- การกำกับดูแลองค์กร
- การพัฒนาระบบบริหาร
- การบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล
- แผนบริหารความต่อเนื่อง
- แผนปฏิบัติการดิจิทัล ของ สนพ.
- ศูนย์ประสานราชการใสสะอาด
- ศูนย์ประสานงานด้านความเสมอภาค ระหว่างหญิงชาย
- ศูนย์บริการร่วม
- ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร
- สรุปผลการดำเนินงานจัดซื้อจัดจ้าง
- ข้อมูลเชิงสถิติการให้บริการ
- กลุ่มงานจริยธรรม
- การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
Super User
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 19-25 เมษายน 2553
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 9-15 มีนาคม 2552
กบง. ครั้งที่ 123 - วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 26/2555 (ครั้งที่ 123)
วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง.พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 30 สิงหาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 110.25 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 124.13 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 132.46 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบดูไบและดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 16 สิงหาคม 2555) 1.03 และ 6.99 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันเบนซินปรับตัวลดลง 0.16 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศเพิ่มสูงตามไปด้วย โดยมีโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2555 ดังนี้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 3,470 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 18,795 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 15,005 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 163
ล้านบาท และเงินกู้ยืม 3,627 ล้านบาท ดังนั้น กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 15,324 ล้านบาท
5. จากราคาน้ำมันเบนซินตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงเพื่อเพิ่มเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ ให้ดีขึ้นฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน ดังนี้
กองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระลดลงประมาณวันละ 4 ล้านบาท จากติดลบวันละ 79 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 75 ล้านบาท
การพิจารณาของที่ประชุม
1. ประธานฯ ได้สอบถามเกี่ยวกับ ราคาขายปลีกของน้ำมันเชื้อเพลิงหลังการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และแนวโน้มปริมาณการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า ภายหลังการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ คาดว่าจะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน 95 และ91 มีอัตราคงเดิม ส่วนน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91, E20 และ E85 จะมีการปรับลดราคาขายปลีกลง ส่วนปริมาณการใช้ น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น โดยเดือนกรกฎาคม 2555 มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 850,000 ลิตรต่อเดือน
สูงกว่าเดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 750,000 ลิตรต่อเดือน
2. ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายสมชาย ศักดาเวคีอิศร) ได้ให้ความเห็นว่า หากเปรียบเทียบโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของวันที่ 17 สิงหาคม 2555 ที่ราคาตลาดโลกใกล้เคียงกัน พบว่าค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91, E20 และ E85 ณ ปัจจุบันยังมีอัตราที่สูงกว่า ดังนั้นเพื่อให้ฐานะกองทุนฯ ดีขึ้นควรจะปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91, E20 และ E85 ขึ้นอีก ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า จากการศึกษาของสถาบันปิโตรเลียมฯ ค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 1.50 - 180 บาทต่อลิตร ซึ่งค่าตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91, E20 และ E85 เมื่อวันที่
17 สิงหาคม 2555 อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่า 1.00 บาทต่อลิตร โดยค่าการตลาดเฉลี่ยของเดือนสิงหาคม 255 อยู่ที่ 1.21 บาทต่อลิตร และเดือนกรกฎาคม 2555 อยู่ที่ 1.38 บาทต่อลิตร ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าการตลาดเฉลี่ยของเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 1.80 บาทต่อลิตร จะพบว่าในช่วงที่ผ่านมาค่าการตลาดอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยที่ต่ำ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2555 เป็นต้นไป
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 12-18 เมษายน 2553
กบง. ครั้งที่ 122 - วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 25/2555 (ครั้งที่ 122)
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง.พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 111.28 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 131.12 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 132.3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบดูไบและดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 13 สิงหาคม 2555) 2.69 และ 3.40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันเบนซินปรับตัวลดลง 0.63 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศเพิ่มสูงตามไปด้วย โดยมีโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 17 สิงหาคม 2555 ดังนี้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 12 สิงหาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 5,062 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 19,492 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 14,179 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 163
ล้านบาท และเงินกู้ยืม 5,150 ล้านบาท ดังนั้น กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 14,430 ล้านบาท
5. จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันตลาดโลก ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง ดังนั้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล และดีเซล ดังนี้
ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 42 ล้านบาท จากติดลบวันละ 37 ล้านบาทเป็นติดลบวันละ 79 ล้านบาท
การพิจารณาของที่ประชุม
1. ประธานฯ ได้มีความเห็นว่า การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เป็นกลไกเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน โดยเฉพาะราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลซึ่งส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพ และการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในการประชุมครั้งนี้ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ ติดลบเพิ่มมากขึ้น จากติดลบวันละ 37 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 79 ล้านบาท
2. รักษาการผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (นายชายน้อย เผื่อนโกสุม) ได้มีความเห็นว่า
จากการคาดการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง แต่หลังจากไตรมาส 3 ของปี 2555 ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอาจจะมีแนวโน้มลดลง และเห็นด้วยกับการใช้กองทุนน้ำมันฯ เป็นกลไกในการอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้อยู่ระดับสูงเกินไป เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงราคาของน้ำมันดีเซลที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน แต่ทั้งนี้ ในส่วนของการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินลง อาจเป็นการส่งสัญญาณที่
สวนทางกับนโยบายการยกเลิกการใช้น้ำมันเบนซิน 91 ซึ่งปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) ได้ชี้แจงว่า ในช่วงนี้ราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลยังคงอยู่ในระดับสูง และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งสองชนิดมีปริมาณการใช้มาก จึงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันทั้งสองชนิดอย่างใกล้ชิดรวมทั้งดูแลราคาขายปลีกให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าอีกประมาณ
1 – 2 สัปดาห์ ราคาน้ำมันเบนซินตลาดโลกอาจจะปรับตัวลดลง และ กบง. สามารถพิจารณาปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2555 เป็นต้นไป
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 18 กุมภาพันธ์ 2548
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 5-11 เมษายน 2553
กบง. ครั้งที่ 121 - วันอังคารที่ 14 สิงหาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 24/2555 (ครั้งที่ 121)
วันอังคารที่ 14 สิงหาคม 2555 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
2. แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV และก๊าซ LPG ภาคขนส่ง
3. โครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะ
4. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล และเรื่อง แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV และ ก๊าซ LPG ดังนี้
1.1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล
(1) น้ำมันดีเซล ให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควร ให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม และหากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลง ให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร และ (2) น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล ให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น รวมทั้งให้คำนึงถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกและภาวะเงินเฟ้อของประเทศ การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ประเมินผลการดำเนินงานตามการมอบหมายข้างต้น เสนอ กพช. และคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจาณาทุกไตรมาส
1.2 แนวทางการปรับราคาก๊าซ NGV ให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ต่ออีก 3 เดือน (16 พฤษภาคม 2555 ถึง 15 สิงหาคม 2555) และตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2555 เห็นชอบมอบหมายให้ กบง. พิจารณาการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยพิจารณาจากผลการศึกษาต้นทุนราคาก๊าซ NGV ที่ศึกษาโดยสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
1.3 แนวทางการปรับราคาก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2555 เห็นชอบมอบหมายให้ กบง. พิจารณาการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม ให้ราคาไม่เกินต้นทุนก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมัน โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในแต่ละเดือนได้ตามความเหมาะสม
1.4 แนวทางการปรับราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่ง ให้คงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่งที่ 21.13 บาทต่อกิโลกรัม ต่ออีก 3 เดือน (16 พฤษภาคม 2555 ถึง 15 สิงหาคม 2555) และตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2555 มอบหมายให้ กบง. พิจารณาการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่งให้ราคาไม่เกินต้นทุนก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมัน โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯในแต่ละเดือนได้ตามความเหมาะสม
ทั้งนี้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ประเมินผลการดำเนินงานตามข้อ 1.2 - 1.4 เสนอ กพช. และคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาทุกไตรมาส
2. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดสิงคโปร์ ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2555 ราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน 95 และดีเซล อยู่ที่ระดับ 108.6, 122.3 และ 123.3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากปัญหาภาวะเศรษฐกิจของกลุ่มยูโรโซนที่มีความรุนแรงขึ้น ทำให้มีการคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มยูโรโซนจะลดลงอยู่ที่ระดับติดลบร้อยละ 0.1 ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง กบง. ได้มีการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ โดยในช่วงระหว่างวันที่ 16 พฤษภาคม 2555 - 30 มิถุนายน 2555 จำนวน 6 ครั้ง โดยอัตราที่เพิ่มขึ้นอยู่กับแต่ละชนิดของน้ำมัน ทำให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2555 ของน้ำมันเบนซิน 91 แก๊สโซฮอล 95 แก๊สโซฮอล 91 และดีเซล อยู่ที่ 7.10, 3.30, 1.70 และ 2.80 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
3. จากราคาน้ำมันตลาดสิงคโปร์ที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาขายปลีกลงตามราคาตลาดโลก ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2555 ราคาขายปลีกเบนซิน 91 แก๊สโซฮอล 95 แก๊สโซฮอล 91 และดีเซล อยู่ที่ 41.65, 38.23, 36.48 และ 30.43 บาทต่อลิตร ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2555 มีฐานะติดลบ 22,787 ล้านบาท จากการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันสำเร็จรูปและราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง
4. จากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ไว้ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ไปจนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2555 ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2555 เป็นต้นมา จึงยังไม่ได้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ปัจจุบันราคาขายปลีกก๊าซ NGV อยู่ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้นำส่งผลการศึกษาทบทวนต้นทุนราคาก๊าซ NGV และเพื่อให้ผลการศึกษาเป็นที่ยอมรับ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้จัดให้มีการประชุมคณะทำงานศึกษาทบทวนการคำนวณต้นทุนราคาก๊าซ NGV ซึ่งมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เป็นผู้ประกอบการขนส่งโดยสารเป็นคณะทำงาน เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2555 โดยคณะทำงานฯ ได้เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน เพื่อพิจารณาหาข้อสรุปต้นทุนราคาก๊าซ NGV ที่เหมาะสมซึ่งสามารถสรุปผลการประชุม ได้ดังนี้
4.1 ต้นทุนเนื้อก๊าซ ที่ประชุมฯ มีความเห็นว่าไม่ควรแยกต้นทุน LNG ออกจากต้นทุนเฉลี่ยเนื้อก๊าซธรรมชาติ (Pool Gas) แต่ให้กำหนดเพดานต้นทุน LNG ในต้นทุนเฉลี่ยเนื้อก๊าซธรรมชาติไว้ที่ 0.25 บาทต่อกิโลกรัม จนกว่าจะมีแผนจัดหา LNG ออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งปัจจุบันกระทรวงพลังงานกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการ
4.2 ค่าบริการส่งก๊าซทางท่อ เนื่องจากขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) อยู่ระหว่างการทบทวนอัตราค่าบริการส่งก๊าซทางท่อ ดังนั้นที่ประชุมฯ จึงเห็นว่าควรใช้อัตราค่าบริการส่งก๊าซทางท่อในปัจจุบันไปก่อนและให้กำหนดอัตราค่าบริการส่งก๊าซทางท่อเป็นต้นทุนผันแปร โดยเมื่อ สกพ. ทำการศึกษาแล้วเสร็จจะได้สามารถนำอัตราค่าบริการส่งก๊าซทางท่อที่ทบทวนแล้วมาใช้เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริง
4.3 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ (ต้นทุนค่าสถานีและค่าขนส่ง) ให้กำหนดราคาขายปลีกก๊าซ NGV โดยใช้สมมติฐานว่าภาครัฐกำหนดนโยบายให้มีสัดส่วนของเอกชนเข้ามาร่วมดำเนินการสถานี NGV มากขึ้นและก่อสร้างสถานีบนแนวท่อมากขึ้น
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ประกอบการไม่ขัดข้องเกี่ยวกับการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV แต่ขอให้มีก๊าซ NGV อย่างเพียงพอ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้มอบหมายให้ ปตท. ไปจัดทำแผนการขยายสถานีบริการและการใช้ก๊าซ NGV ในอนาคต เพื่อนำมาใช้ประกอบการพิจารณาครั้งต่อไป
5. การปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 กบง. เห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม โดยให้กำหนดราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมไว้ที่ 30.13 บาทต่อกิโลกรัม กรณีราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นมากทำให้ต้นทุนราคาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันเกิน 30.13 บาทต่อกิโลกรัม ให้กำหนดราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมไว้ที่ 30.13 บาทต่อกิโลกรัม และให้กำหนดราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม เป็นไปตามต้นทุนโรงกลั่นน้ำมันกรณีราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกปรับตัวลดลงทำให้ต้นทุนราคาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันต่ำกว่า 30.13 บาทต่อกิโลกรัม ต่อมาในเดือนมิถุนายน 2555 ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) อยู่ที่ 714 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ส่งผลให้ต้นทุนก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นอยู่ที่ 27.89 บาทต่อกิโลกรัม ราคาขายปลีก LPG ภาคอุตสาหกรรมลดลงจากเดิม 30.13 บาทต่อกิโลกรัม เหลือ 27.89 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี สนพ. ได้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้ราคาไม่เกินต้นทุนก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมัน โดยให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวให้โรงงานอุตสาหกรรมต้องส่งเงินเข้ากองทุนเพิ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2555 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2555 ในอัตรา 9.12 บาทต่อกิโลกรัม
6. การปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง โดยมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบให้คงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่งไว้ที่ 21.13 บาทต่อกิโลกรัม ไปจนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2555 โดยให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซ LPG ให้ภาคขนส่งต้องส่งเงินเข้ากองทุนเพิ่มตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2555 ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2555 ในอัตราเดิมคือ 2.8036 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกอยู่ที่ 21.13 บาทต่อกิโลกรัม
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบรายงานประเมินผลการดำเนินงานการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล และการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV และก๊าซ LPG ไตรมาสที่ 2 (16 พฤษภาคม 2555 - 30 มิถุนายน 2555)
2. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำรายงานประเมินผลการดำเนินงานการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล และการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV และก๊าซ LPG ไตรมาสที่ 2 (16 พฤษภาคม 2555 - 30 มิถุนายน 2555) เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
เรื่องที่ 2 แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV และก๊าซ LPG ภาคขนส่ง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV และก๊าซ LPG ดังนี้
1.1 ก๊าซ NGV โดยเห็นชอบให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ต่ออีก 3 เดือน
(16 พฤษภาคม 2555 ถึง 15 สิงหาคม 2555) และ ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2555 เห็นชอบมอบหมายให้ กบง. พิจารณาการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยพิจารณาจากผลการศึกษาต้นทุนราคาก๊าซ NGV ที่ศึกษาโดยสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
1.2 ก๊าซ LPG ภาคขนส่ง โดยเห็นชอบให้คงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง ที่ 21.13 บาทต่อกิโลกรัม ต่ออีก 3 เดือน (16 พฤษภาคม 2555 ถึง 15 สิงหาคม 2555) และตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2555 มอบหมายให้ กบง. พิจารณาการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่งให้ราคาไม่เกินต้นทุนก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมัน โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯในแต่ละเดือนได้ตามความเหมาะสม
2. การปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ไว้ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ไปจนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2555 ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2555 เป็นต้นมา จึงยังไม่มีการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV แต่ประการใด ปัจจุบันราคาขายปลีก ก๊าซ NGV อยู่ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้นำส่งผลการศึกษาทบทวนต้นทุนราคาก๊าซ NGV และเพื่อให้ผลการศึกษาเป็นที่ยอมรับของผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง สนพ. ได้จัดให้มีการประชุมคณะทำงานศึกษาทบทวนการคำนวณต้นทุนราคาก๊าซ NGV ซึ่งมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เป็นผู้ประกอบการขนส่งโดยสารเป็นคณะทำงาน เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2555 โดยคณะทำงานฯได้เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน เพื่อพิจารณาหาข้อสรุปต้นทุนราคาก๊าซ NGV ที่เหมาะสมซึ่งสามารถสรุปผลการประชุม ได้ดังนี้
2.1 ต้นทุนเนื้อก๊าซ ที่ประชุมฯ มีความเห็นว่าไม่ควรแยกต้นทุน LNG ออกจากต้นทุนเฉลี่ยเนื้อก๊าซธรรมชาติ (Pool Gas) แต่ให้กำหนดเพดานต้นทุน LNG ในต้นทุนเฉลี่ยเนื้อก๊าซธรรมชาติไว้ที่ 0.25 บาทต่อกิโลกรัม จนกว่าจะมีแผนจัดหา LNG ออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งปัจจุบันกระทรวงพลังงานกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการ
2.2 ค่าบริการส่งก๊าซทางท่อ เนื่องจากขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) อยู่ระหว่างการทบทวนอัตราค่าบริการส่งก๊าซทางท่อ ดังนั้นที่ประชุมฯ จึงเห็นว่าควรใช้อัตราค่าบริการส่งก๊าซทางท่อในปัจจุบันไปก่อนและให้กำหนดอัตราค่าบริการส่งก๊าซทางท่อเป็นต้นทุนผันแปร โดยเมื่อ สกพ. ทำการศึกษาแล้วเสร็จจะได้สามารถนำอัตราค่าบริการส่งก๊าซทางท่อที่ทบทวนแล้วมาใช้เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริง
2.3 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ (ต้นทุนค่าสถานีและค่าขนส่ง) ให้กำหนดราคาขายปลีกก๊าซ NGV โดยใช้สมมติฐานว่าภาครัฐกำหนดนโยบายให้มีสัดส่วนของเอกชนเข้ามาร่วมดำเนินการสถานี NGV มากขึ้นและก่อสร้างสถานีบนแนวท่อมากขึ้น
ทั้งนี้กลุ่มผู้ประกอบการไม่ขัดข้องเกี่ยวกับการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV แต่ขอให้มีก๊าซ NGV อย่างเพียงพอ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้มอบหมายให้ ปตท. ไปจัดทำแผนการขยายสถานีบริการและการใช้ก๊าซ NGV ในอนาคต เพื่อนำมาใช้ประกอบการพิจารณาครั้งต่อไป
3. การปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้คงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่งไว้ที่ 21.13 บาทต่อกิโลกรัม ไปจนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2555 โดยให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซให้ภาคขนส่งต้องส่งเงินเข้ากองทุนเพิ่มตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2555 ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2555 ในอัตราเดิมคือ 2.8036 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกคงอยู่ที่ 21.13 บาทต่อกิโลกรัม
4. เนื่องจากการพิจารณาหาข้อสรุปต้นทุนราคาก๊าซ NGV ที่เหมาะสมตามผลการศึกษาต้นทุนราคาก๊าซ NGV ของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาหาข้อสรุปที่เป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วนและรอผลการศึกษาอัตราค่าบริการทางท่อซึ่งเป็นเงื่อนไขข้อกำหนดในการพิจารณาปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ดังนั้น ในระหว่างรอหาข้อสรุปดังกล่าว จึงขอเสนอให้คงราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ไปก่อนจนกว่า กบง. จะมีมติเห็นชอบให้มีการปรับราคาก๊าซ NGV ใหม่
5. เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้นและเพื่อบรรเทาผลกระทบค่าครองชีพของประชาชน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่งในอัตรา 0.2336 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 3.0374 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2555 ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ปรับเพิ่มขึ้น 0.25 บาทต่อกิโลกรัม จาก 21.13 บาทต่อกิโลกรัมเป็น 21.38 บาทต่อกิโลกรัม
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้คงราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2555 เป็นต้นไป จนกว่าจะได้ข้อสรุปต้นทุนราคาก๊าซ NGV ของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2. เห็นชอบกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่งในอัตรา 3.0374 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2555 เป็นต้นไป
3. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
เรื่องที่ 3 โครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะ
สรุปสาระสำคัญ
1. คำแถลงนโยบายของรัฐบาลเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ข้อ 1 นโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการในปีแรก ข้อ 1.7 แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.2 จัดให้มีบัตรเครดิตพลังงานและบัตรคูปองสำหรับผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะในวงเงินที่เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้จริงต่อเดือน และ ข้อ 3 นโยบายเศรษฐกิจ ข้อ 3.5 นโยบายพลังงาน ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีราคาเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคาจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่ง และส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 กบง. ได้มีมติเห็นชอบโครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะที่ใช้ก๊าซ NGV เป็นเชื้อเพลิง ประกอบด้วย รถแท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊ก และรถตู้ร่วมโดยสาร ขสมก. ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการจัดทำบัตรเครดิตพลังงานเพิ่มเติมสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะเพื่อนำไปใช้ในการเติมน้ำมันแก๊สโซฮอลในวงเงินที่เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้จริงต่อเดือน และเพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลในรถจักรยานยนต์สาธารณะ
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอโครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะ ดังนี้
(1) กลุ่มเป้าหมาย : ผู้มีใบขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะซึ่งมีทั้งหมดประมาณ 240,000 คน
(2) หลักการการให้บัตรเครดิตพลังงานฯ : จัดทำบัตรเครดิตพลังงานให้กับผู้มีใบขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะเป็น "รายบุคคล" โดยพื้นที่ให้บริการประกอบด้วยสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 อื่นๆ ที่เข้าร่วมโครงการ
(3) เงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตพลังงาน : วงเงินเครดิต (เติมก่อน-จ่ายเงินทีหลัง) จำนวน 3,000 บาท
ต่อบัตร สำหรับเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 และแก๊สโซฮอล 95 ทุกชนิด เท่านั้น โดยมีระยะเวลาเครดิต 45 วัน โดยจ่ายเงินชำระหนี้ค่าใช้น้ำมันฯ จากการใช้บัตรเครดิตพลังงานสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะที่เคาน์เตอร์ เซอร์วิส ในร้านสะดวกซื้อ 7-11 และ ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา แบ่งชำระเงินขั้นต่ำ 10% ของยอดคงค้าง (ไม่น้อยกว่า 100 บาท) ทั้งนี้ สิทธิ์ในการใช้วงเงินเครดิต จะกลับมาเท่ากับจำนวนเงินที่ชำระ (ชำระเงินคืนเท่าไหร่ ก็มีสิทธิใช้เงินเท่านั้น แต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อเดือน) ในกรณีที่ผู้ใช้บัตรไม่ชำระเงินตามกำหนดเกิน 60 วัน ธนาคารจะยกเลิกสิทธิการใช้บัตรดังกล่าว และขึ้นบัญชีไม่สามารถสมัครได้อีก
(4) เริ่มใช้บัตรเครดิตพลังงานสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป
(5) ประมาณการงบประมาณในการดำเนินการ วงเงินบัตรเครดิตพลังงาน 3,000 บาทต่อราย จากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
(6) ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ : ส่งเสริมให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลมากขึ้น สามารถสร้างความเชื่อมั่นและขยายผลการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลไปยังผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ทั่วไปได้มากขึ้น และเพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนนโยบายการยกเลิกการใช้น้ำมันเบนซิน 91
(7) ผู้รับผิดชอบโครงการ
- เจ้าของโครงการ : สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน
- ผู้ดำเนินโครงการในระยะเริ่มต้น (15 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2555) : บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สำหรับในระยะต่อไปให้หน่วยงานที่จะจัดตั้งขึ้นภายใต้สังกัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้ดำเนินโครงการต่อไป
- ผู้ออกบัตรและเจ้าของกรรมสิทธิ์บัตรเครดิตพลังงาน : ธนาคารกรุงไทย
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ
2. เห็นชอบให้ขอความร่วมมือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการโครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะในระยะเริ่มต้น
เรื่องที่ 4 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้ กบง. พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 13 สิงหาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 108.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 131.75เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 128.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 8 สิงหาคม 2555) 1.74, 3.22 และ 2.06 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลตามลำดับ จากราคาน้ำมันเบนซินตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศ เพิ่มสูงตามไปด้วย โดยมีโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2555 ดังนี้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 12 สิงหาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 5,062 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 19,492 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 14,179 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 163 ล้านบาท และเงินกู้ยืม 5,150 ล้านบาท ดังนั้น กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 14,430 ล้านบาท
5. จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันตลาดโลก ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง ดังนั้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังนี้
ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 22 ล้านบาท จากติดลบวันละ 15 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 37 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2555 เป็นต้นไป