาน | พพ. |
(15) | โครงการ (ร่าง) กฎกระทรวงมาตรฐานการจัดการพลังงาน | พพ. |
(16) | การสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษา | 7 หน่วยงาน |
3.2 ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ รวม 2 โครงการ คือ
โครงการ | เจ้าของโครงการ | |
(1) | โครงการก่อสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร | กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) |
(2) | โครงการเตรียมการจัดตั้งคณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า | สนพ. |
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้โครงการตามข้อ 3.1 และ 3.2 รวม 18 โครงการ ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา ด้วยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
2. ไม่เห็นชอบให้กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนใช้เงินเหลือจ่ายของโครงการก่อสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ไปใช้ในการสร้างอาคารบ้านพัก ตามที่ขอมาในข้อ 3.2 (1) ทั้งนี้เพราะเห็นว่า ตชด. มีบ้านพักเพียงพอรับรองวิทยากรและพนักงานแล้ว
กอ. ครั้งที่ 27 - วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2545
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2545(ครั้งที่ 27)
วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3
3. ผลการติดตาม วิเคราะห์ และประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 1 ปี 2538-2542
4. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน (ระยะที่ 2)
5. ขออนุมัติปรับแผนโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น
7. ขอทบทวนและแก้ไขมติคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26)
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบถึงความก้าวหน้าของผลการดำเนินงานโครงการประหยัดไฟ กำไร 2 ต่อ ว่า นับแต่โครงการฯ เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2544 ถึงเดือนธันวาคม 2544 ได้มีครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้รวมทั้งสิ้น 1,010,045,314 หน่วย คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 3,138,424,460 บาท โดยกองทุนฯ จ่ายเงินส่วนลดให้แก่ครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นเงินทั้งสิ้น 623,683,967 บาท
เรื่องที่ 1 รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการรับ-จ่าย เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำไตรมาสที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2544-31 ธันวาคม 2544 ให้ที่ประชุมทราบว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2544 มีเงินกองทุนฯ คงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคาร 13,219,883,566.48 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2544 (ครั้งที่ 25) เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2544 ได้พิจารณาข้อเสนอโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและใหญ่ ระยะที่ 3 ซึ่งเสนอโดย หน่วยบริการก๊าซชีวภาพ สถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) และที่ประชุมได้มีมติอนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ มช. ในวงเงิน 853,079,794 บาท โดยที่ประชุมได้มีเงื่อนไขให้ มช. ปรับปรุงรายละเอียดแผนงานโครงการฯ ดังนี้
(1) ให้หน่วยบริการก๊าซชีวภาพ มช. จำแนกค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการฯ ให้ชัดเจน โดยแบ่งเป็นเงินในส่วนด้านการบริหารงาน และเป็นเงินสนับสนุนให้เจ้าของฟาร์มทางอ้อม เช่น ค่าบริการให้คำปรึกษา ค่าออกแบบระบบและค่าติดตามดูแลระบบฯ เป็นต้น เพื่อกองทุนฯ จะได้พิจารณาว่าการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ นั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์ของเกษตรกรเป็นส่วนใหญ่
(2) หน่วยบริการก๊าซชีวภาพ ควรจะหารือกับผู้บริหารของ มช. เพื่อแสดงความมีส่วนร่วมในโครงการนี้ โดย มช. อาจจะสามารถจัดสรรงบประมาณบางส่วนสมทบกับเงินของกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารสำนักงานของโครงการฯ
มช. ได้รับทราบความเห็นของคณะกรรมการกองทุนฯ ข้างต้นแล้ว และได้ชี้แจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการฯ มาเพื่อโปรดทราบ โดยสรุปได้ดังนี้
(1) ค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการฯ : ค่าบริหารโครงการฯ ทั้งหมด จำนวนเงิน 319,575,794 บาท ประกอบด้วย เงินสนับสนุนเกษตรกรโดยอ้อม ในวงเงิน 292,030,540 บาท (คิดเป็นร้อยละ 91 ของค่าบริหารโครงการฯ) และ ค่าบริหารจัดการโครงการฯ ในวงเงิน 27,545,254 บาท (คิดเป็นร้อยละ 9 ของค่าบริหารโครงการฯ)
(2) ค่าใช้จ่ายสมทบจาก มช. ในการบริหารโครงการฯ : มช. ได้อนุญาตให้หน่วยบริการก๊าซชีวภาพใช้พื้นที่ว่างในบริเวณสถานีวิจัยและฝึกอบรมฯ ประมาณ 6 ไร่ เป็นที่ตั้งศูนย์แห่งความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีการย่อยสลายแบบไร้ออกซิเจนและการผลิตก๊าซชีวภาพ พร้อมทั้งรับภาระค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อระบบสาธารณูปโภคต่างๆ กับอาคารใหม่ คิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 3,590,000 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบและเห็นชอบกับรายละเอียดค่าบริหารโครงการฯ ตามที่ มช. เสนอมา
เรื่องที่ 3 ผลการติดตาม วิเคราะห์ และประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 1 ปี 2538-2542
บริษัทมาร์เก็ต ซับพอร์ท จำกัด ได้รายงานสรุปผลการประเมินผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 1 ให้ที่ประชุมทราบว่า จากผลการประเมินโครงการย่อยในโครงการหลักของแผนงานรอง ทั้ง 3 แผนงาน ของแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 1 ได้สะท้อนถึงประสิทธิผลและประสิทธิภาพของแผนงานอนุรักษ์พลังงานโดยรวมได้ค่อนข้างชัดเจนว่ามีประสิทธิผลอยู่ในระดับสูง และบรรลุผลด้านเทคโนโลยีในระดับปานกลาง สำหรับด้านประสิทธิภาพของโครงการนั้น พบว่าอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งในด้าน B/C ratio IRR และ Cost Effectiveness Analysis ส่วนผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมพบว่าอยู่ในระดับปานกลาง จึงสรุปได้ว่าผลการดำเนินงานตามแผนงานอนุรักษ์ ระยะที่ 1 โดยรวมอยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างดี
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานเพิ่มเติมว่า ในการดำเนินการประเมินผลในครั้งนี้ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พยายามที่จะควบคุมคุณภาพของผู้ประเมิน และปรับปรุงถ้อยคำภาษาให้การประเมินครั้งนี้ ให้เป็นการเสนอแนะ ในการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แทนที่จะเป็นการจับผิดหรือกล่าวโทษ และได้นำผลการประเมิน เสนอต่อคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน เพื่อพิจารณาแล้ว และคณะอนุกรรมการฯ ได้เห็นชอบตามที่บริษัทมาร์เก็ต ซับพอร์ท จำกัด เสนอ โดยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้
(1) การทำงานของคณะอนุกรรมการฯ เป็นการประเมินผลเพื่อวิเคราะห์การดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเสนอแนะปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงทางการดำเนินงานให้สามารถบรรลุถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้เร็วขึ้น และลดการใช้งบประมาณลง
(2) คณะอนุกรรมการฯ เลือกที่จะใช้ผู้เชี่ยวชาญในการประเมินจากหน่วยงานภายนอก และเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในขบวนการประเมินผลด้วย เพื่อลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นจากการเข้าใจผิดของผู้ประเมิน โดยคณะอนุกรรมการฯ ไม่มีความประสงค์จะจับผิด เพียงแต่ต้องการเสนอแนะวิธีการดำเนินงานที่ดีกว่าเดิม
(3) คณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบกับผลการประเมินที่คณะที่ปรึกษาเสนอ และเห็นชอบข้อเสนอแนะ ที่ได้จากการสัมมนาฯ และมีข้อสังเกตเพิ่มเติม ดังนี้
การอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง มีศักยภาพสูง จึงเห็นควรให้คณะกรรมการกองทุนฯ และ สพช. ให้ความสำคัญในสาขานี้ ทั้งในด้านการกำหนดนโยบาย และการให้การส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน
เห็นควรให้มีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ (Strategic Plan) และกำหนดเป้าหมายและดัชนีชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจนทั้งระดับโครงการและแผนงาน
การประสานงานระหว่าง กฟผ. กฟภ. และกองทุนฯ ในการส่งเสริม SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง จะทำให้การต่อเชื่อมระบบมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยไม่ต้องมีการปรับแรงดันไฟฟ้ามากเกินความจำเป็น (Step up หรือ Step down) อันจะเกิดการสูญเสียในระบบ
การส่งเสริมการศึกษาวิจัย (Basic และ Applied Research) ควรประสานงานกับ สกว. ซึ่งมีความชำนาญในด้านนี้ ส่วนการศึกษาเพื่อการพัฒนาและการนำผลการวิจัยสู่การใช้เชิงพาณิชย์ (Improvement และ Implementation) สพช. มีความชำนาญสูงอยู่แล้ว สามารถดำเนินการต่อไปได้
มติที่ประชุม
รับทราบและเห็นชอบกับผลการประเมินที่บริษัทมาร์เก็ต ซับพอร์ท จำกัด ได้นำเสนอ และเห็นชอบกับข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำข้อเสนอแนะดังกล่าวไปปรับในกรอบแผนยุทธศาสตร์การอนุรักษ์พลังงานและการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ในปี 2540 คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้การสนับสนุน สำนักงานวิจัยและพัฒนา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในวงเงิน 4,774,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการนำร่องติดตั้งระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน จำนวน 10 หลังคาเรือน เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนใช้พลังงานจากเซลล์แสงอาทิตย์ โดยกองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนเงินค่าติดตั้งให้กับเจ้าของบ้านที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการฯ เป็นเงินให้เปล่า ในอัตราร้อยละ 45.70 ของเงินลงทุนทั้งระบบ (ประมาณ 212,500 บาท/ระบบ) ส่วนที่เหลือเจ้าของบ้านผู้เข้าร่วมโครงการฯ จะรับภาระค่าใช้จ่ายเอง
โครงการดังกล่าวได้เสร็จสมบูรณ์แล้วและ กฟผ. ได้เก็บข้อมูลประเมินผลการทำงานหลังการติดตั้งระบบฯ 1 ปี โดยระบบฯ สามารถทำงานได้ตามประสิทธิภาพ และเจ้าของระบบฯ สามารถดูแลการใช้งานของระบบฯ ด้วยตนเองได้เป็นอย่างดี กฟผ. จึงได้จัดทำแบบสอบถามประชาชนทั่วไปจำนวนทั้งสิ้น 400 ราย เพื่อประเมินความสนใจที่จะนำระบบฯ ไปติดตั้งใช้งาน ซึ่งมีผู้สนใจขอเข้าร่วมโครงการฯ มากกว่า 100 ราย
กฟผ. จึงได้ยื่นข้อเสนอที่จะดำเนินการโครงการฯ ระยะที่ 2 ซึ่งมีเป้าหมายที่จะติดตั้งระบบเซลล์แสงอาทิตย์ให้กับบ้านพักอาศัย จำนวน 100 หลังคาเรือน โดยแบ่งเป็นระบบฯ ชุดเล็กขนาด 2.10 kWp จำนวน 60 หลังคาเรือน และระบบฯ ชุดใหญ่ขนาด 3.15 kWp จำนวน 40 หลังคาเรือน โดยงบประมาณรวมทั้งหมดของโครงการฯ ในวงเงิน 71,437,000 บาท ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำข้อเสนอโครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน (ระยะที่ 2) เสนอต่อ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 9/2544 (ครั้งที่ 54) เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2544 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ โดยมีเงื่อนไขให้ กฟผ. ต้องปรับปรุงรายละเอียดของแผนงานฯ ในบางประเด็น เช่น ลดจำนวนการสนับสนุนลงเหลือเพียง 50 ราย และปรับลดอัตราการสนับสนุนผู้เข้าร่วมโครงการฯ ไม่ควรเกินอัตราที่เคยให้การสนับสนุนในระยะที่ 1 เป็นต้น
กฟผ. ได้ปรับปรุงแผนงานโครงการฯ ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ แล้ว โดยเฉพาะในประเด็นหลักนั้น กฟผ. ได้ปรับปรุงแผนงานโครงการฯ ดังนี้
(1) ปรับลดจำนวนเป้าหมายที่จะติดตั้งระบบเซลล์แสงอาทิตย์ให้กับบ้านพักอาศัย คงเหลือเพียงจำนวน 50 หลังคาเรือน
(2) ปรับขนาดกำลังผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์เหลือเพียง 1 ขนาด คือ ขนาดไม่ต่ำกว่า 3.15 kWp และไม่เกิน 3.20 kWp เพื่อให้สามารถใช้อุปกรณ์ส่วนควบที่เกี่ยวข้องทดแทนกันได้
(3) กฟผ. เปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนที่จะเป็นตัวแทนจำหน่ายและติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์ยื่นข้อเสนอราคาให้ กฟผ. พิจารณาคัดเลือก ก็จะทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาและส่งผลให้ราคาเซลล์แสงอาทิตย์เปลี่ยนแปลงลดลงได้อีก กฟผ. จึงได้ยืนราคาต้นทุนเซลล์แสงอาทิตย์ของโครงการฯ ไว้ที่อัตรา 170 บาท/วัตต์
(4) กฟผ. ได้ปรับลดอัตราเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อช่วยเหลือค่าติดตั้งระบบฯ ให้กับเจ้าของบ้านที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการฯ เป็นเงินให้เปล่าในอัตราร้อยละ 45.70 ของเงินลงทุนทั้งระบบฯ ซึ่งเท่ากับอัตราเดิมที่กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนเจ้าของบ้านที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการฯ ในระยะแรก
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ กฟผ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน (ระยะที่ 2) ในวงเงิน 24,268,324 บาท (ยี่สิบสี่ล้านสองแสนหกหมื่นแปดพันสามร้อยยี่สิบสี่บาทถ้วน)
เรื่องที่ 5 ขออนุมัติปรับแผนโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2540 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2540 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในวงเงิน 90,000,000 บาท (เก้าสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อครุภัณฑ์ ประกอบด้วย เครื่อง Large Area Multi-Chamber Plasma Enhanced Chemical Vapor Deposition System (PECVD) และ Sputtering System โดย สวทช. กำหนดจะติดตั้งเครื่องจักรดังกล่าวที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา และภายในปี 2544 สวทช. จะพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่มีกำลังการผลิต 75 กิโลวัตต์ต่อปี
ปัจจุบันนี้ สวทช. ได้ทำการทดลองผลิตเซลล์ชนิดอะมอร์ฟัสซิลิกอน และสามารถพัฒนาประสิทธิภาพของเซลล์ได้ที่ระดับ 7.3 % และ สวทช. คาดว่าจะสามารถพัฒนาได้ถึง 10% โดย สวทช. ได้ใช้จ่ายเงินลงทุนไปในโครงการนี้ไปแล้วทั้งสิ้น 148 ล้านบาท ประกอบด้วยงบประมาณจาก สวทช. 58 ล้านบาท และงบสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นค่าครุภัณฑ์และวัสดุประกอบการผลิตเซลล์ 90 ล้านบาท
การดำเนินโครงการฯ ในช่วงที่ผ่านมา สวทช. ประสบปัญหาที่ไม่ได้รับจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ เพื่อนำมาสมทบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนงานที่ได้เคยเสนอไว้กับกองทุนฯ ทำให้ สวทช. ไม่สามารถจัดซื้อวัสดุที่จำเป็นเพื่อนำมาวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ได้ทั้งหมด สวทช. จึงขอปรับแผนการดำเนินงานโดย สวทช. จะขอทำการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์แล้วจะร่วมมือกับ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) และกรมโยธาธิการ ในการนำไปติดตั้งทดสอบการใช้งาน โดยในการปรับแผนงานครั้งนี้ สวทช. ขอเงินสนับสนุนเพิ่มเติมจากกองทุนฯ เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 29,587,500 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ สวทช. พพ. และ กรมโยธาธิการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประชุมร่วมกับผู้แทนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่เกี่ยวข้องในด้านเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องแนวทางการดำเนินโครงการดังกล่าวแล้ว ที่ประชุมเห็นควรให้ สวทช. ปรับปรุงรายละเอียดของแนวทางและวิธีการดำเนินงานศึกษาวิจัยให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ ก่อนนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา สวทช. ได้ปรับรายละเอียดของแผนงานโครงการฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของที่ประชุมเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2544 แล้ว โดย สวทช. ขอขยายระยะเวลาโครงการสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2546 และขอเงินสนับสนุนเพิ่มเติมจากกองทุนฯ เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 30,882,694 บาท (สามสิบล้านแปดแสนแปดหมื่นสองพันหกร้อยเก้าสิบสี่บาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ สวทช. พพ. และ กรมโยธาธิการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าวพร้อมกับความเห็นจากที่ประชุมผู้ที่เกี่ยวข้องในด้านเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 12/2544 (ครั้งที่ 57) เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ที่ประชุมได้พิจารณาโครงการฯ แล้ว มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา ให้ สวทช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น ในวงเงิน 30,882,694 บาท (สามสิบล้านแปดแสนแปดหมื่นสองพันหกร้อยเก้าสิบสี่บาทถ้วน) และอนุมัติให้ สวทช. ปรับแผนดำเนินโครงการฯ ได้ตามที่เสนอมา
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ในบางกรณีโครงการฯ ที่ได้รับอนุมัติแล้ว แต่ไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญา ได้ภายใน 30 วัน และเมื่อ สพช. ได้ทำหนังสือขอเบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่ายโครงการฯ งวดที่ 1 จากกรมบัญชีกลาง (บก.) จะได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ของ บก. ว่าไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนได้ เนื่องจากผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ มิได้ลงนามในสัญญากับ สพช. ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ ซึ่งเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ หมวด 5 การทำสัญญา ข้อ 19
การแก้ไขปัญหาที่ผ่านมา
เพื่อลดขั้นตอนในการบริหารงานและเพื่อแก้ไขปัญหาการที่ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ ไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญากับกองทุนฯ ได้ทัน ภายในเวลา 30 วัน ตามที่ระเบียบฯ ได้กำหนดไว้ และคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2542 จึงได้มีมติ ดังนี้
(1) มอบอำนาจให้ สพช. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบในเหตุผลที่เจ้าของโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้วจากคณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ ไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญา ได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ โดยการล่าช้านั้นต้องไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
(2) มอบอำนาจให้ สพช. พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีก
สพช. ได้ดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด แต่ก็ยังมีบางโครงการที่มิได้ลงนามในสัญญากับ สพช. ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ และแม้ว่า สพช. จะแจ้งเหตุผลอันสมควรที่เจ้าของโครงการไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญาได้ภายในกำหนด ตามที่คณะอนุกรรมการฯ ได้มอบอำนาจไว้ให้แล้ว แต่เมื่อทำหนังสือขอเบิกเงินให้กับเจ้าของโครงการฯ จะได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ของ บก. ว่าไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ ได้ เนื่องจากเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบฯ และ บก. เห็นว่าคณะอนุกรรมการฯ ไม่สามารถมอบอำนาจดังกล่าวให้กับ สพช. ตามที่ประชุมได้ สพช. จึงต้องนำโครงการที่มิได้ลงนามในสัญญากับ สพช. ภายในกำหนดเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ กลับมาให้คณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ รับรองก่อนการเบิกจ่ายเงินจาก บก. เป็นคราวๆ ไป
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 46) เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2544 ได้พิจารณาถึงประเด็นปัญหาของความล่าช้าในการลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญาของโครงการฯ แล้ว และเห็นว่าเพื่อให้การดำเนินการมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ ผู้แทนจาก บก. จึงได้เสนอให้มีการแก้ไขข้อความที่กำหนดไว้ในระเบียบฯ หมวด 5 การทำสัญญา ข้อ 19 ให้มีความคล่องตัว เป็นดังนี้
(1) โครงการฯ ที่คณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาอนุมัติให้เงินสนับสนุน (เริ่มตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2544) โดยมีเงื่อนไขให้เจ้าของโครงการฯ ไปดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอในบางประเด็นก่อนที่ลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญาเพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ นั้น เมื่อเจ้าของโครงการฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงตามมติคณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว ให้ สพช. แจ้งให้เจ้าของโครงการทราบ เพื่อทำหนังสือยืนยันหรือสัญญา ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งให้ทราบ หากเจ้าของโครงการฯ ไม่มาติดต่อเพื่อทำหนังสือยืนยันหรือตามสัญญาภายในกำหนดเวลาดังกล่าว โดยไม่มีเหตุอันสมควรให้คำอนุมัติเป็นอันสิ้นผล
(2) การอนุมัติให้เงินสนับสนุนในครั้งต่อๆ ไป (หลังจากวันที่ 23 มกราคม 2544) หากมีเงื่อนไขให้เจ้าของโครงการไปดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอในบางประเด็นให้เรียบร้อยก่อนที่ลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญา คณะอนุกรรมการฯ ควรมีมติให้ชัดเจน ดังนี้
(2.1) โครงการที่มีการปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญเล็กน้อย คณะอนุกรรมการฯ จะมอบให้ สพช. ไปดำเนินการ
(2.2) โครงการที่มีปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ เมื่อเจ้าของโครงการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ให้นำกลับมาเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 22) เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2544 ได้พิจารณาแล้วและเห็นชอบให้ สพช. แก้ไขข้อความที่ปรากฏในระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 หมวด 5 การทำสัญญา โดยให้แก้ไขตามที่ คณะอนุกรรมการฯ ได้มีความเห็นไว้ และหลังจากที่ได้มีการแก้ไขระเบียบฯ เพื่อแก้ปัญหาการที่ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ ไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญากับกองทุนฯ ได้ทันภายในเวลา 30 วัน ดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่ามีกรณีที่ผู้ได้รับ จัดสรรเงินกองทุนฯ มิได้ลงนามในหนังสือยืนยัน/สัญญาการขอรับทุนสนับสนุนจากกองทุนฯ กับ สพช. ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ ที่กรมบัญชีกลางไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ ทั้ง 2 โครงการ คือ
(1) โครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน ระยะที่ 1 (โครงการแม่ฮ่องสอน 2) โดยมี การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นเจ้าของโครงการฯ
(2) โครงการศึกษาคุณสมบัติของสารเติมแต่งในน้ำมันเบนซินในการรักษาความสะอาดวาล์วไอดีและหัวฉีดของเครื่องยนต์เบนซิน (ระยะที่ 1) โดยมี กรมทะเบียนการค้า เป็นเจ้าของโครงการฯ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเจ้าของโครงการฯ มีเหตุผลอันสมควรที่ไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยัน/สัญญาการขอรับการสนับเงินจากกองทุนฯ ได้ภายในเวลาที่ระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ได้กำหนดไว้ และแม้ว่า สพช. จะได้รับมอบอำนาจจากคณะอนุกรรมการฯ ในการเป็นผู้พิจารณาให้ความ เห็นชอบในเหตุผลที่เจ้าของโครงการฯ ไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยันการขอรับทุนจากกองทุนฯ ได้ภายในเวลาที่กำหนด และแม้ว่าจะมีการแก้ไขระเบียบฯ เพื่อให้การดำเนินงานมีความคล่องตัวตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ข้างต้น แต่เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนในอำนาจของการวินิจฉัยให้ความเห็นชอบในเหตุผลที่เจ้าของโครงการฯ ที่ไม่สามารถลงนามในสัญญา/หนังสือยืนยันการขอรับทุนจากกองทุนฯ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรอาศัยอำนาจตามข้อ 4 แห่งระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 ที่กำหนดว่า กรณีที่มีปัญหาในการปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนฯ ในการนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณา
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้คงมติของคณะกรรมการกองทุนฯ ตามหนังสือเวียน ด่วนที่สุด ที่ นร 0905/2148 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2443 ที่ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ กฟผ. เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน ระยะที่ 1 (โครงการแม่ฮ่องสอน 2) ในวงเงิน 168,468,825 บาท (หนึ่งร้อยหกสิบแปดล้าน สี่แสนหกหมื่นแปดพันแปดร้อยยี่สิบห้าบาทถ้วน) และถือว่ามีผลใช้กับการลงนามตามหนังสือยืนยันการขอรับทุนสนับสนุน ที่ กอ.ร 09/2543 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2544
2. อนุมัติให้คงมติของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 47) เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2544 ที่ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา ให้ กรมทะเบียนการค้า เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการศึกษาคุณสมบัติของสารเติมแต่งในน้ำมันเบนซินในการรักษาความสะอาดวาล์วไอดีและหัวฉีดของเครื่องยนต์เบนซิน (ระยะที่ 1) ในวงเงิน 4,028,550 บาท (สี่ล้านสองหมื่นแปดพันห้าร้อยห้าสิบบาทถ้วน) และถือว่ามีผลใช้กับการลงนามตามหนังสือยืนยันการขอรับทุนสนับสนุน ที่ กอ.ร 09/2544 ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2544
3. เห็นชอบให้ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ หรือคณะอนุกรรมกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ หรือคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน มีอำนาจวินิจฉัยในเหตุผลที่เจ้าของโครงการไม่สามารถติดต่อลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญา ภายในกำหนดเวลาตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการขอจัดสรร ขอเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2544 หมวด 5 การทำสัญญา ทั้งนี้ให้คณะอนุกรรมการแต่ละคณะมีอำนาจวินิจจัยเรื่องดังกล่าวครอบคลุมทั้งโครงการที่ได้รับอนุมัติสนับสนุนเงินกองทุนฯ ก่อนวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2544 ด้วย
เรื่องที่ 7 ขอทบทวนและแก้ไขมติคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26)
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26) เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2544 ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการปรับปรุงวิธีการปฏิบัติงานภายใต้แผนงานภาคบังคับ ตามที่กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้เสนอให้ที่ประชุมพิจารณา 2 เรื่อง คือ (1) การแยกการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม และสิทธิในการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลัง และ (2) โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งมติคณะกรรมการกองทุนฯ ทั้ง 2 เรื่องดังกล่าว ให้ พพ. ทราบแล้ว และต่อมา พพ. ได้มีหนังสือที่ วว 0406/21609 ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2544 และ วว 0406/21526 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2544 เพื่อขอทบทวนและแก้ไขมติ คณะกรรมการกองทุนฯ ดังนี้
1. การแยกการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม และสิทธิในการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
มติที่ประชุม "อนุมัติให้ พพ. ปรับปรุงวิธีการและขั้นตอนในการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ในช่วงปีงบประมาณ 2545-2547 ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้มีมติเห็นชอบ"
- พพ. ขอแก้ไขเป็น "อนุมัติให้ พพ. ปรับปรุงวิธีการและขั้นตอนในการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้มีมติเห็นชอบ"
2. โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน
(1) มติที่ประชุม "เห็นชอบให้ พพ. จัดตั้ง "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน" ตามที่เสนอมา โดยให้ พพ. จัดทำประกาศเชิญชวนให้สถาบันการเงินต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อยื่นข้อเสนอโครงการฯ ตามแนวทางและขั้นตอนในการดำเนินงานตามที่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ร่างแนวทางไว้ และให้ พพ. พิจารณาคัดเลือกสถาบันการเงินที่มีข้อเสนอโครงการฯ ดีที่สุดเป็นผู้บริหารโครงการฯ โดย พพ. ต้องปรับปรุงร่างแนวทางดังกล่าวให้มีความชัดเจน มีการควบคุมการใช้จ่ายเงินอย่างรอบคอบและรัดกุม เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ"
พพ. ขอแก้ไขเป็น "เห็นชอบให้ พพ. ให้จัดตั้ง "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน" ตามที่เสนอมา โดยให้ พพ. จัดทำประกาศเชิญชวนให้สถาบันการเงินต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อยื่นข้อเสนอโครงการฯ ตามแนวทางและขั้นตอนในการดำเนินงานตามที่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ร่างแนวทางไว้ และให้ พพ. พิจารณาคัดเลือกสถาบันการเงินที่มีข้อเสนอโครงการฯ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ พพ. เสนอ ซึ่งอาจจะมากกว่า 1 แห่ง มาเป็นตัวแทนในการปล่อยเงินกู้ เรียกเก็บ และประกันเงินกู้ โดย พพ. ต้องปรับปรุงร่างแนวทางดังกล่าว ให้มีความชัดเจน มีการควบคุมการใช้จ่ายเงินอย่างรอบครอบและรัดกุม เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ"
(2) มติที่ประชุม "อนุมัติให้ พพ. ใช้เงินจากโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท (สองพันล้านบาทถ้วน) เพื่อให้สถาบันการเงินที่ผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์ที่ พพ. กำหนด นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมนำไปใช้ในการอนุรักษ์พลังงาน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยสถาบันการเงินนั้นจะต้องจ่ายเงินดังกล่าวคืนกองทุนฯ ภายในระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปจากกองทุนฯ"
พพ. ขอแก้ไขเป็น "อนุมัติให้ พพ. ใช้เงินจากโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท (สองพันล้านบาทถ้วน) เพื่อให้สถาบันการเงินที่ผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์ที่ พพ. กำหนด นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมนำไปใช้ในการอนุรักษ์พลังงาน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยสถาบันการเงินจะต้องปล่อยเงินกู้ภายในระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติโครงการฯ"
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้แก้ไขมติที่ประชุมในการพิจารณาเรื่อง "การแยกการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม และสิทธิในการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" โดยให้ใช้ข้อความดังต่อไปนี้ "อนุมัติให้ พพ. ปรับปรุงวิธีการและขั้นตอนในการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้มีมติเห็นชอบ"
2. อนุมัติให้แก้ไขมติที่ประชุมในการพิจารณาเรื่อง "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน" โดยใช้ข้อความดังต่อไปนี้
2.1 เห็นชอบให้ พพ. ให้จัดตั้ง "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน" ตามที่ได้เสนอไว้ ในคราวประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ ครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26) เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2544 โดยให้ พพ. จัดทำประกาศเชิญชวนให้สถาบันการเงินต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อยื่นข้อเสนอโครงการฯ ตามแนวทางและขั้นตอนในหารดำเนินงานตามที่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ร่างแนวทางไว้ และให้ พพ. พิจารณาคัดเลือกสถาบันการเงินที่มีข้อเสนอโครงการฯ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ พพ. เสนอ ซึ่งอาจจะมากกว่า 1 แห่ง มาเป็นตัวแทนในการปล่อยเงินกู้ เรียกเก็บ และประกันเงินกู้ โดย พพ. ต้องปรับปรุงร่างแนวทางดังกล่าว ให้มีความชัดเจน มีการควบคุมการใช้จ่ายเงินอย่างรอบครอบและรัดกุม เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ"
2.2 อนุมัติให้ พพ. ใช้เงินจากโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท (สองพันล้านบาทถ้วน) เพื่อให้สถาบันการเงินที่ผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์ที่ พพ. กำหนด นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมนำไปใช้ในการอนุรักษ์พลังงาน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยสถาบันการเงินจะต้องปล่อยเงินกู้ภายในระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติโครงการฯ"
3. มติคณะกรรมการกองทุนฯ ในคราวประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26 ) เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2544 เรื่อง "การแยกการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม และสิทธิในการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" และเรื่อง "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน" ที่ไม่มีการขอแก้ไข ก็ให้มีผลบังคับใช้ตามข้อความเดิม
กอ. ครั้งที่ 28 - วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2545
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2545(ครั้งที่ 28)
วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2545 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. การโอนงานเบิกจ่ายเงินและการบัญชี ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการนำร่องแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซธรรมชาติ 1,000 คัน
4. โครงการจัดตั้งศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร
7. ขออนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าในโครงการ "ประหยัดไฟกำไรต่อ" (เพิ่มเติม)
8. โครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ในการประชุมครั้งนี้ ได้เชิญผู้แทนจากการประปาส่วนภูมิภาค และการประปานครหลวงเข้าร่วมประชุมด้วย เพื่อจะทำการปรึกษาหารือถึงแนวทางในการร่วมกันประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรการในการร่วมกันประหยัดน้ำ
เรื่องที่ 1 การโอนงานเบิกจ่ายเงินและการบัญชี ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า กรมบัญชีกลาง มีนโยบายที่จะปรับเปลี่ยนบทบาท ภารกิจ จากการควบคุมเป็นการกำกับดูแล และทำงานในเชิงรุกมากขึ้น กระทรวงการคลัง จึงได้เห็นชอบให้กรมบัญชีกลางโอนงานเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของทุนหมุนเวียนที่จัดตั้งตามกฎหมายเฉพาะ จำนวน 4 ทุน ให้ฝ่ายเลขานุการฯ หรือเจ้าของโครงการนั้นเป็นผู้ดำเนินการ โดยมี "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" เป็นหนึ่งในจำนวน 4 ทุน ที่กระทรวงการคลังเห็นชอบให้กรมบัญชีกลางโอนงานเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของกองทุนฯ ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ เป็นผู้ดำเนินการ โดยการโอนงานเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของกองทุนฯ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเวลา 3 เดือน
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กประเภทพลังงานนอกรูปแบบ เชื้อเพลิงกาก เศษวัสดุเหลือใช้ ขยะมูลฝอยหรือไม้ โดย ณ สิ้นเดือนมกราคม 2545 มีผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producers: SPP) ขายไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้า 50 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขาย 1,962 MW จากจำนวนดังกล่าวเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและพลังงานหมุนเวียนผสมกับพลังงานเชิงพาณิชย์ เพียง 26 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขาย 215-260 MW ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น SPP ที่มีความคุ้มค่าทางด้านการเงินสูง แต่ก็ยังมี SPP หลายรายที่มีความคุ้มค่าทางด้านการเงินต่ำ แต่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้พลังงานหมุนเวียนจะไม่ก่อให้เกิดมลพิษและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อให้มีการลงทุนผลิตและขายไฟฟ้าที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงมากขึ้น คณะกรรมการกองทุนฯ จึงได้มอบหมายให้ สพช. ใช้เงินจากกองทุนฯ ในวงเงินรวม 2,060 ล้านบาท สนับสนุนโครงการฯ ส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อให้ กฟผ. สามารถรับซื้อไฟฟ้า ที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน ได้อีกประมาณ 300 เมกะวัตต์ โดย สพช. ได้จ้างบริษัท AEA Technology plc ให้เป็นผู้ศึกษารูปแบบวิธีการประกาศเชิญชวนและกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกข้อเสนอ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ได้แต่งตั้ง "คณะทำงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" ขึ้น เพื่อเสนอร่างประกาศเชิญชวนและจัดทำแนวทางและหลักเกณฑ์การพิจารณาข้อเสนอของผู้สนใจลงทุน รวมถึงดำเนินการคัดเลือกข้อเสนอเพื่อเสนอคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติการสนับสนุน
คณะทำงานฯ และคณะอนุกรรมการฯ ได้จัดทำ "ร่างเอกสารเชิญชวนเพื่อยื่นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 22) เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2544 พิจารณาและที่ประชุมได้อนุมัติให้ สพช. นำไปประกาศเชิญชวนให้ผู้สนใจลงทุนและผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ ได้ยื่นข้อเสนอเพื่อขอรับเงินสนับสนุนดังกล่าว โดยกองทุนฯ จะจ่ายเงินสนับสนุนให้กับผู้ที่มีข้อเสนอที่เหมาะสม และเสนอขอรับเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กไม่เกิน 0.36 บาท ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 5 ปีด้วยวิธีคัดเลือก โดยกำหนดยื่นซองข้อเสนอ ในวันที่ 15 ตุลาคม 2544
เมื่อครบกำหนดวันยื่นซองข้อเสนอ ในวันที่ 15 ตุลาคม 2544 ปรากฏว่ามีผู้สนใจยื่นข้อเสนอไว้กับ สพช. รวมทั้งสิ้น 43 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขายทั้งสิ้น 775 MW คิดเป็นจำนวนเงินที่ขอรับการสนับสนุนทั้งสิ้นประมาณ 6,400 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่ สพช. กำหนดไว้
คณะทำงานฯ ได้มีการประชุมร่วมกันหลายครั้งเพื่อพิจารณาข้อเสนอทั้ง 43 โครงการ ตามขั้นตอนและหลักเกณฑ์การพิจารณาที่ได้กำหนดไว้ และสรุปผลการคัดเลือกข้อเสนอทั้ง 43 โครงการ เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา โดยสรุปได้ ดังนี้
(1) ข้อเสนอที่ผ่านเกณฑ์พิจารณารวมทั้งสิ้น 37 โครงการ ประกอบด้วย
กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มโครงการที่จะได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ มีจำนวนทั้งสิ้น 17 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบทั้งสิ้น 313 MW (เป็นแบบสัญญา Firm 12 ราย และ แบบ Non Firm 5 ราย) คิดเป็นเงินที่กองทุนฯ สนับสนุนทั้งสิ้นในวงเงิน 1,955,805,527.60 บาท และมีวงเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ที่ยังคงเหลืออยู่เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 104,194,472.40 บาท ซึ่งไม่เพียงพอที่จะจัดสรรให้กับโครงการฯ ลำดับถัดไปได้ (ลำดับที่ 18 คือ RFP 0049 วงเงินขอรับการสนับสนุน 168,192,000 บาท)
- กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มโครงการที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาเช่นเดียวกับกลุ่มที่ 1 แต่ไม่ได้รับเงินสนับสนุนเนื่องจากวงเงิน 2,060 ล้านบาท ได้หมดลงก่อน มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 20 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขายเข้าระบบ 224.20 MW คิดเป็น วงเงินที่ต้องการสนับสนุนจากกองทุนฯ ทั้งสิ้น 2,117,393,221.60 บาท
(2) ข้อเสนอที่ไม่ผ่านเกณฑ์พิจารณา รวมทั้งสิ้น 6 ราย เนื่องจากได้รับคะแนน 0 หรือ 1 ในหัวข้อหนึ่งหัวข้อใดของข้อเสนอทางเทคนิค/ข้อเสนอทางการเงิน และมีคุณสมบัติไม่ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด
(3) ข้อเสนอในกลุ่มที่ 1 จำนวน 17 โครงการ นั้น มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถดำเนินการได้ทั้งหมด โดยเหตุอาจเกิดจากปริมาณชีวมวลไม่เพียงพอหรือได้รับการต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่ หรือไม่สามารถจัดหาเงินทุนได้เพียงพอ และเพื่อจะได้ไม่ต้องเริ่มต้นดำเนินการคัดเลือกใหม่ จึงเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ เพิ่มเติมให้กับโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อให้ สพช. นำมาประกาศให้การสนับสนุนสำหรับผู้ยื่นข้อเสนอที่อยู่ในกลุ่มที่ 2 จำนวน 20 โครงการ ได้มีสิทธิยื่นเสนออัตราขอรับเงินสนับสนุนใหม่ แต่ทั้งนี้การเสนออัตราเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุดไม่เกิน 0.225 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง (เท่ากับอัตราสนับสนุนสูงสุดในกลุ่มที่ 1)
(4) เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดจากบางโครงการอาจจะไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะได้รับการต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่โครงการฯ จึงควรกำหนดเงื่อนไขผนวกไว้กับการอนุมัติโครงการฯ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เมื่อคณะกรรมการกองทุนฯ เห็นชอบกับผลการพิจารณาตามที่คณะทำงานฯ ได้รายงานเสนอผ่านคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือแล้ว ให้ สพช. แจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ยื่นข้อเสนอที่ได้การคัดเลือกทราบ พร้อมทั้งแจ้งให้ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกนำเสนอแผนการรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนให้คณะทำงานฯ พิจารณา และจัดให้คณะทำงานฯ ได้เข้าไปในพื้นที่ตั้งโครงการฯ ภายในระยะเวลา 2 เดือนนับจากวันที่ สพช. ประกาศผลการคัดเลือก โดยกำหนดขอบเขตของพื้นที่ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นประชาชนเป็นพื้นที่ อบต. ที่ตั้งโรงไฟฟ้า และ อบต. โดยรอบพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า แต่ทั้งนี้ไม่เกินระยะ 10 กิโลเมตร จากที่ตั้งโรงไฟฟ้า
ขั้นตอนที่ 2 ให้ สพช. ประชาสัมพันธ์ผลการพิจารณาโครงการฯ ให้กับประชาชนทั่วไปได้รับทราบ และเน้นการประชาสัมพันธ์โดยเฉพาะให้กับกลุ่ม NGO เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในโครงการฯ
ขั้นตอนที่ 3 คณะทำงานฯ ลงพื้นที่โครงการต่างๆ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่นั้น และรายงานผลเป็นข้อสังเกตและความคิดเห็นของคณะทำงานฯ ที่มีต่อโครงการฯ เกี่ยวกับแนวโน้มหรือโอกาสที่โครงการฯนั้นจะดำเนินการต่อไป เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุนฯ และคณะอนุกรรมการฯ ในการอนุมัติให้การสนับสนุนโครงการฯ ต่อไป
(5) คณะทำงานฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าข้อเสนอในกลุ่มที่ 1 จำนวน 17 โครงการฯ นั้น บางโครงการอาจจะไม่ได้ดำเนินการ และเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ เพิ่มเติม เพื่อให้ สพช. นำมาประกาศให้ผู้ยื่นข้อเสนอที่อยู่ในกลุ่มที่ 2 จำนวน 20 โครงการ ปริมาณพลังไฟฟ้ารวมเท่ากับ 224 MW ได้มีโอกาสยื่นเสนออัตราขอรับเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าเข้ามาใหม่ โดยเสนออัตราได้สูงสุดไม่เกิน 0.225 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงนั้น คาดว่าจะใช้เงินจากกองทุนฯ เพิ่มเติม 1,000 ล้านบาท รวมกับวงเงินเดิมเป็น 3,060 ล้านบาท
นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการฯ เห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สพช. เบิกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการติดตามดูแลและสนับสนุนให้การดำเนินโครงการฯ จากโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในวงเงิน 3,060 ล้านบาท ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้แล้ว โดยมอบอำนาจให้คณะอนุกรรมการฯ มีอำนาจอนุมัติการใช้จ่ายเงินดังกล่าว โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ และเมื่อดำเนินการแล้วให้แจ้งคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบเป็นระยะด้วย
มติที่ประชุม
1. รับทราบและเห็นชอบผลการคัดเลือกข้อเสนอโครงการฯ ทั้ง 43 ราย และเห็นชอบแนวทางการดำเนินงานต่อไป และเห็นชอบให้เพิ่มเติมงบประมาณกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เป็นวงเงินรวม 3,060 ล้านบาท (สามพันหกสิบล้านบาทถ้วน) ตามที่คณะทำงานฯ และคณะอนุกรรมการฯ ได้เสนอมา
2. เห็นชอบให้ สพช. ประกาศให้ผู้ยื่นข้อเสนอขอรับเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก จำนวน 20 ราย เป็นผู้มีสิทธิยื่นข้อเสนอขอรับเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ให้ สพช. ดำเนินการพิจารณาคัดเลือกใหม่ โดยเสนออัตราเงินสนับสนุนสูงสุดได้ไม่เกิน 0.225 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง และกองทุนฯ จะสนับสนุนเป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี
3. อนุมัติให้ สพช. เบิกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการติดตามดูแลและสนับสนุนการดำเนินโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน จากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในวงเงิน 3,060 ล้านบาทที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้แล้ว โดยให้ สพช. จัดทำรายละเอียดแผนการใช้จ่ายเงินเสนอให้ คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอนุมัติ โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ และเมื่อดำเนินการแล้วให้รายงานคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบเป็นระยะด้วย
เรื่องที่ 3 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการนำร่องแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซธรรมชาติ 1,000 คัน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นข้อเสนอโครงการนำร่องแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซธรรมชาติ 1,000 คัน เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของโครงการฯ ในวงเงิน 20 ล้านบาท โดย ปตท. ร่วมลงทุนในโครงการฯ ด้วย 30 ล้านบาท ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 12/2544 (ครั้งที่ 57) เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 และได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในรถแท็กซี่ ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและลดปริมาณมลพิษในไอเสียได้เป็นอย่างดี โดย ปตท. จะทำการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการใช้พลังงานระหว่างการใช้ก๊าซธรรมชาติกับน้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงในรถแท็กซี่ รวมถึงความแตกต่างระหว่างมลพิษที่เกิดขึ้นด้วย เพื่อให้ผู้ขับแท็กซี่ ตลอดจนประชาชนผู้ใช้บริการทั่วไป มีความเชื่อมั่นในการใช้ก๊าซธรรมชาติ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้ ปตท. เป็นทุนดำเนินงาน "โครงการนำร่องแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซธรรมชาติ 1,000 คัน" ในวงเงิน 20 ล้านบาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) โดยมีเงื่อนไขให้ ปตท. ต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ในประเด็นสำคัญ ดังนี้
(1) เพิ่มเติมระบบการบริหารจัดการที่ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าบริษัทที่จะเข้ามารับดำเนินการ ทั้งในส่วนของการจัดหาถังก๊าซธรรมชาติ การจัดหาและการติดตั้งอุปกรณ์ก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งการตรวจวัดและประเมินคุณภาพไอเสีย ซึ่งต้องมีคุณสมบัติเหมาะสมและสามารถดำเนินโครงการฯ ให้สำเร็จลงบรรลุตามเป้าหมาย และได้รับผลลัพธ์ที่มีความน่าเชื่อถือ
(2) เพิ่มเติมรายละเอียดของระบบเชื้อเพลิงทวิ (Bi-fuel) ที่เลือกใช้ให้ชัดเจน และระบุเหตุผลที่เลือกใช้ระบบดังกล่าว โดยเปรียบเทียบกับระบบเชื้อเพลิงทวิอื่นๆ ที่ไม่ได้รับการพิจารณานำมาใช้ในโครงการนี้ พร้อมทั้งแสดงวิธีการที่ ปตท. ใช้ตรวจสอบความเหมาะสมของเทคโนโลยีที่เลือกใช้ และระบุให้ชัดเจนในความเหมือนหรือแตกต่างของเทคโนโลยีที่เลือกใช้กับรถแท็กซี่ทั้ง 1,000 คัน ตลอดจนแสดงการเปรียบเทียบระหว่างเทคโนโลยีของชุด Conversion kit ที่เลือกใช้กับเทคโนโลยีแบบอื่นๆ ที่สามารถใช้กับระบบ Bi-fuel ได้ ในแต่ละด้าน เช่น ด้านเทคนิค ด้านค่าใช้จ่าย และด้านการบำรุงรักษา เป็นต้น
(3) เปรียบเทียบมวลสารมลพิษตามมาตรฐานสากล เช่น ทดสอบตามมาตรฐาน EURO เป็นต้น เพื่อจะได้ทราบค่ามวลสารมลพิษในหน่วยกรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งจะช่วยชี้วัดความสำเร็จโครงการฯ โดยเทียบเคียงได้กับค่ามาตรฐาน และควรเพิ่มเติมการเปรียบเทียบมวลสารมลพิษกับในกรณีที่ใช้น้ำมันเบนซิน และ LPG เป็นเชื้อเพลิงให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทั้งทางด้านอัตราการปล่อยมลพิษ อัตราการสึกหรอของเครื่องยนต์ การบำรุงรักษาเครื่องยนต์ และค่าใช้จ่าย
(4) หาก ปตท. สามารถดำเนินการตามข้อ (1)-(3) ได้ครบถ้วนแล้ว ปตท. ต้องปรับปรุงแผนงานของโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะอื่นๆ ตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ด้วย
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีก
เรื่องที่ 4 โครงการจัดตั้งศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ให้การสนับสนุนกิจกรรม/โครงการ ตลอดจนการเผยแพร่สื่อต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และกระตุ้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้พลังงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในช่วงที่ผ่านมา สพช. ยังขาดสถานที่ในการจัดกิจกรรมเผยแพร่ สาธิต วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน และพลังงานหมุนเวียนที่ถาวรและครบวงจร รวมถึงยังขาดศูนย์ข้อมูลทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 37) เมื่อวันอังคารที่ 21 มีนาคม 2543 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สพช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการศึกษาความเหมาะสมในการจัดตั้ง "ศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม" ในวงเงิน 2,822,500 บาท โดย สพช. ได้ดำเนินการขออนุญาตใช้พื้นที่ของกรมป่าไม้ อ. ปากท่อ จ. ราชบุรี บนเนื้อที่ประมาณ 463 ไร่ เพื่อจัดตั้งศูนย์ฯ แต่เนื่องจากในการขออนุญาตใช้พื้นที่จะต้องผ่านการดำเนินการหลายขั้นตอน และในแต่ละขั้นตอนต้องใช้เวลาในการพิจารณานานพอสมควร ทำให้แผนการดำเนินการจัดตั้งศูนย์ฯ ณ จ. ราชบุรี ต้องเลื่อนระยะเวลาออกไป
กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งอยู่ระหว่างการเตรียมสร้าง "อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร" ค่ายพระรามหก อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี จะทรงพระเจริญพระชนมายุครบ 4 รอบ เพื่อเป็นสถานที่เผยแพร่พระเกียรติคุณและพระปรีชาสามารถในด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม และมีความประสงค์ขอมอบที่ดินบางส่วนในเขตอุทยานฯ ให้แก่ สพช. เพื่อให้เป็นสถานที่จัดตั้งศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม และกองบัญชาการฯ ได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินกิจกรรมการเผยแพร่ความรู้ด้านพลังงานสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงานและพลังงานทดแทน ในวงเงิน 184,466,341 บาท และมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้รับการมอบหมายจาก สพช. ให้จัดทำการศึกษารายละเอียดแผนการดำเนินงานและกิจกรรมของศูนย์ฯ ได้จัดทำแผนฯ ดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยมีงบประมาณในการบริหารการจัดการปีที่ 1-5 ในวงเงิน 86,573,121 บาท
โครงการจัดตั้งศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม มีเป้าหมายเพื่อเป็นศูนย์กลางในการดำเนินการศึกษา วิจัย และพัฒนา สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงานและพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งเป็นสถานที่จัดทำ กิจกรรมเผยแพร่ความรู้ทางด้านการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งการดำเนินงานมีเป้าหมายให้มีผู้เข้ารับการฝึกอบรม ปีละประมาณ 1,200 คน และมี ผู้เข้าชมนิทรรศการปีละประมาณ 50,000 - 100,000 คน ซึ่งโครงการฯ แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1 การดำเนินงานและจัดกิจกรรมศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ในเบื้องต้นจะขอรับการสนับสนุน งบประมาณจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการและดำเนินกิจกรรมเป็นระยะเวลา 5 ปี และภายในระยะเวลา 5 ปี จะมีการบริหารจัดการและดำเนินกิจกรรมที่มุ่งไปในทิศทางที่จะทำให้สามารถมีรายได้เพื่อใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมเผยแพร่ในระยะต่อไปอย่างถาวร และลดการขอรับสนับสนุนจากกองทุนฯ ลงมาให้เหลือน้อยที่สุดโดยแผนงานการจัดกิจกรรมเผยแพร่ของศูนย์ฯ แบ่งออกเป็น 4 แผนงาน คือ (1) การบริหารจัดการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม (2) การจัดทำนิทรรศการและการสาธิต (3) การจัดทำค่ายฝึกอบรม และ (4) ห้องสมุดพลังงาน
ส่วนที่ 2 การก่อสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นสถานที่รองรับกิจกรรมในการดำเนินการของศูนย์ฯ โดยมีพื้นที่ในส่วนของอาคารนิทรรศการประมาณ 5,686 ตารางเมตร และส่วนอื่นๆ เช่น ลานจอดรถ พื้นที่เอนกประสงค์ ประมาณ 18,500 ตารางเมตร ซึ่ง ประกอบด้วย (1) โถงต้อนรับเพื่อให้ข้อมูลรวมนิทรรศการในอาคาร (2) โถงนิทรรศการข้อมูลโครงการในสมเด็จพระเทพฯ และนิทรรศการสิ่งแวดล้อม (3) โถงนิทรรศการพลังงาน 8 สถานี และ (4) อาคารประชุม บ้านพักผู้เข้ารับอบรม บ้านพักวิทยากร หอพัก ที่ทำการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าว เสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาแล้ว ในการประชุมครั้งที่ 2/2545 (ครั้งที่ 93) เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2545 ที่ประชุมเห็นชอบให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ ให้กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการก่อสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ในวงเงิน 184,466,341 บาท และเห็นชอบให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ ให้ สพช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการว่าจ้างการดำเนินงานและกิจกรรมของศูนย์ฯ ในวงเงิน 86,573,121 บาท และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์และห้องปฏิบัติการ ปีงบประมาณ 2545 ให้ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการก่อสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ค่ายพระรามหก อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ในวงเงิน 184,466,341 บาท โดยก่อนให้การสนับสนุนโครงการฯ ให้ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ดังนี้
(1) แจกแจงรายละเอียดและประมาณราคาการก่อสร้างอาคาร และระบบต่างๆ ทั้งหมดภายในอาคารให้ชัดเจน
(2) เพิ่มเติมรายละเอียดในส่วนของระบบไฟฟ้าโซล่าเซลล์ ว่าจะดำเนินการติดตั้งระบบเพื่อจ่ายไฟฟ้าให้พื้นที่ต่างๆ ในอาคารอย่างไร พร้อมแจกแจงรายละเอียดงบประมาณ
(3) การจัดจ้างที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญทางด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมเพื่อควบคุมการจัดทำเนื้อหาสาระที่จะเผยแพร่ในรูปนิทรรศการและสื่ออื่นๆ นั้น เห็นควรให้มีการประสานงานกับที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่างประเทศที่ดำเนินงานศูนย์สาธิตและอบรมด้านพลังงานในลักษณะดังกล่าว เช่น The Centre for Alternative Technology ประเทศอังกฤษ เป็นต้น เพื่อให้ข้อคิดเห็น ประสบการณ์ และแนะนำข้อมูล และวิทยาการที่ทันสมัยในด้านการอนุรักษ์พลังงานและเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน เพื่อจะนำมาเป็นประโยชน์ในการออกแบบและจัดทำข้อมูลนิทรรศการและสื่ออื่นๆ รวมถึงแนวทางการบริหารศูนย์ และให้นำเสนอ สพช. เพื่อให้ความเห็นชอบรายละเอียดข้อมูลก่อนจัดทำนิทรรศการและสื่อต่างๆ ที่จะเผยแพร่
(4) การบริหารควบคุมดูแลโครงการจัดตั้งศูนย์ฯ นอกเหนือจากเจ้าหน้าที่ของ ตชด. เห็นควรให้แต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและพลังงานหมุนเวียน ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดฝึกอบรมและจัดค่าย และผู้แทน สพช.ฯลฯ เป็นต้น เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารโครงการเพื่อช่วยควบคุมดูแล และเสนอแนะข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ และร่วมรับทราบความก้าวหน้าในการดำเนินการก่อสร้างและบริหารศูนย์ฯ
(5) ให้เพิ่มส่วนสาธิตเทคโนโลยีด้านพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบต่างๆ โดยให้พิจารณาขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่ทำงานด้านพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ เพื่อร่วมกันสาธิตเทคโนโลยี
(6) สำหรับค่าใช้จ่ายให้การดำเนินการว่าจ้างการดำเนินงานและกิจกรรมของศูนย์ ในวงเงิน 86,573,121 บาท นั้น เห็นควรให้ สพช. เพิ่มเติมรายละเอียดการดำเนินงาน และโครงสร้างการบริหาร จัดการกิจกรรมของศูนย์รวมถึงการจัดทำ cash flow เพื่อแสดงให้เห็นถึงรายรับและรายจ่ายที่คาดว่าจะต้องใช้ในการบริหารศูนย์ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าศูนย์ฯ สามารถดำเนินการต่อไปได้อย่างยั่งยืนภายหลังการสิ้นสุดการให้เงินสนับสนุนในปีที่ 5 ให้ชัดเจนก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อพิจารณาอนุมัติ อีกครั้ง
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบไว้ ในข้อ (1)-(5) โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอีก ส่วนข้อ (6) ให้นำกลับมาให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง ก่อนอนุมัติ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า หลังจากที่โครงการรุ่งอรุณได้ดำเนินงานเสร็จสิ้นลงเมื่อต้นปี 2544 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้นำผลการประเมินโครงการรุ่งอรุณเสนอต่อคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงานในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 10) เมื่อวันพุธที่ 14 มีนาคม 2544 โดยมี ศ.ดร. สิปปนนท์ เกตุทัต เป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อมิให้เกิดการชะงักงันของโครงการ
คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 24) เมื่อวันศุกร์ที่ 4 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบ แนวทางการดำเนินงานโครงการรุ่งอรุณ ระยะที่ 2 และเห็นชอบให้ สพช. ดำเนินการประกาศ เรื่อง การเปิดให้ทุนสนับสนุนองค์กร/หน่วยงานเพื่อมาทำหน้าที่บริหารโครงการฯ ดังกล่าว และ สพช. ได้จัดการประชุมเพื่อชี้แจงรายละเอียดการจัดทำข้อเสนอโครงการให้แก่หน่วยงานต่างๆ ที่สนใจมาดำเนินการบริหารโครงการ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2544 ณ ห้องประชุม ชั้น 3 สพช. ซึ่งมีหน่วยงานที่สนใจและได้ยื่นข้อเสนอโครงการฯ ต่อ สพช. 4 หน่วยงาน คือ(1) คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (2) สถาบันราชภัฎพระนครศรีอยุธยา (3) โครงการจัดตั้งสถาบันสังคมและสิ่งแวดล้อมศึกษา มหาวิทยาลัยบูรพา และ (4) สมาคมสร้างสรรค์ไทย
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 15/2544 (ครั้งที่ 89) เมื่อวันอังคารที่ 11 ธันวาคม 2544 ได้มีมติแต่งตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาข้อเสนอโครงการฯ ซึ่งประกอบด้วย (1) ศ. ดร. สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (2) นางกุลฑลรัตน์ รัตนสิงห์ (3) นายประเสริฐ หอมดี (4) ผศ. ศิริวัฒน์ สุนทโรทก และ นางพูนทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธ์ ซึ่งคณะผู้เชี่ยวชาญฯ และฝ่ายเลขานุการฯ ได้ร่วมกันพิจารณาข้อเสนอโครงการทั้ง 4 โครงการ แล้วปรากฏว่า สมาคมสร้างสรรค์ไทย ได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้เป็นผู้บริหารโครงการฯ เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่ได้รับคะแนนสูงสุด และฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 4/2545 (ครั้งที่ 93) เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2545 ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ และให้นำเสนอ คณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมให้โรงเรียนรุ่งอรุณระยะ 1 พัฒนาหลักสูตร และสื่อการเรียนการสอนด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมที่ได้รับในระยะแรกมาประยุกต์ใช้ให้เกิดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ชัดเจน และมีประสิทธิภาพ โดยจะดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้โรงเรียนที่เคยเข้าร่วมโครงการรุ่งอรุณในระยะแรก 600 โรงเรียน เพื่อเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนในการส่งเสริมการเรียนการสอนเรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยจะต้องมีการคัดเลือกโรงเรียนเพื่อรับทุน ในวงเงินไม่เกิน 200,000 บาทต่อโรงเรียน โดยโครงการฯ มีหลักการในการทำงานเพื่อขยายผลและต่อยอดจากโครงการรุ่งอรุณระยะแรก เพื่อให้มีการนำผลที่เกิดขึ้นแล้วไปปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาในการประชุมครั้งที่ 4/2545 (ครั้งที่ 93) เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2545 ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าการดำเนินงานโครงการรุ่งอรุณ ระยะที่ 2 จะทำให้เกิดความต่อเนื่องของการส่งเสริมกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมในระดับประถมและมัธยมศึกษา ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ โดยมีเงื่อนไขให้ สมาคมฯ พิจารณาดำเนินการและหาวิธีทางให้โรงเรียนที่จะเข้าร่วมโครงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงและต่อเนื่องจากโครงการในระยะแรก เพื่อให้มีการนำผลที่ได้เกิดขึ้นแล้วไปปฏิบัติให้เกิดประสิทธิผลยิ่งขึ้น
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์และห้องปฏิบัติการ ปีงบประมาณ 2545 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบแล้ว ให้ สมาคมสร้างสรรค์ไทย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการส่งเสริมกิจกรรม การเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์พลังงานฯในโรงเรียนระดับประถมและมัธยมศึกษา (โครงการรุ่งอรุณ ระยะที่ 2) ในวงเงิน 40,000,000 บาท โดยก่อนให้การสนับสนุนโครงการฯให้ สมาคมฯ จะต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ดังนี้
(1) สมาคมฯ พิจารณาดำเนินการและหาวิธีทางให้โรงเรียนที่จะเข้าร่วมโครงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงและต่อเนื่องจากโครงการในระยะแรก เพื่อให้มีการนำผลที่ได้เกิดขึ้นแล้วไปปฏิบัติให้เกิดประสิทธิผลยิ่งขึ้น
(2) ปรับเปลี่ยนชื่อโครงการเป็น "โครงการรุ่งอรุณ (ระยะที่ 2)" แทน โครงการรุ่งอรุณกับตาวิเศษ เนื่องจาก สพช. มีนโยบายที่จะให้เกิดความต่อเนื่องของโครงการ เพื่อโรงเรียนที่จะเข้าร่วมโครงการจะได้ไม่สับสน
(3) เพิ่มวิธีการและการดำเนินงานที่จะก่อให้เกิดการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่บูรณาการความรู้เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมเข้าไปในทุกระดับชั้น อย่างน้อยระดับชั้นละ 1 กลุ่มประสบการณ์ต่อรายวิชา
(4) หลักเกณฑ์ในการวิเคราะห์และพิจารณาโครงการของโรงเรียน ในประเด็นการพิจารณาข้อ 1 (หน้า 20) ให้เพิ่มประเด็น ดังนี้ "รายละเอียดแผนงานการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและ สิ่งแวดล้อม โดยเสนอ
แผนงานที่จะดำเนินการพัฒนาหลักสูตรและหรือการจัดทำแผนการสอนที่สามารถบูรณาการแนวคิดเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม
รายวิชา/กลุ่มประสบการณ์/ระดับชั้นที่จะดำเนินการตามแผนดังกล่าว
แนวทางการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรเพื่อมุ่งพัฒนาจิตสำนึกและพฤติกรรมให้เกิดการเรียนรู้เรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อม
(5) เพิ่มรายละเอียดวิธีการให้คะแนนโครงการของโรงเรียน โดยอาจจัดทำแบบฟอร์มการให้คะแนนเพื่อให้พิจารณาด้วย
(6) ก่อนที่คณะกรรมการโครงการรุ่งอรุณ จะดำเนินการคัดเลือกโรงเรียน ให้สมาคมฯประมวลและจัดลำดับคะแนนของโรงเรียนในเบื้องต้นก่อน แล้วนำเสนอคณะกรรมการโครงการฯ เพื่อพิจารณารายละเอียด และให้นำผลการพิจารณาคัดเลือกโรงเรียนเสนอต่อคณะกรรมการอำนวยการด้วย
(7) เพิ่มองค์ประกอบของคณะดำเนินงานฯ โดยการให้มีนักการศึกษามากขึ้น เพื่อจะช่วยในการวางแผนและดำเนินการเรื่องการพัฒนาและบูรณาการความรู้เรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อมเข้าไปในหลักสูตรท้องถิ่น
(8) กลุ่มเป้าหมายให้ประกอบด้วยโรงเรียนรุ่งอรุณเดิม 600 โรงเรียนและโรงเรียนอื่นๆ ที่ไม่เคยร่วมโครงการ แต่มีความพร้อมตามหลักเกณฑ์โดยไม่จำกัดเฉพาะโรงเรียนสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมดีเด่น เฉลิมพระเกียรติ
(9) ในการจัดอบรมเพื่อเพิ่มความรู้ให้กับครูและนักวิชาการท้องถิ่นให้มีการอบรมโดยเชิญ ผู้มีประสบการณ์การดำเนินงานโครงการรุ่งอรุณที่มีผลสำเร็จดีในด้านการบูรณาการการเรียนการสอนเรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อมมาร่วมให้ความรู้ เพื่อให้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนสำหรับโรงเรียนอื่นๆ
(10) สำหรับคณะนักวิชาการท้องถิ่นให้เพิ่มนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญหรือเกี่ยวข้องกับด้านพลังงานด้วย เพื่อเป็นที่ปรึกษาของโรงเรียน ซึ่งในโครงการรุ่งอรุณระยะที่ 1 ความรู้ด้านพลังงานที่โรงเรียนควรได้รับยังน้อยเกินไป ดังนั้น ในระยะที่ 2 จึงเห็นควรให้โรงเรียนสามารถจัดการเรียนรู้เรื่องพลังงานที่ถูกต้องให้มากยิ่งขึ้น
(11) ให้เพิ่มเติมรายละเอียดวิธีการดำเนินงานของคณะนักวิชาการท้องถิ่นในการประสานงานและให้คำปรึกษาแก่โรงเรียนในการพัฒนาการเรียนการสอน และสามารถให้การช่วยเหลืออย่างเป็นระบบและต่อเนื่องอย่างมีประสิทธิภาพ
(12) ให้พิจารณาเพิ่มดัชนีชี้วัดความสำเร็จของโครงการที่เป็นประเด็นสำคัญ ดังนี้
โรงเรียนมีการบูรณาการความรู้ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมเข้าไปในการเรียนการสอนทุกระดับชั้น
ครู นักเรียน บุคลากร มีจิตสำนึกและพฤติกรรมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
มีเครือข่ายการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมระหว่างโรงเรียน ชุมชน และหน่วยงาน ท้องถิ่นที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืนภายหลังสิ้นสุดโครงการ
(13) ให้เพิ่มเติมวิธีการประเมินผลโครงการ จะใช้วิธีอย่างไร
ในการประเมินความรู้ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นสำหรับกลุ่มเป้าหมายต่างๆทุกกลุ่ม
ในการประเมินจิตสำนึก และพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย
(14) ให้ปรับเปลี่ยนหรือปรับลดงบประมาณ ดังนี้
ให้ปรับลดค่าใช้จ่ายในการผลิตสื่อประชาสัมพันธ์โครงการลงโดยนำเงินที่ลดลงไปผลิตวารสารวิชาการและกิจกรรมของโครงการที่จะมุ่งเน้นให้สาระที่น่าสนใจด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม และเป็นเวทีแลกเปลี่ยนผลการดำเนินงานของโรงเรียนในโครงการ โดยให้ออกวารสารเป็นราย 2 เดือน และให้ สพช. ได้พิจารณาต้นฉบับก่อนการจัดพิมพ์เผยแพร่
ให้ปรับลดค่าอาหาร/อาหารว่าง และค่าสถานที่ในทุกกิจกรรมลง เนื่องจากมีอัตราสูงโดยให้ใช้อัตราตามระเบียบราชการ
ในการสัมมนาวิเคราะห์สถานการณ์และการดำเนินกิจกรรมของโรงเรียนที่ไม่ผ่านการคัดเลือก 90 โรงเรียน ขอให้ปรับเปลี่ยนกิจกรรมนี้เป็นการเสริมความรู้ด้านการจัดการเรียนการสอนกิจกรรมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมสำหรับครู แกนนำ นักเรียน และแกนนำชุมชน
ค่าใช้จ่ายในการจัดทำวีดิโอผลงานโครงการ 500,000 บาท ให้ปรับลดลง โดยให้นำเงินส่วนที่ลดลงไปจัดทำเอกสารเพื่อรวบรวมฐานการเรียนรู้หรือสื่อการเรียนรู้เรื่องพลังงานในท้องถิ่น เพื่อแจกจ่ายให้กับโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอีก
ผู้แทนกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ( พพ.) ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ในระหว่างปี 2539-2544 พพ. ได้ร่วมมือกับสำนักงานความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาแห่งประเทศเดนมาร์ก (DANCED) เพื่อทำการศึกษาและจัดทำแนวทางการส่งเสริมการลงทุนในโครงการมาตรการมาตรฐาน (Standard Measures) ที่ได้รับการพิสูจน์และยอมรับทางด้านเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานแล้ว จำนวน 11 มาตรการ และพพ. ได้ดำเนินการจัดทำเป็นโครงการนำร่องการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานและอาคารธุรกิจที่ไม่อยู่ในข่ายควบคุม เพื่อเป็นการสาธิตและทดสอบผลประหยัดพลังงาน แล้วนำมาเปรียบเทียบกับผลจากการคำนวณของมาตรการมาตรฐานของเทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงานทั้ง 11 มาตรการ ที่ พพ. และ DANCED ได้เคยทำการศึกษา โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 10 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ โดยกองทุนฯ จะให้การสนับสนุนเงินช่วยเหลือให้เปล่าแก่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ 30% ของเงินลงทุนในแต่ละมาตรการ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งสิ้น 26 ราย ซึ่งผลจากการดำเนินการสามารถประหยัดไฟฟ้าได้ประมาณ 1.736 ล้านหน่วยต่อปี
พพ. จึงได้จัดทำโครงการมาตรการมาตรฐานเป็นโครงการนำร่องในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม โดย พพ. ได้กำหนดหลักเกณฑ์และจำนวนเงินที่จะให้การสนับสนุน ซึ่งจะให้การสนับสนุนเป็นเงินอุดหนุนการลงทุนแต่ละมาตรการคิดเป็นร้อยละ 30 ของค่าใช้จ่ายในการลงทุนจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 30 ของราคามาตรฐานที่ พพ. กำหนด และมีระยะเวลาคืนทุนไม่เกิน 7 ปี ทั้งนี้ วงเงินที่แต่ละรายจะได้รับการสนับสนุนไม่เกิน 2 ล้านบาท นอกจากมาตรฐาน (Standard Measures) แล้ว พพ. ก็ยังได้กำหนดให้มีการสนับสนุนในมาตรการประหยัดพลังงานอื่นๆ (Individual Project : IP) แต่จะต้องมีการพิจารณาศักยภาพการอนุรักษ์พลังงาน แนวทางการตรวจวัดและประเมินผล และผลตอบแทนการลงทุน ทั้งนี้จะพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป โดยผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการดำเนินโครงการฯ จะสามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 53 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นเงินประมาณ 133 ล้านบาทต่อปี และสามารถลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุดประมาณ 12 MW โดยมีแนวทางการดำเนินการของโครงการฯ ดังนี้
(1) พพ. จะคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษาเพื่อบริหารโครงการ จำนวน 2 ราย ดำเนินการตามขอบเขตงานที่ พพ. กำหนด โดยคัดเลือกจากภาครัฐและรัฐวิสาหกิจรวมถึงหน่วยงานเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร
(2) กำหนดวงเงินค่าใช้จ่าย 130 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินสนับสนุนการลงทุน 100 ล้านบาท ที่เหลือเป็นค่าบริหาร ประชาสัมพันธ์ และประเมินผล ประมาณ 30 ล้านบาท
(3) อาคารควบคุมและโรงงานควบคุม ที่จะดำเนินการตามโครงการนี้ยังต้องปฏิบัติตาม พรบ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 โดยสามารถระบุผลการดำเนินการที่ได้รับการดำเนินการจากโครงการนี้ในขั้นตอนการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานได้
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 2/2545 (ครั้งที่ 23) เมื่อวันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ 2545 ได้พิจารณาโครงการส่งเสริมการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานสำหรับโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม (นำร่อง) แล้ว เห็นชอบในหลักการและให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ พพ. ดำเนินการโครงการส่งเสริมการลงทุนด้าน อนุรักษ์พลังงานสำหรับโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม (นำร่อง) ตามแนวทางและวิธีดำเนินงานที่ พพ. เสนอ
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม) รายการค่าบริหารและสนับสนุนโครงการ ในวงเงิน 130 ล้านบาท (หนึ่งร้อยสามสิบล้านบาท) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานสำหรับโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม (นำร่อง) ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนเงินลงทุนฯ จำนวน 100 ล้านบาท (หนึ่งร้อยล้านบาท) และค่าบริหาร ประชาสัมพันธ์ และประเมินผล จำนวน 30 ล้านบาท (สามสิบล้านบาท)
เรื่องที่ 7 ขออนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าในโครงการ "ประหยัดไฟกำไรต่อ" (เพิ่มเติม)
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 24) เมื่อวันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2544 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2545 ให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในวงเงิน 408,999,000 บาท และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ในวงเงิน 289,166,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนลดค่าไฟฟ้า โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" โดยมีระยะเวลาในการดำเนินโครงการ ฯ 1 ปี เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 2544 - สิงหาคม 2545 ซึ่งผลการดำเนินงานของโครงการ ระยะเวลา 5 เดือนที่ผ่านมา (เดือนกันยายน 2544 - มกราคม 2545) มีผู้ใช้ไฟฟ้าสนใจเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก โดยมีผู้ที่สามารถได้รับส่วนลดที่เกิดจากการประหยัดการใช้ไฟฟ้าได้ เป็นจำนวนสูงกว่าประมาณการที่ได้ตั้งไว้ ทำให้จำนวนเงินรางวัลส่วนลดค่าไฟฟ้าที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติให้กับ กฟภ. และ กฟน. ไม่เพียงพอ ซึ่งผลการดำเนินการที่ผ่านมา (เดือนกันยายน 2544 - มกราคม 2545) สรุปได้ ดังนี้
(1) กฟภ. ได้ทำการรณรงค์ โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ตั้งแต่เดือนกันยายน 2544 ถึง มกราคม 2545 สรุปผลได้ว่า จากจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งหมดประมาณ 10.7 ล้านครัวเรือน ทุกจังหวัดทั่วประเทศ (ยกเว้นเขตจังหวัดกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และนนทบุรี) มียอดจำนวนครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการเริ่มตั้งแต่ประมาณ 1.9 ล้านครัวเรือนในเดือนกันยายน และเพิ่มขึ้นถึง 6.1 ล้านครัวเรือนในเดือนมกราคม 2545 สามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้ประมาณ 937.44 ล้านหน่วย คิดเป็นเงินค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้ประมาณ 2,756.126 ล้านบาท
(2) กฟน. ได้ทำการรณรงค์ โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ตั้งแต่เดือนกันยายน 2544 ถึง มกราคม 2545 สรุปผลได้ว่า จากจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งหมดประมาณ 1.8 ล้านครัวเรือน ในเขตจังหวัดกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และนนทบุรี มียอดจำนวนครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการเริ่มตั้งแต่ประมาณ 0.34 ล้านครัวเรือนในเดือนกันยายน 2544 และเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 1.1 ล้านครัวเรือนในเดือนมกราคม 2545 สามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้ประมาณ 512.11 ล้านหน่วย คิดเป็นเงินค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้ประมาณ 1,627.67 ล้านบาท
กฟภ. ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในเขตพื้นที่จำหน่ายไฟฟ้าภูมิภาค ในโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" เพิ่มเติม ในวงเงิน 918,839,000 บาท และ กฟน. ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในเขตพื้นที่จำหน่ายไฟฟ้านครหลวง ในโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" เพิ่มเติม ในวงเงินรวม 223,914,260 บาท แบ่งเป็นค่าส่วนลดไฟฟ้า 223,440,000 บาท และส่วนการประชาสัมพันธ์ 474,260 บาท โดย กฟภ. และ กฟน. ได้ปรับแผนประมาณการส่วนลดค่าไฟฟ้า ในช่วงระยะเวลาการดำเนินโครงการเดือนกุมภาพันธ์ - สิงหาคม 2545 ดังนี้
(1) กฟภ. คาดว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2545 ประมาณ 59% ของผู้ใช้ไฟฟ้า สามารถประหยัดได้ 38% สำหรับเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2545 ประมาณ 18% ของผู้ใช้ไฟฟ้า สามารถประหยัดได้ 15% และเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2545 ประมาณ 60% ของผู้ใช้ไฟฟ้า สามารถประหยัดได้ 35% คิดเป็นเงินรางวัลส่วนลดค่าไฟฟ้าที่ต้องใช้เป็นจำนวนประมาณ 803.765 ล้านบาท (เดือนกุมภาพันธ์-สิงหาคม 2545) รวมกับค่าส่วนลดค่าไฟฟ้าส่วนขาด (เดือนกันยายน 2544 - มกราคม 2545) จำนวน 115.074 ล้านบาท ซึ่งรวมเป็นเงินงบประมาณ ค่าส่วนลดค่าไฟฟ้าที่ต้องการขอรับการสนับสนุนเพิ่มจำนวน 918.839 ล้านบาท
(2) กฟน. คาดว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2545 ประมาณ 40% ของผู้ใช้ไฟฟ้า สามารถประหยัดได้ 20% สำหรับเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2545 ประมาณ 5%-10% ของผู้ใช้ไฟฟ้า สามารถประหยัดได้ 10% และเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2545 ประมาณ 30% ของผู้ใช้ไฟฟ้า สามารถประหยัดได้ 20% คิดเป็นเงินรางวัลส่วนลด ค่าไฟฟ้าที่จะต้องใช้เป็นจำนวนประมาณ 164.75 ล้านบาท (เดือนกุมภาพันธ์ - สิงหาคม 2545) รวมกับค่าส่วนลดค่าไฟฟ้าส่วนขาด (เดือนกันยายน 2544 - มกราคม 2545) จำนวน 58.69 ล้านบาท ซึ่งรวมเป็นเงินงบประมาณส่วนลดค่าไฟฟ้าที่จะขอรับการสนับสนุนเพิ่ม จำนวน 223.44 ล้านบาท
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2545 เมื่อ วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2545 เพื่อพิจารณา และได้มีมติเห็นชอบให้เพิ่มวงเงิน ในโครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ ให้ กฟภ.ในวงเงิน 918,839,000 บาท เพื่อเป็นค่าส่วนลดค่าไฟฟ้า และให้ กฟน. ในวงเงินรวม 223,914,260 บาท แบ่งเป็นค่าส่วนลดค่าไฟฟ้า จำนวน 223,440,000 บาท และส่วนการประชาสัมพันธ์ (ค่าจัดพิมพ์จดหมาย ปิดผนึกและจัดส่งให้ผู้ใช้ไฟฟ้าเพิ่มเติม) จำนวน 474,260 บาท โดยให้ สพช. ติดตามประเมินผลของโครงการโดยเร็ว เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของผู้ใช้ไฟฟ้าที่สามารถประหยัดไฟฟ้าได้ และมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้ไฟฟ้า และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2545 ให้ กฟภ. และ กฟน. เพื่อเป็นค่าส่วนลดค่าไฟฟ้าในโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" เพิ่มเติม โดยสนับสนุนให้ กฟภ. ในวงเงิน 918,839,000 บาท และให้ กฟน. ในวงเงินรวม 223,914,260 บาท แบ่งเป็นค่าส่วนลดค่าไฟฟ้า จำนวน 223,440,000 บาท และส่วนการประชาสัมพันธ์ (ค่าจัดพิมพ์จดหมายปิดผนึกและจัดส่งให้ผู้ใช้ไฟฟ้าเพิ่มเติม) จำนวน 474,260 บาท
เรื่องที่ 8 โครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2544 ได้มีมติอนุมัติให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 ให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ในวงเงิน 33,073,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยได้ดำเนินการปิดถนนสีลม ทุกวันอาทิตย์ ระหว่างวันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน 2544 ถึง วันอาทิตย์ที่ 30-31 ธันวาคม 2544 ภายใต้ชื่อโครงการว่า "7 มหัศจรรย์ที่สีลม" และจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มาร่วมงานบนถนนสีลม จำนวน 1,200 ตัวอย่าง สรุปผลการประเมินโครงการในภาพรวมได้ว่าประชาชนเห็นด้วยกับการรณรงค์ตามโครงการฯ นี้ จำนวนร้อยละ 85 ทั้งนี้ เห็นว่าเกี่ยวข้องกับการช่วยประหยัดพลังงานร้อยละ 81 ลดมลพิษร้อยละ 86 และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวร้อยละ 79 นอกจากนี้ประชาชนยังเห็นด้วยกับการสนับสนุนให้มีโครงการลักษณะนี้ต่อไปที่ถนนสีลมทุกๆ วันอาทิตย์ร้อยละ 87 ซึ่งนับได้ว่าการดำเนินโครงการบรรลุตามวัตถุประสงค์ได้เป็นที่น่าพอใจ
คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ มีมติให้ดำเนินการโครงการปิดถนนสีลมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นถนนคนเดินที่ยั่งยืน โดยดำเนินการตามแผนระยะกลาง ตั้งแต่เดือนมกราคม - ธันวาคม 2545 และให้ขยายผลสำเร็จของโครงการนี้ไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ โดยเริ่มที่ถนนท่าแพ จังหวัดเชียงใหม่เป็นสายแรก เริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ ถึง 7 เมษายน 2545 ภายใต้ชื่อ "10 มหัศจรรย์ล้านนาที่ท่าแพ" ซึ่งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 1/2545 (ครั้งที่ 90) เมื่อวันพุธที่ 23 มกราคม 2545 ได้มีมติอนุมัติให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อสมทบเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปิดถนนสีลม ในวงเงิน 7,800,000 บาท และให้สำนักงานจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสมทบเป็นค่าใช้จ่าในการดำเนินโครงการปิดถนนท่าแพ ในวงเงิน 3,500,000 บาท และต่อมาได้มีหน่วยงานต่างๆ สนใจที่จะดำเนินโครงการฯ ในลักษณะดังกล่าว ดังนี้
(1) สำนักงานจังหวัดภูเก็ต ได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว ณ บริเวณถนนถลาง อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ในระหว่างเดือนเมษายน ถึงเดือนกันยายน 2545 รวม 26 ครั้ง ในวงเงิน 10,000,000 บาท
(2) จังหวัดลำปาง ได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ "มหัศจรรย์ก๋องปู่จา..ล้านนาไทย" เพื่อสืบสานวัฒนธรรมระดับชุมชนอย่างมีระบบ รวมถึงการตอบสนองนโยบายการประหยัดพลังงานและลดมลพิษ ในวงเงิน 5,000,000 บาท
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าว เสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน เพื่อพิจารณา กำหนดกรอบการให้การสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 4/2545 (ครั้งที่ 93) เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2545 ที่ประชุมเห็นว่าโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงานฯ เป็นโครงการที่รัฐบาล และ สพช. มีเป้าหมายที่จะขยายผลไปสู่ภูมิภาคอื่นๆ ที่เหมาะสม ซึ่งคาดว่าจะมีภูมิภาคที่มีความเหมาะสมประมาณ 6 แห่ง ได้แก่ ภูเก็ต ถนนลาดหญ้า ถนนเยาวราช หาดใหญ่ นครราชสีมา และขอนแก่น
ดังนั้น เพื่อให้การพิจารณาโครงการปิดถนนฯ ที่ภูมิภาคต่างๆ เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คล่องตัว และทันต่อระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ จึงเห็นควรกำหนดขอบเขตในการพิจารณาให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ สำหรับโครงการปิดถนนฯ โดยให้คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ เป็นผู้พิจารณากลั่นกรองและอนุมัติวงเงินตามแผนรายละเอียด ระยะเวลา การดำเนินงานและงบประมาณของโครงการปิดถนนฯ ที่ภูมิภาคต่างๆ เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยให้สอดคล้องกับเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานเป็นหลัก ทั้งนี้ กำหนดกรอบการอนุมัติงบประมาณการดำเนินการโครงการฯ ในแผนระยะแรก ในวงเงินแห่งละประมาณ 15 ล้านบาท และนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบต่อไป
มติที่ประชุม
อนุมัติในหลักการให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แก่ภูมิภาคต่างๆ ที่ขอรับการสนับสนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปิดถนนฯ ในภูมิภาคนั้นๆ ในวงเงินแห่งละไม่เกิน 10 ล้านบาท โดยให้คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นผู้พิจารณา และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบต่อไป
ผู้แทนกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ 4/2542 (ครั้งที่ 70) เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2542 ได้เห็นชอบแผนงานอนุรักษ์พลังงานและแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับโครงการประชาสัมพันธ์ระหว่างปี 2543-2547 ในส่วนที่กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ. ) รับผิดชอบตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ เสนอ รวมเป็นเงิน 452.5 ล้านบาท (90.5 ล้านบาทต่อปี) โดยในทางปฏิบัติ พพ. จะต้องจัดทำแผนปฏิบัติการฯ และค่าใช้จ่ายในโครงการดังกล่าวแต่ละปีเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาก่อนดำเนินการ
พพ. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ทั้งระยะสั้นและระยะยาวของโรงงาน/อาคารควบคุม โดยแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ของ พพ. ปีงบประมาณ 2545 ได้กำหนดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งเน้นให้มีความสอดคล้องและสามารถตอบสนองวัตถุประสงค์ กลุ่มเป้าหมายที่วางไว้ โดยแบ่งกิจกรรมดังกล่าวออกเป็น 5 หมวด
(1) หมวดการประชาสัมพันธ์หลักผ่านสื่อมวลชน: ประกอบด้วยกิจกรรมประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง 4 กิจกรรม คือ สื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ สิ่งพิมพ์และจัดซื้อเนื้อที่ และสื่ออื่นๆ
(2) หมวดการประชาสัมพันธ์สนับสนุนผ่านสื่อมวลชน: ประกอบด้วยกิจกรรมประชาสัมพันธ์สนับสนุนสื่อมวลชน 6 กิจกรรม คือ แถลงข่าวเปิดตัว พพ. และโครงการ สัมภาษณ์ผู้บริหารขึ้นปกนิตยสาร รายงานพิเศษผ่านสื่อ นสพ. และนิตยสาร ข่าวและภาพประชาสัมพันธ์ สื่อมวลชนสัญจร และประกวดคำขวัญอนุรักษ์พลังงาน
(3) หมวดการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่อเนื่อง: ประกอบด้วยกิจกรรมประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่อเนื่อง 3 กิจกรรม คือ สารคดีสั้นทางโทรทัศน์ สารคดีสั้นทางวิทยุ และการพัฒนาข้อมูล ข่าวสารด้านการประชาสัมพันธ์ในสื่ออินเตอร์เนต
(4) หมวดกิจกรรมกระตุ้นตรงต่อกลุ่มเป้าหมาย: ประกอบด้วยกิจกรรม 7 กิจกรรม คือ ทีมเผยแพร่ การพัฒนาศูนย์ข้อมูลและสายด่วน พพ. วารสารพลังงาน จัดนิทรรศการในงานแสดงสินค้า สัปดาห์อนุรักษ์พลังงาน คู่มือและชุดความรู้ นิทรรศการและสัมมนากลุ่มโรงงาน
(5) หมวดงานยุทธ์ศาสตร์: ประกอบด้วย กิจกรรมการประเมินผลและวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคการเข้าร่วมโครงการอนุรักษ์พลังงาน กิจกรรมประเมินผลแผนประชาสัมพันธ์ และที่ปรึกษาด้านแผนการประชาสัมพันธ์
โดยมีวงเงินงบประมาณดำเนินการตามแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ฯ ปีงบประมาณ 2545 รวมทั้งสิ้น 175 ล้านบาท (หนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าล้านบาท)
พพ. ได้นำแผนดังกล่าวเสนอต่อ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ พิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 2/2545 (ครั้งที่ 23) เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2545 ที่ประชุมได้พิจารณาแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบแล้ว เห็นชอบในแผนปฏิบัติการฯ และวงเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าวตามที่ พพ. เสนอ ทั้งนี้ ให้ พพ. จัดทำขอบเขตและเงื่อนไขในการว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการโครงการประชาสัมพันธ์ตามแผนปฏิบัติการฯ ให้มีรายละเอียดที่ชี้ให้เห็นถึงผลที่คาดว่าจะได้รับ ตลอดจนวิธีการวัดผลจากการดำเนินงาน ตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ ที่ได้ให้ไว้ ก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป ซึ่ง พพ. ได้ดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ แล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
ให้ พพ. ร่วมหารือกับ สพช. และนายพรายพล คุ้มทรัพย์ เพื่อกำหนดกรอบ และวิธีการที่ พพ. จะต้องดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ชัดเจนว่า กิจกรรมและกลุ่มเป้าหมายที่จะทำการประชาสัมพันธ์ต้องไม่ซ้ำซ้อนกับที่ สพช. ได้ดำเนินการอยู่ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอีกครั้ง
อนุ กอ. ครั้งที่ 4 - วันจันทร์ที่ 4 ธันวามคม 2549
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 4)
วันที่ 4 ธันวาคม 2549 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิติพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. รายงานประมาณการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 และรายงานงบการเงินที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรองแล้ว ประจำปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2548 และ 2547
2. ขอความเห็นชอบในการจัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 ปีงบประมาณ 2550
3. ขอความเห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม
4. ขอความเห็นชอบเพิ่มวงเงินทุนการศึกษาในประเทศและต่างประเทศ
5. เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล รองผู้อำนวยการฯ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน อนุกรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานประมาณการรับ-จ่าย เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 คงเหลือ ณ วันที่ 30 กันยายน 2549 ดังนี้
เงินคงเหลือ ณ วันที่ 30 กันยายน 2549 | 4,915.24 |
บวก ประมาณการรายรับ ปี 2550 | 1,400.00 |
รวมเงินคงเหลือ | 6,315.24 |
หัก ประมาณการรายจ่าย ปี 2550 | (5,141.18) |
ประมาณการเงินคงเหลือ ณ วันที่ 30 ก.ย.2550 | 1,174.06 |
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุม เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2547 ได้อนุมัติกรอบแผนอนุรักษ์พลังงานฯ ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) ตามข้อเสนอของคณะกรรมการกองทุนฯ โดยมีเป้าหมายตามยุทธศาสตร์พลังงานของประเทศที่จะลดอัตราส่วนการใช้พลังงานต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจาก 1.4:1 เป็น 1:1 ภายในปี 2551 และเพิ่มอัตราส่วนการใช้พลังงานทดแทนจากร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 8 ภายในปี 2554 ซึ่งผลการดำเนินการที่ผ่านมาในปี 2548 และปี 2549 คาดว่าจะลดการใช้พลังงานได้ 2,490 ktoe/ปี หรือคิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 47,310 ล้านบาท การใช้พลังงานต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจปรับจาก 1.4:1 เป็น 1.2:1 และเพิ่มอัตราส่วนการใช้พลังงานทดแทนจากร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 3
2. การจัดทำแผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ที่นำเสนอในครั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้จัดทำขึ้นตามกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) ที่ กพช. ได้เห็นชอบไว้ และปรับปรุงโดยเร่งรัดแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมให้สอดคล้องกับนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน และ จะขอจัดตั้งเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำเพื่อการลงทุนด้านพลังงานทดแทนโดยเฉพาะ มีเป้าหมายที่จะทำให้นโยบายด้านพลังงานตามมาตรการระยะสั้นเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจังในปี 2550 ตามขอบเขตการดำเนินงานดังนี้
2.1 แผนเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน: ดำเนินการทั้งภาคการขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจและที่อยู่อาศัย ภาครัฐ เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ดังนี้
2.1.1 ภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ
(1) งานปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
1) เร่งรัดดำเนินการให้โรงงานควบคุม/อาคารควบคุม ที่กำลังใช้งาน ดำเนินการตามข้อกำหนดตามกฎกระทรวงอย่างเคร่งครัด
2) ออกมาตรฐานการใช้พลังงานในอาคารที่ยื่นแบบขออนุญาตก่อสร้างใหม่ และอบรมบุคลากรที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถตรวจสอบแบบก่อสร้างให้เป็นไปตามมาตรฐานการใช้พลังงานในอาคาร รวมถึงการตรวจสอบและรับรองแบบ
3) เร่งให้มาตรา 9 มีผลบังคับใช้กับโรงงานควบคุม โดยออกกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานการจัดการพลังงานในโรงงานควบคุม เพื่อใช้แทนเกณฑ์การใช้พลังงานในโรงงานควบคุม และนำแนวทางดังกล่าวไปประกาศใช้กับอาคารควบคุมด้วย
4) ปรับขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายกับอาคาร/โรงงาน โดยจัดกลุ่มและปรับเกณฑ์การบังคับอาคาร/โรงงานควบคุมตามขนาดของอาคาร/โรงงาน และแยกอาคารส่วนราชการ (ไม่รวมอาคารของรัฐวิสาหกิจ) ออกจากกรอบของการควบคุมตามพระราชกฤษฎีกาอาคารควบคุม เนื่องจากโครงสร้างของส่วนราชการทั้งด้านคนและงบประมาณไม่เอื้อต่อการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.อนุรักษ์พลังงานฯ
(2) งานส่งเสริมและสาธิต
1) กระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจลงทุนในการอนุรักษ์พลังงาน โดยดำเนินงานต่อเนื่องตามมาตรการจูงใจที่รัฐจัดเตรียมไว้ เช่น มาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษี การอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม และเงินทุนหมุนเวียนการอนุรักษ์พลังงาน
2) ส่งเสริมการลงทุนเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานใหม่ๆ ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประหยัดพลังงานในภาคอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจ ซึ่งรัฐอาจจะสนับสนุนเงินลงทุนบางส่วนในปีแรก แล้วนำใช้เป็นมาตรการมาตรฐานเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจลงทุนในการอนุรักษ์พลังงาน ตามมาตรการจูงใจที่รัฐจัดเตรียมไว้ข้างต้นต่อไป
2.1.2 ภาครัฐ : กำกับดูแลติดตามและช่วยเหลือทุกส่วนราชการและจังหวัดเพื่อดำเนินการลดใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงให้ได้ตามเป้าหมายร้อยละ 10-15 เมื่อเทียบกับปริมาณการใช้ปี 2546 หรือตามเกณฑ์ที่ สนพ. กำหนด
2.1.3 ภาคขนส่ง
1) สนับสนุนเชิงนโยบายให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการจัดทำระบบขนส่งมวลชนและระบบขนส่งสินค้า ให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้
2) ส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชนให้มากขึ้น โดยในปี 2550 จัดเตรียมพื้นที่จอดแล้วจรเพิ่มขึ้นในพื้นที่ชานเมือง และอำนวยความสะดวกด้วยรถให้บริการต่างๆ สำหรับเดินทางเข้าสู่เมือง
3) สนับสนุนภาคอุตสาหกรรมและหอการค้าไทย พัฒนาศักยภาพของคลังสินค้าและศูนย์ขนถ่ายสินค้า เพื่อสาธิตระบบโลจิสติกส์ในภาคการผลิตและธุรกิจไปสู่การปฏิบัติจริง รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ขนาดเล็กของไทยให้พัฒนายกระดับได้มาตรฐานและเพิ่มสัดส่วนมากขึ้น
2.1.4 การจัดการใช้พลังงาน
1) ศึกษาการจัดตั้งสำนักงานบริหารจัดการด้านมาตรฐานการใช้พลังงานแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการจัดการใช้พลังงานของประเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายและแผนปฏิบัติงานที่ต่อเนื่องทั้งระยะสั้นและระยะยาว ที่มีกฎระเบียบขององค์กรเองที่เอื้อต่อการปฏิบัติงานให้เป็นไปอย่างคล่องตัว
2) ในช่วงการเปลี่ยนผ่านเพื่อจัดตั้งสำนักงานบริหารจัดการด้านมาตรฐานการใช้พลังงานฯ ให้มีคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อกำกับดูแลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการติดฉลากอุปกรณ์ที่มีการศึกษาเกณฑ์มาตรฐานไว้แล้ว
3) ประสานกับกระทรวงการคลังเพื่อขอสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี ทั้งด้าน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมสรรพากร ที่จะเป็นกลไกผลักดันทางการตลาด กระตุ้นให้เกิดการผลิต นำเข้า จำหน่าย หรือซื้อ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยให้แล้วเสร็จภายในปี 2550
4) ประสานกับ สมอ. เพื่อเร่งแก้ไขกฎหมายเพื่อให้การพิจารณากำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพด้านพลังงานด้วย
2.1.5 งานศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงาน และโครงการสาธิตอื่นๆ
- สนับสนุนให้สถาบันการศึกษา ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรเอกชน ดำเนินการเพื่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน เช่น การศึกษาเชิงนโยบาย การศึกษาเพื่อลดการใช้พลังงานในการผลิตสินค้า การจัดการด้านการจราจรและผังเมืองเพื่อการลดการใช้พลังงานในการขนส่ง นโยบายภาษีเพื่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน การวิจัยเครื่องยนต์ต้นแบบที่มีประสิทธิภาพสูง การพัฒนาแนวทางเพื่อส่งเสริมธุรกิจการบริการด้านอนุรักษ์พลังงาน เป็นต้น โดย สนพ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ และประกาศให้ผู้ที่มีความประสงค์จะขอรับการสนับสนุนให้ยื่นข้อเสนอต่อ สนพ. ซึ่งจะกลั่นกรองข้อเสนอ โดยอาจจะมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาช่วยพิจารณาก็ได้ ก่อนนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบในการดำเนินงาน และ สนพ. จะเป็นผู้ติดตามการดำเนินงานของโครงการด้วย
2.2 แผนพลังงานทดแทน
เร่งดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้เกิดการนำพลังงานทดแทนมาใช้มากขึ้น ดังนี้
2.2.1 ใช้พลังงานอื่นแทนน้ำมัน
ส่งเสริมการใช้ NGV แก๊สโซฮออล์ ไบโอดีเซล ให้เป็นไปตามนโยบายที่รัฐกำหนด ในทุกด้าน
2.2.2 ใช้พลังงานหมุนเวียน
1) สนับสนุนให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น วัสดุเหลือใช้จากการเกษตร ของเสียจากอุตสาหกรรม ก๊าซชีวภาพ ขยะ ลม พลังงานแสงอาทิตย์ ในสัดส่วนและราคาที่เหมาะสม โดยเร่งออกประกาศขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตขนาดเล็กมาก และการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
2) สนับสนุนผู้ประกอบการในการลงทุนด้านพลังงานทดแทน ที่ครอบคลุมทุกเทคโนโลยี โดยจัดสรรเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำจากกองทุนฯ ไว้เป็นการเฉพาะ ในวงเงินรวม 2,000 ล้านบาท
3) ส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนในชุมชน โดยคำนึงถึงศักยภาพและตรงกับความต้องการที่แท้จริงของชุมชน เทคโนโลยีดูแลไม่ยาก ต้นทุนไม่สูง มีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นอาชีพในท้องถิ่นนั้น
4) ประสานกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อหารือแนวทางให้การพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการด้านพลังงานหมุนเวียนผ่านการประเมินโดยระยะเวลาและขั้นตอนลดลง
2.2.3 พลังงานแสงอาทิตย์
1) ส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่ห่างไกลสายส่ง โดยหน่วยงานขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมที่จะดำเนินการเอง เช่น กระทรวงศึกษาฯ กระทรวงทรัพย์ฯ เป็นต้น กระทรวงพลังงานจะสนับสนุนเฉพาะเรื่องออกแบบข้อกำหนดรายละเอียด ราคากลาง ข้อมูลทางเทคนิค เท่านั้น และติดตามตรวจสอบการทำงานของระบบที่ใช้งานอยู่ให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
2) ส่งเสริมการใช้พลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ร่วมกับพลังงานความร้อนเหลือทิ้งจากเครื่องปรับอากาศ
3) ศึกษาและพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานความร้อนแสงอาทิตย์ร่วมกับพลังงานชีวมวล เพื่อทราบศักยภาพพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์มาผลิตไฟฟ้า
4) สำรวจติดตามตรวจสอบการทำงานของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใช้งานอยู่ให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
2.2.4 พลังลม
เร่งศึกษาแผนที่ศักยภาพพลังงามลมเฉพาะแหล่งให้ครบทุกภาคของประเทศไทย โดยมีข้อมูลและรายละเอียดที่สร้างความเชื่อมั่นในการตัดสินใจลงทุนพัฒนาพลังงานลมในการผลิตไฟฟ้า และสาธิตนำร่องการใช้กังหันลมขนาดเล็กสูบน้ำและผลิตไฟฟ้าในระดับชุมชน
2.2.5 พลังน้ำ
เร่งวางแผนพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อให้เกิดการนำมาใช้ประโยชน์ในการผลิตเป็นพลังงานให้ได้มากที่สุดโดยเร็ว
2.2.6 ก๊าซชีวภาพ
1) กำกับดูแลติดตามการดำเนินงานส่งเสริมการนำน้ำเสียจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์มาผลิตเป็นก๊าซชีวภาพ และเร่งพัฒนาให้มีการนำก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้ไปใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
2) ส่งเสริมการใช้ระบบก๊าซชีวภาพขนาดเล็ก เพื่อจัดการนำขยะอินทรีย์ หรือน้ำเสีย ในชุมชน ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดเล็ก อุตสาหกรรมขนาดย่อม มาผลิตเป็นก๊าซชีวภาพใช้ประโยชน์เป็นพลังงาน
2.2.7 ชีวมวล
ศึกษาแนวทางรวบรวมวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวลเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ด้านพลังงานหมุนเวียน โอกาสและความสามารถที่จะรวบรวมเชื้อเพลิง ปริมาณศักยภาพที่แท้จริง ความคุ้มค่าในการลงทุน ทั้งทางด้านเศรษฐศาสตร์ สังคมและสิ่งแวดล้อม แนวทางบริหารจัดการซื้อขายวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวล เทคโนโลยีในการรวบรวมทั้งในระดับอุตสาหกรรมและระดับชุมชน เพื่อนำไปสู่ตลาดการซื้อขายวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวลในอนาคต
2.2.8 งานศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน และโครงการสาธิตอื่นๆ
สนับสนุนให้สถาบันการศึกษา ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรเอกชน ดำเนินการเพื่อให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย และช่วยเหลือกิจกรรมในชนบททั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม โดยให้ สนพ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ และประกาศให้ผู้ที่มีความประสงค์จะขอรับการสนับสนุนให้ยื่นข้อเสนอต่อ สนพ. ซึ่งจะกลั่นกรองข้อเสนอ โดยอาจจะมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาช่วยพิจารณาก็ได้ ก่อนนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบในการดำเนินงาน และ สนพ. จะเป็นผู้ติดตามการดำเนินงานของโครงการด้วย
2.3 แผนสนับสนุน
2.3.1 งานพัฒนาบุคลากร
1) เร่งพัฒนากำลังคน พัฒนาและยกระดับบุคลากร ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามวัตถุประสงค์ของการพัฒนาด้านนั้นๆ รวมถึงการจัดเตรียมทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาบุคลากรของภาครัฐในด้านพลังงาน ระดับปริญญาโท-เอก ทุนวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษาเพิ่มทักษะการเรียนรู้ด้านพลังงาน
2) ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนการกำลังคนที่มีความรู้ด้านโลจิสติกส์ที่แท้จริง โดยสนับสนุนสภาอุตสาหกรรมฯ จัดอบรมหลักสูตรด้านโลจิสติกส์และการจัดการระบบห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้อาจารย์ในมหาวิทยาลัยมีโอกาสไปฝึกงานระยะสั้น 6-8 เดือนกับภาคธุรกิจ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาได้ในระยะสั้น และเร่งจัดหลักสูตรในระดับอาชีวะ ปริญญาตรีเฉพาะสาขา หรือเป็นวิชาเลือกในบางสาขา เพื่อเพิ่มกำลังคนระดับหัวหน้างานในอนาคต
3) จัดประชุมสัมมนาเชิงวิชาการโดยเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานจากต่างประเทศมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการไทย หรือการเดินทางไปศึกษาดูงานและแสดงผลงานในเวทีต่างประเทศ
2.3.2 งานประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
1) จัดระบบศูนย์ให้ความรู้ ให้คำปรึกษา ศูนย์สาธิตและเผยแพร่ด้านการประหยัดพลังงานและพลังงานทดแทน ที่มีอยู่ในหลายศูนย์ในกระทรวงพลังงาน ให้มีความชัดเจนในการบริการ กลุ่มลูกค้า เพื่อประโยชน์กับผู้ขอรับบริการและบริหารงบประมาณของประเทศได้มีประสิทธิภาพ รวมถึงกระจายศูนย์ประชาสัมพันธ์ให้มีประจำในส่วนภูมิภาคเพื่อขยายขอบเขตการบริการให้เข้าถึงประชาชนและภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ ทั่วถึงมากขึ้น
2) จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ ด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน
3) โครงการประชาสัมพันธ์ ปี 2550
- เป็นปีแห่งการรณรงค์เพื่อให้เกิดการเลือกซื้อและใช้ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน ที่ติดฉลากแสดงเกณฑ์มาตรฐานการใช้พลังงาน
- เผยแพร่ผลสำเร็จของการดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน ในภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจบริการ ภาครัฐ ภาคประชาชน ให้เป็นที่รับทราบในวงกว้าง
- เป็นปีแห่งการให้ความรู้ความเข้าใจรู้จักพลังงานทางเลือก
- จัดกิจกรรมพิเศษ "เทิดไท้ในหลวง 80 พรรษา ชาวประชาร่วมใจประหยัดพลังงาน"
- ปลูกฝังจิตสำนึกรักษ์พลังงานในกลุ่มเยาวชน ผ่านกิจกรรมที่ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพ
- กิจกรรมประชาสัมพันธ์อื่นๆ ตามสถานการณ์ เช่น นโยบายเลิกอุดหนุนราคา LPG ความคืบหน้าการดำเนินงานตามนโยบายด้านพลังงาน การรณรงค์ประหยัดไฟฟ้าและน้ำมันในช่วงหน้าร้อน เป็นต้น
3. ผลที่คาดว่าจะได้รับ จะก่อให้เกิดการประหยัดพลังงาน 312.12 ktoe คิดเป็นเงิน 7,955 ล้านบาท ณ ปี 2550 นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดการใช้พลังงานรูปแบบอื่นทดแทนการใช้ น้ำมันเบนซิน ดีเซล น้ำมันเตา LPG 25.5 ktoe คิดเป็นเงิน 758 ล้านบาท ณ ปี 2550
4. การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปี 2550 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ คาดว่าจะมีประมาณการรายจ่ายรวมทั้งสิ้น 3,591,990,750 บาท ประกอบด้วย
1. แผนพลังงานทดแทน |
2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน |
3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | |||
ล้านบาท | ล้านบาท | ล้านบาท | |||
1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 366.22 | 2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 216.00 | 3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 259.0 |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 1,460.21 | 2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 530.50 | 3.2 งานบริหารกองทุน | 97.21 |
1.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 227.50 | 2.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 380.35 | 3.3 งานอื่นๆ | - |
1.4 งานบริหารแผนงาน | 32.50 | 2.4 งานบริหารแผนงาน | 22.50 | ||
รวม | 2,086.43 | รวม | 1,149.35 | รวม | 356.21 |
โดยจัดสรรให้ 3 หน่วยงาน คือ พพ. สนพ. และกรมบัญชีกลาง นำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนงานที่ปรากฏในรายละเอียดการของบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550
หน่วยงาน | 1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | รวม |
1) พพ. | 1,589,930,000 | 694,350,000 | - | 2,284,280,000 |
2) สนพ. | 496,500,000 | 455,000,000 | 355,091,010 | 1,306,591,010 |
3) กรมบัญชีกลาง | - | - | 1,119,740 | 1,119,740 |
รวม | 2,086,430,000 | 1,149,350,000 | 356,210,750 | 3,591,990,750 |
ทั้งนี้ ให้แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายภายในแผนงาน/งานเดียวกันได้
5. ข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการฯ
5.1 เห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอในข้อ 3 โดยให้ สนพ. และ พพ. นำความเห็นที่ได้รับจากคณะอนุกรรมการฯ ไปพัฒนารายละเอียดของแต่ละแผนงานให้มีทิศทางเดียวกับแผนงานที่คณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบไว้ โดยผ่านการพิจารณาให้คำแนะนำจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ประกอบด้วย ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์, คุณเจน นำชัยศิริ และ ศ.ดร.จุลละพงศ์ จุลละโพธิ
5.2 การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายปี 2550 ให้อยู่ภายใต้กรอบวงเงินตามที่คณะอนุกรรมการกองทุนฯ เห็นชอบไว้ โดยรอผลสรุปจากการประชุมคณะผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 3 ท่าน ตามข้อ 5.1 และให้ สนพ. และ พพ. ปรับรายละเอียดของแผนงานและการของบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 ให้เรียบร้อย และเวียนให้คณะอนุกรรมการฯ ทราบ ก่อนเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
5.3 ขอปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ เพื่อให้การดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานข้างต้นสำเร็จลงตามเป้าหมายและบรรลุเป้าประสงค์ ฝ่ายเลขานุการฯ ใคร่ขอเสนอปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ จากเดิมเก็บในอัตรา 4 สตางค์/ลิตร เป็นอัตรา 10 สตางค์ต่อลิตร โดยมีหลักการและเหตุผลดังนี้
(1) กพช. ได้อนุมัติกรอบแผนอนุรักษ์พลังงานฯ ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) และเห็นชอบให้คณะกรรมการกองทุนฯ จัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับใช้จ่ายตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ภายในวงเงินรวม 28,826 ล้านบาท โดยมีกรอบการใช้จ่ายเงินตามแผนปฏิบัติการแต่ละปี มีดังนี้
1. แผนพลังงานทดแทน | (50%) | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | (35%) | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | (15%) |
1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 65% | 2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 30% | 3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 33% |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 20% | 2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 45% | 3.2 งานบริหารกองทุน | 33% |
1.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 10% | 2.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 20% | 3.3 งานอื่นๆ | 34% |
1.4 งานบริหารแผนงาน | 5% | 2.4 งานบริหารแผนงาน | 5% |
(2) เดิมกองทุนฯ มีพันธะขอบเขตงานตาม พรบ.ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 2535 และที่ผ่านมาการกำหนดให้ดำเนินงานโดยให้อยู่ภายในวงเงิน 1,300-2,000 ล้านบาท/ปี ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การดำเนินการประหยัดพลังงานและการก่อให้เกิดพลังงานทดแทน เห็นผลช้ากว่าที่ควร ซึ่งจากการปรับแผนงานเพื่อเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ จำเป็นต้องใช้จ่ายเงินจากกองทุนฯ ตามงบประมาณที่เสนอไว้ 3,591 ล้านบาท ขณะที่กองทุนฯ มีวงเงินคงเหลือเพียง 1,174 ล้านบาท จะทำให้ฐานะการเงินของกองทุนฯ ติดลบ
(3) ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าตามที่ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2540 ได้มีมติลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ จาก 7 สตางค์/ลิตร เป็นอัตรา 4 สตางค์ต่อลิตร เป็นการชั่วคราว เนื่องจากรายได้ของรัฐไม่เพียงพอกับงบประมาณที่ตั้งไว้ในปี 2540 และ 2541 จึงได้ลดอัตราการเงินส่งเข้ากองทุนฯ ไปเพิ่มอัตราภาษีน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันในช่วงเวลานั้น ซึ่งขณะนี้สถานการ งบประมาณของประเทศค่อนข้างมั่นคงแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ เป็นอัตรา 10 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซล และเตาที่ผลิตในประเทศและนำเข้า และอัตรา 9 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2550 เป็นต้นไป เพื่อทำให้ฐานะทางการเงินของกองทุนฯ เพิ่มขึ้นสู่ระดับเดิมและสอดคล้องกับการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ดังนี้
ปีงบประมาณ | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | 2555 | รวม |
1) เงินคงเหลือยกมาต้นปี | 4,915 | (44) | 0 | 2,232 | 4,550 | 7,009 | 4,915 |
2) รายรับ | 2,773 | 3,837 | 3,980 | 3,886 | 3,836 | 3,786 | 22,096 |
- เงินเก็บเข้ากองทุน+ดอกเบี้ย | 2,360 | 2,900 | 2,900 | 2,900 | 2,900 | 2,900 | 16,860 |
- เงินคืนจากทุนหมุนเวียน | 413 | 937 | 1,080 | 986 | 936 | 886 | 5,236 |
3) รายจ่าย | 4,140 | 1,791 | 448 | 268 | 76 | 68 | 6,792 |
- รายจ่ายผูกพัน ปี 38-47 | 558 | 468 | 398 | 265 | 76 | 68 | 1,832 |
- รายจ่ายผูกพัน ปี 48-49 | 3,582 | 1,324 | 51 | 3 | - | - | 4,959 |
4) เงินคงเหลือปลายปี (1)+(2)-(3) | 3,548 | 2,001 | 3,532 | 5,850 | 8,309 | 10,727 | |
5) ประมาณการรายจ่าย | 3,592 | 2,001 | 1,300 | 1,300 | 1,300 | 1,300 | 10,793 |
6) เงินคงเหลือยกไป (4)-(5) | (44) | 0 | 2,232 | 4,550 | 7,009 | 9,427 | 9,427 |
มติที่ประชุม
เห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ โดยให้ สนพ. และ พพ. นำความเห็นที่ได้รับจากคณะอนุกรรมการฯ ไปจัดทำพัฒนารายละเอียดของแต่ละแผนงานให้มีทิศทางเดียวกับแผนงานที่คณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบไว้ โดยผ่านการพิจารณาให้คำแนะนำจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ประกอบด้วย ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์, คุณเจน นำชัยศิริ และ ศ.ดร.จุลละพงศ์ จุลละโพธิ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำกลับมาเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งในวันที่ 14 ธันวาคม 2549 ก่อนเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2541 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2542 ให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม" ในวงเงินรวม 145.76 ล้านบาท โดยให้ สนพ. ประเมินผลการดำเนินโครงการ เมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณในแต่ละปี และรายงานผลต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินงานในปีต่อไป
2. การดำเนินงานของโครงการฯ เป็นรูปเครือข่ายความร่วมมือ "บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE)" โดยมี มจธ. เป็นแกนนำ และมีสถาบันร่วมอีก 4 แห่ง ประกอบด้วย (1) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (2) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (3) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ (4) สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีการบริหารโครงการฯ ภายใต้ "คณะกรรมการอำนวยการบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม"
3. เมื่อปี 2543 JGSEE ได้รับการสนับสนุนงบประมาณบางส่วนจากสำนักงานคณะกรรมการ การอุดมศึกษา ภายใต้โครงการเงินกู้ ADB ทำให้ได้ชะลอการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ในปีดังกล่าว และในปี 2546 ได้รับความเห็นชอบการปรับแผนการดำเนินงานและแผนการเบิกจ่ายเงิน โดยขยายเวลาดำเนินโครงการฯ ไปจนถึงกันยายน 2549 ทั้งนี้ มจธ. ได้เบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ของงบประมาณปีที่ 1 - 4 แล้วเป็นเงิน 126,953,500 บาท คงเหลือเงินงบประมาณปีที่ 5 ที่รอเบิกจ่าย จำนวนเงิน 18,811,500 บาท
4. ผลการดำเนินโครงการฯ (ตั้งแต่ปี 2542 - กันยายน 2549)
4.1 จำนวนนักศึกษาที่ได้รับทุนทั้งสิ้น 276 คน เป็นระดับปริญญาเอก 135 คน และระดับปริญญาโท 141 คน โดยมีผู้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอก 27 คน และปริญญาโท 67 คน รวมจำนวน 94 คน เนื่องจากเป็นหลักสูตรที่เน้นการวิจัย และต้องรอการตีพิมพ์ผลงานให้ครบตามเงื่อนไขจึงจะสำเร็จการศึกษาได้
4.2 จำนวนบทความวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ทั้งสิ้น 511 ฉบับ ซึ่งเป็นการเผยแพร่ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ 154 เรื่อง วารสารวิชาการระดับชาติ 36 เรื่อง การเสนอที่ในประชุมวิชาการนานาชาติ จำนวน 299 เรื่อง และเสนอที่ประชุมวิชาการระดับชาติ 22 เรื่อง
4.3 มีงานวิจัยเพื่อรับใช้สังคมให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนหลายโครงการ
5. ผลการประเมินโครงการ โดย Asia Policy Research Co.,Ltd. ที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาระบบติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของ JGSEE ได้รายงานผลการติดตามและการประเมินเมื่อเดือนกรกฎาคม 2549 สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
5.1 ด้านการบริหารจัดการ มีการจัดโครงสร้างองค์กรที่ดีและเป็นทางการ มีแผนกลยุทธ์ที่จะนำไปสู่เป้าหมาย แต่ยังขาดนโยบายทางด้านมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และด้านจรรยาบรรณ และยังไม่มีระบบประกันคุณภาพที่เป็นทางการ
5.2 ด้านการพัฒนาวิชาการ มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศมาให้คำแนะนำในการปรับปรุงหลักสูตร และเปิดหลักสูตรใหม่ที่เน้นการพัฒนาวิชาชีพด้านเทคโนโลยีและการจัดการพลังงาน และเทคโนโลยีและการจัดการสิ่งแวดล้อมในระดับปริญญาโทด้วย
5.3 ด้านการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ยังไม่มีระบบการประเมินผลการดำเนินงานอย่างเป็นทางการ แต่กำหนดตัวชี้วัดเชิงปริมาณที่ใช้รายงานผลการดำเนินงานมาตลอด เช่น จำนวนนักศึกษาที่รับเข้า จำนวนผู้สำเร็จการศึกษา จำนวนผลงานตีพิมพ์เผยแพร่ และการประกอบอาชีพของผู้สำเร็จการศึกษา เป็นต้น
5.4 ด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์ มีหน่วยอุตสาหกรรมสัมพันธ์ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากเยอรมันมาเป็นที่ปรึกษาประจำ ทำให้ JGSEE มีโครงการวิจัยที่เชื่อมโยงกับทั้งภาครัฐและเอกชน และได้จัดทำเว็บไซด์ วารสารวิชาการ จดหมายข่าว และเอกสารรวมเล่ม
6. แผนการดำเนินงานปีที่ 5 จะรับนักศึกษาเพิ่มในปี 2550 อีกอย่างน้อย จำนวน 30 คน ซึ่งเป็นระดับปริญญาเอก 10 คน และระดับปริญญาโท 20 คน รวมจำนวนนักศึกษาในโครงการทั้งสิ้น 306 คน โดยขอขยายเวลาการดำเนินงานจากเดิมสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2549 เป็นเดือนกันยายน 2550 เพื่อผลิตนักศึกษาให้ครบตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทั้งนี้โดยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบผลการดำเนิน "โครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม" ตามที่ มจธ. เสนอมา และเห็นชอบให้ มจธ. ดำเนินโครงการฯ ในปีงบประมาณปีที่ 5 ต่อไป และเห็นชอบการสนับสนุนเงินกองทุนฯ โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์และห้องปฏิบัติการ "โครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม" ให้ มจธ. จำนวนเงิน 18,811,500 บาท
2. เห็นชอบให้ มจธ. ขยายระยะเวลาโครงการฯ ไปสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2550
3. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
4. ให้ สนพ. ประเมินผลสำเร็จโครงการฯ และให้เชิญ มจธ. มานำเสนอผลงานของโครงการฯ ต่อคณะอนุกรรมการฯ ในโอกาสต่อไปด้วย
เรื่องที่ 4 ขอความเห็นชอบเพิ่มวงเงินทุนการศึกษาในประเทศและต่างประเทศ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่ามีหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศและต่างประเทศ ได้ขอขยายเวลาและขอเพิ่มวงเงินทุนการศึกษาจากที่อนุมัติไว้แล้วให้แก่ผู้รับทุน ดังนี้
1. ทุนการศึกษาในประเทศ
ผู้ขอเปลี่ยนแปลง | รายการ | ความเห็นฝ่ายเลขาฯ |
1) นายปริญญา สีชุมภู วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย ศึกษาในระดับปริญญาโท สาขาวิศวกรรมพลังงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วงเงิน 96,100 บาท |
- ขอขยายเวลาการศึกษาอีก 8 เดือน เพื่อจัดทำวิทยานิพนธ์ให้แล้วเสร็จ - ขออนุมัติเพิ่มวงเงินทุน 24,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียนรักษาสภาพระหว่างการจัดทำวิทยานิพนธ์ |
- เห็นควรขยายเวลาการศึกษา - ไม่ควรเพิ่มวงเงินทุนการศึกษา เนื่องจากกองทุนฯ ได้สนับสนุนทุนการศึกษาตลอดระยะเวลาที่หลักสูตรกำหนดไว้แล้ว |
2) นายประชาสันติ ไตรยสุทธิ์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี วงเงิน 205,200 บาท |
- ขอขยายวงเงินทุนการศึกษา จำนวน 60,000 บาท เพื่อเป็นค่าหนังสือและอุปกรณ์การศึกษา จำนวน 30,000 บาท และค่าวิทยานิพนธ์ จำนวน 30,000 บาท |
- เห็นควรเพิ่มวงเงินทุน ในวงเงิน 30,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำวิทยานิพนธ์ โดยใช้เงินจากแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2550 |
2. ทุนการศึกษาต่างประเทศ
ผู้ขอเปลี่ยนแปลง | รายการ | ความเห็นฝ่ายเลขาฯ |
1) นายรุ่งโรจน์ สงค์ประกอบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมเครื่องกล ณ University of Victoria ประเทศแคนาดา |
- ขอขยายเวลาการศึกษาจนถึงวันที่ 1 มกราคม 2551 เพื่อจัดทำวิทยานิพนธ์ให้แล้วเสร็จ - จำนวน US$ 24,144 (965,760 บาท) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในช่วงการขยายเวลาการศึกษา |
- เห็นควรขยายเวลาการศึกษา - ไม่ควรเพิ่มทุนการศึกษา เนื่องจากผู้รับทุนได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนฯ ตลอดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแล้ว |
2) นางทิพย์วรรณ ฟังสุวรรณรักษ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขา Photovoltaic Engineering The University of New South Wales ประเทศออสเตรเลีย |
- ขออนุมัติขยายวงเงินทุนการศึกษา 695,840 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับภาคเรียนที่ 8 - ทั้งนี้ ผู้รับทุนได้การรับอนุมัติให้ขยายเวลาการศึกษาออกไปอีก 1 ปี จนถึงเดือนมิถุนายน 2549 และได้รับอนุมัติเพิ่มวงเงิน จำนวน 193,176.86 บาท อันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแล้ว |
- ไม่ควรเพิ่มทุนการศึกษา เนื่องจากได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนฯ ตลอดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแล้ว - ไม่เห็นควรให้เบิกเงินงบประมาณเหลือจ่าย (จากยอดงบประมาณเดิมที่เคยได้รับอนุมัติไว้) สำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่ายในภาคการศึกษาที่ขอขยายเวลา |
3) นางสาวจารุวรรณ ชนม์ธนวัฒน์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาวิชา Energy Economics ณ The University of Surrey ประเทศ สหราชอาณาจักร |
- ขอขยายเวลาการศึกษา จนถึง 19 กันยายน 2550 เพื่อจัดทำวิทยานิพนธ์ให้แล้วเสร็จ |
- เห็นควรขยายเวลาการศึกษา |
4) นางสาวเหมือนมาศ วิเชียรสินธุ์ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมการขนส่ง ณ Imperial College London ประเทศสหราชอาณาจักร |
- ขอขยายเวลาการศึกษาออกไปถึง 3 ตุลาคม 2550 เพื่อจัดทำวิทยานิพนธ์ให้แล้วเสร็จ - ขออนุมัติเพิ่มวงเงินทุน 418,153 บาท เนื่องจาก (1) การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (2) ค่าธรรมเนียมการศึกษาในปีการศึกษาที่ 2 และ 3 สูงกว่าที่ประมาณการไว้ (3) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนอนุมัติค่าใช้จ่ายประจำเดือนเพิ่มขึ้นเดือนละ 100 ปอนด์ สำหรับนักเรียนในกรุงลอนดอนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 (4) ค่าตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับและค่าระวางส่งสิ่งของกลับประเทศไทยไม่อยู่ในวงเงินที่อนุมัติไว้ |
- เห็นควรขยายเวลาการศึกษา - เห็นควรเพิ่มวงเงินทุน ในวงเงิน 418,153 บาท โดยใช้จากเงินกองทุนฯ โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ปี 2550 |
5) นายพยนต์ ปั้นจาด การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาการวางแผนและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนในระบบไฟฟ้า ณ University of Strathclyde ประเทศสหราชอาณาจักร |
- ขออนุมัติเพิ่มวงเงินทุน 15,306.92 ปอนด์ (1,132,712.08 บาท) เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและการเปลี่ยนแปลงงบประมาณค่าใช้จ่ายของนักเรียนทุนรัฐบาลตามระเบียบของสำนักงาน ก.พ. จึงทำให้งบประมาณไม่เพียงพอสำหรับการศึกษาตลอดหลักสูตร 3 ปี |
- เห็นควรเพิ่มวงเงินทุน ในวงเงิน 686,800 บาท โดยใช้จากเงินกองทุนฯ โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ปี 2550 |
6) นางสาววรนุช เอมมาโนชญ์ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาการวางแผนการจัดการทรัพยากรด้านพลังงาน ณ Convertry University ประเทศสหราชอาณาจักร |
- ขอเปลี่ยนสถานศึกษาเป็น King's College London ประเทศสหราชอาณาจักร เนื่องจากมหาวิทยาลัยเดิมได้ยุบส่วน School of Science and the Environment ซึ่งเป็นส่วนที่รองรับการศึกษางานวิจัยของผู้รับทุน - ขอขยายเวลาออกไปจนถึงเดือนกรกฎาคม 2552 - ขออนุมัติเพิ่มวงเงินทุน 2,653,281.90 บาท เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการศึกษาระดับปริญญาเอก ระยะเวลา 3 ปี ณ King's College London |
- เห็นควรให้เปลี่ยนแปลงสถานศึกษาจาก Conventry University เป็น King's College London โดยศึกษาในสาขาวิชาเดิมตามที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว - ให้ฝ่ายเลขานุการฯ หารือกับผู้รับทุนหรือ Conventry University เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับการโอนย้ายหน่วยกิต จากสถาบันการศึกษาเดิมเพิ่มเติม เพื่อนำมาพิจารณาเห็นชอบวงเงินเพิ่มให้แก่ผู้รับทุนตามที่ขอมาต่อไป |
1. เห็นชอบให้หน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศและต่างประเทศ ที่ได้ขอขยายเวลาและขอเพิ่มวงเงินทุนการศึกษาจากที่อนุมัติไว้แล้วให้แก่ผู้รับทุน ดำเนินการตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็น
2. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
เรื่องที่ 5 เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
ฝ่ายเลขานุการฯ แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่ามีหน่วยงานต่างๆ ที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้แล้ว รวม 6 โครงการ ดังนี้
1. ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 5 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | เดิม | ขยายถึง | |
(1) | โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานควบคุม (กลุ่มที่ 2) | พพ. | มีนาคม 2549 | * |
(2) | โครงการกรุงเทพฯ ฟ้าใสด้วยไบโอดีเซล | พพ. | มิถุนายน 2549 | มีนาคม 2550 |
(3) | โครงการสร้างขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืนในถิ่นทุรกันดาร: กรณีศึกษาพื้นที่อำเภอบ่อเกลือ และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน | ม.พระจอมเกล้าธนบุรี | กันยายน 2549 | กุมภาพันธ์ 2550 |
(4) | โครงการสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา ** | สนพ. | ** | |
(5) | โครงการปรับปรุงระบบรวบรวมก๊าซเพื่อสนับสนุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะ *** | ม.เกษตร | กรกฎาคม 2548 | พฤศจิกายน 2549 |
- โครงการที่ (1) พพ. ขออนุมัติให้สามารถเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ได้ภายในระยะเวลา 3 เดือนนับจากวันที่ได้รับอนุมัติการขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน
- โครงการที่ (4) ประกอบด้วย 3 รายการ คือ
(4)-1 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ขอขยายเวลา "โครงการวิจัยเรื่องศักยภาพแสงธรรมชาติจากช่องเปิดของเรือนพื้นถิ่นอีสาน" จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 เนื่องจากการดำเนินงานและการประสานงานของโครงการเกิดความล่าช้า
(4)-2 มจธ. ขอเปลี่ยนชื่อ "โครงการวิจัยจากเดิมเรื่องการใช้วิธีระบายอากาศแบบธรรมชาติร่วมกับพัดลมแสงอาทิตย์เพื่อควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนเพาะปลูก" เป็น "โรงเรือนเพาะปลูกโครงสร้างไม้ไผ่แบบประหยัดพลังงานสำหรับพื้นที่ห่างไกล" เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินการวิจัยยิ่งขึ้น
(4)-3 มจธ. ขอเปลี่ยนชื่อโครงการวิจัยจากเดิม "เรื่องอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนแบบท่อขดแบบสปริง" เป็น "อุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนแบบท่อขดแบบสปริงติดครีบ" เพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น
- ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรให้โครงการที่ (1)-(4) ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา ด้วยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
- สำหรับโครงการที่ (5) โครงการปรับปรุงระบบรวบรวมก๊าซเพื่อสนับสนุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะนั้น ดำเนินงานวิจัยมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว ยังไม่สามารถรวบรวมก๊าซจากหลุมขยะมาผลิตกระแสไฟฟ้าได้ ปัจจุบันเทคโนโลยีการนำก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ได้มีการดำเนินการและใช้งานได้จริงในประเทศไทยแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้ มก. ปิดโครงการฯ ดังกล่าว และคืนเงินที่เหลือจากทุกโครงการฯ คืนกองทุนฯ และให้ สนพ. นำเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 435 kW จำนวน 2 เครื่อง ที่จัดซื้อด้วยเงินกองทุนฯ ไปใช้งานอื่นที่เป็นประโยชน์
2. กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียด "โครงการจัดซื้อรถเก็บขยะมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง" ที่กองทุนฯ ได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับจัดซื้อรถเก็บขยะมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จำนวน 69 คัน ในวงเงิน 160 ล้านบาท โดยรวมกับงบประมาณของ กทม. 84 ล้านบาท (ราคาประเมิน ณ วันนั้น 3.5 ล้านบาทต่อคัน) แต่เมื่อ กทม. ดำเนินการจัดซื้อโดยวิธีประกวดราคาแล้วปรากฏว่ามีผู้ยื่นซองเพียง 1 ราย คือ บริษัทนิสสันดีเซล (ประเทศไทย) จำกัด โดยเสนอราคารวมภาษีอากรและอากรขาเข้า เป็นเงินคันละ 5.69 ล้านบาท รวม 69 คัน เป็นเงินทั้งสิ้น 392.54 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่างบประมาณที่ได้ประมาณการไว้ กทม. จึงเสนอขอปรับลดจำนวนรถที่จะจัดซื้อลงจากจำนวน 69 คัน เหลือ 52 คัน หรือ 42 คัน
ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าเหตุที่ราคารถเก็บขยะมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่ กทม. จัดหามีราคาแพงขึ้นนั้น อาจเป็นเหตุจากรถยนต์ที่นำเข้าดังกล่าวต้องออกแบบเครื่องยนต์ใหม่เป็นการเฉพาะประกอบกับปริมาณการจัดซื้อมีจำนวนน้อย ปัจจุบันผู้ประกอบการดัดแปลงรถยนต์ดีเซลให้ใช้ก๊าซธรรมชาติ ในประเทศมีทักษะความรู้ความชำนาญสามารถดัดแปลงรถให้มีสมรรถนะได้ใกล้เคียงกับรถขยะที่ กทม. จะนำเข้ามาจากต่างประเทศ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้ กทม. ยกเลิกการประกวดราคาจัดซื้อรถเก็บขยะมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง แล้วให้ กทม. ประกาศจัดซื้อเฉพาะรถเก็บขยะมูลฝอย เพื่อให้เอกชนในประเทศไทยดำเนินการดัดแปลงรถยนต์ขยะดีเซลนั้นให้ใช้ก๊าซธรรมชาติ ที่มีค่าดัดแปลงประมาณ 1.5-2 ล้านบาทต่อคัน ซึ่งจะทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ไม่ลดลง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้โครงการตามข้อ 1 (1)-(4) ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา ด้วยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
2. เห็นชอบให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ดำเนินการปรับแผน โครงการปรับปรุงระบบรวบรวมก๊าซเพื่อสนับสนุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็นไว้
3. เห็นชอบให้กรุงเทพมหานครดำเนินการปรับแผน โครงการจัดซื้อรถเก็บขยะมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็นไว้
4. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานกับเจ้าของโครงการ ตามข้อ 2 และ ข้อ 3 เพื่อสอบถามแนวทางขั้นตอน และข้อจำกัดในการดำเนินการปรับแผนงานตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็นไว้
กอ. ครั้งที่ 29 - วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน 2545
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2545(ครั้งที่ 29)
วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2545 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
4. ขออนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2545
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ท่านประธานฯ ได้มีโอกาสเดินทางไปดูงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ที่เมืองไฟบวร์ก ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน ซึ่งรัฐบาลเยอรมันกำลังสนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ โดยทำจากวัสดุที่ไม่ใช่ซิลิกอน ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวใกล้ที่จะนำมาใช้ผลิตขายเชิงพาณิชย์ได้แล้ว และรัฐบาลเยอรมันยังมีโครงการส่งเสริมการติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน จำนวน 1 แสนหลัง โดยการออกกฎหมาย เพื่อสนับสนุนบ้านที่ผลิตไฟฟ้าได้จากเซลล์แสงอาทิตย์ให้สามารถจ่ายไฟฟ้าเชื่อมต่อสายส่งเพื่อขายได้ ท่านประธานฯ จึงมีความเห็นว่า ประเทศไทยควรจะทำการพัฒนาทางด้านเซลล์แสงอาทิตย์และสนับสนุนการนำเซลล์แสงอาทิตย์มาใช้ในการผลิตไฟฟ้าอย่างจริงจัง เพื่อช่วยลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุดของประเทศ ซึ่งจะทำให้การก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ลดลง หรือนำไปใช้ในเขตพื้นที่ห่างไกลสายส่ง เช่น ตามเกาะต่างๆ ที่สายส่งไม่สามารถเข้าถึง ทั้งนี้ กองทุนฯ ควรมีนโยบายที่จะให้การสนับสนุนในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบถึงงบการเงินและรายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่า มีเงินคงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคาร ณ วันที่ 30 เมษายน 2545 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น13,116,835,014.13 บาท
มติที่ประชุม
มติที่ประชุมรับทราบ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบให้ สพช. ใช้เงินจากกองทุนฯ ในวงเงินรวม 2,060 ล้านบาท ภายใต้ "โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" เพื่อสนับสนุนให้มีการลงทุนผลิตและขายไฟฟ้าที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงมากขึ้น โดย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สามารถรับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนได้อีกประมาณ 300 เมกะวัตต์
2. สพช. ได้เชิญชวนให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานนอกรูปแบบหรือใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงได้ยื่นข้อเสนอเพื่อขอรับเงินสนับสนุนดังกล่าว โดยกองทุนฯ จะให้การสนับสนุนกับผู้ที่มีข้อเสนอที่เหมาะสมและเสนอขอรับเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กไม่เกิน 0.36 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 5 ปี ด้วยวิธีคัดเลือก และมีผู้สนใจยื่นข้อเสนอไว้กับ สพช. รวมทั้งสิ้น 43 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขายทั้งสิ้น 775 เมกะวัตต์ คิดเป็นจำนวนเงินที่ขอรับการสนับสนุนทั้งสิ้นประมาณ 6,400 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่ สพช. กำหนดไว้
3. คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ และคณะทำงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ได้เสนอผลการพิจารณาคัดเลือกข้อเสนอโครงการฯ ต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2545 (ครั้งที่ 28) เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2545 แล้ว และที่ประชุมได้มีมติดังนี้
(1) รับทราบและเห็นชอบผลการคัดเลือกข้อเสนอทั้ง 43 โครงการ ดังนี้
กลุ่มที่ 1 จะได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ มีจำนวนทั้งสิ้น 17 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้า ที่ขายเข้าระบบทั้งสิ้น 313 MW คิดเป็นเงินที่กองทุนฯ สนับสนุนทั้งสิ้นในวงเงิน 1,956 ล้านบาท
กลุ่มที่ 2 ข้อเสนอผ่านเกณฑ์การพิจารณาเช่นเดียวกับกลุ่มที่ 1 แต่ไม่ได้รับเงินสนับสนุนเนื่องจากวงเงิน 2,060 ล้านบาท ได้หมดลงก่อน มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 20 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขายเข้าระบบ 224.20 MW
กลุ่มที่ 3 ข้อเสนอที่ไม่ผ่านเกณฑ์พิจารณา รวมทั้งสิ้น 6 ราย เนื่องจากได้รับคะแนน 0 หรือ 1 ในหัวข้อหนึ่งหัวข้อใดของข้อเสนอทางเทคนิค/ข้อเสนอทางการเงิน และมีคุณสมบัติไม่ตรงตามเกณฑ์ ที่กำหนด
(2) เนื่องจากข้อเสนอในกลุ่มที่ 1 จำนวน 17 โครงการ นั้น มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถดำเนินการได้ทั้งหมด และเพื่อจะได้ไม่ต้องเริ่มต้นดำเนินการคัดเลือกใหม่ คณะกรรมการกองทุนฯ จึงได้อนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ เพิ่มเติมให้กับโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน อีก 1,000 ล้านบาท เป็นวงเงินรวม 3,060 ล้านบาท เพื่อประกาศให้ผู้ยื่นข้อเสนอที่อยู่ในกลุ่มที่ 2 จำนวน 20 โครงการ ได้มีสิทธิยื่นเสนออัตราขอรับเงินสนับสนุนใหม่ โดยเสนออัตราเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุดไม่เกิน 0.225 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (เท่ากับอัตราสนับสนุนสูงสุดในกลุ่มที่ 1)
(3) อนุมัติให้ สพช. เบิกค่าใช้จ่ายจากแผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในการติดตามดูแลและสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ ได้โดยให้ สพช. จัดทำรายละเอียดแผนการใช้จ่ายเงินเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอนุมัติ โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ และเมื่อดำเนินการแล้วให้รายงานคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบเป็นระยะ
4. เนื่องจากสาธารณชนยังไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารที่สื่อให้ทราบถึงความเป็นมาและผลสำเร็จของการดำเนินโครงการฯ ที่ก่อเกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยส่วนรวม ทั้งในด้านนโยบาย วัตถุประสงค์และเหตุผลที่รัฐสนับสนุนให้มีการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรหรือพลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งหากรัฐไม่เร่งดำเนินการให้เกิดการสื่อสารต่อประชาชนในเรื่องดังกล่าว อาจทำให้เกิดช่องว่างและมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในการดำเนินโครงการฯ สพช. จึงได้จัดทำ "กรอบโครงการประชาสัมพันธ์ภายใต้โครงการผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" ขึ้น เพื่อตอกย้ำข้อมูลข่าวสารและความทรงจำของกลุ่มเป้าหมาย และสาธารณชนอย่างต่อเนื่อง โดย สพช. จะจัดจ้างผู้ที่มีความเป็นมืออาชีพมาเป็นผู้บริหารและดำเนินการโครงการฯ ให้เกิดผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ด้วยการบริหารแผนงานที่รัดกุม แบ่งเป็น 4 ระดับ ดังนี้
(1) งานบริหารโครงการประชาสัมพันธ์ : ภายใต้โครงการผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนให้เกิดผลบรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
(2) งานประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มเป้าหมายหลัก : เป็นการสื่อสารให้ประชาชนในพื้นที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้รับทราบถึงความเป็นมาและเห็นประโยชน์ต่อชุมชนโดยส่วนรวมในการที่รัฐได้สนับสนุนให้มีการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรหรือพลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นและให้ความร่วมมือเพื่อดำเนินการให้เกิดโรงไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงในพื้นที่นั้นๆ
(3) งานสื่อสารประชาสัมพันธ์เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรอง : เป็นการสื่อสารให้ประชาชนทั่วไป หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ ผู้นำความคิด/ผู้ชี้นำทางสังคม สื่อมวลชน และองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารโครงการฯ และเกิดแนวคิดที่ดีกับโครงการฯ ส่งผลให้การดำเนินงานได้รับความร่วมมือด้วยดี
(4) งานสื่อสารประชาสัมพันธ์ในกรณีเกิดวิกฤติการณ์ : งานในส่วนนี้จะมีการดำเนินกิจกรรมในกรณีที่มีเหตุที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าเกิดขึ้น ซึ่งกิจกรรมประชาสัมพันธ์ตามแผนงานปกติอาจจะได้ผลช้าและไม่สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นได้ทันต่อเหตุการณ์
5. คณะอนุกรรมการฯ ได้เห็นชอบกรอบโครงการประชาสัมพันธ์ฯ และอนุมัติให้ สพช. ใช้เงินกองทุนฯ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในวงเงิน 69.7 ล้านบาท เป็นค่าดำเนินการตามกรอบโครงการประชาสัมพันธ์ดังกล่าว และให้ สพช. จัดจ้างผู้บริหารโครงการประชาสัมพันธ์ฯ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ โดยเมื่อผู้รับจ้างจัดทำ Terms of Reference (TOR) และหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้ดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์แต่ละกิจกรรม เรียบร้อยแล้ว ให้ สพช. เสนอคณะทำงานฯ และคณะอนุกรรมการฯ ให้ความเห็นชอบ ก่อนจัดจ้างผู้ดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์แต่ละกิจกรรม
6. ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้จัดสรรเงินจากกองทุนฯ ในวงเงินรวม 3,060 ล้านบาท เพื่อให้ สพช. นำมาใช้จ่ายในโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน โดยเงินจำนวน 3,060 ล้านบาท ดังกล่าว คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบให้ สพช. กันเงินไว้ประมาณ 1,956 ล้านบาท สำหรับเป็นเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าของผู้ยื่นข้อเสนอที่ผ่านการพิจารณาในกลุ่มที่ 1 จำนวน 17 โครงการ และคณะอนุกรรมการฯ ได้เห็นชอบให้ สพช. กันเงินไว้ประมาณ 69.7 ล้านบาท สำหรับเป็นค่าดำเนินการตามกรอบโครงการประชาสัมพันธ์ฯ ดังนั้นวงเงินรวมของโครงการฯ ที่คงเหลืออยู่เพื่อนำมาจัดสรรให้กับผู้ยื่นข้อเสนอที่ผ่านการพิจารณาในกลุ่มที่ 2 จึงมีจำนวนเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,035 ล้านบาท
7. เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2545 สพช. ได้เชิญผู้ยื่นข้อเสนอในกลุ่มที่ 2 ทั้ง 20 โครงการ มาประชุมเพื่อรับทราบสิทธิในการยื่นเสนออัตราขอรับเงินสนับสนุนใหม่ โดย สพช. ประกาศปิดรับซองข้อเสนอในวันที่ 15 พฤษภาคม 2545 และเมื่อครบกำหนดปิดรับซองข้อเสนอทางการเงิน ปรากฏว่ามีผู้มาใช้สิทธิรวมทั้งสิ้น 19 โครงการ (ยกเว้น RFP 00015 ห้างหุ้นส่วนจำกัดไพโรจน์ สมพงษ์พาณิชย์ ไม่ได้ใช้สิทธิในการยื่นข้อเสนอ) คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบทั้งสิ้น 223.3 MW และคิดเป็นเงินที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,189,959,874.60 บาท
8. คณะอนุกรรมการฯ และคณะทำงานฯ ได้ประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2545 พิจารณาข้อเสนอทั้ง 19 โครงการ และสรุปผลการจัดเรียงลำดับข้อเสนอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา ดังนี้
(1) มีข้อเสนอที่ผ่านการพิจารณารวมทั้งสิ้น 17 โครงการ และเมื่อทำการจัดสรรเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ให้กับข้อเสนอที่เรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยของเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง) ที่ขายเข้าระบบของการไฟฟ้าตลอดอายุโครงการ (Average Levelized Adder) แล้วปรากฏว่าภายในวงเงิน 1,035 ล้านบาท มีข้อเสนอที่จะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ รวมทั้งสิ้น 14 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบทั้งสิ้น 198.1 MW และคิดเป็นวงเงินที่ขอรับการสนับสนุนจาก กองทุนฯ รวมทั้งสิ้น 1,034,517,874.60 บาท โดยเงินกองทุนฯ ที่คงเหลืออยู่ไม่เพียงพอที่จะจัดสรรให้กับโครงการฯ ลำดับถัดไปได้
(2) มีข้อเสนอที่ไม่ผ่านการพิจารณารวมทั้งสิ้น 2 โครงการ
RFP 0018 บริษัทอุตสาหกรรมมิตรเกษตร จำกัด ซึ่งบริษัทฯ ปฏิบัติผิดเงื่อนไขในเรื่องการค้ำประกันซอง
RFP 0032 บริษัทน้ำตาลพิษณุโลก จำกัด ซึ่งบริษัทฯ ปฏิบัติผิดเงื่อนไข โดยบริษัทฯ ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงราคาเชื้อเพลิงที่รับซื้อในตารางคำนวณผลตอบแทนการลงทุนด้วย ซึ่งมีผลกระทบต่อปัจจัยการวิเคราะห์ทั้งระบบ
(3) ผลการพิจารณาข้อเสนอเพื่อจัดสรรเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าฯ (บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง) รวม 2 ครั้ง สรุปได้ว่ามีข้อเสนอที่ผ่านการพิจารณาจะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ รวมทั้งสิ้น 31 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบทั้งสิ้นประมาณ 511 MW และคิดเป็นวงเงินที่กองทุนฯ จะต้องสนับสนุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 2,991 ล้านบาท
มติที่ประชุม
1. รับทราบและเห็นชอบผลการคัดเลือกข้อเสนอโครงการฯ ในกลุ่มที่ 2 ตามที่คณะอนุกรรมการฯ ได้พิจารณาเสนอมา โดยกองทุนฯ มีเงื่อนไขให้ผู้ยื่นข้อเสนอที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกในกลุ่มที่ 2 ทั้ง 14 รายต้องนำเสนอแผนการรับฟังความคิดเห็นจากชุมชน และให้ สพช. นำผู้แทนของกองทุนฯ เข้าไปในพื้นที่ตั้งโครงการฯ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่นั้นและรายงานผลเป็นข้อสังเกตและความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุนฯ ในการอนุมัติให้การสนับสนุนโครงการฯ ต่อไป
2. ให้ สพช. ทำหน้าที่ประสานงานในการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อเกาะติดสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่และรายงานความเป็นไปให้คณะกรรมการกองทุนฯ ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งจัดตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้น โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง นักวิชาการอิสระ ผู้แทนจากชุมชน และเจ้าของโรงไฟฟ้า เพื่อมีส่วนร่วมในการทำหน้าที่ติดตามการดำเนินงานของโรงงานไฟฟ้าต่างๆ ในแต่ละพื้นที่
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2545 (ครั้งที่ 28) เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2545 ได้พิจารณา "แผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ปีงบประมาณ 2545" ซึ่งเสนอโดยกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) แล้วและที่ประชุมได้มีความเห็นว่า แผนงานดังกล่าวยังขาดความชัดเจนในเรื่องรายละเอียดของกิจกรรมรวมถึงวิธีการดำเนินการและกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ ดังนั้นที่ประชุมได้มีมติ ให้ พพ. หารือร่วมกับ สพช. และ ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ เพื่อกำหนดกรอบและวิธีการประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสม แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
2. พพ. ได้หารือกับ สพช. และ ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ ตามมติของคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว และนำมาสู่การปรับแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ฯ ของ พพ. และเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาดังนี้
(1) ตัดกลุ่มเป้าหมายรอง "กลุ่มประชาชนทั่วไป" ออกจากแผนฯ และเพิ่มกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ "โรงงงานและอาคารนอกข่ายควบคุม" พร้อมทั้งปรับรายละเอียดและวิธีการดำเนินการของแต่ละกิจกรรมให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
(2) ปรับลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลงจาก 175 ล้านบาท คงเหลือเพียง 90.5 ล้านบาท ดังนี้
หน่วย: บาท
กิจกรรม | งบประมาณเดิม | งบประมาณใหม่ | เพิ่มขึ้น/(ลดลง) |
- กลยุทธ์ปฏิบัติการมวลชน | 133,000,000 | 56,000,000 | (77,000,000) |
- กลยุทธ์เจาะกลุ่มเป้าหมาย | 34,000,000 | 28,000,000 | (6,000,000) |
- การประเมินผลและยุทธ์ศาสตร์การวางแผน | 8,000,000 | 6,500,000 | (1,500,000) |
รวม | 175,000,000 | 90,500,000 | (84,500,000) |
3. ผู้แทน พพ. ได้สรุปสาระสำคัญของแผนปฏิบัติการฯ ให้ที่ประชุมรับทราบเพิ่มเติมดังนี้
วัตถุประสงค์ของการประชาสัมพันธ์
(1) เพื่อเผยแพร่สาระของพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ให้กลุ่มเป้าหมายทราบและเข้าใจอย่างทั่วถึง
(2) เพื่อสร้างทัศนคติและจิตสำนึกที่ดีด้านการอนุรักษ์พลังงานตามแผนงานภาคบังคับแก่ผู้เกี่ยวข้องและประชาชนในประเทศให้มากที่สุด
(3) เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ กลุ่มโรงงานควบคุม อาคารควบคุม และอาคารของรัฐที่เข้าสู่ระบบการอนุรักษ์พลังงานตาม พรบ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเนื่อง และขยายผลสู่กลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่เข้าสู่ระบบฯ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พลังงาน
(4) เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายร่วมมืออนุรักษ์พลังงาน เพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในด้านการแข่งขันของประเทศให้มากที่สุด
(5) เพื่อให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ เพื่อทักษะและเตรียมความพร้อมบุคลากรที่จะต้องปฏิบัติงานด้านอนุรักษ์พลังงานในโรงงาน และอาคารให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กลุ่มเป้าหมาย
(1) กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ กลุ่มโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม กลุ่มโรงงานและอาคารนอกข่ายควบคุม กลุ่มนักวิชาการ นิสิต นักศึกษา นักวิชาชีพด้านวิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรม กลุ่ม ACs กลุ่ม RCs และรวมทั้งผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของ พพ.
(2) กลุ่มเป้าหมายรอง ได้แก่ กลุ่มสื่อมวลชน
กลยุทธ์ของการประชาสัมพันธ์
เพื่อให้การประชาสัมพันธ์บังเกิดผลตามวัตถุประสงค์อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องจึงได้มีการกำหนดกลยุทธ์ในการดำเนินการ เพื่อให้สอดคล้องกัน 2 กลยุทธ์ คือ
กลยุทธ์ที่ 1 ปฏิบัติการมวลชน เป็นการกระตุ้นความสนใจ เพื่อให้เกิดความตระหนักและ จิตสำนึกในการเข้าร่วมในการอนุรักษ์พลังงานในวงกว้าง
กลยุทธ์ที่ 2 เจาะกลุ่มเป้าหมาย เป็นการสนับสนุนให้กลุ่มเป้าหมายมีพฤติกรรม และมีส่วนร่วม ในการผลักดันให้เกิดพฤติกรรมการอนุรักษ์พลังงาน โดยจะใช้กิจกรรม การสื่อสารที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มได้โดยตรงมากขึ้น
กิจกรรมการประชาสัมพันธ์
(1) กิจกรรมประชาสัมพันธ์ในกลยุทธ์ที่ 1 ปฏิบัติการมวลชน
เป็นกลยุทธ์การประชาสัมพันธ์เพื่อกระจายข้อมูลข่าวสารด้านการอนุรักษ์พลังงานตามแผนงานภาคบังคับให้เกิดผล ด้านการรับรู้ ความสนใจ ความตระหนัก และเกิดแนวร่วมจากกลุ่มเป้าหมายอย่างพร้อมเพรียงกันในวงกว้าง โดยประกอบด้วย กิจกรรมที่มุ่งสื่อสารผ่านสื่อมวลชนไปยังกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมและโรงงานนอกข่ายควบคุม
(2) กิจกรรมประชาสัมพันธ์ในกลยุทธ์ที่ 2 เจาะกลุ่มเป้าหมาย
เป็นการประชาสัมพันธ์เจาะจงถึงกลุ่มเป้าหมายหลักโดยตรง เพื่อส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้ความสำคัญกับการจัดกิจกรรมการสื่อสารที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มโดยตรงมากขึ้น อย่างสอดคล้องต่อเนื่อง และสนับสนุนกลยุทธ์ที่ 1
งบประมาณดำเนินการ
งบประมาณดำเนินการตามแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ฯ ปีงบประมาณ 2545 รวมทั้งสิ้น 90,500,000 บาท (เก้าสิบล้านห้าแสนบาทถ้วน)
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ พพ. ดำเนินการประชาสัมพันธ์ตามแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ปีงบประมาณ 2545 โดยใช้เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนงานภาคบังคับ โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2545 ในวงเงิน 60,500,000 บาท (หกสิบล้านห้าแสนบาทถ้วน) ประกอบด้วย
กิจกรรม | งบประมาณ (ล้านบาท) | |
(1) กิจกรรมกลยุทธ์ปฏิบัติการมวลชน | 26.00 | |
(1.1) หมวดการประชาสัมพันธ์สนับสนุนผ่านสื่อมวลชน | 18.5 | |
- สื่อโทรทัศน์ เช่น สารคดีสั้น | 10.0 | |
- สื่อโทรทัศน์ เช่น ร่วมรายการโทรทัศน์ เป็นต้น | 3.5 | |
- สื่อวิทยุ เช่น สารคดีสั้น ร่วมรายการสนทนา สัมภาษณ์ เป็นต้น | 2.5 | |
- สื่อสิ่งพิมพ์ เช่น สัมภาษณ์ รายงานข่าว รายงานพิเศษ เป็นต้น | 2.5 | |
(1.2) หมวดกิจกรรมและสื่อประชาสัมพันธ์อื่นๆ | 7.5 | |
- ข่าวและภาพประชาสัมพันธ์ | 0.5 | |
- สื่อมวลชนสัญจร | 1.2 | |
- กิจกรรมให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วม | 5.0 | |
- แถลงข่าวประชาสัมพันธ์การดำเนินโครงการโรงงาน/อาคารควบคุม | 0.5 | |
- พัฒนาข้อมูลข่าวสารด้านการประชาสัมพันธ์ในสื่ออินเตอร์เน็ต | 0.3 | |
(2) กิจกรรมกลยุทธ์เจาะกลุ่มเป้าหมาย | 28.00 | |
- ทีมเผยแพร่ | 7.0 | |
- สัปดาห์อนุรักษ์พลังงาน | 4.0 | |
- ร่วมงานแสดงสินค้า | 6.0 | |
- สัมมนากลุ่มโรงงาน และนิทรรศการเคลื่อนที่ | 4.0 | |
- วารสารพลังงาน | 3.5 | |
- คู่มือและชุดความรู้ฯ | 3.0 | |
- พัฒนาศูนย์ข้อมูลและสายด่วน พพ. | 0.5 | |
(3) กิจกรรมการประเมินผลและยุทธศาสตร์การวางแผน | 6.5.00 | |
- การวิจัยปัญหาอุปสรรคการร่วมโครงการฯ และประเมินผลฯ | 2.0 | |
- ที่ปรึกษาด้านแผนการประชาสัมพันธ์ฯ | 4.5 | |
รวมงบประมาณทั้งสิ้น | 60.50 |
เรื่องที่ 4 ขออนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2545
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2543 ได้มีมติเห็นชอบแผนโครงการพัฒนาบุคลากรและงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2543-2547 ในวงเงิน 1,688 ล้านบาท
2. คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ได้พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2545 ดังนี้
กิจกรรม | แผนการดำเนินงาน (ล้านบาท) |
ผลการดำเนินงาน (ล้านบาท) |
คงเหลือ (ล้านบาท) |
(1) การพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน แบบเรียน คู่มือและเครื่องมือที่ใช้ประกอบการทำงาน | 190 | 252.79 | (62.79) |
(2) การฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้น ในประเทศ | 63 | 66.07 | (3.07) |
(3) การส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมและดูงานระยะสั้นในต่างประเทศ | 5 | 0.84 | 4.16 |
(4) การส่งบุคลากรเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ | 50 | - | 50 |
(5) การให้ทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา | 30 | 3.8 | 26.2 |
(6) อื่น ๆ | 5 | 68.30 | (63.30) |
รวม | 343 | 391.81 | (48.81) |
3. จากผลการดำเนินโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2545 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการพัฒนาบุคลากร เป็นเงินทั้งสิ้น 391.81 ล้านบาท ทำให้งบประมาณติดลบเป็นจำนวนเงิน 48.81 ล้านบาท เนื่องจากมีโครงการเพิ่มขึ้นจากแผนงบประมาณเดิม เช่น โครงการจัดตั้งศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร โดยกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ในวงเงิน 185 ล้านบาท และโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงานฯ ในวงเงิน 68.3 ล้านบาท ทำให้วงเงินงบประมาณเดิมภายใต้โครงการที่ได้รับอนุมัติไม่เพียงพอต่อการดำเนินงานตามแผนงานที่กำหนดไว้ ประกอบกับในปีงบประมาณ 2545 สพช. มีโครงการหลักๆ ที่คาดว่าจะอนุมัติได้ภายในปีงบประมาณ 2545 ในวงเงินรวม 524.18 ล้านบาท ดังนี้
(1) โครงการบริหารจัดการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร โดย มูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ในวงเงิน 125 ล้านบาท
(2) โครงการศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน โดย พพ. ในวงเงิน 150 ล้านบาท
(3) โครงการภายใต้ความรับผิดชอบของ พพ. ซึ่งมีแผนที่จะดำเนินการในโครงการต่างๆ ในวงเงินรวม 56.09 ล้านบาท ดังนี้
โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง ในวงเงิน 16.09 ล้านบาท
โครงการเสริมสร้างสื่อการสอนเรื่องการอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 20.00 ล้านบาท
โครงการฝึกอบรมตามแผนงานภาคบังคับ ในวงเงิน 20.00 ล้านบาท
(4) โครงการส่งบุคลากรเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดย สพช. ในวงเงิน 87 ล้านบาท
(5) โครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงานฯ ในวงเงิน 30 ล้านบาท
(6) โครงการอื่นๆ ในวงเงิน 20 ล้านบาท
4. คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 6/2545 (ครั้งที่ 95) เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2545 ได้มีมติเห็นชอบให้ สพช. ปรับเพิ่มวงเงินงบประมาณ โครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 จำนวน 524.25 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น 867.25 ล้านบาท และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 เพื่อให้ สพช. ใช้เป็นกรอบในการพิจารณาให้การสนับสนุน สำหรับโครงการพัฒนาบุคลากร จำนวน 524,250,000 บาท (ห้าร้อยยี่สิบสี่ล้านสองแสนห้าหมื่นบาทถ้วน) โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
1.1 เป็นเงินงบประมาณเพื่อให้ สพช. นำไปสมทบในส่วนที่มีการใช้จ่ายเงินเกินงบประมาณ เป็นจำนวนเงิน 48,810,000 บาท (สี่สิบแปดล้านแปดแสนหนึ่งหมื่นบาทถ้วน) โดยให้มีผลตั้งแต่การอนุมัติของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2545 และวันที่ 10 มิถุนายน 2545
1.2 เป็นเงินงบประมาณสำหรับโครงการใหม่ที่ไม่ได้กำหนดไว้ในกรอบเดิม เป็นจำนวนเงิน 475,440,000 บาท (สี่ร้อยเจ็ดสิบห้าล้านสี่แสนสี่หมื่นบาทถ้วน)
2. ให้ สพช. ใช้จ่ายเงินงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 ทั้งในส่วนงบประมาณเดิม (343 ล้านบาท) และส่วนที่ได้รับอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติม (524.25 ล้านบาท) รวมเป็นเงิน 867.25 ล้านบาท โดยสามารถถัวจ่ายได้ระหว่างกิจกรรม ดังนี้
กิจกรรม ปีงบประมาณ 2545 |
รวมงบประมาณ (ล้านบาท) |
(1) การพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน แบบเรียน คู่มือและ เครื่องมือที่ใช้ประกอบการงาน | 407.79 |
(2) การฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศ | 262.16 |
(3) การส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมและดูงานระยะสั้นในต่างประเทศ | 5.00 |
(4) การส่งบุคลากรเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งในประเทศ และต่างประเทศ | 87.00 |
(5) การให้ทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา | 7.00 |
(6) อื่น ๆ | 98.30 |
รวม | 867.25 |
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามคำสั่งคณะกรรมการกองทุนฯ ที่ 2/2544 ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2544 ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อพิจารณาแนวทาง และกำกับดูแลการดำเนินงานโครงการปิดถนนฯ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และบรรลุเป้าหมาย
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2545 ได้มีมติอนุมัติให้การสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ สำหรับโครงการปิดถนนฯ แก่ภูมิภาคต่างๆ ภายในวงเงินแห่งละไม่เกิน 10 ล้านบาท โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ เป็นผู้พิจารณากลั่นกรอง และอนุมัติวงเงินตามแผนรายละเอียด ระยะเวลาการดำเนินงานและงบประมาณของโครงการปิดถนนฯ ที่ภูมิภาคต่างๆ เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการปิดถนนฯ ในภูมิภาคนั้น โดยให้สอดคล้องกับเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานเป็นหลัก และรายงานผลการพิจารณาให้คณะกรรมการกองทุนทราบต่อไป
3. คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2545 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินการปิดถนนฯ ได้แก่
(1) จังหวัดภูเก็ต บริเวณถนนถลาง ภายใต้ชื่อ "ไข่มุกอันดามัน 7 มหัศจรรย์ที่ภูเก็ต" ในวงเงิน 10 ล้านบาท
(2) จังหวัดลำปาง บริเวณถนนประสานไมตรี ภายใต้ชื่อ "มหัศจรรย์ก๋องปู่จา ล้านนาไทย" ในวงเงิน 7 ล้านบาท
(3) จังหวัดเชียงใหม่ บริเวณถนนท่าแพ ภายใต้ชื่อ "10 มหัศจรรย์ล้านนาที่ท่าแพ" เพิ่มเติมในวงเงิน 6,175,836 บาท
4. จากการดำเนินโครงการปิดถนนฯ ที่ผ่านมา สามารถสรุปผลการดำเนินโครงการ ได้ดังนี้
(1) ประชาชนในท้องถิ่นเห็นความสำคัญของการประหยัดพลังงาน เห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต และเกิดแนวคิดในการประหยัดพลังงานอีกด้วย
(2) ประชาชนมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางจากปกติที่เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล
(3) ปริมาณมลพิษลดลง
(4) มีการขยายตัวของเศรษฐกิจชุมชน
(5) เป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีต่อสถาบันครอบครัว และเยาวชน เนื่องจากเป็นลานกิจกรรมของครอบครัว และการแสดงของเยาวชน นักเรียน นักศึกษา เพื่อช่วยให้เยาวชนห่างไกลจากอบายมุข
5. เนื่องจากโครงการนี้เป็นโครงการที่รัฐบาลและ สพช. มีเป้าหมายที่จะดำเนินการต่อไปในภูมิภาคอื่นๆ ที่มีความเหมาะสมและมีความพร้อม ประกอบกับจากการดำเนินงานที่ผ่านมาประชาชนที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ มีความเข้าใจในแนวคิดของโครงการฯ มากขึ้น อีกทั้งหน่วยงานผู้รับผิดชอบสามารถเตรียมการโครงการฯ ให้เป็นไปในแนวทางที่จะเป็นถนนคนเดินที่ยั่งยืนได้ ทำให้การดำเนินการเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด ดังนั้นเพื่อความเหมาะสม จึงเห็นควรให้คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ ทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองรายละเอียดข้อเสนอโครงการฯ แล้วเสนอข้อคิดเห็นต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพื่อพิจารณาอนุมัติวงเงินในการดำเนินการโครงการฯ ต่อไป
มติที่ประชุม
1. ยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่ 2/2544 เรื่องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว
2. เห็นชอบในการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ ตามที่ สพช. เสนอมาและให้ฝ่ายเลขานุการจัดทำคำสั่งแต่งตั้งเสนอประธานคณะกรรมการกองทุนลงนามต่อไป
3. เห็นชอบให้คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ มีหน้าที่พิจารณากลั่นกรองข้อเสนอโครงการปิดถนนฯ ที่แต่ละภูมิภาคเสนอมา แล้วให้นำผลการพิจารณาเสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน เป็นผู้พิจารณาอนุมัติวงเงิน โดยให้อนุมัติวงเงินแห่งละไม่เกิน 10 ล้านบาท
อนุ กอ. ครั้งที่ 5 - วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวามคม 2549
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 4/2549 (ครั้งที่ 5)
วันที่ 14 ธันวาคม 2549 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. ขอความเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานและการจัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายประจำปีงบประมาณ 2550
2. เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
3. รายงานความก้าวหน้าโครงการต้นแบบการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow สำหรับการลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด การผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก รถประจำทางไฟฟ้า และเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
1. ตามที่คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้ง 3/2549 (ครั้งที่ 4) เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2549 ได้พิจารณาแผนอนุรักษ์พลังงานและงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 แล้วและให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำใหม่ที่แสดงให้เห็นภาพรวมทั้งหมด โดยนำแผนงานที่เสนอของบประมาณแผ่นดินมารวมไว้ด้วย จะได้ทราบว่าแผนงานที่ใช้จ่ายจากเงินกองทุนฯ ได้ไปช่วยเสริมหรือสอดคล้องกับแผนงานตามงบประมาณในส่วนใด รวมถึงกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดความสำเร็จของการดำเนินงานในแต่ละแผนงานให้ชัดเจน และมีความคุ้มค่าในการลงทุน
ในการจัดทำแผนฯ เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ นั้น ควรเพิ่มรายละเอียดของงานที่ยังไม่ชัดเจน และลดความซ้ำซ้อนของงานที่ดำเนินการโดยหลายหน่วยงาน เช่น งานจัดการด้านการใช้ไฟฟ้าหรือการติดฉลาก งานประชาสัมพันธ์ การเพิ่มเติมรายละเอียดของโครงการพัฒนาและส่งเสริมชีวภาพ เป็นต้น โดยผ่านการพิจารณาให้คำแนะนำจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ประกอบด้วย คุณพรายพล คุ้มทรัพย์, คุณเจน นำชัยศิริ และ คุณจุลละพงศ์ จุลละโพธิ แล้วให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำกลับมาเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งในวันที่ 14 ธันวาคม 2549
2. คณะผู้ทรงคุณวุฒิ พร้อมด้วยอธิบดี พพ. และ ผอ.สนพ. ได้ประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2549 เพื่อดำเนินการตามที่คณะอนุกรรมการฯ มอบหมาย โดยการพิจารณาความเหมาะสมของกิจกรรม/งาน/โครงการด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนตามที่เสนอมานั้น มีข้อจำกัดมาก ด้วยคณะผู้ทรงคุณวุฒิทราบเป้าหมายโดยรวมเชิงนโยบาย แต่ในรายละเอียดของแผนงาน หน่วยงานไม่ได้เสนอการทบทวนงานที่ได้ทำไปแล้ว ผลสัมฤทธิ์ ปัญหาอุปสรรค ทั้งที่หน่วยงานดำเนินการเองและที่หน่วยงานอื่นหรือภาคเอกชนดำเนินการ นอกจากนั้นโครงการที่เสนอมาส่วนใหญ่ยังไม่ชัดเจนทั้งในรายละเอียดและตัวชี้วัดผลงาน คณะผู้ทรงคุณวุฒิจึงพิจารณาแบ่งเป็น
2.1 โครงการที่ควรมีรายละเอียดเพิ่มเติมให้ชัดเจน ทั้งด้านแผนงานวิธีดำเนินการ เป้าหมาย ตัวชี้วัด และรายละเอียดงบประมาณ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการที่ พพ. เสนอในลักษณะที่มีโครงการย่อยรวมอยู่ด้วย มีเนื้องานที่ไม่ชัดเจน ไม่ได้แยกรายละเอียดงบประมาณแต่ละกิจกรรมและรายการ หรือมีงบประมาณประชาสัมพันธ์รวมอยู่ด้วยซึ่งอาจจะเร็วเกินไป จึงเห็นควรให้ พพ. จัดทำรายละเอียดให้เรียบร้อยก่อนเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณา หรืออาจจะเห็นชอบกรอบงานและกรอบเงินงบประมาณไปก่อน แล้วจัดทำรายละเอียดมาเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งก่อนดำเนินการ
2.2 โครงการที่ควรรอผลประเมินก่อนดำเนินการ ซึ่งเป็นโครงการที่ พพ. เสนอขอค่าใช้จ่ายเพื่อประเมินผลไว้ จึงเห็นว่าคณะอนุกรรมการฯ อาจเห็นชอบกรอบงานและกรอบเงินงบประมาณไปก่อน โดยมีเงื่อนไขให้ พพ. ดำเนินการประเมินผลให้เรียบร้อย แล้วจัดทำรายละเอียดของแผนงานโครงการนั้นๆ ให้สอดคล้องกับผลประเมิน และให้ฝ่ายเลขานุการฯ สรุปเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบก่อนที่ พพ. จะดำเนินการโครงการนั้นต่อไป
2.3 โครงการที่ควรเพิ่มเติมข้อมูลงานศึกษาวิจัยที่มีผู้ดำเนินการไว้แล้ว เปรียบเทียบกับขอบเขตงานวิจัยที่ พพ. จะดำเนินการ ผลที่คาดว่าจะได้รับ การใช้ประโยชน์จากงานวิจัย เป้าหมายและตัวชี้วัด แล้วเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบก่อนที่ พพ. จะดำเนินการโครงการนั้นต่อไป
2.4 โครงการที่ควรเพิ่มเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องดำเนินการ โดยเฉพาะโครงการศึกษาเกณฑ์มาตรฐานเพิ่มเติมในกลุ่มอุตสาหกรรม 3 ประเภท และโครงการนำร่องนำเกณฑ์มาตรฐานไปสาธิตการใช้งานในกลุ่มอุตสาหกรรม 9 ประเภท เพราะในปี 2550 เข้าใจว่า พพ. กำลังจะนำมาตรฐานการจัดการใช้พลังงานที่ศึกษาไว้เรียบร้อยแล้ว มาใช้ประเมินประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงาน/อาคาร
2.5 โครงการที่ไม่ควรสนับสนุนการดำเนินงาน เนื่องจากมีผลการดำเนินงานที่พิสูจน์ทราบแล้ว หรือเป็นค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อน ได้แก่ โครงการศึกษาการผลิตแก๊สเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้าจากไม้โตเร็ว โครงการส่งเสริมเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดในโรงงานอุตสาหกรรม และโครงการส่งเสริมเทคโนโลยีพลังงานทดแทนในรูปแบบการ์ตูน โครงการสนับสนุนการพัฒนาองค์กรสมรรถนะสูง
2.6 โครงการที่ พพ. และ สนพ. เสนอที่จะดำเนินการในลักษณะและเป้าหมายที่ใกล้เคียงกัน 4 โครงการ ดังนี้
- โครงการลดใช้พลังงานในภาครัฐ : พพ. และ สนพ. ได้ชี้แจงรายละเอียดของงานซึ่งไม่มีความเหลื่อมหรือซ้ำซ้อนกันคณะผู้ทรงคุณวุฒิทราบและเข้าใจเรียบร้อยแล้ว
- โครงการศึกษาการจัดการและจัดเตรียมเชื้อเพลิงชีวมวล : ซึ่งมีความซ้ำซ้อนกันในส่วนของภาพรวม แต่เนื่องจากผลจากงานศึกษาของ สนพ. จะได้แนวทางที่ครอบคลุมถึงเสถียรภาพด้านเชื้อเพลิงและราคา โอกาสความเป็นไปได้ของระบบโซนนิ่งรวมถึงการจัดการระบบโลจิสติกส์ คณะผู้ทรงคุณวุฒิจึงเห็นว่าควรให้ สนพ. เป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการ
- โครงการที่เกี่ยวกับการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้าหรือติดฉลากวัสดุ อุปกรณ์ : เห็นควรรอผลสรุปจากการประชุมของกระทรวงพลังงาน
- โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานทางเลือก: ซึ่งมีความซ้ำซ้อนกัน เห็นควรให้คณะทำงานประชาสัมพันธ์ของกระทรวงพลังงานดูในรายละเอียดของทั้ง 2 หน่วยงาน ก่อนดำเนินการ เพื่อพิจารณาความเหมาะสมให้งานประชาสัมพันธ์มีประสิทธิภาพขึ้น
2.7 ควรมีการจัดระเบียบ รูปแบบ และหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ เพื่อให้เกิดวินัย และใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพราะทุกโครงการของ พพ. ระบุว่า "สามารถดำเนินการโดยการว่าจ้าง หรือดำเนินการเอง หรือการให้การสนับสนุน หรือนำมาจัดสรร หรือดำเนินการหลายวิธีข้างต้นประกอบกันได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้แต่ละวิธีสามารถแยกดำเนินการได้หลายรายการ และหากมีความจำเป็น ให้ พพ. สามารถขยายเวลาได้ตามความเหมาะสม"
2.8 ไม่สามารถให้ความเห็นในเรื่องความเหมาะสมของวงเงินและการใช้ทรัพยากรได้ ให้เป็นหน้าที่ของผู้รับจัดสรรเงินที่ต้องพิสูจน์ว่าสิ่งที่ได้เสนอขอไว้นั้นมีความเหมาะสม
2.9 รับทราบเรื่องที่ พพ. ได้แจ้งต่อที่ประชุมเพื่อขอใช้วงเงินที่ปรับลดลงจากโครงการต่างๆ ไปใช้ดำเนินการโครงการสาธิตผลิตไฟฟ้าโดยใช้ประโยชน์จากน้ำท้ายเขื่อนชลประทาน
2.10 กระทรวงพลังงานได้ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการด้านมาตรฐานการใช้พลังงาน ประกอบด้วย กฟผ. พพ. และ สนพ. เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2549 เพื่อทราบงานที่แต่ละหน่วยงานได้ดำเนินการไว้ ความซ้ำซ้อนของงาน ปัญหาอุปสรรค และได้ปรับกระบวนการบริหารจัดการเพื่อขับเคลื่อนให้งานมาตรฐานการใช้พลังงานมีความก้าวหน้าเร็วขึ้น ดังนี้
1) ให้ พพ. ศึกษาทบทวนและเร่งกำหนดกฎกระทรวงเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
2) ให้ กฟผ. มีหน้าที่ในการติดฉลากแสดงประสิทธิภาพพลังงาน ส่งเสริมการผลิตและการจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง
3) ให้ พพ. มีหน้าที่ในการติดฉลากแสดงประสิทธิภาพพลังงาน ส่งเสริมการผลิตและการจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องใช้พลังงานอื่นๆ (ที่ไม่ใช่พลังไฟฟ้า) ประสิทธิภาพสูง และให้ สนพ. มอบงานติดฉลากเตาหุงต้ม LPG และฉลากรถยนต์ ในระยะต่อไปให้ พพ. รับไปดำเนินการ
4) ปรับปรุงองค์ประกอบคณะทำงานด้านมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน แต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อทำหน้าที่พิจารณามาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน การติดฉลาก การส่งเสริมการผลิตและจำหน่าย โดยมีปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นคณะทำงาน และ พพ. เป็นฝ่ายเลขานุการ
5) ให้ สนพ. ทำหน้าที่ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน และรายงานให้คณะทำงานฯ คณะอนุกรรมการกองทุนฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ ทราบความก้าวหน้าของการดำเนินงานเป็นระยะ
6) ให้ พพ. และ สนพ. ปรับแผนงานและงบประมาณที่จะเสนอขอจัดสรรจากกองทุนฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการด้านมาตรฐานการใช้พลังงานหรือการติดฉลากต่างๆ พร้อมนี้ได้ให้ พพ. เร่งส่งเสริมเผยแพร่การใช้เตาหุงต้มประสิทธิภาพสูง เพื่อใช้แทนเตาหุงต้มแบบเดิม ที่ยังไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจังด้วย
3. พพ. และ สนพ. ได้ปรับรายละเอียดกิจกรรม/งาน/โครงการด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ตามที่คณะผู้ทรงคุณวุฒิให้คำแนะนำไว้ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงนำมาเสนอที่ประชุมเพื่อพิจารณาโดยคาดว่าจากการดำเนินการดังกล่าวจะสามารถลดปริมาณการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ลง 209.37 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และจะนำพลังงานทดแทนมาใช้เพิ่มขึ้น 25.7 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ภายในปี 2550 โดยมีตัวชี้วัดผลสำเร็จของการดำเนินงาน ดังนี้
ด้านเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
(1) กฎกระทรวงได้รับการแก้ไขให้สามารถเริ่มบังคับใช้กฎหมายควบคุมกับโรงงาน/อาคาร ที่อยู่ในข่ายควบคุมได้ ทั้งที่กำลังใช้งาน และออกแบบก่อสร้างใหม่
(2) ออกกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานการจัดการพลังงานประกาศบังคับใช้ในโรงงานควบคุม ภายในปี 2550
(3) ร้อยละ 75 ของโรงงาน/อาคารที่อยู่ในข่ายควบคุมดำเนินการตามกฎหมาย จัดทำแผนและเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานส่งให้ พพ.
(4) กฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จะมีการประกาศบังคับใช้กับ โทรทัศน์ หม้อหุงข้าว เครื่องทำน้ำอุ่น เตาหุงต้มที่ใช้ LPG เตาอบไมโครเวฟ
(5) ปรับระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงานของเครื่องปรับอากาศและตู้เย็นให้เข้มข้นขึ้น โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการในการติดฉลากใหม่
(6) สามารถดำเนินการให้กฎหมายของ สมอ. พิจารณากำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักรและเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพด้านพลังงานด้วย โดยในปี 2550 ประกาศใช้มาตรฐานขั้นต่ำกับบัลลาสต์ และหลอดฟลูออเรสเซนต์ และคอมแพคฟลูออเรสเซนต์
(7) หน่วยงานรัฐที่ใช้ไฟฟ้าตั้งแต่ 10,000 หน่วย/ปี จำนวน 450 หน่วยงาน จาก 1,800 หน่วยงาน มีความเข้าใจในวิธีตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานและสามารถดำเนินการลดใช้พลังงาน
(8) ร้อยละ 80 ของจำนวนประชาชนที่สุ่มสัมภาษณ์ (1,000 ตัวอย่าง ทั่วประเทศ) ที่รับรู้และเข้าใจถึงวิธีประหยัดพลังงาน ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการประหยัดพลังงานจนเป็นนิสัยมากขึ้น
ด้านพลังงานทดแทน
(1) สัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3 เป็น ร้อยละ 4
(2) ติดตั้งการใช้งานระบบพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่ห่างไกล ให้กับ โรงเรียนชนบท ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน ฐานปฏิบัติการทางทหารและตำรวจตระเวนชายแดน สถานีอนามัย ได้รวม 200 กิโลวัตต์
(3) ทราบศักยภาพพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์มาผลิตไฟฟ้า
(4) ทราบแผนที่ศักยภาพพลังงานลมเฉพาะแหล่งในการผลิตไฟฟ้า ที่มีข้อมูลเชิงวิศวกรรมมากพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการตัดสินใจลงทุน
(5) ทราบแนวทาง/กระบวนการรวบรวมวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวลมาใช้งาน ที่คุ้มค่าในการลงทุน และแนวทางบริหารจัดการซื้อขายวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวล ตลอดจนเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในการรวบรวมทั้งในระดับอุตสาหกรรมและระดับชุมชน เพื่อนำไปสู่ตลาดการซื้อขายวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวลในอนาคต
(6) มีการผลิตและใช้ไบโอดีเซลในชุมชนกว่า 400 แห่ง และมีเครื่องต้นแบบการนำผลพลอยได้ไปใช้ประโยชน์ รวมถึงได้เครื่องต้นแบบระบบบำบัดน้ำเสียที่มีคุณภาพเหมาะสมกับชุมชน
(7) ได้แนวทางการจัดการปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับระบบการเก็บผสมและการขนส่งเอทานอลของประเทศที่มีประสิทธิภาพและมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ต่ำสุด ตลอดจนแนวทางการบริหารจัดการเอทานอลส่วนเกินจากความต้องการใช้ภายในประเทศ
(8) ร้อยละ 80 ของจำนวนประชาชนที่สุ่มสัมภาษณ์ (1,000 ตัวอย่าง ทั่วประเทศ) รู้จักและมั่นใจการเลือกใช้เชื้อเพลิงอื่นเช่น NGV ก๊าซโซฮอล์ และ ไบโอดีเซล รวมถึงรู้จักพลังงานทางเลือกมากขึ้น ทราบวิธีการจัดการผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากกระบวนการผลิตและใช้พลังงาน และผ่อนคลายความกังวลที่มีต่อเชื้อเพลิงบางประเภท เช่น ถ่านหิน และอื่นๆ
4. การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปี 2550 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอนั้น คาดว่าจะมีประมาณการรายจ่ายรวมทั้งสิ้น 3,346,857,344 บาท ประกอบด้วย
1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | |||
ล้านบาท | ล้านบาท | ล้านบาท | |||
1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 353.00 | 2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 216.00 | 3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 102.00 |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 1,503.98 | 2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 481.00 | 3.2 งานบริหารกองทุน | 85.02 |
1.3 งานพัฒนาบุคลากร | 39.50 | 2.3 งานพัฒนาบุคลากร | 180.35 | 3.3 งานอื่นๆ | - |
และประชาสัมพันธ์ | 151.00 | และประชาสัมพันธ์ | 180.00 | ||
1.4 งานบริหารแผนงาน | 32.50 | 2.4 งานบริหารแผนงาน | 22.50 | ||
รวม 2,079.98 | รวม 1,079.85 | รวม 187.02 |
โดยจัดสรรให้ 3 หน่วยงาน คือ พพ. สนพ. และกรมบัญชีกลาง ดังนี้
หน่วยงาน | 1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | รวม |
1) พพ. | 1,610,482,500 | 644,850,000 | - | 2,255,332,500 |
2) สนพ. | 469,500,000 | 435,000,000 | 185,905,104 | 1,090,405,104 |
3) กรมบัญชีกลาง | - | - | 1,119,740 | 1,119,740 |
รวม | 2,079,982,500 | 1,079,850,000 | 187,024,844 | 3,346,857,344 |
โดย สนพ. ลดงบประมาณลง 216 ล้านบาท และ พพ. ลดงบประมาณลง 100.22 ล้านบาท และ พพ. ของบประมาณใหม่สำหรับโครงการพลังน้ำและเผยแพร่เตาประสิทธิภาพสูง รวม 71.27 ล้านบาท
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้จัดทำทางเลือกเพื่อปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ จากเดิม 4 สตางค์/ลิตร เป็นอัตรา 7 และ 10 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งจากทางเลือกต่างๆ ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าการปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ เป็นอัตรา 7 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซล และเตาที่ผลิตในประเทศและนำเข้า และอัตรา 6.3 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ จะทำให้ฐานะทางการเงินของกองทุนฯ เพิ่มขึ้นสู่ระดับเดิมและสอดคล้องกับการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน
มติที่ประชุม
1. ให้ พพ. และ สนพ. ปรับแผนอนุรักษ์พลังงานและงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 ตามการพิจารณาของที่ประชุม และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
2. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ จากเดิมเก็บในอัตรา 4 สตางค์/ลิตร เป็น 7 สตางค์ต่อลิตร และเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาต่อไป
2. เห็นชอบให้ค่าใช้จ่ายในงานบริหารของทั้ง 3 แผนงาน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2549 โดยแต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในหมวดต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
เรื่องที่ 2 เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปแล้ว รวม 10 โครงการ ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้ ดังนี้
1. ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 7 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | เดิม | ขยายถึง | |
(1) | โครงการกำหนดเกณฑ์และจัดทำฉลากเตาหุงต้ม LPG ประสิทธิภาพสูง | มจธ. | กันยายน 2549 | กันยายน 2550 |
(2) | โครงการออกแบบประตูบานเกล็ดเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน | มจธ. | สิงหาคม 2549 | ธันวาคม 2549 |
(3) | โครงการวิเคราะห์สมรรถนะของระบบทำน้ำร้อนแสงอาทิตย์ร่วมกับปั๊มความร้อนสำหรับอาคารที่อยู่อาศัย | มจธ. | พฤษภาคม 2549 | ธันวาคม 2549 |
(4) | โครงการศึกษาศักยภาพการประหยัดพลังงานในพัดลมในเครื่องปรับอากาศแบบ Split Type | มจธ. | พฤษภาคม 2549 | ธันวาคม 2549 |
(5) | โครงการศึกษาวัสดุระบบการก่อสร้างด้วยโฟมเพื่อใช้ในการออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน | มจธ. | มิถุนายน 2549 | ธันวาคม 2549 |
(6) | โครงการศึกษาอิทธิพลการตกแต่งผิววัสดุในลักษณะต่างๆ ต่อภาระการทำความเย็นของระบบปรับอากาศ | มจธ. | มิถุนายน 2549 | ธันวาคม 2549 |
(7) | โครงการวัสดุผนังจากการเกษตร | มจธ. | มิถุนายน 2549 | ธันวาคม 2549 |
* มจธ. = มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
2. ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ รวม 2 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | ขอเปลี่ยนแปลง | |
(1) | โครงการให้คำปรึกษา ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานของเครือข่ายสารสนเทศด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย (ระยะที่ 2) | มจธ. |
1) ขอขยายระยะเวลาจากมิถุนายน 2548 เป็นกันยายน 2549 2) ขอนำเงินจากหมวดค่าใช้สอย จำนวน 100,000 บาท ใช้จ่ายเป็นค่าจ้างบุคลากรฯ ในช่วงที่ขยายเวลา |
(2) | โครงการจัดสร้างเตาเผาศพแบบประหยัดพลังงานและลดมลภาวะ | ม.เชียงใหม่ |
1) ขอขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ จากพฤศจิกายน 2549 เป็นพฤศจิกายน 2550 2) ขอปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการจ่ายเงินสนับสนุนผู้ร่วมโครงการฯ จากเดิม จ่ายให้กับผู้ร่วมโครงการเพื่อจัดสร้างเตาเผาศพประหยัดพลังงานชนิดเผาศพมากต่อวัน จำนวน 1 เตา ในวงเงิน 250,000 บาท เป็น จ่ายให้กับผู้ร่วมโครงการเพื่อจัดสร้างเตาเผาศพประหยัดพลังงาน จำนวน 1 เตา ในวงเงิน 250,000 บาท |
(3) | โครงการรณรงค์ประหยัดพลังงานในหน้าร้อนกิจกรรม "ล้างแอร์ลดค่าไฟหน้าร้อน" | สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา |
1) ขอเบิกค่าบริการล้างแอร์ของหน่วยงานราชการในเขต กฟน. เพิ่มจากเดิม 350 บาท/เครื่อง เป็น 400 บาท/เครื่อง รวม 4,350 เครื่อง คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 217,500 บาท |
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ทั้ง 10 โครงการ ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
1. กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้รายงานความก้าวหน้าของความร่วมมือกับบริษัท เซลเลนเนียม (ประเทศไทย) จำกัด ในงานศึกษาวิจัยและพัฒนาการทดสอบการใช้งาน Vanadium Redox Flow ซึ่งเป็นเทคโนโลยีกักเก็บพลังงานไฟฟ้าด้วยเซลล์ไฟฟ้าเคมี โดยเก็บไว้ใน Vanadium Electrolyte เป็นของเหลวที่สามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ได้ทำให้มีประสิทธิภาพสูงกว่าและอายุการใช้งานยาวนานกว่าแบตเตอรี่มาตรฐานที่มีการใช้งานอยู่ทั่วไป โดยทดสอบการใช้งาน 4 รูปแบบ คือ 1) ใช้เป็นอุปกรณ์เก็บสำรองพลังงานไฟฟ้าในระบบสายส่งของไฟฟ้าสำหรับลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด (Load Leveling) 2) พัฒนาใช้เป็นเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรททดลองผลิตไฟฟ้าจากน้ำตาล 3) พัฒนาเพื่อเก็บสำรองไฟฟ้าสำหรับระบบผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก และ 4) พัฒนาเป็นแหล่งพลังงานในรถประจำทางไฟฟ้า เพื่อให้เป็นต้นแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานต่อไป
2. โครงการนี้ได้รับงบประมาณจากกองทุนฯ ในวงเงิน 200 ล้านบาท เพื่อดำเนินงาน 2 ส่วน
2.1 การศึกษาวิจัย ให้บริษัท เซลเลนเนียม (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ดำเนินการศึกษาวิจัยโดยต่อยอดจากสิทธิบัตรที่บริษัทได้รับมอบสิทธิ์จากเจ้าของสิทธิบัตร รวม 10 ฉบับ วงเงินรวม 175 ล้านบาท ศึกษาวิจัย 4 โครงการย่อย ดังนี้
(1) การลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด 60 ล้านบาท
(2) การเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท 65 ล้านบาท
(3) ระบบผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก 20 ล้านบาท (บริษัทฯ สมทบ 20 ล้านบาท)
(4) ทดสอบใช้กับรถประจำทางไฟฟ้า 30 ล้านบาท (บริษัทฯ สมทบเงิน 30 ล้านบาท)
2.2 การติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการศึกษาวิจัย โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ก.วิทยาศาสตร์ฯ ร่วมกับนักวิชาการจากสถาบันการศึกษาในประเทศ เป็นผู้ดำเนินการ
3. ความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการ
3.1 โครงการการลดกำลังภาระสูงสุด บริษัทฯ ยังไม่ได้ส่งรายงานทั้ง 2 งวด คือรายงานการพัฒนาพร้อมต้นแบบแบตเตอรี่ ขนาด 1-3 kW และรายงานการพัฒนาพร้อมต้นแบบแบตเตอรี่ ขนาด 4-10 kW เนื่องจากกำลังพัฒนาให้ได้แบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยต้นทุนต่ำและสะดวกในการผลิตปริมาณมาก โดยมีความก้าวหน้าดังนี้
(1) สามารถเพิ่มความหนาแน่นของกระแสไฟฟ้าในตัวแบตเตอรี่ได้มากกว่าที่เคยตั้งเป้าไว้เดิม 3 เท่า คือ จาก 400 แอมป์/ตารางเมตร เป็น 1,500 แอมป์/ตารางเมตร ทดสอบประสิทธิภาพโดย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และบริษัทฯ ได้นำข้อมูลที่ได้จากการทดสอบไปใช้ในการออกแบบรายละเอียดและวางข้อกำหนดคุณสมบัติสำหรับการออกแบบด้านวิศวกรรม
(2) ออกแบบแบตเตอรี่ที่มี Cell ขนาดใหญ่ขึ้น จาก 200x200 มิลลิเมตร เป็น 400x400 มิลลิเมตร ได้แล้ว
(3) กำลังทำต้นแบบแรก ขนาด 1-3 kW ที่คาดว่าจะมีประสิทธิภาพตามเป้าหมายและจะแล้วเสร็จไม่เกินเดือนมกราคม 2550 และจะส่งมอบต้นแบบโดยเร็ว
3.2 เซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท บริษัทฯ ยังไม่ได้ส่งรายงานทั้ง 2 งวด โดยแจ้งว่ากำลังศึกษา วิจัย Electrolyte ในแบตเตอรี่ให้สามารถทำงานได้ในขณะอุณหภูมิสูงขึ้น และได้พัฒนาจนสามารถทำงานได้ในอุณหภูมิที่สูงกว่า 60 องศาเซลเซียส ทำให้ประสิทธิภาพของเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรทสูงขึ้นกว่าเดิม โดย สวทช. ได้เข้าไปทดสอบผลการค้นคว้าวิจัยแล้ว และคาดว่าจะส่งรายงานมาได้ไม่เกินเดือนธันวาคม 2549 แต่ก็ยังไม่ได้มีการส่งงานแต่อย่างไร
มติที่ประชุม
รับทราบความก้าวหน้าโครงการต้นแบบการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow ตามที่ พพ. รายงาน
อนุ กอ. ครั้งที่ 6 - วันจันทร์ที่ 25 ธันวามคม 2549
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 5/2549 (ครั้งที่ 6)
วันที่ 25 ธันวาคม 2549 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิติพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ได้พิจารณาแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2550-2554 แล้วและเห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน และแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ในช่วงปีงบประมาณ 2550-2554 โดยให้ปรับลดเป้าหมายพลังงานแสงอาทิตย์ลงเป็น 45 MW เพิ่มเป้าหมายของพลังงานลมเป็น 115 MW ปรับลดเป้า NGV เป็น 251,600 คัน สำหรับแนวทางดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในขนส่งนั้น เห็นชอบกรอบแผนงานตามที่เสนอ และเมื่อแผนงานทางกระทรวงคมนาคมชัดเจนขึ้นแล้ว คณะกรรมการกองทุนฯ จะพิจารณารายละเอียดภายหลัง
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ได้พิจารณาแผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 แล้ว และได้อนุมัติตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ แต่เนื่องจากอาจมีโครงการที่บรรจุอยู่ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 อาจจะซ้ำซ้อนกับงานวิจัยที่หน่วยงานอื่นได้ดำเนินการแล้ว จึงเห็นควรให้คณะอนุกรรมการกองทุนฯ พิจารณารายละเอียดโครงการอีกครั้ง ก่อนนำไปดำเนินการ โดยเชิญผู้แทนจาก 3 หน่วยงานได้แก่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เข้าร่วมให้ความเห็นด้วย ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอให้ผู้แทนจาก 3 หน่วยดังกล่าวที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ได้พิจารณาให้ความเห็นแผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ด้วย
มติที่ประชุม
เห็นด้วยกับแผนปฏิบัติการการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบไว้แล้ว
กอ. ครั้งที่ 30 - วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2545
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 4/2545 (ครั้งที่ 30)
วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2545 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
2. ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
ท่านประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ท่านประธานได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานประกอบรถยนต์ของบริษัทฮอนด้า ซึ่งบนหลังคาอาคารสำนักงานของบริษัทได้ติดตั้งระผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในอาคาร โดยบริษัทเป็นผู้ลงทุนในการติดตั้งระบบเองทั้งหมด ท่านประธานจึงมีความเห็นว่ากองทุนฯ ควรมีมาตรการในการประชาสัมพันธ์ให้กับผู้ลงทุนทางด้านการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียนด้วย เช่น การมอบรางวัลชมเชยให้แก่บริษัทที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าว เพื่อเป็นแรงจูงใจแก่บริษัทฯ และบริษัทอื่นๆ ที่สนใจจะเป็นใช้ตัวอย่างเพื่อพัฒนาด้านการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียนภายในองค์กร ฯ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่มีผู้สนใจจะลงทุนผลิตและขายไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง (Small Power Producer: SPP) จำนวน 43 ราย ได้ยื่นข้อเสนอขอรับเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น จากอัตรารับซื้อของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตามประกาศของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ใน "โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" และคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 21 มีนาคม2545 และวันที่ 20 มิถุนายน 2545 ได้พิจารณาข้อเสนอทั้ง 43 ราย แล้ว สรุปผลได้ดังนี้
(1) มี SPP รวมทั้งสิ้น 31 โครงการ ที่ผ่านการพิจารณาเบื้องต้น โดย SPP ทั้ง 31 ราย ต้องจัดทำแผนการรับฟังความคิดเห็นจากชุมชน และ สพช. จะต้องนำผู้แทนของกองทุนฯ เข้าไปในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่นั้นและรายงานผลเป็นข้อสังเกตและความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุนฯ ในการอนุมัติให้การสนับสนุนโครงการฯ
(2) อนุมัติให้ สพช. เบิกค่าใช้จ่ายในการติดตามดูแลและสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ จากกองทุนฯ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในวงเงิน 69 ล้านบาท
(3) ให้ สพช. พิจารณากำหนดมาตรการควบคุมที่เข้มงวดและจริงจังและการจัดการกับ SPP ที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือข้อตกลงในการนำ กาก เศษวัสดุเหลือใช้ ขยะมูลฝอยหรือไม้ มาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กนั้น แล้วก่อให้เกิดมลพิษและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
(4) คณะกรรมการกองทุนฯ เห็นควรจัดตั้งคณะทำงานเพื่อเกาะติดสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่และรายงานความเป็นไปให้คณะกรรมการกองทุนฯ ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ตลอดจนให้ตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้นโดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง นักวิชาการอิสระ ผู้แทนจากชุมชน และเจ้าของโรงไฟฟ้า เพื่อมีส่วนร่วมในการทำหน้าที่ติดตามการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าต่างๆ ในแต่ละพื้นที่
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ในการประชุมครั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ จะนำเสนอความก้าวหน้าของการดำเนินการโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1 แผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
ส่วนที 2 กรอบการพิจารณาแผนรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่
ส่วนที่ 3 กรอบการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงาน โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
3. สพช. ได้ขออนุญาตต่อที่ประชุมให้ บริษัท ทริปเปิล เจ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ผู้บริหารงานประชาสัมพันธ์ของโครงการฯ ได้นำเสนอรายงานต่อที่ประชุมในส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 สรุปได้ดังนี้
ส่วนที่ 1 แผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายให้ได้รับทราบความเป็นมาและมีความเข้าใจที่ดีต่อโครงการ SPP โดยใช้กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ 3 กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์การสร้างภาพลักษณ์ที่ดี กลยุทธ์การสร้างแนวร่วม และกลยุทธ์การสร้างแนวป้องกัน ซึ่งสามารถแปลงเป็นกิจกรรมการสื่อสารต่างๆ ได้ 4 กิจกรรม ดังนี้
(1) ศูนย์ประสานงานโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อดำเนินกลยุทธ์สร้างแนวร่วมและแนวป้องกัน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงลึก ติดตามการดำเนินการประชาสัมพันธ์ มวลชนสัมพันธ์ และเป็นตัวกลางในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นระหว่างประชาชนในพื้นที่กับ SPP โดย สพช. ได้ว่าจ้างบริษัท ดีวายทู จำกัด ให้เป็นผู้ดำเนินการในวงเงิน 7,000,000 บาท
(2) ศูนย์ประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์การสร้างภาพลักษณ์และสร้างแนวร่วม เพื่อให้สื่อมวลชนทุกแขนงได้รับความรู้ข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับโครงการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ที่ถูกต้องเป็นจริงและครบถ้วน
(3) ผู้ผลิตสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับโครงการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
(4) ผู้ผลิตสื่อและจัดกิจกรรมการสื่อสารในพื้นที่ เพื่อสร้างสร้างเครื่องมือในการสื่อสารเกี่ยวกับโครงการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ไปสู่กลุ่มเป้าหมายให้ตรงกับพฤติกรรมของประชาชนในแต่ละพื้นที่
สำหรับกิจกรรม (2)-(4) นั้นขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการเปิดให้ผู้สนใจรับ TOR และคาดว่าจะสามารถดำเนินการจัดจ้างผู้มาดำเนินงานในแต่ละกิจกรรมได้ภายในเดือนตุลาคม 2545
ส่วนที่ 2 กรอบการพิจารณาแผนรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากแผนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในแต่ละพื้นที่ จะมีกิจกรรมที่หลากหลาย โดยขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ ดังนั้น สพช. จึงกำหนดกรอบการพิจารณาที่เป็นกลางขึ้นเป็นเครื่องมือในการประเมินระดับความพอใจที่มีต่อแผนการรับฟังความคิดเห็นให้การพิจารณาของ SPP ทั้ง 31 ราย ซึ่งสามารถแบ่งการพิจารณา ออกเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
(1) กรอบการพิจารณาแผนฯ
พิจารณาพื้นที่เป้าหมาย ต้องดำเนินกิจกรรมรับฟังความคิดเห็นประชาชนโดยครอบคลุมพื้นที่ในรัศมี 10 กิโลเมตร ประกอบด้วย พื้นที่หลัก (0-3 กิโลเมตร จากที่ตั้งโรงไฟฟ้า) และพื้นที่รอง (3-10 กิโลเมตร)
พิจารณากลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ แผนต้องมีความชัดเจนที่จะดำเนินกิจกรรมชี้แจงและรับฟังความคิดเห็นในทุกกลุ่มเป้าหมาย
พิจารณาเอกสารประกอบการชี้แจง ต้องมีเอกสารประกอบการชี้แจงและรับฟังความคิดเห็นเพื่อสื่อสารให้กลุ่มเป้าหมายรับทราบ เช่น ข้อมูลพื้นฐานของโครงการผลิตไฟฟ้า ประโยชน์ของโครงการฯ
พิจารณาความชัดเจนของแผน แผนรับฟังความคิดเห็นต้องมีความชัดเจนของวัตถุประสงค์ วิธีการดำเนินการรับฟังความคิดเห็น ข้อมูลที่จะจัดเก็บเพื่อจัดทำรายงานผลการรับฟังความคิดเห็น กระบวนการดำเนินงาน และปัจจัยประกอบอื่นๆ
ผลการพิจารณาแผนการรับฟังความคิดเห็น
สพช. ได้ส่งแผนการรับฟังความคิดเห็นของ SPP ทั้ง 17 ราย ให้บริษัท ทริปเปิล เจ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด รับไปพิจารณาตามกรอบที่กำหนดในข้อ (1) สรุปได้ว่า
มี SPP จำนวน 7 ราย ที่มีแผนการรับฟังความคิดเห็นที่ชัดเจน และเห็นควรให้ดำเนินการได้ตามแผนงานที่เสนอมา
มี SPP จำนวน 6 ราย ที่ควรปรับปรุงแผนตามคำแนะนำก่อนดำเนินการ เนื่องจากขาดรายละเอียดของความชัดเจนในบางประเด็น
มี SPP จำนวน 3 ราย ที่ควรจำทำแผนการรับฟังใหม่ และมี SPP จำนวน 1 ราย ที่ขอระงับโครงการฯ จึงไม่ได้เสนอแผน
(2) การเข้าร่วมสังเกตการณ์รับฟังความคิดเห็น
โดยกำหนดแนวทางการสังเกตการณ์ ประกอบด้วย การประเมินวิธีการดำเนินการเปรียบเทียบกับแผนฯ ประเมินวิธีการชี้แจงของ SPP ประเมินการตอบข้อซักถามของผู้เข้าร่วมประชุม และประเมินการคัดค้านของผู้เข้าร่วมรับฟังความคิดเห็น โดยกำหนดระดับการวัดผลเป็น 3 ระดับ คือ ชัดเจนดี พอใช้ และควรปรับปรุง
ผลการร่วมสังเกตการณ์การรับฟังความคิดเห็น
ในระหว่างเดือนมิถุนายน 2545 - สิงหาคม 2545 ผู้แทนจาก สพช. ได้ไปร่วมสังเกตการณ์การดำเนินกิจกรรมของ SPP จำนวน 8 ราย สรุปได้ว่ามี SPP จำนวน 3 ราย ที่อยู่ในระดับดี 4 รายอยู่ในระดับพอใช้ และ 1 รายที่ควรปรับปรุง
(3) การวิเคราะห์ผลการรับฟังความคิดเห็น
เมื่อ SPP แต่ละรายได้ดำเนินการกิจกรรมตามแผนรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนแล้วSPP จะจัดทำรายงานผลให้ สพช. ทราบ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา สพช. จึงกำหนดแนวทางในการประเมินความน่าเชื่อถือของรายงานที่ SPP จัดทำมา โดยแบ่งการพิจารณาเป็น 2 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 จากรายงานผลการรับฟังความคิดเห็นของ SPP ซึ่งประกอบด้วย รายงานผลการดำเนินการตามแผนรับฟังความคิดเห็น และรายงานผลการสำรวจความคิดเห็นของชุมชน
ส่วนที่ 2 ตรวจสอบโดย สพช. ซึ่งประกอบด้วย ผลการเข้าร่วมสังเกตการณ์รับฟังความคิดเห็น และผลการสำรวจข้อมูลเชิงลึกโดยศูนย์ประสานงานโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
ทั้งนี้จะต้องผ่านการเกณฑ์การพิจารณา ทั้ง 2 ส่วน จึงถือว่าผ่านการพิจารณา โดยมีเกณฑ์การพิจารณาในแต่ละส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1 พิจารณาจากรายงานผลการรับฟังความคิดเห็นของ SPP ซึ่งดำเนินงานตามแผนฯ ที่เสนอ โดยต้องมีรายละเอียดครอบคลุมพื้นที่เป้าหมายและกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ ประเด็นที่ชี้แจงครอบคลุมเนื้อหาที่สำคัญ และมีเอกสารหลักฐานประกอบรายงาน ส่วนผลการสำรวจความคิดเห็นชุมชน จะต้องมีวิธีการสำรวจความคิดเห็นเป็นไปตามหลักวิชาสถิติ เนื้อหาแบบสำรวจสะท้อนทัศนคติของชุมชนที่มีต่อโรงไฟฟ้า และผลการสำรวจความคิดเห็นมีผู้คัดค้านไม่เกินร้อยละ 20
ส่วนที่ 2 พิจารณาจากการตรวจสอบของ สพช. จากการร่วมสังเกตการณ์รับฟังความคิดเห็น โดยพิจารณาประเด็นการชี้แจงของ SPP ที่ครบถ้วนถูกต้อง การตอบข้อซักถามชัดเจน และมีผู้คัดค้านไม่เกินร้อยละ 20 รวมทั้งพิจารณาจากข้อมูลผลการสำรวจเชิงลึก
ผลการรับฟังความคิดเห็น
จากกรอบการประเมินผลตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น (ไม่รวมการสำรวจข้อมูลเชิงลึก) เมื่อนำมาใช้เป็นแนวทางในการประเมินผลความน่าจะเป็นที่ SPP ทั้ง 17 รายแรกได้ดำเนินการตามแผนการรับฟังความคิดเห็นแล้ว สามารถสรุปได้ว่าโอกาสที่ SPP แต่ละราย จะสามารถสร้างโรงไฟฟ้า ดังนี้
น่าจะผ่าน | พยายามมากขึ้น | เสี่ยงสูง |
1. กฟผ. เขื่อนป่าสักชลสิทธ์ 2. กฟผ. เขื่อนคลองท่าด่าน 3. กฟผ. เขื่อนเจ้าพระยา 4. บริษัทอุตสาหกรรมโคราช 5. บริษัท ทีพีเคสตาร์ช นครราชสีมา 6. บริษัท พีอาร์จีพืชผล ปทุมธานี |
1. บริษัทเซ็นทรัลเอ็นเนอร์จี อยุธยา 2. บริษัทเซ็นทรัลเอ็นเนอร์จี อยุธยา 3. บริษัทเอทีไบโอพาวเวอร์ นครปฐม 4. บริษัทกัลฟ์อิเล็คทริค ตรัง 5. บริษัทเอ็นวาย ชูการ์ นครราชสีมา 6. บริษัทกัลฟ์อิเล็คทริค ยะลา |
1. บริษัทเอที ไบโอพาวเวอร์ นครสวรรค์ 2. บริษัทเอที ไบโอพาวเวอร์ สิงห์บุรี 3. บริษัทไบโอแมส เพาเวอร์ ชัยนาท 4. บริษัทวีโอกรีน เพาเวอร์ นครปฐม หมายเหตุ บริษัทอาร์วีกรีนเพาเวอร์ ขอระงับโครงการ |
(4) การสำรวจข้อมูลเชิงลึกในพื้นที่
สพช. ได้จ้าง บริษัทดีวายทู จำกัด เป็นผู้ดำเนินกิจกรรม "ศูนย์ประสานงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" โดยบริษัทฯ จะสำรวจข้อมูลเชิงลึกในพื้นที่ด้วยวิธีสัมภาษณ์ตัวต่อตัวแบบเดินชน และเลือกเก็บข้อมูลเฉพาะกลุ่ม โดยแบ่งข้อมูลออกเป็น ข้อมูลด้านความคิดเห็น ข้อมูลวัดผลการดำเนินกิจกรรม และข้อมูลเพื่อการตรวจสอบ ซึ่งข้อมูลที่ได้รับจะนำไปเปรียบเทียบกับรายงานของ SPP รวมถึงใช้วัดผลสำเร็จของ SPP ด้วย
4. เพื่อติดตามผลการดำเนินงานของ SPP ที่ได้รับสนับสนุนจากกองทุนฯ และรายงานให้คณะกรรมการกองทุนฯ ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง และเพื่อป้องกัน/แก้ไขปัญหามลพิษที่อาจเกิดขึ้นจากการผลิตไฟฟ้าในโครงการฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม "คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ" และ "คณะทำงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" ได้มีการประชุมร่วมกัน เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2545 และให้ความเห็นชอบกรอบแนวทางและเครื่องมือในการติดตาม ตรวจสอบการดำเนินงานของแต่ละ SPP ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ อย่างใกล้ชิด และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ
5. สพช. ได้ขออนุญาตให้ บริษัท AEA Technology (Thailand) จำกัด ที่ปรึกษาโครงการ SPP นำเสนอกรอบการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงาน โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งสามารถสรุปได้ ดังนี้
5.1 การจัดตั้งคณะกรรมการไตรภาคี ประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานราชการระดับท้องถิ่น (จังหวัด) ผู้แทนจากชุมชนที่ตั้งโครงการ และผู้แทนจากผู้ประกอบการผลิตไฟฟ้า ซึ่งคณะกรรมการฯ มีหน้าที่ ดังนี้
(1) หน่วยงานราชการระดับท้องถิ่น (จังหวัด) เป็นผู้ดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการไตรภาคีดังกล่าว โดยมีผู้แทนจากทั้ง 3 ฝ่าย ในสัดส่วนที่เท่ากัน และควรมีการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประเมินผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมเข้าเป็นที่ปรึกษาในคณะกรรมการไตรภาคีด้วย เพื่อให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะด้านเทคนิค โดยให้มีการจัดประชุมคณะกรรมการฯ ร่วมกันอย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง เพื่อให้เป็นเวทีที่ชุมชน ผู้ประกอบการ และหน่วยงานรัฐ ได้รับทราบและร่วมกันพิจารณาแนวทางป้องกันแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า รวมทั้งเป็นอีกมิติหนึ่งของ "องค์กรชุมชน" ที่ประชาชนในชุมชนได้มีโอกาสรับรู้สิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นภายในชุมชนและมีส่วนร่วมในการผลักดันแนวทางเพื่อพัฒนาชุมชนของตนเอง
(2) "คณะกรรมการไตรภาคี" มีสิทธิในการเข้าตรวจสอบการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า และเสนอแนะแนวทางปฏิบัติสำหรับโรงไฟฟ้าเพื่อป้องกันหรือลดผลกระทบจากโครงการฯ รวมทั้งบังคับให้หยุดการผลิตไฟฟ้าในกรณีที่การผลิตไฟฟ้าดังกล่าวส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อม
5.2 กำหนดรูปแบบการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการตรวจสอบประเมินผล เพื่อให้มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ และใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาผลการดำเนินงานของโครงการฯ ให้กับคณะกรรมการไตรภาคี โดยมีขั้นตอนดังนี้
(1) ศึกษาความเหมาะสมและกำหนดรูปแบบการรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผล โดยมีรูปแบบเป็นการรายงานผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Performance Report) ซึ่งประกอบด้วย
ดัชนีวัดสภาวะด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Conditioning Indicators) เป็นดัชนีที่ชี้ประเด็นความสำคัญของผลการดำเนินโครงการฯ ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ โดยมีค่าชี้วัดจากความพึงพอใจของชุมชนและการสนองตอบต่อนโยบายระดับประเทศ เช่น ความพึงพอใจของชุมชนในรัศมี 5-10 กิโลเมตรรอบที่ตั้งโรงไฟฟ้า เป็นต้น โดยใช้แบบสำรวจมาตรฐานจำนวนประชากรที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากมลพิษที่เกิดจากโรงไฟฟ้า เช่น ฝุ่นขี้เถ้าเข้าตา ปริมาณก๊าซเรือนกระจก อัตราการจ้างงาน การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในท้องถิ่น และสถิติการก่อปัญหาอาชญากรรมเป็นต้น
ดัชนีวัดผลปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Performance Indicators) เป็นดัชนีที่วัดผลการปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมของโรงไฟฟ้า เช่น ความเข้มข้นของมลพิษที่ปล่อยจากปล่อง คุณภาพน้ำทิ้งจากโรงไฟฟ้า คุณภาพน้ำใต้ดิน เป็นต้น
(2) ศึกษาและประมวลข้อมูลเบื้องต้นของ SPP ที่ได้รับอนุมัติทั้งหมด ทั้งด้านเทคนิค สถานที่ตั้ง ภูมิประเทศ และความหนาแน่นของชุมชนรอบข้าง เพื่อกำหนดแนวทางการลงพื้นที่เพื่อหาข้อมูลเชิงลึก และรูปแบบของแบบสอบถามมาตรฐานที่ใช้ประเมินความพึงพอใจของชุมชนที่มีต่อโครงการฯ รวมทั้งกำหนดแนวทางการประมวลผลข้อมูลที่จัดเก็บให้อยู่ในรูปแบบดัชนีที่เหมาะสมและง่ายต่อการทำความเข้าใจของคณะกรรมการไตรภาคี ซึ่งแต่ละโครงการฯ จะใช้ดัชนีที่เหมือนกันเพื่อให้สามารถประเมินเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของแต่ละโครงการฯ ได้
(3) จากข้อ (1) และ (2) จะเป็นแนวทางกำหนดขอบเขตงานให้หน่วยงานที่จะดำเนินการเก็บข้อมูลและจัดทำรายงานดังกล่าวเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการไตรภาคี และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผลการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง โดยมีความถี่ในการจัดเก็บข้อมูลและรายงานผลประมาณ 3-6 เดือน/ครั้ง โดย สพช. จะมีกรอบการคัดเลือกและจัดจ้างหน่วยงานที่จะดำเนินการเก็บข้อมูล โดยอาจแบ่งการดำเนินการออกเป็นภาคๆ (Zonal) และหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายต้องไม่มีส่วนร่วมรับผลประโยชน์หรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการฯ
5.3 เพื่อให้คณะกรรมการกองทุนฯ สามารถตัดสินใจที่จะอนุมัติหรือไม่ควรอนุมัติเงินสนับสนุนให้กับแต่ละ SPP ได้อย่างชัดเจน ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรแต่งตั้งผู้แทนจากคณะกรรมการกองทุนฯ ร่วมเดินทางไปกับผู้แทนของคณะอนุกรรมการฯ คณะทำงานฯ และฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อสังเกตการณ์ในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าเป็นรายโครงการ ซึ่งผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ จะได้รับทราบข้อมูลเชิงลึกในแต่ละพื้นที่ สามารถเปรียบเทียบกับกระแสข่าวและรายงานผลที่ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ และเป็นผู้ให้ความเห็นต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ประกอบการตัดสินใจ
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบกรอบการตรวจสอบ ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานโครงการผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามที่ สพช. เสนอและให้ฝ่ายเลขานุการฯ ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการต่อไป โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานงานกับ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรมโรงงานอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอความร่วมมือในการประสานงานกับหน่วยงานราชการระดับท้องถิ่น (จังหวัด) ในการดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการไตรภาคี ตามแนวทางที่กำหนดไว้
2. เห็นควรแต่งตั้งผู้แทนจากคณะกรรมการกองทุนฯ ร่วมเดินทางไปกับผู้แทนของคณะอนุกรรมการฯ คณะทำงานฯ และฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อสังเกตการณ์และรับทราบข้อมูลเชิงลึกในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า
เรื่องที่ 2 ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่ ประธานกรรมการกองทุนฯ (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ได้มีคำสั่งคณะกรรมการกองทุนฯ ที่ 1/2542 ลงวันที่ 5 เมษายน 2542 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงาน โดยมีนายสิปปนนท์ เกตุทัต เป็นประธานคณะอนุกรรมการดังกล่าว
2. นายสิปปนนท์ เกตุทัต ได้มีหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ นร 1041/1790 ลงวันที่ 12 เมษายน 2545 แจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ว่าขอลาออกจากประธานอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และบรรลุตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ 2535 สพช. จึงขอปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน โดยให้คงอำนาจและหน้าที่ของคณะอนุกรรมการฯ ไว้คงเดิม โดยมีองค์ประกอบ ดังนี้
(1) | นายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ | ประธานอนุกรรมการ |
(2) | นายปิยะวัติ บุญ-หลง | อนุกรรมการ |
(3) | นายเทียนฉาย กีระนันทน์ | อนุกรรมการ |
(4) | นายมานิจ ทองประเสริฐ | อนุกรรมการ |
(5) | นายศุภชาติ จงไพบูลย์พัฒนะ | อนุกรรมการ |
(6) | ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ | เลขานุการ |
มติที่ประชุม
เห็นชอบกับการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ตามที่ สพช. เสนอและให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำคำสั่งแต่งตั้งเสนอประธานกรรมการกองทุนฯ ลงนามต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมตามว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 24) เมื่อวันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้มีการวางเงินประกันการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และให้ถือว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินที่ผู้ประกอบการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไว้ล่วงหน้า โดยมอบหมายให้กรมสรรพสามิต กรมบัญชีกลางและ สพช. รับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ต่อไป
2. กรมสรรพสามิต ได้จัดให้มีการประชุมผู้เกี่ยวข้องดังกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน2544 เพื่อพิจารณาหาแนวทางแก้ไขในการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ของบริษัทฯ น้ำมันส่งขาด โดยให้กรมสรรพสามิต เป็นผู้ร่างระเบียบฯ แล้วมอบให้ สพช. ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกองทุนฯ เป็นผู้ส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบก่อนมีการประกาศ สพช.จึงได้เชิญผู้เกี่ยวข้อง คือ ผู้แทนกรมสรรพสามิต ผู้แทนกรมบัญชีกลาง และผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มาร่วมประชุมเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2545 เพื่อพิจารณาร่างระเบียบกรมสรรพสามิต และที่ประชุมได้มีมติให้กรมสรรพสามิตแก้ไขเพิ่มเติมร่างระเบียบในข้อ 8 และข้อ 9 ต่อไป
3. กรมสรรพสามิต ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ กค. 0713/21709 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2545 ถึง สพช. เพื่อนำส่งร่างระเบียบกรมสรรพสามิตว่าด้วยการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการขอรับเงินคืนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และรายชื่อผู้ประกอบอุตสาหกรรมน้ำมัน และผลิตภัณฑ์น้ำมัน ส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไม่ครบถ้วน จำนวน 13 ราย เพื่อให้ ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาแนวทางผ่อนผันในการดำเนินคดีย้อนหลังให้กับผู้ค้าน้ำมันต่อไป โดยได้แจ้งสาเหตุการส่งเงินไม่ครบถ้วนเกิดจากกรณี ดังต่อไปนี้
3.1 เกิดจากการคำนวณปริมาณผิดพลาด เนื่องจาก
(1) ทางคลังน้ำมันต่างจังหวัดที่เป็นผู้จ่ายน้ำมันแจ้งยอดการจ่ายน้ำมันไม่ถูกต้องทำให้ทางสำนักงานใหญ่ที่เป็นผู้เสียภาษีชำระภาษีขาดไป แต่เมื่อบริษัทฯ ตรวจสอบพบเองก็ชำระเพิ่มเติมมา
(2) การจ่ายน้ำมันทางคลังจะวัดปริมาณที่อุณหภูมิปกติและจะต้องคำนวณปริมาณมาเป็นที่อุณหภูมิ 86F หรือ 30C ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ใช้สำหรับเสียภาษี ทางคลังจะแจ้งตัวเลขปริมาณที่อุณหภูมิปกติซึ่งไม่ถูกต้อง
(3) โดยปกติบริษัทฯ จะยื่นชำระภาษีเป็นรายสัปดาห์หรือ 3 วันต่อครั้ง แต่รายละเอียดการนำน้ำมันออกจากคลังแต่ละวันเมื่อรวมยอดทั้งสัปดาห์รวมยอดขาดไปเนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์รวมยอดขาดไปหนึ่งวันทำให้ชำระภาษีขาดไปในงวดนั้น
3.2 เกิดจากการพิมพ์ตัวเลขสลับกัน เช่น ปริมาณรวมที่ต้องเสียภาษี 100,563 ลิตร แต่พิมพ์ตัวเลขในแบบรายการภาษีเป็น 100,536 ลิตร และคำนวณเสียภาษีขาดไป ทำให้การส่งเงินเข้ากองทุนขาดไปด้วย
3.3 เกิดจากการปัดเศษจากการคำนวณปริมาณสารเติมแต่งน้ำมันที่จะต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ ปริมาณสารเติมแต่งที่ผสมเมื่อคำนวณตามสูตรแล้วจะเป็นเศษของลิตร การชำระภาษีสรรพสามิตการคำนวณเสียภาษีเศษของลิตรให้คิดเป็นหนึ่งลิตร แต่บางครั้งบริษัทฯ ปัดเศษขึ้นบ้างปัดเศษลงบ้าง เมื่อรวมปริมาณของทุกวันแล้วทำให้ปริมาณที่ยื่นชำระภาษีขาดไป เป็นเหตุให้ส่งเงินเข้ากองทุนขาดไป
4. จากเหตุผลตามที่กรมสรรพสามิต ได้นำเสนอในข้อ 3 เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงเบื้องต้นและพฤติกรรมการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ของผู้ประกอบอุตสาหกรรมฯ จะเห็นว่าผู้ประกอบอุตสาหกรรมฯ มิได้มีเจตนาจะหลีกเลี่ยงแต่อย่างใด เป็นกรณีซึ่งผู้ประกอบอุตสาหกรรมฯ ตรวจสอบพบเองและได้ส่งเงินส่วนที่ขาดพร้อมเงินเพิ่มร้อยละ 3 ต่อเดือนครบถ้วน โดยมิได้เกิดจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ เหตุปัญหาเกิดจากข้อผิดพลาดทางเทคนิค ผู้ประกอบอุตสาหกรรมฯน่าจะได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณาผ่อนผันการดำเนินคดีย้อนหลัง ประกอบกับพระราชบัญญัติเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ไม่ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจพิจารณาการผ่อนผันกรณีผู้ประกอบอุตสาหกรรมฯ ส่งเงินไม่ครบถ้วนไว้ ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้ว เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ประกอบอุตสาหกรรมฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการที่กรมสรรพสามิตยังหยุดยั้งอยู่ จึงเห็นควรนำส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาหาแนวทางผ่อนคลายปัญหาดังกล่าวให้กับผู้ประกอบอุตสาหกรรมน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันต่อไป
มติที่ประชุม
1. รับทราบร่างระเบียบกรมสรรพสามิตว่าด้วยการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และการขอรับเงินคืนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. เห็นชอบให้ สพช. ส่งเรื่อง ผู้ประกอบอุตสาหกรรมฯส่งเงินไม่ครบถ้วน ไปหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อพิจารณาหาแนวทางผ่อนคลายปัญหาดังกล่าวกับผู้ประกอบอุตสาหกรรมน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ตามที่กรมสรรพสามิตหารือมา
อนุ กอ. ครั้งที่ 7 - วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน 2550
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2550 (ครั้งที่ 7)
วันที่ 12 เมษายน 2550 เวลา 09.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิติพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. ความคืบหน้าการปฏิบัติตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
2. ความคืบหน้าการส่งเสริม ช่วยเหลือ อุดหนุน ด้านอนุรักษ์พลังงาน
3. ความคืบหน้าในการกำหนดมาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้พลังงาน
4. ความคืบหน้าโครงการส่งเสริมไบโอดีเซล
5. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5
6. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการเทอดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 "ตามรอยพระยุคลบาท พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย"
7. ขอความเห็นชอบโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 3
8. ขอความเห็นชอบโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
9. ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
10. ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียด โครงการ กรุงเทพฯ ฟ้าใส ด้วยไบโอดีเซล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายชวลิต พิชาลัย) รองผู้อำนวยการฯ รักษาราชการแทน ผอ.สนพ. อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ความคืบหน้าการปฏิบัติตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบความคืบหน้าการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ดังต่อไปนี้
1. การดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ ตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
ณ วันที่ 10 เมษายน 2550 อาคารควบคุมที่กำลังใช้งานที่จะต้องดำเนินการอนุรักษ์พลังงานตามกฎหมาย มีจำนวน 1,917 แห่ง ประกอบด้วย อาคารส่วนราชการ 800 แห่ง และเอกชน 1,117 แห่ง สำหรับโรงงานควบคุมที่กำลังใช้งานที่จะต้องดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน มีจำนวน 3,160 แห่ง ซึ่งเจ้าของอาคารควบคุม และเจ้าของโรงงานควบคุมได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานตามกิจกรรมต่างๆ ตามที่พระราชบัญญัติฯ และกฎกระทรวงกำหนด โดยนำมาสรุปได้ดังนี้
กิจกรรม | อาคารควบคุม (แห่ง) | โรงงานควบคุม (แห่ง) | ||||
ทั้งหมด | รับ | อนุมัติ | ทั้งหมด | รับ | อนุมัติ | |
การแต่งตั้งผู้รับผิดชอบด้านพลังงาน | 1,917 | 1,749 | 1,598 | 3,160 | 2,623 | 2,253 |
ส่งข้อมูลการใช้พลังงาน | 1,917 | 1,777 | 1,743 | 3,160 | 2,702 | 2,587 |
รายงานเป้าหมายและแผนฯ | 1,917 | 1,532 | 1,384 | 3,160 | 2,055 | 1,598 |
2. การปรับปรุงแก้ไข พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
พรบ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ได้ใช้มาระยะหนึ่งแล้ว บทบัญญัติบางประการไม่สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน จึงได้มีการปรับปรุงให้เหมาะสมครอบคลุมกิจกรรมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกภาคส่วน โดยมีสาระสำคัญในการแก้ไขและความคืบหน้าในการดำเนินการสรุปได้ดังนี้
2.1 สาระสำคัญในการแก้ไข
(1) ขยายขอบเขตให้มีการอนุรักษ์พลังงานเพิ่มเติมถึงเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในภาคคมนาคมขนส่ง ที่อยู่อาศัย และการเกษตร ทั้งนี้เพราะเพื่อให้กฎหมายมีความเหมาะสม ครอบคลุมกิจกรรมการใช้พลังงานทุกภาคส่วน
(2) เปลี่ยนโครงสร้างการอนุรักษ์พลังงานไม่ให้เป็นภาระต่อผู้ที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
(3) เปลี่ยนแปลงขั้นตอนการออก กฎ ระเบียบให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อให้ทันต่อสภาพการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
2.2 ความคืบหน้าในการดำเนินการ
(1) คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ มีมติเห็นชอบแล้ว เมื่อ 2 มีนาคม 2550
(2) คณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการ เมื่อ 13 มีนาคม 2550
(3) ณ ปัจจุบัน (12 เมษายน 2550) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำลังพิจารณาแก้ไขถ้อยคำ และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการให้กระทรวงพลังงานเก็บรักษาเงินกองทุน
2.3 การดำเนินการในขั้นต่อไป
คาดว่าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฯ แล้วเสร็จในช่วงเดือนพฤษภาคม 2550 และจะส่งร่าง พ.ร.บ.ฯ คืนให้คณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาเป็นลำดับต่อไปได้ ภายในเดือนมิถุนายน 2550
2.4 การพัฒนากฎหมายลำดับรอง
ได้มีการแก้ไขและพัฒนากฎหมายลำดับรอง เพื่อให้สอดคล้องกับ ร่าง พ.ร.บ.ฯ และคาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาได้พร้อมกับ ร่าง พ.ร.บ.ฯ ในเดือนมิถุนายน 2550 ประกอบด้วย
(1) กฎกระทรวง ข้อกำหนดการจัดการพลังงาน ตามมาตรา 9 มาตรา 21
(2) กฎกระทรวง หลักเกณฑ์ วิธีการแจ้งแต่งตั้งผู้รับผิดชอบพลังงาน ตามมาตรา 9
(3) กฎกระทรวง ประเภทขนาดอาคารที่จะทำการก่อสร้างใหม่ ตามมาตรา 19
(4) กฎกระทรวง กำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพของเครื่องจักร /อุปกรณ์ ตามมาตรา 23
(5) กฎกระทรวง กำหนดคุณสมบัติผู้ตรวจประเมิน ตามมาตรา 48
ขั้นตอน ปี พ.ศ. 2550 | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. |
· ยกร่างกฎกระทรวง 5 ฉบับ | √ | |||||
· รับฟังความคิดเห็น | √ | |||||
· ปรับปรุงแก้ไขเสนอ อพพ. | √ | |||||
· เสนอคณะกรรมการพัฒนากฎหมายกระทรวงพลังงาน | √ | |||||
· เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ | การนำเสนอขั้นตอนต่อจากนี้ ต้องรอให้ร่างกฎหมายหลักมีผลใช้บังคับแล้ว | |||||
· เสนอคณะรัฐมนตรี |
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และให้ พพ. รับความเห็นของที่ประชุมไปดำเนินการต่อไป
เรื่องที่ 2 ความคืบหน้าการส่งเสริม ช่วยเหลือ อุดหนุน ด้านอนุรักษ์พลังงาน
อธิบดี พพ. ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบความคืบหน้าการดำเนินการส่งเสริม ช่วยเหลือ อุดหนุน ด้านอนุรักษ์พลังงาน ดังนี้
1. โครงอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม
เป็นการมุ่งเน้นให้เกิดผลการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้ผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการมีความรู้ความเข้าใจทั้งทางด้านทฤษฎีและปฏิบัติด้วยตัวเองในการจัดการใช้พลังงานได้อย่างถูกวิธีและคุ้มค่า โดย พพ. จัดส่งคณะผู้เชี่ยวชาญไปให้ความรู้ความเข้าใจแก่ทีมงานอนุรักษ์พลังงานที่โรงงานและอาคารแต่ละแห่ง ช่วยหามาตรการในการอนุรักษ์พลังงาน และผลักดันให้มีการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ซึ่ง พพ. ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2545 และมีผลการดำเนินงานดังนี้
ในช่วงปี 2545-2549 พพ. ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมไปแล้ว 2,027 แห่ง คาดว่าเกิดผลประหยัดพลังงานคิดเป็นมูลค่า 2,071 ล้านบาทต่อปี สำหรับในปี 2550 พพ. ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ 107,000,000 บาท มีเป้าหมายดำเนินการในโรงงานควบคุม 300 แห่ง และอาคารควบคุม 50 แห่ง คาดว่าจะลงนามในการจ้างที่ปรึกษาฯ เข้ามาดำเนินการได้ในเดือนเมษายน 2550
2. โครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษี
เป็นการกระตุ้นให้เกิดการปรับปรุงการใช้พลังงาน โดยพิจารณาคืนภาษีของรายได้ส่วนที่เกิดจากการดำเนินการตามมาตรการอนุรักษ์พลังงานแก่โรงงานและอาคารเอกชน เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีความคืบหน้า ณ เดือนมีนาคม 2550 ดังนี้
กิจกรรม | จำนวน | เงินสนับสนุนจากภาครัฐ | เงินลงทุนเอกชน | ผลประหยัด |
(แห่ง) | (ล้านบาท) | (ล้านบาท) | (ล้านบาท/ปี) | |
1) Performance Based | 76 | 44.4 | 582 | 408 |
(เห็นชอบการตรวจวัดแล้ว) | (55) | (29.4) | (358) | (226) |
2) Cost based | 94 | 112.4 | 597 | 375 |
ในปี 2550 พพ. ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ 140 ล้านบาท เพื่อดำเนินการกระตุ้นให้เกิดการปรับปรุงการใช้พลังงาน ตามแนวทาง Performance Based ซึ่ง ณ เดือนมีนาคม 2550 อยู่ระหว่างการคัดเลือกบริษัทเอกชนเข้ามาดำเนินการแทน พพ.
3. โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน
เป็นโครงการที่ช่วยส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานในกลุ่มเป้าหมายที่เป็นโรงงาน อาคาร และบริษัทจัดการพลังงาน (Energy Service Company) และเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่สถาบันการเงินในการกู้ยืมเงินเพื่อลงทุนในโครงการอนุรักษ์พลังงาน โดย พพ. ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการฯ ระยะที่ 1 (ปี 2546-2548) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท และระยะที่ 2 (ปี 2549-2551) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท ซึ่ง ณ เดือนมีนาคม 2550 ได้เกิดการลงทุนอนุรักษ์พลังงาน 153 โครงการ เป็นเงินให้กู้ดอกเบี้ยต่ำจากกองทุนฯ 3,354 ล้านบาท สถาบันการเงินและภาคเอกชนลงทุนเอง 2,867 ล้านบาท ก่อให้เกิดผลประหยัดพลังงานตลอดอายุการใช้งาน ประมาณ 36,094 ล้านบาท
อธิบดี พพ. แจ้งว่ายังมีผู้สนใจลงทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานอีกมาก พพ. จึงเสนอขอเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อดำเนินการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันบันการเงิน ระยะที่ 3 โดยจะเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาในระเบียบวาระการประชุมที่ 4.3 พร้อมด้วยรายละเอียดและตัวอย่างของมาตรการที่ภาคเอกชนลงทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานไปแล้ว
4. การส่งเสริมธุรกิจบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO)
เป็นโครงการทางเลือกหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการเรื่องการขาดแหล่งเงินทุนและความเชื่อมั่นในการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงาน พพ. ได้สนับสนุนให้ผู้ประกอบการเลือกใช้บริการของ ESCO โดยการให้ความรู้และจัดทำคู่มือการตรวจวัดและประเมินผล รวมทั้งรูปแบบสัญญาเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานระหว่างผู้ประกอบการ และ ESCO นอกจากนี้ ESCO ยังสามารถขอรับสิทธิประโยชน์ ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร หรือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในโครงการ และได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก BOI ได้อีกด้วย โดยมีความคืบหน้าในการดำเนินการโครงการ ดังนี้
(1) ปัจจุบันมีโครงการที่ได้รับความเห็นชอบให้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการด้านการจัดการพลังงาน (ESCO) แล้ว จำนวน 6 ราย ส่วนใหญ่เป็นโครงการด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้าและความร้อนร่วม (Cogeneration) นอกจากนี้ยังมีมาตรการการอนุรักษ์พลังงานอื่นๆ เช่น การปรับเปลี่ยน Chiller, การเปลี่ยน เชื้อเพลิงใน Boiler, การควบคุมระบบแสงสว่าง เป็นต้น จากจำนวน 6 โครงการนี้ จะมีการลงทุนทั้งสิ้น 557.69 ล้านบาท และเกิดผลการประหยัดพลังงานมีมูลค่าทั้งสิ้น ประมาณ 149.36 ล้านบาทต่อปี
(2) พพ. ได้ทำการจัดสรรงบประมาณจำนวน 5 ล้านบาท เพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์ เรื่องธุรกิจจัดการพลังงาน ภายใต้โครงการ ESCO Fair and Road Show 2007 ซึ่งจะมีการจัดการสัมมนาและนิทรรศการ เพื่อแสดงผลงานของธุรกิจบริษัทจัดการพลังงานที่ผ่านมา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการโรงงาน/อาคาร อีกทั้งยังมีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลบริษัทจัดการพลังงาน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถค้นหาข้อมูลของบริษัทจัดการพลังงาน และโครงการที่ผ่านมาเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาเลือกใช้บริษัทจัดการพลังงาน โดยจะมีการจัดงาน ESCO Fair 2007 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ ในเดือน กรกฎาคม และจะมีการจัดสัมมนาในลักษณะ Road Show อีก 3 ครั้ง ในจังหวัดที่มีนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง รวมทั้งจะมีการจัดตั้งเครือข่ายระหว่างบริษัทจัดการพลังงาน สถาบันการเงินและภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้สามารถติดต่อประสานงานกันได้สะดวกและกว้างขวางขึ้น
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ความคืบหน้าในการกำหนดมาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้พลังงาน
อธิบดี พพ. ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบความคืบหน้าการดำเนินการกำหนดมาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์ วัสดุ อุปกรณ์ที่ใช้พลังงาน ดังนี้
1. การกำหนดมาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้พลังงาน
พพ. ได้จัดทำแผน 5 ปี (2550-2554) เพื่อออกกฎกระทรวงและกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำ (MEPs) ตลอดจนแผนส่งเสริม (ติดฉลาก) เครื่องจักรและอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง รวมถึงวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยจะดำเนินการรวมทั้งสิ้น 35 ผลิตภัณฑ์ (รวมรถยนต์ 1 ผลิตภัณฑ์) และจะนำมากำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพขั้นต่ำ (MEPs) รวม 21 ผลิตภัณฑ์ โดย พพ. ได้ประสานกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์แล้ว เพื่อออกพระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ
ในปี 2550 ระยะที่ 1 พพ. จะจัดทำร่างกฎกระทรวงให้แล้วเสร็จ จำนวน 10 ผลิตภัณฑ์ และดำเนินการติดฉลากได้ 10 ผลิตภัณฑ์ และกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำได้ 9 ผลิตภัณฑ์ สำหรับระยะที่ 2 จะจัดทำร่างกฎกระทรวงอีก 11 ผลิตภัณฑ์ (ยังไม่มีงบประมาณ
2. การอนุรักษ์พลังงานในอาคารและบ้านที่อยู่อาศัย
พพ. จะออกกฎกระทรวงการใช้พลังงานในอาคารที่อยู่ในข่ายควบคุมที่จะขออนุญาตก่อสร้างใหม่ หรือดัดแปลง พื้นที่ตั้งแต่ 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป และจะส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในอาคารที่ไม่เข้าข่ายควบคุมและบ้านที่อยู่อาศัย โดยการติดฉลาก มีเป้าหมาย 200 แห่ง เป็นโครงการต่อเนื่อง 3 ปี (2550-2552) และในปี 2550 จะจัดหาผู้เข้าร่วมโครงการไม่น้อยกว่า 175 แห่ง และจะจัดประกวดบ้านจัดสรรอนุรักษ์พลังงานดีเด่น ปี 2550 ให้ผู้ประกอบการบ้านจัดสรรทั่วประเทศส่งบ้านเข้าประกวดไม่น้อยกว่า 90 แบบ
ความเห็นของที่ประชุม
ที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานและมีความเห็นเพิ่มเติมดังนี้
1. ให้ พพ. รับไปหารือกับ กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ข้อกำหนดการใช้พลังงานในอาคารที่จะขออนุญาตก่อสร้างที่จะบังคับใช้กับอาคารขนาดพื้นที่รวมตั้งแต่ 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป ได้แก่ อาคารสำนักงานสถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า สถานบริการ สถานพยาบาล โรงแรม อาคารชุด ซึ่งอยู่ระหว่างการแก้ไขกฎกระทรวงนั้น ครอบคลุมถึงอาคารของส่วนราชการที่ออกแบบสร้างใหม่ด้วย
2. ให้ พพ. เร่งดำเนินการตามเป้าหมายการจัดทำร่างกฎกระทรวงฯ ที่จะดำเนินงานเป็นรายอุปกรณ์ พร้อมกำหนดแล้ว เสร็จ ระยะที่ 1 จำนวน 15 ผลิตภัณฑ์ ตามที่ พพ. ได้แจ้งต่อที่ประชุม ดังนี้
ลำดับที่ | เครื่องจักร/อุปกรณ์/วัสดุ ปี 2551 | ปี 2550 | ปี 2551 | ||
ก.ค. 50 | ต.ค.50 | ธ.ค. 50 | |||
1 | ตู้เย็น | √ | |||
2 | เครื่องปรับอากาศ | √ | |||
3 | พัดลมไฟฟ้า | √ | |||
4 | หม้อหุงข้าวไฟฟ้า | √ | |||
5 | กระติกน้ำร้อนไฟฟ้า | √ | |||
6 | เครื่องทำน้ำอุ่น | √ | |||
7 | มอเตอร์ไฟฟ้า | √ | |||
8 | เตาแก๊ส | √ | |||
9 | อุปกรณ์ปรับความเร็วรอบ | √ | |||
10 | หลอดฟลูออเรสเซนต์ | √ | |||
11 | บัลลาสต์แกนเหล็ก | √ | |||
12 | บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ | √ | |||
13 | โคมไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง | √ | |||
14 | หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนซ์ | √ | |||
15 | รถยนต์ | √ |
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และให้ พพ. รับความเห็นของที่ประชุมไปดำเนินการต่อไป
เรื่องที่ 4 ความคืบหน้าโครงการส่งเสริมไบโอดีเซล
การพัฒนาและส่งเสริมการผลิตและการใช้ไบโอดีเซล เป็นแนวทางการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการที่เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ซึ่ง สรุปความคืบหน้าได้ดังนี้
1. ปีงบประมาณ 2549 : พพ. ได้จัดทำต้นแบบ จำนวน 72 แห่ง โดยได้ติดตั้งระบบผลิตไบโอดีเซล พร้อมทั้งฝึกอบรมให้กับชุมชนได้ทราบถึง ขั้นตอนการผลิตไบโอดีเซล ตลอดจนการบริหารจัดการชุมชนเพื่อให้เกิดการใช้ไบโอดีเซลอย่างยั่งยืนต่อไป พร้อมทั้งได้สุ่มเก็บตัวอย่างไบโอดีเซลที่ผลิตได้จากชุมชนเพื่อตรวจสอบคุณภาพตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของ ไบโอดีเซลสำหรับเครื่องยนต์การเกษตร (ไบโอดีเซลชุมชน) พ.ศ. 2549
2. ปีงบประมาณ 2550 : พพ. ได้ปรับปรุงรูปแบบการดำเนินการจากเดิมที่ได้สนับสนุนระบบผลิต ขนาดกำลังผลิต 100 ลิตรต่อวันให้กับชุมชน อบรมให้มีความรู้ด้านเทคนิคการผลิตไบโอดีเซลให้กับชุมชน และติดตามการดำเนินงานของชุมชนเพื่อผลิตไบโอดีเซลนั้น พพ. จะดำเนินการสนับสนุนเฉพาะความรู้ด้านเทคนิคการผลิตไบโอดีเซลให้กับชุมชนและติดตามการดำเนินงานของชุมชนเพื่อผลิตไบโอดีเซลให้มีคุณภาพ โดยเงินลงทุนระบบผลิตไบโอดีเซลนั้นทางชุมชนที่เข้าร่วมโครงการจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย โดยมีจำนวนชุมชนต้นแบบเพิ่มขึ้นเป็น 400 แห่ง ซึ่ง พพ. ได้รับงบจากกองทุนฯ ประมาณ 155,000,000 บาท เพื่อดำเนินโครงการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานด้วยไบโอดีเซลชุมชน ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการคัดเลือกที่ปรึกษาเพื่อดำเนิน โครงการฯ
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และให้ พพ. รับความเห็นของที่ประชุมไปดำเนินการ
เรื่องที่ 5 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอที่ประชุมพิจารณา "โครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5" ที่สำนักการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ยื่นข้อเสนอ ไว้กับ สนพ. เพื่อขอสนับสนุนทุนดำเนินโครงการฯ จากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 80,000,000 บาท (แปดสิบล้านบาทถ้วน) ภายในระยะเวลา 36 เดือน ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญของโครงการดังนี้
(1) วัตถุประสงค์โครงการฯ : เพื่อดำเนินมาตรการประหยัดพลังงานของประเทศ อย่างยั่งยืนด้วยการปฏิบัติการในด้านต่างๆ ให้มีการยุติ การผลิต การนำเข้า (ด้านซัพพลาย) และยุติการใช้ (ด้านดีมานต์) หลอดอินแคนเดสเซนต์ (หลอดไส้) และส่งเสริมให้มีการใช้หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ (หลอดตะเกียบ) ทดแทน ตลอดไป
(2) สาระสำคัญของโครงการฯ : การบริหารจัดการทางการตลาดเพื่อยุติการผลิต การนำเข้า และการจำหน่ายหลอดไส้ และส่งเสริมการใช้หลอดตะเกียบ ดังนี้
- โฆษณาประชาสัมพันธ์ให้เกิดความต้องการใช้หลอดตะเกียบแทนหลอดไส้ โดย กฟผ. รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ในวงเงินประมาณ 50 ล้านบาท
- ประมาณเดือนมิถุนายน-กันยายน 2550 จัดซื้อหลอดตะเกียบจำนวน 800,000 หลอด เพื่อแจกจ่ายให้มีการเปลี่ยนในสถานที่สาธารณะ ให้เห็นผลประหยัดโดยชัดเจน โดย กฟผ. ขอสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ เป็นเงินให้เปล่า 48 ล้านบาท
- ในช่วงปี 2551-2553 จะดึงราคาตลาดหลอดตะเกียบให้ลดต่ำลงด้วยการจัดซื้อรวม 15 ล้านหลอด แล้วขายปลีกในราคาซื้อ 60 บาท/หลอด โดย กฟผ. ขอสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ เป็นเงินหมุนเวียนเพื่อซื้อหลอดตะเกียบ 3 ปี ในวงเงิน 32 ล้านบาท
- สร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพและอายุการใช้งานด้วยการกำหนดให้มีการรับประกัน 1 ปี
- เสนอการกำหนดมาตรการภาครัฐ ในด้านกฎระเบียบ และภาษีเพื่อให้เกิดผลอย่างยั่งยืน
(3) ประโยชน์ที่มีต่อการประหยัดพลังงาน : เมื่อใช้หลอดตะเกียบ 15.8 ล้านหลอด แทนหลอดไส้
- ประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 536 ล้านหน่วย และลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุดได้ 162 เมกะวัตต์
- ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ 300,000 ตัน
- ลดการนำเข้า LNG เพื่อผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 1,106 ล้านบาท
2. สนพ. ได้ประเมินคุณภาพของข้อเสนอฯ โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ 4 ท่าน ประกอบด้วย 1) ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ 2) รศ.ดร.อภิชิต เทอดโยธิน 3) ดร.ปีเตอร์ ดูปอง และ 4) นายเกชา ธีระโกเมน ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างกันเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2550 ซึ่งเห็นว่ารายละเอียดในข้อเสนอของ กฟผ. ยังขาดข้อมูลในประเด็นสำคัญ จึงได้ให้ผู้แทน กฟผ. ได้เข้าร่วมประชุมและให้รายละเอียดเพิ่มเติม ดังนี้
ประเด็นที่ 1: ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ในมุมมองระดับประเทศและมุมของประชาชน
ข้อมูลเพิ่มเติม: เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคในการใช้งานหลอดไส้เทียบกับหลอดตะเกียบ 1 หลอดที่มีการใช้งาน 6,000 ชั่วโมง หลอดตะเกียบมีค่าใช้จ่ายรวมเพียงประมาณ 1 ใน 3 ของหลอดไส้ และมีระยะเวลาคืนทุนเพียง 1 ปี หากผู้บริโภคหันมาใช้หลอดตะเกียบจะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าหลอดไส้ มี B/C Ratio ของผู้บริโภคที่ 7.3 เท่า ส่วนในกรณีของประเทศนั้นหากคิดในกรณีแจกและจำหน่ายหลอด 15.8 ล้านหลอด ตั้งแต่ปี 2550-2553 (Base Case) จะลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุด 162 เมกะวัตต์ และลดการใช้พลังงานไฟฟ้า 536 ล้านหน่วย โครงการให้ความคุ้มค่าสูง คือ B/C Ratio ของระบบที่ 6.5 เท่า และ โดยมีต้นทุนต่อหน่วยที่ประหยัดได้ 18.06 สตางค์/kWh และ 599.23 บาท/kW
ประเด็นที่ 2: วิธีทราบผลกระทบต่อผู้ประกอบการและนำผลที่รับทราบไปปรับปรุงการดำเนินการ
ข้อมูลเพิ่มเติม: กฟผ. จัดประชุมผู้ผลิต/ผู้นำเข้า เพื่อรับฟังความเห็นด้านต่างๆ โดยประชุมไปแล้ว 2 ครั้ง เมื่อเดือนมีนาคม 2550 ทราบว่ามีผู้ผลิตหลอดตะเกียบในประเทศ 2 ราย และได้เลิกกิจการไปแล้ว ดังนั้นหลอดตะเกียบในประเทศไทย จึงเป็นการนำเข้าทั้งหมด ผู้ผลิตและนำเข้าหลอดไฟฟ้ามีความเห็นในเชิงบวกและยินดีร่วมมือกับโครงการฯ โดยจะเสนอแนวทางเพื่อลดผลกระทบอันเกิดจากการยุติการผลิตหลอดไส้มาเสนอต่อ กฟผ. ในการประชุมครั้งต่อไปที่จะจัดขึ้นประมาณปลายเดือนเมษายน 2550
ประเด็นที่ 3: วิธีแจกและจำหน่ายหลอดตะเกียบ รวมถึงวิธีจัดการกับหลอดไส้ของเดิม
ข้อมูลเพิ่มเติม: กฟผ. จะโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้เกิดความต้องการใช้หลอดตะเกียบแทนหลอดไส้ พร้อมกับดึงราคาตลาดหลอดตะเกียบให้ลดต่ำลง ด้วยการจัดซื้อในปริมาณมาก ในช่วง 3 ปี ประมาณ 15.8 ล้านหลอด พร้อมทั้งการรับประกันการใช้งาน 1 ปี โดยใช้เงินที่จะขอสนับสนุนจากกองทุนฯ 80 ล้านบาท
- เป็นเงินให้เปล่า 48 ล้านบาท เพื่อซื้อหลอดตะเกียบแจกฟรีสู่ชุมชนและชาวบ้าน จำนวน 800,000 หลอด สำหรับหลอดไส้ที่ปลดออก กฟผ. จะทำลายทิ้ง เพื่อไม่ให้มีการนำกลับไปใช้งานอีก
- เป็นเงินหมุนเวียน 32 ล้านบาท เพื่อซื้อหลอดตะเกียบจำหน่ายให้กับชุมชนและชาวบ้าน ในราคา 60 บาท/หลอด และ กฟผ. จะคืนเงินส่วนนี้ให้กองทุนฯ ในปี 2553
ประเด็นที่ 4: ความเชื่อมั่นว่าการดำเนินการตามแผนงานจะทำให้ราคาเฉลี่ยของหลอดตะเกียบในปีสุดท้ายของโครงการอยู่ที่ 60 บาท (± 10%)
ข้อมูลเพิ่มเติม: ด้วยประสบการณ์และความสำเร็จที่ กฟผ. ได้รับจากโครงการประชาร่วมใจประหยัดไฟฟ้า และแนวทางการดำเนินการด้านซัพพลายและดีมานต์ตามที่เสนอไว้โดยต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี กฟผ. เชื่อว่าราคาหลอดตะเกียบจะสามารถลดต่ำลงและกลไกตลาดจะทำงานต่อไปได้
สรุปความเห็นของคณะผู้ทรงคุณวุฒิ
คณะผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นว่าโครงการนี้มีวัตถุประสงค์ที่ดีและหากสามารถดำเนินการได้ตามที่เสนอไว้ จะก่อเกิดประโยชน์ต่อประเทศโดยรวม จึงเห็นควรที่กองทุนฯ จะสนับสนุนให้ดำเนินการ โดยให้ กฟผ
(1) ปรับปรุงเพิ่มเติมข้อมูลในข้อเสนอโครงการฯ ให้ครบถ้วนและชัดเจนตามประเด็นต่างๆ ที่ได้ให้ไว้กับคณะผู้ทรงคุณวุฒิ ดังรายละเอียดปรากฏในข้อ 2.2
(2) ระบุแนวทางที่จะนำเสนอให้รัฐมีมาตรการในการป้องกันไม่ให้ตลอดตะเกียบที่มีคุณภาพต่ำกระจายสู่ผู้บริโภคในประเทศ
(3) ระบุแนวทางที่จะศึกษาและเตรียมมาตรการรองรับกับผลกระทบที่อาจเกิดจากการรณรงค์เลิกใช้หลอดไส้ เพื่อให้มีคำแนะนำในการใช้งานเพื่อให้ถูกที่ถูกทาง คำแนะนำทางออกเพื่อแก้ปัญหาด้านการออกแบบตกแต่ง สถาปัตยกรรม
(4) ให้ สนพ. ประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการฯ เมื่อจะครบ18 เดือน
3. ที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้ คุณบรรพต แสงเขียว ผู้ช่วยผู้ว่าการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า ผู้แทนจาก กฟผ. ได้นำเสนอรายละเอียดของโครงการ สรุปได้ดังนี้
3.1 แนวทางการดำเนินโครงการ
เพื่อให้โครงการนี้บรรลุตามวัตถุประสงค์เป็นมาตรการประหยัดพลังงานที่ยั่งยืนของประเทศ กฟผ. กำหนดแนวทางดำเนินการตามโครงสร้างดังนี้
กฟผ. ได้แจ้งต่อที่ประชุมเพื่อพิจารณาด้วยว่า ในการเปลี่ยนหลอดไส้ และนำหลอดตะเกียบไปใช้แทนนั้น บางรายอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนขั้วหลอดให้กับประชาชนด้วย จึงเสนอขอใช้เงินกองทุนแบบให้เปล่าเพิ่มอีก 2 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าซื้อขั้วหลอดและการจัดกิจกรรมใน 5 จังหวัด เมื่อรวมกับงบประมาณเดิมที่ขอจากกองทุนฯ 48 ล้านบาท รวมเป็นเงินสนับสนุนแบบให้เปล่า 50 ล้านบาท
ภาพตัวอย่างรูปแบบกล่องหลอดตะเกียบของโครงการฯและแบบฟอร์มที่ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าครัวเรือนแจ้งความจำนง
![]() |
1. ชื่อ..........นามสกุล.................. 2. หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน............................. 3. บ้านเลขที่.................. หมู่......... หมู่บ้าน........... ถนน..............ตำบล............ อำเภอ........... จังหวัด.......... โทรศัพท์............................ |
4. หลอดตะเกียบเบอร์ 5 ที่ต้องการ 4.1 ขนาด __ 15 วัตต์ __ 20 วัตต์ 4.2 แสงไฟสี __ สีขาว __ สีเหลือง/ส้ม 5. มีหลอดไส้แลกคืน __ มี __ ไม่มี 6. ต้องการรับหลอดที่ __ ผู้ใหญ่บ้าน __ กำนัน __ อำเภอ __ ศาลากลางจังหวัด __ ตลาดสด...... |
3.2 แผนปฏิบัติการ
กฟผ. ได้นำเสนอขั้นตอนและแผนปฏิบัติการต่อที่ประชุมดังนี้
การพิจารณาของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ กฟผ. ใช้จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 80,000,000 บาท (แปดสิบล้านบาทถ้วน) โดย
- เป็นเงินให้เปล่า 48 ล้านบาท เพื่อซื้อหลอดตะเกียบแจกฟรีสู่ชุมชนและชาวบ้าน จำนวน 800,000 หลอด
- เป็นเงินหมุนเวียน 30 ล้านบาท เพื่อซื้อหลอดตะเกียบจำหน่ายให้กับชุมชนและชาวบ้าน ในราคา 60 บาท/หลอด และ กฟผ. จะคืนเงินส่วนนี้ให้กองทุนฯ ในปี 2553
- เป็นเงินให้เปล่า 2 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าเปลี่ยนขั้วหลอดไส้และค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมรณรงค์เปลี่ยนหลอด 5 จังหวัด
2. ระบุแนวทางที่จะนำเสนอให้รัฐมีมาตรการในการป้องกันไม่ให้ตลอดตะเกียบที่มีคุณภาพต่ำกระจายสู่ผู้บริโภคในประเทศ รวมทั้งคำแนะนำในการใช้งานเพื่อให้ถูกที่ถูกทาง คำแนะนำทางออกเพื่อแก้ปัญหาด้านการออกแบบตกแต่ง สถาปัตยกรรม
3. ควรกำหนดกรอบระยะเวลาในการยกเลิกหลอดไส้ให้ชัดเจน และประสานงานกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อส่งเสริมการผลิตหลอดตะเกียบในประเทศ
4. เตรียมการจัดการให้เรื่องการกระจายหลอดตะเกียบไปยังกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ต่างๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
5. ให้ สนพ. ประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการฯ เมื่อจะครบ 18 เดือน
เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานโครงการสนับสนุนการศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในวงเงิน 80,000,000 บาท (แปดสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5 " และ ให้ กฟผ. และกระทรวงพลังงานรับข้อสังเกตของที่ประชุมไปดำเนินการด้วย
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอที่ประชุมพิจารณา "โครงการเทอดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 "ตามรอยพระยุคลบาท พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย" ที่ สนพ. เสนอขอจัดสรรเงินกองทุนฯ ในวงเงิน 50,000,000 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อนำไปดำเนินโครงการดังนี้
วัตถุประสงค์ รวบรวมแนวพระราชดำริด้านพัฒนาพลังงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากข้อมูลของหลายหน่วยงานที่ได้มีโอกาสทำงานสนองพระราชดำริด้านการพัฒนาพลังงาน ตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์สมบัติ และเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ ที่เหมาะสม ให้พสกนิกร สถาบันการศึกษาทุกระดับ ภาครัฐ ภาคเอกชน ได้น้อมนำต้นแบบทางความคิดและเป็นแรงบันดาลใจในการนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อการพัฒนาสู่การพึ่งพาตนเองอย่างแท้จริง ตามรอยพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตัวอย่างเนื้อหา "ตามรอยพระยุคลบาท พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย"
ขอบเขตงาน วางแผนเผยแพร่แนวพระราชดำริด้านพัฒนาพลังงานและพลังงานทดแทนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2550 โดยเสนอกลยุทธ์และงานสร้างสรรค์ที่สื่อสารเข้าถึงพสกนิกร ภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษาทุกระดับ ได้อย่างเข้าใจและน้อมนำต้นแบบทางความคิด เป็นแรงบันดาลใจในการนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อการพัฒนาสู่การพึ่งพาตนเอง เช่น
- ผลิตและเผยแพร่ภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อโทรทัศน์ สปอตวิทยุ และสื่อต่างๆ
- ผลิตและเผยแพร่สารคดีสั้น ทางสื่อโทรทัศน์ ไม่น้อยกว่า 25 ตอน
- การผลิตและเผยแพร่ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ หรือแนวคิดในการใช้สื่อรูปแบบใหม่
- การจัดกิจกรรมเผยแพร่ต่างๆ ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงบางรายการเพื่อความเหมาะสม ฯลฯ
ผลที่จะได้รับ พสกนิกร นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ เอกชน ได้ทราบพระอัจฉริยภาพด้านพัฒนาพลังงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวน้อมนำเป็นแนวทางให้รู้จักมองปัญหาและแก้ไขปัญหา โดยมองไปรอบๆ ตัวด้วยปัญญา และนำสิ่งที่มีอยู่มาพัฒนาใช้ให้เกิดประโยชน์ และทำให้ครบวงจร
ขอสนับสนุนจากกองทุนฯ 50,000,000 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อจัดจ้างผู้มีประสบการณ์ มีความชำนาญการเข้ามาดำเนินงาน โดยสามารถถัวจ่ายระหว่างรายการ และแยกรายการและทำสัญญาหรือหนังสือยืนยันได้หลายรายการตามความเหมาะสม
มติที่ประชุม
เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้ สนพ. ในวงเงิน 50,000,000 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 "ตามรอยพระยุคลบาท พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย" โดยถัวจ่ายเงินกองทุนฯ จากแผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ปีงบประมาณ 2550 ที่ สนพ. ได้รับอนุมัติไว้แล้ว มาสมทบในโครงการประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพลังงานทางเลือก และให้ สนพ. รับข้อสังเกตของที่ประชุมไปดำเนินการด้วย
เรื่องที่ 7 ขอความเห็นชอบโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 3
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอที่ประชุมพิจารณา "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 3" ที่ พพ. เสนอขอรับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท (หนึ่งพันล้านบาท) ซึ่ง พพ. เคยได้รับเงินจากกองทุนฯ นำไปใช้จ่ายในโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน และส่งเสริมพลังงานทดแทน รวม 3 ครั้ง
(1) ระยะที่ 1 เมื่อ 11 ตุลาคม 2544 วงเงิน 2,000 ล้านบาท (เฉพาะอนุรักษ์ฯ)
(2) ระยะที่ 2 เมื่อ 25 สิงหาคม 2548 วงเงิน 2,000 ล้านบาท (อนุรักษ์ฯ+ทดแทน)
(3) ระยะที่ 1 เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 วงเงิน 1,000 ล้านบาท (เฉพาะทดแทน)
การใช้จ่ายเงินดังกล่าว พพ. ได้ให้สถาบันการเงินที่ผ่านการคัดเลือกของ พพ. นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้แก่โรงงาน อาคาร และบริษัทจัดการพลังงาน นำไปใช้ในการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยสถาบันการเงิน ปล่อยกู้ภายใน 3 ปี และส่งคืนกองทุนฯ ผ่าน พพ. ในเวลา 10 ปี นับจากวันที่ พพ. ทำสัญญากับสถาบันการเงิน
สถาบันการเงินฯ จะจ่ายดอกเบี้ยคืนกองทุนฯ ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 0.5 ของเงินกองทุนฯ ที่สถาบันการเงินนำไปปล่อยให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อเป็นค่าเสียโอกาสในส่วนดอกเบี้ยเงินฝากที่กองทุนฯ ได้รับเป็นประจำ
2. ปัจจุบัน มีสถาบันการเงินเข้าร่วมโครงการฯ 11 ธนาคาร ได้แก่ ทหารไทย กรุงเทพ ไทยธนาคาร นครหลวงไทย กรุงศรีอยุธยา ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย กรุงไทย ยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์ (ไทย) และ SMEs Bank ซึ่งสรุปผลงานโดยรวมของโครงการเงินหมุนเวียนเพื่ออนุรักษ์พลังงานฯ ระยะที่ 1 และ 2 ได้ปล่อยกู้รวม 153 ราย คิดเป็นจำนวนเงิน 1,908 ล้านบาท +1,446 ล้านบาท รวม 3,354 ล้านบาท รวมผลประหยัด 2,660 ล้านบาท/ปี ดังนี้
ประเภทจำนวน (ข้อเสนอ) |
เงินลงทุน (ล้านบาท) |
วงเงินสนับสนุนที่ พพ. อนุมัติ (ล้านบาท) |
ผลประหยัดไฟฟ้า (ล้านหน่วย/ปี) |
ผลประหยัดเชื้อเพลิง (เทียบเท่าน้ำมันเตา) (ล้านลิตร/ปี) |
รวมผลประหยัด (ล้านบาท/ปี) |
|
อาคาร | 22 | 256 | 221 | 26 | 1 | 77 |
โรงงาน | 129 | 5,787 | 3,075 | 376 | 162 | 2,477 |
ESCO | 2 | 178 | 58 | 11 | 8 | 106 |
รวม | 153 | 6,221 | 3,354 | 413 | 171 | 2,660 |
3. เหตุผลและความจำเป็นที่ พพ. ต้องขอสนับสนุนจากกองทุนฯ เพิ่มเติม ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท เนื่องจากมีเอกชนให้ความสนใจยื่นขอสินเชื่อเพื่อการลงทุนด้านพลังงานไว้กับสถาบันการเงินกว่า 80 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3,350 ล้านบาท และมีข้อเสนอโครงการอีก 20 ราย ที่ พพ. อยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติมูลค่ารวม 567.2 ล้านบาท ขณะที่วงเงินหมุนเวียน ระยะที่ 1 คงเหลืออยู่ 96 ล้านบาท จะครบกำหนดเวลาปล่อยกู้ในวันที่ 29 เมษายน 2550 และระยะที่ 2 คงเหลืออยู่ 554 ล้านบาท เท่านั้น
4. เมื่อพิจารณาฐานะการเงินของกองทุนฯ โดยอยู่บนฐานของรายได้เฉลี่ยปีละ 1,400 ล้านบาท และประมาณการรายจ่ายปีละ 2,000 ล้านบาท หากมีการจัดสรรเงินเพิ่มเติมอีก 1,000 ล้านบาท เพื่อให้ พพ. รับไปดำเนินโครงการเงินหมุนเวียนฯ ระยะที่ 3 จะมีผลกระทบต่อฐานะการเงินของกองทุนฯ ที่จะขาดดุลในปีงบประมาณ 2551 และ 2552 วงเงิน 610 ล้านบาท และ 281 ล้านบาท ตามลำดับ และจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยแสดงรายการได้ดังนี้
ปีงบประมาณ | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | รวม |
1. เงินคงเหลือยกมาต้นปี | 4,915 | 1,239 | (610) | (281) | 184 | 4,915 |
2.ประมาณการรายรับล่วงหน้า | 1,795 | 2,149 | 2,198 | 2,248 | 2,299 | 10,688 |
3. เงินทุนหมุนเวียนรอรับคืน | 413 | 937 | 1,080 | 986 | 936 | 4,351 |
รวมรับ | 2,208 | 3,086 | 3,277 | 3,233 | 3,235 | 4,351 |
4. รายจ่าย ประกอบด้วย | ||||||
4.1 รายจ่ายผูกพัน ปี 2538-2547 | 558 | 468 | 398 | 265 | 76 | 1,764 |
4.1 รายจ่ายผูกพัน ปี 2548-2549 | 3,082 | 824 | 551 | 503 | - | 4,959 |
4.3 ประมาณการรายจ่ายล่วงหน้า | 2,244 | 3,644 | 2,000 | 2,000 | 2,600 | 12,488 |
รวมจ่าย | 5,884 | 4,935 | 2,948 | 2,768 | 2,676 | 19,212 |
5. เงินคงเหลือปลายปี ยกไป | 1,239 | (610) | (281) | 184 | 742 | 742 |
5. อธิบดี พพ. ได้ยกตัวอย่างมาตรการและความสำเร็จที่ได้รับจากการดำเนินโครงการฯ เช่น
- เอส พี เอ็ม อาหารสัตว์ เปลี่ยน Boiler จากเชื้อเพลิงน้ำมันเตา เป็น Boiler เชื้อเพลิงจากขี้เลื่อย/เศษฟืน เงินลงทุน 10.6 ล้านบาท ประหยัด 6.3 ล้านบาท/ปี คืนทุน 1.7 ปี
- นันยางการทออุตสาหกรรม เปลี่ยนเครื่องจักร (เครื่องย้อม) ประสิทธิภาพสูง เงินลงทุน 47ล้านบาท ประหยัด 11 ล้านบาท/ปี คืนทุน 4.3 ปี
- ฟิวเจอร์เท็กซ์ เปลี่ยนหม้อต้มไอน้ำมันร้อนโดยใช้เชื้อเพลิงขี้เลื่อยและวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรทดแทนน้ำมันเตา เงินลงทุน 10 ล้านบาท ประหยัด 13 ล้านบาท/ปี คืนทุน 0.8 ปี
- ไทยเพิ่มพูนอุตสาหกรรม ติดตั้งเครื่องอบกากอ้อยเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันเตา เงินลงทุน 9.2 ล้านบาท ประหยัด 5.2 ล้านบาท/ปี คืนทุน 1.8 ปี
ภาพรวมความสำเร็จของโครงการฯ ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 สรุปได้ว่าเกิดผลประหยัดพลังงานมากกว่า 2,660 ล้านบาทต่อปี นอกจากจะช่วยประหยัดพลังงานตลอดอายุอุปกรณ์กว่า 32,000 ล้านบาท และลดการนำเข้าน้ำมันดิบ 171 ล้านลิตร/ปี ชะลอการลงทุนเพื่อสร้างโรงไฟฟ้า 1,885 ล้านบาท แล้วยังลดปัญหาด้านมลภาวะที่เกิดจากการใช้พลังงานอีกด้วย รวมถึงได้ช่วยกระตุ้นสถาบันการเงิน 11 แห่งให้ความสนใจในตลาดสินเชื่อด้านอนุรักษ์พลังงาน โดยได้ใช้เงินของสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อไปมากกว่า 15,000 ล้านบาท
มติที่ประชุม
เห็นชอบการดำเนิน "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 3" ตามที่ พพ. เสนอขอมา โดยให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
1. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติม ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท โดยเสนอขอนายกรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโอนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 3,000 ล้านบาท มาสมทบเป็นรายได้ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องของฐานะการเงินของกองทุนฯ ทำให้มีศักยภาพช่วยผลักดันการดำเนินการตามนโยบายของรัฐในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศได้มากขึ้น
2. ในระหว่างที่รอปรับฐานะการเงินของกองทุนฯ ให้ พพ. ขยายกรอบการใช้เงิน "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ระยะที่ 1" ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติจัดสรรเงินไว้แล้วเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2550 ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท ให้สามารถปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเพื่อการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานได้ด้วย โดยมีขั้นตอน เงื่อนไข หลักเกณฑ์ การเบิกจ่ายเงิน ในการสนับสนุนเหมือนกับโครงการเงินหมุนเวียนฯ ระยะที่ 2 และให้รับข้อสังเกตของที่ประชุมไปดำเนินการด้วย
เรื่องที่ 8 ขอความเห็นชอบโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอที่ประชุมพิจารณา "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม" ที่ พพ. เสนอขอรับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 เพิ่มเติม ในวงเงิน 87,000,000 บาท (แปดสิบเจ็ดล้านบาทถ้วน) ซึ่งโครงการนี้ คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2549 (ครั้งที่ 41) เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2549 เคยมีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2549 ให้ พพ. ไปดำเนินการจัดหา ติดตั้ง กังหันลมระบบมีเกียร์ เพื่อสาธิตการผลิตไฟฟ้า ขนาด 1.5 MW บริเวณพื้นที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช โดยมีเงื่อนไขให้ พพ. จะต้องดำเนินการพิจารณาทบทวนรายละเอียดของโครงการให้มีความชัดเจนก่อน ในประเด็น ดังนี้
- การศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากโครงการ
- ประสานกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อทำการกำหนดแนวทางการคำนวณผลตอบแทนและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการดำเนินโครงการ ให้มีสมมติฐานในการคำนวณแบบเดียวกัน
- พิจารณาทบทวน ชนิด และขนาดของกังหันลมให้มี Power Curve เหมาะสมกับความเร็วลมเฉลี่ยในพื้นที่ที่ติดตั้ง รวมถึงทบทวนการติดตั้งกังหันลมทั้งในด้านเทคนิค ศักยภาพการผลิตไฟฟ้า ที่ตั้ง เพื่อให้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
- พพ. จะต้องดำเนินการจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับทุนจากกองทุนฯ และจะต้องรายงานความก้าวหน้าของผลการดำเนินโครงการดังกล่าวให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบ
2. พพ. ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในวงเงิน 498,000 บาท ศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และได้ส่งรายงานฉบับสมบูรณ์แล้วเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2549 สรุปได้ดังนี้
- ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางกายภาพทางด้านลบในระดับ "น้อย" ขณะที่คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์และคุณค่าต่อคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับ "มาก"
- จัดรับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่ มีผู้เข้าร่วม 113 คน โดยร้อยละ 98.7 เห็นด้วยเพราะเห็นว่าจะเป็นแหล่งพลังงาน แหล่งท่องเที่ยวใหม่และช่วยนำรายได้เข้าสู่ท้องถิ่น ส่วนร้อยละ 1.3 มีความกังวลในเรื่องเสียงรบกวน ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และผลกระทบต่อการทำมาหากิน (ผลกระทบกับนกนางแอ่น ซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจประจำท้องถิ่น) แล้ว
3. เหตุผลและความจำเป็นที่ พพ. เสนอโครงการฯ เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ อีกครั้ง เพราะจากการดำเนินการจัดหาผู้ติดตั้งระบบฯ ตามขั้นตอนของระเบียบพัสดุด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามประกาศลงวันที่ 11 กันยายน 2549 กำหนดให้ยื่นเอกสาร 21 กันยายน 2549 ปรากฏว่ามีผู้ยื่นข้อเสนอเพียง 1 ราย พพ. จึงยกเลิกการจัดหาเมื่อ 26 กันยายน 2549 เป็นเหตุให้ พพ. ไม่สามารถจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติไว้
โครงการมีความก้าวหน้าไปพอสมควรแล้ว และได้รับความร่วมมือจากท้องถิ่นเป็นอย่างดี เพื่อให้มีทางเลือกในการนำพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่ตามธรรมชาติมาใช้ทดแทนพลังงานสิ้นเปลือง พพ. จึงเสนอขอที่จะดำเนินการโครงการดังกล่าวต่อ โดยใช้เงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550
4. อธิบดี พพ. ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า เนื่องจากการติดตั้งกังหันลมฯ 1 ชุด จะเสียค่าใช้จ่าย Overhead ไม่ต่างกับการติดตั้ง Wind Farm (ตั้งแต่ 5 ชุดขึ้นไป) ดังนั้นวงเงิน 86,502,000 บาท ที่เสนอไว้อาจจะเป็นราคาที่ไม่จูงใจให้ผู้ประกอบการเข้ามาดำเนินการ พพ. จึงเสนอขอใช้เงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 เป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม" ในวงเงิน 119 ล้านบาท
มติที่ประชุม
ให้ พพ. จัดทำสรุปการใช้จ่ายเงินตามแผนงานฯ ปี 2550 และพิจารณาโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายบางรายการไปเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม" ในวงเงิน 119 ล้านบาทหากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 มีข้อผูกพันครบถ้วนแล้วไม่สามารถโอนเปลี่ยนแปลงรายการได้ ก็ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอที่ประชุมพิจารณาอีกครั้ง
เรื่องที่ 9 ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอที่ประชุมพิจารณาเรื่องที่หน่วยงานต่างๆ ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปแล้ว ได้ยื่นเรื่องขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการฯ จากที่ได้รับอนุมัติไว้ รวม 14 โครงการ ดังนี้
1.1 ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 9 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | เดิม | ขยายถึง | |
(1) | โครงการนำร่องปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ดีเซล เป็น NGV | บริษัท ปตท. จำกัด | ธันวาคม 2549 | มิถุนายน 2550 |
(2) | โครงการวิจัยการนำความร้อนทิ้งกลับมาใช้ใน HEAT PROCESS | ม.เชียงใหม่ | ธันวาคม 2549 | มิถุนายน 2550 |
(3) | โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการปลูกไม้โตเร็วเพื่อเป็นพลังงานชีวมวล | ม.สุรนารี | สิงหาคม 2549 | สิงหาคม 2550 |
(4) | โครงการเทคโนโลยีการอบไม้สวนป่าโดยใช้เศษวัสดุเหลือใช้จากสวนป่าเป็นพลังงาน | ม.เกษตรศาสตร์ | ตุลาคม 2549 | กุมภาพันธ์ 2550 |
(5) | โครงการศึกษาการใช้ประโยชน์จากเครื่องยนต์ ก๊าซชีวภาพ | ม.เชียงใหม่ | มีนาคม 2550 | กันยายน 2550 |
(6) | โครงการพัฒนาความรู้ด้านพลังงานทดแทนสู่ชุมชน | ม. พระจอมเกล้าธนบุรี | กันยายน 2550 | พฤษภาคม 2551 |
(7) | โครงการบูรณาการงานด้านพลังงาน กับแผนยุทธศาสตร์จังหวัด | สพภ. 1 สพภ. 2 สพภ. 7 สพภ. 8 และ สพภ. 11 |
เมษายน 2550 เมษายน 2550 เมษายน 2550 เมษายน 2550 เมษายน 2550 |
กันยายน 2550 กันยายน 2550 มิถุนายน 2550 สิงหาคม 2550 กันยายน 2550 |
(8) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่างประเทศ | สนพ. | - | - |
(9) | ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเกิน 3 เดือน นับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา 2 ราย | พพ. | - | 3 เดือนนับจากวันที่ได้รับอนุมัติการขยายระยะเวลา |
1.2 ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ รวม 6 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | ขอเปลี่ยนแปลง | |
(1) | โครงการบูรณาการงานด้านพลังงานกับแผนยุทธศาสตร์จังหวัด | สพภ. 3 สพภ. 9 และ สพภ. 10 |
1) สพภ. 3 ขอขยายระยะเวลาจากเมษายน 2550 เป็นพฤษภาคม 2550 และขอนำเงินจากหมวดบริหารโครงการฯ มาจัดซื้อครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ (Notebook) จำนวน 3 เครื่อง เครื่องละ 33,000 บาท รวมเป็นเงิน 99,000 บาท 2) สพภ. 9 ขอขยายระยะเวลาจากเมษายน 2550 เป็นพฤษภาคม 2550 และ ขอนำเงินจากหมวดบริหารโครงการฯ มาจัดซื้อครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ (Notebook) จำนวน 4 เครื่อง เครื่องละ 24,500 บาท รวมเป็นเงิน 98,000 บาท 3) สพภ. 10 ขอขยายระยะเวลาจากเมษายน 2550 เป็นมิถุนายน 2550 และ ขอนำเงินจากหมวดบริหารโครงการฯ มาจัดซื้อครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ (Notebook) จำนวน 3 เครื่อง เครื่องละ 33,000 บาท รวมเป็นเงิน 99,000 บาท |
(2) | โครงการค่ายอนุชนพลังงานกับมหาวิทยาลัยในฝัน | ม. พระจอมเกล้าธนบุรี |
1) ขอขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ จากพฤษภาคม 2549 เป็นเดือนกรกฎาคม 2550 2) ปรับกลุ่มเป้าหมาย จากเดิม เป็นนักเรียนจากโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร และโรงเรียนจังหวัดแม่ฮ่องสอน น่าน สกลนคร ฉะเชิงเทรา ราชบุรี และกาญจนบุรี เป็น นักเรียน และครู จากโรงเรียนที่สนใจทั่วประเทศ |
(3) | โครงการสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา | ม. ธรรมศาสตร์ | * ขอเปลี่ยนชื่อโครงการวิจัย จำนวน 3 โครงการ |
* หมายเหตุ (1) ชื่อเดิม เรื่อง "แนวทางการประเมินและการออกแบบการระบายอากาศด้วยวิธีธรรมชาติ สำหรับอาคารบ้านพักอาศัยโดยอิทธิพลของช่องเปิด" เป็น "การออกแบบและการประเมินการระบายอากาศโดยวิธีธรรมชาติในบ้านพักอาศัยด้วยอิทธิพลของการใช้ช่องเปิด" (2) ชื่อเดิม เรื่อง "แนวทางการสร้างแบบประเมินค่าการระบายอากาศโดยวิธีธรรมชาติ เนื่องจากการจัดสภาพแวดล้อมของผังบริเวณ" เป็น "แนวทางการออกแบบการระบายอากาศโดยวิธีธรรมชาติในบ้านพักอาศัยด้วยองค์ประกอบทางภูมิสถาปัตยกรรม" (3) ชื่อเดิม เรื่อง "การศึกษาคุณสมบัติของผังบังแดดพันธุ์พืช" เป็น "ประสิทธิภาพของผนังไม้เลื้อยในการลดการถ่ายเทความร้อนผ่านผนังอาคาร" |
|||
(4) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่างประเทศ | สนพ. |
ขอระงับทุนการศึกษาของนายอุทัย ม่วงศรีเมือง ศึกษาต่อที่ The University of Surrey ประเทศ สหราชอาณาจักร ระดับปริญญาเอก สาขา Energy Economics & Policy เนื่องจากมหาวิทยาลัยไม่มั่นใจว่าจะสำเร็จการศึกษาได้ในเวลาที่กำหนด |
(5) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศ | ม. เกษตรศาสตร์ |
1) ขอขยายเวลาการศึกษาให้กับนายอุ่นกัง แซ่ลิ้ม ถึง พฤษภาคม 2550 2) ขอใช้เงินคงเหลือจากงบประมาณเดิมที่ได้รับอนุมัติไว้ ในวงเงิน 135,776.85 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาเพิ่มเติมอีก 1 ภาคการศึกษา |
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
เรื่องที่ 10 ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียด โครงการ กรุงเทพฯ ฟ้าใส ด้วยไบโอดีเซล
1. อธิบดี พพ. ได้นำเสนอที่ประชุมพิจารณา "โครงการ กรุงเทพฯ ฟ้าใส ด้วยไบโอดีเซล" ที่ พพ. ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 9,985,500 บาท (เก้าล้านเก้าแสนแปดหมื่นห้าพันห้าร้อยบาทถ้วน) โดยทำหนังสือยืนยันการขอรับทุนฯ ไว้กับ สนพ. เมื่อปีงบประมาณ 2547 มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นโครงการนำร่องการใช้ไบโอดีเซลในรถยนต์ในเขตกรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งจะพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของไบโอดีเซลผสมกับน้ำมันดีเซลอย่างยั่งยืน ตลอดจนจะทดสอบไบโอดีเซลผสมกับน้ำมันดีเซล เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน รณรงค์สร้างการยอมรับเกี่ยวกับการใช้เชื้อเพลิงไบโอดีเซล
2. พพ. ได้ตั้งสถานีจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล (B5) ใน กทม. ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2548 และได้สร้างความเข้าใจจนมีความต้องการใช้น้ำมันไบโอดีเซลในตลาดเพิ่มขึ้น จนเกิดการผลิตของภาคเอกชนและพัฒนาเป็นเชิงพาณิชย์แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะดำเนินการงานทดสอบสมรรถนะของรถทั้งก่อนและหลังใช้ไบโอดีเซล ประกอบกับการตรวจสอบมลภาวะอากาศใน กทม. จากการใช้ไบโอดีเซลได้มีการดำเนินการโดยหน่วยงานอื่นแล้ว เช่น กรมธุรกิจพลังงาน กรมควบคุมมลพิษ และกรมอู่ทหารเรือ เป็นต้น
3. พพ. ได้ดำเนินการเผยแพร่และส่งเสริมระบบผลิตไบโอดีเซลไประยะเวลาหนึ่ง พบว่าในกระบวนการผลิตไบโอดีเซลจะเกิดน้ำเสียที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหากจัดการไม่เหมาะสม ซึ่งระบบของโครงการฯ ยังไม่มีการบำบัดน้ำเสีย
ดังนั้นเพื่อให้เกิดการผลิตไบโอดีเซลแบบครบวงจรและเป็นแนวทางที่ พพ. จะนำไปเผยแพร่และส่งเสริมต่อชุมชนและภาคเอกชนได้ต่อไปนั้น พพ. จึงขอปรับปรุงการดำเนินกิจกรรมของโครงการฯ โดยการตัดลด(ยกเลิก)กิจกรรมที่ พพ. เห็นว่าหมดความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการดังนี้
1) การตรวจสมรรถนะและมลพิษของรถก่อนใช้น้ำมันไบโอดีเซล
2) การสาธิตการใช้ไบโอดีเซล B5 กับรถ ขสมก. รถร่วมเอกชน รถกรมการพลังงานทหาร และรถประชาชนทั่วไป
3) การตรวจสอบมลภาวะทางอากาศใน กทม.
และนำเงินส่วนที่เหลือในวงเงิน 4,364,533 บาท ไปใช้จ่ายในการจัดสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย โดยมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมดังนี้
กิจกรรม | งบประมาณ (บาท) |
งบประมาณ ที่ใช้ไป (บาท) |
หมายเหตุ |
1. การสาธิตการใช้ไบโอดีเซลในกรุงเทพมหานคร | 5,850,000 | 3,328,467 | ติดตั้งระบบผลิตไบโอดีเซลและระบบกลั่นกลีซอรีนเรียบร้อยแล้ว |
2. ค่าจัดทำประชาสัมพันธ์ | 2,300,000 | 1,031,625 | ผูกพันในสัญญาอีก 1,260,875 บาท |
3. การตรวจมลพิษและสมรรถนะ | 1,210,000 | - | ขอเปลี่ยนแปลงไปใช้ในการสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย รวมทั้งงบประมาณที่เหลือจากกิจกรรมอื่นๆ |
4. ค่าจัดทำรายงาน | 150,000 | - | |
5. ค่านักวิจัยและบริหารโครงการ 5% | 475,500 | - | |
รวมทั้งสิ้น | 9,985,500 | 4,360,092 | เหลืองบประมาณที่มิได้ผูกพันรวม 4,364,533 บาท |
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
- ความคืบหน้าการปฏิบัติตาม พรบ
- การอนุรักษ์พลังงาน
- การกำหนดมาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์
- โครงการส่งเสริมไบโอดีเซล
- ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการ
- โครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5
- ขอความเห็นชอบ
- โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
- โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
- โครงการกรุงเทพฯฟ้าใสด้วยไบโอดีเซล