- การกำกับดูแลองค์กร
- การพัฒนาระบบบริหาร
- การบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล
- แผนบริหารความต่อเนื่อง
- แผนปฏิบัติการดิจิทัล ของ สนพ.
- ศูนย์ประสานราชการใสสะอาด
- ศูนย์ประสานงานด้านความเสมอภาค ระหว่างหญิงชาย
- ศูนย์บริการร่วม
- ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร
- สรุปผลการดำเนินงานจัดซื้อจัดจ้าง
- ข้อมูลเชิงสถิติการให้บริการ
- กลุ่มงานจริยธรรม
- การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 4/2548 (ครั้งที่ 102)
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2548 เวลา 11.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (ระหว่างวันที่ 1 ส.ค. - 10 ต.ค. 48)
2.การปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
3.ข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการพลังงานต่อนโยบายด้านพลังงาน
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (ระหว่างวันที่ 1 ส.ค. - 10 ต.ค. 48)
สรุปสาระสำคัญ
1. เดือนสิงหาคม 2548 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ 56.60 และ 63.93 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.63 และ 6.13 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากข่าวการก่อการร้ายโดย ลอบยิงขีปนาวุธโจมตีเรือรบสหรัฐอเมริกาที่ท่าเรือ Aqaba ประเทศจอร์แดน และข่าวโรงกลั่น Rotterdam ของ คูเวตปิดฉุกเฉิน ประกอบกับตลาดกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดเฮอริเคน ทำให้นักลงทุนเข้าซื้อน้ำมันอย่างต่อเนื่อง ในตลาดซื้อขายล่วงหน้า NYMEX และ IPE ต่อมาในเดือนกันยายน ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ 56.41 และ 63.13 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากข่าว IEA ประกาศที่จะส่งน้ำมันสำรองฉุกเฉินประมาณ 2 ล้านบาร์เรล/วัน เพื่อแก้ปัญหาอุปทานตึงตัวในสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศยุโรปได้จัดส่งน้ำมันเบนซินสำรองฉุกเฉินจำนวนกว่า 30 Cargoes ไปยังสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้ง โอเปคยืนยันที่จะพิจารณาปรับเพิ่มเพดานการผลิตขึ้นอีก 500,000 บาร์เรล/วัน
2. สำหรับในช่วงวันที่ 1 - 10 ตุลาคม ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ 55.04 และ 59.73 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากนาย Sam Bodman (เลขานุการพลังงานของสหรัฐอเมริกา) ออกมายืนยันว่าสหรัฐอเมริกาพร้อมที่จะนำน้ำมันดิบ 700 ล้านบาร์เรล และ น้ำมันเพื่อความอบอุ่น 2 ล้านบาร์เรล จากปริมาณสำรองน้ำมันสำเร็จรูปเชิงยุทธศาสตร์ออกมาใช้หากเกิดภาวะขาดแคลน น้ำมัน ประกอบกับการใช้น้ำมันดิบจะลดลงจากโรงกลั่นในฝรั่งเศสต้องปิดดำเนินการ เนื่องจากคนงานประท้วง
3. เดือนสิงหาคม 2548 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ,92 และดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 73.20, 72.52 และ 70.66 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 8.50 , 9.09 และ 1.31 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาซื้อขายน้ำมันดิบระหว่างวันในตลาด NYMEX และ IPE ประกอบกับอุปทานในภูมิภาคค่อนข้างตึงตัว และ จากรายงานปริมาณสำรองน้ำมันเบนซินของสหรัฐลดลงขณะที่ความต้องการใช้อยู่ ระดับสูงมากในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวเพิ่มขึ้นจากข่าวอินโดนีเซียจะนำเข้า น้ำมันสำเร็จรูปในเดือนกันยายน 2548 เพิ่มขึ้นร้อยละ 30% จากโรงกลั่นจะปิดซ่อมบำรุงเป็นเวลา 3 สัปดาห์ สำหรับในเดือนกันยายน ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ,92 และดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 78.89, 77.86 และ 75.33 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตามราคา น้ำมันเบนซินในสหรัฐอเมริกาที่อยู่ในระดับสูงกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากผลกระทบของพายุเฮอริเคน แคทรีนา ทำให้นักลงทุนในสิงคโปร์นำน้ำมันเบนซินไปขายในสหรัฐอเมริกาเพิ่มมากขึ้น ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวเพิ่มขึ้นจากตลาดคาดว่า Sinopec ของจีนกำลังจะประมูลซื้อน้ำมันดีเซลส่งมอบช่วงครึ่งหลังของเดือนตุลาคม และข่าวอินเดียยกเลิกการประมูลขายน้ำมันดีเซลส่งมอบเดือนตุลาคม เนื่องจากราคาเสนอซื้อต่ำ
4. เดือนสิงหาคม 2548 ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 2 ครั้งๆ ละ 0.40 บาท/ลิตร รวมเป็น 0.80 บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และ ดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 26.54 , 25.74 และ 23.39 บาท/ลิตร ตามลำดับ และในเดือนกันยายน ผู้ค้าน้ำมัน (ยกเว้น ปตท.) ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 3 ครั้งๆละ 0.40 บาท/ลิตร และปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 2 ครั้งๆ ละ 0.40 บาท/ลิตร ส่วน ปตท. ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 3 ครั้งๆ ละ 0.40 บาท/ลิตร และปรับราคาขายปลีก น้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 2 ครั้งๆละ 0.40 บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และ ดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 อยู่ที่ระดับ 27.74 , 26.94 และ 24.19 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ในระหว่างวันที่ 1 - 10 ตุลาคม 2548 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินลดลง 0.40 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 27.34 , 26.54 และ 24.19 บาท/ลิตร ตามลำดับ
6. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 3 ตุลาคม 2548 มีเงินสดสุทธิ 1,303 ล้านบาท มีเงินหนี้สินค้างชำระ 83,237 ล้านบาท แยกเป็นหนี้เงินกู้ 71,000 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยตรึงราคาค้างชำระ 2,600 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 9,291 ล้านบาท และหนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ 159 ล้านบาท ดอกเบี้ยเงินกู้ประจำเดือนจำนวน 158 ล้านบาท และภาระผูกพัน 29 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิติดลบ 81,934 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 เห็นชอบการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า โดยกำหนดให้ใช้เป็นระยะเวลา 3 ปี (ปีงบประมาณ 2544 - 2546) ต่อมาคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2548 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2548 เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและมอบหมายให้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) (1) หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางที่เหมาะสมในการชดเชยรายได้ระหว่าง การไฟฟ้าเสนอ กพช. พิจารณาเห็นชอบก่อนการนำไปใช้ในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า และ (2) จัดทำรายละเอียดข้อเสนอการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าเสนอคณะกรรมการบริหาร นโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาเห็นชอบก่อนการประกาศใช้ต่อไป
2. ข้อเสนอการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ได้กำหนดตามหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตรา ค่าไฟฟ้าตามที่คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2548 ให้ความเห็นชอบ ดังนี้
2.1 หลักเกณฑ์ทางการเงิน (Financial Criteria) เห็นควรกำหนดให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีอัตราส่วนทางการเงินในช่วงปี 2549 - 2551 ดังนี้
2.1.1 อัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุน (Return on Invested Capital: ROIC) สำหรับ บมจ. กฟผ. ในระดับ 8.39 และสำหรับ กฟน. และ กฟภ. ในระดับ 4.80 เนื่องจาก บมจ. กฟผ. มีกำหนดการกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 2548 จึงจำเป็นต้องได้รับผลตอบแทนเงินลงทุนที่จูงใจผู้ลงทุนในระดับหนึ่ง
2.1.2 อัตราส่วนรายได้สุทธิต่อการชำระหนี้ (Debt Service Coverage Ratio: DSCR) สำหรับ บมจ. กฟผ. ในระดับ 1.3 เท่า และสำหรับ กฟน. และ กฟภ. ในระดับ 1.5 เท่า เช่นเดียวกับปัจจุบัน
2.1.3 อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุน (Debt/Equity Ratio) สำหรับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ในระดับ ไม่เกินกว่า 1.5 เท่า สำหรับหลักเกณฑ์ทางการเงินสำหรับการพิจารณากำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ภายหลังปี 2551 จะพิจารณากำหนดให้อัตราผลตอบแทนเงินลงทุนของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง อยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของต้นทุนทางการเงิน (Weighted Average Cost of Capital: WACC) ในแต่ละกิจการไฟฟ้า
2.2 ข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง ดังนี้
2.2.1 โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่งที่ บมจ.กฟผ. ขายให้ กฟน. และ กฟภ. กำหนดเป็นโครงสร้างเดียวกัน ประกอบด้วย ค่าผลิตไฟฟ้า และค่ากิจการระบบส่ง โดยค่าไฟฟ้าจะแตกต่างกันตามระดับแรงดัน และช่วงเวลาของการใช้
2.2.2 กำหนดบทปรับค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ในระดับขายส่ง ระหว่าง กฟผ. กับ กฟน. และ กฟภ. หากค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้าต่ำกว่า 0.875 ในอัตรา 5 บาท/kVar/เดือน (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เช่นเดียวกับปัจจุบัน และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า รับไปพิจารณาทบทวนค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า ในระดับขายส่งที่เหมาะสมเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนการประกาศใช้ต่อไป
2.2.3 ราคาขายส่งเฉลี่ยจะลดลงจากค่าไฟฟ้าขายส่งปัจจุบันร้อยละ 3.54 ซึ่งเป็นการเกลี่ยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าเพื่อให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีฐานะการเงินตามหลักเกณฑ์ทางการเงินในข้อ 2.1
2.3 ข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก ดังนี้
2.3.1 โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีกไม่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ได้ปรับปรุงกำหนดวันแรงงานให้เป็นวันหยุดราชการแทนวันพืชมงคลในการคิดค่า ไฟฟ้าอัตราค่าไฟฟ้าตามช่วงเวลาของการใช้ (Time of Used Tariff: TOU) ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นไป
2.3.2 กำหนดแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก โดยให้ทบทวนการกำหนดค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ในระดับขายปลีก โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า รับไปพิจารณาจัดทำรายละเอียดเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนการประกาศใช้ต่อไป
2.4 ข้อเสนอสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) สูตร Ft ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 เป็นต้นไป จะประกอบด้วย (1) ค่า Ft คงที่ ณ ระดับปัจจุบัน 0.4683 บาท/หน่วย และ (2) การเปลี่ยนแปลงของ ค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงจากค่า Ft ณ ระดับ 0.4683 บาท/หน่วย หรือ DFt ทั้งนี้มอบหมาย ให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไปพิจารณา ดำเนินการส่งผ่านค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่มีการบริหารการ ใช้เชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมต่อผู้ใช้ไฟฟ้า โดยพิจารณาจากมาตรฐานค่าสูญเสียในระบบ (Loss Rate) มาตรฐานอัตราการใช้ความร้อน (Heat Rate) ตลอดจนแผนการใช้เชื้อเพลิงและการสั่งการเดินเครื่องโรงไฟฟ้า
2.5 การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า (Financial Transfers)
2.5.1 เนื่องจากการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายมีต้นทุนในการจัดหาไฟฟ้าที่แตกต่างกัน ในขณะที่ โครงสร้างค่าไฟฟ้าขายปลีกเป็นอัตราเดียวกันทั่วประเทศ จึงควรมีการชดเชยรายได้ในลักษณะเหมาจ่าย (Lump sum financial Transfer) จาก กฟน. ไปยัง กฟภ. ในปี 2548-2551 เท่ากับ 9,083 10,507 10,728 และ 11,014 ล้านบาท/ปี ตามลำดับ ทั้งนี้ หากมีการแปลงสภาพ กฟน. หรือ กฟภ. เป็นบริษัท จำกัด (มหาชน) ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพลังงานพิจารณากำหนดแนวทางการกำหนดเงินชด เชยรายได้ระหว่าง การไฟฟ้า เพื่อไม่ให้เกิดภาระภาษีเงินได้ในการจ่ายเงินชดเชยรายได้
2.5.2 กำหนดหลักเกณฑ์การปรับปรุงเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า พร้อมทั้ง ค่าปรับกรณีที่การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ไม่จัดส่งข้อมูลฐานะการเงินให้ สนพ. หรือองค์กรกำกับดูแลที่จะจัดตั้งขึ้น ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยนำเงินดังกล่าวมาปรับลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าผ่านค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft
2.6 แนวทางกำกับการดำเนินงานตามแผนการลงทุนของการไฟฟ้า กำหนดให้พิจารณานำค่าใช้จ่ายการลงทุนที่ไม่เป็นไปตามแผนพร้อมทั้งค่าปรับ มาปรับลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าผ่านค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก รายละเอียดตามข้อ 4.5 ของเอกสารประกอบวาระที่ 4.1 โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 เป็นต้นไป และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า รับไปดำเนินการทบทวนค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้าที่เหมาะสมในระดับขายส่งและขาย ปลีก ตลอดจนแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีกเสนอต่อคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนการประกาศใช้ต่อไป
2.เห็นชอบหลักการข้อเสนอสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) รายละเอียดตามข้อ 4.6 และเอกสารแนบ 11 ของเอกสารประกอบวาระที่ 4.1 และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไป ดำเนินการปรับค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ภายใต้หลักการดังกล่าว
3.เห็นชอบการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า และแนวทางกำกับการดำเนินงานตามแผนการลงทุนของการไฟฟ้า รายละเอียดตามข้อ 4.7 และ 4.8 ของเอกสารประกอบวาระที่ 4.1
4.มอบหมายให้ สนพ. หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนบทปรับกรณีการลงทุนของการไฟฟ้า ไม่เป็นไปตามแผนการลงทุนที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ตลอดจน การกำหนดอัตราค่าบริการพิเศษสำหรับธุรกิจโรงแรมบนเกาะ และอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าระบบเติมเงิน ตามข้อเสนอของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณา ให้ความเห็นชอบก่อนการประกาศใช้ต่อไป
เรื่องที่ 3 ข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการพลังงานต่อนโยบายด้านพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้มีหนังสือถึงประธานฯ ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2548 แจ้งให้ทราบถึงข้อเสนอของคณะกรรมาธิการพลังงาน เกี่ยวกับการบริหารการส่งเสริมพัฒนาการจัดหา การใช้ การอนุรักษ์พลังงาน และผลกระทบจากการจัดหาและการใช้พลังงาน เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการของรัฐบาล
2. คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร ได้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังนี้
2.1 การอ้างอิงราคาก๊าซธรรมชาติกับราคาน้ำมันเตา ที่มีราคาเพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้น และส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง รัฐบาลจึงควรหาแนวทางปลดราคาก๊าซธรรมชาติไม่ให้อิงกับราคาน้ำมันที่เปลี่ยน แปลง
2.2 ปตท. มีผลประกอบการที่ดีมีกำไร ประมาณ 62,000 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2547 และคาดว่าในปี 2548 จะมีผลกำไร 90,000 ล้านบาท ขณะที่ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาด้านพลังงานและประชาชน ได้รับผลกระทบโดยตรงจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ประกอบกับจะมีการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในเดือนตุลาคม 2548 รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ควรหารือกับ ปตท. ให้ปรับลดราคาก๊าซธรรมชาติที่ขายให้แก่ บมจ. กฟผ. ในราคาเดียวกันกับ ปตท. ขายให้แก่โรงแยกก๊าซของ ปตท. ซึ่งจะสามารถลดค่าไฟฟ้าลงได้ประมาณ 30 สตางค์ต่อหน่วย
2.3 รัฐบาลควรชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นในการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและค่า ไฟฟ้า ผันแปรให้ประชาชนมีความเข้าใจ. เพื่อไม่ให้เกิดการต่อต้านการแปรรูปของ บมจ. กฟผ.
2.4 ควรให้ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าประมาณ 15 ล้านราย มีสิทธิ์ที่จะซื้อหุ้นได้ตามสัดส่วนที่เหมาะสม โดยกำหนดสัดส่วนจากมิเตอร์การใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟแต่ละราย สำหรับผู้ที่สละสิทธิ์ควรนำหุ้นส่วนนี้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นจะต้องถือสิทธิ์การครอบครองไว้ไม่น้อยกว่า 1 ปี การกระจายหุ้นให้สิทธิ์แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง จะทำให้ปัญหาการต่อต้านการกระจายหุ้นหมดไป และอาจส่งผลดีต่อการกำหนดราคาหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ. กฟผ. ด้วย
มติของที่ประชุม
1.มอบหมายให้กระทรวงพลังงานรับไปพิจารณาเจรจาราคาก๊าซธรรมชาติที่ ปตท. ขายให้แก่ บมจ.กฟผ. ในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม และรายงานให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ทราบต่อไป
2.มอบหมายให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ กฟผ. พิจารณาข้อเสนอการกระจายหุ้นสามัญเพื่อเพิ่มทุนของ บมจ. กฟผ. ให้ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าตามสัดส่วนจากมิเตอร์การใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าแต่ละ ราย ซึ่งมีประมาณ 15 ล้านราย ได้รับสิทธิ์ในการซื้อหุ้นอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม และรายงานผลการพิจารณาให้ กพช. ทราบต่อไป
- กพช. ครั้งที่ 102 - วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2548 (1692 Downloads)