- การกำกับดูแลองค์กร
- การพัฒนาระบบบริหาร
- การบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล
- แผนบริหารความต่อเนื่อง
- แผนปฏิบัติการดิจิทัล ของ สนพ.
- ศูนย์ประสานราชการใสสะอาด
- ศูนย์ประสานงานด้านความเสมอภาค ระหว่างหญิงชาย
- ศูนย์บริการร่วม
- ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร
- สรุปผลการดำเนินงานจัดซื้อจัดจ้าง
- ข้อมูลเชิงสถิติการให้บริการ
- กลุ่มงานจริยธรรม
- การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
Super User
ครั้งที่ 10 - วันจันทร์ ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2548
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2548 (ครั้งที่ 10)
วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2548 เวลา 09.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3. แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประจำปีงบประมาณ 2549 - 2553
4. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (เพิ่มเติม)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้กล่าวขอบคุณสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และสถาบันบริหารกองทุนพลังงานที่ ได้ร่วมดำเนินการให้การออกขายพันธบัตรของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประสบความสำเร็จ จนทำให้นักลงทุน ตอบรับชื่อตราสารหนี้ของกองทุนสามารถขายหมดในเวลาอันรวดเร็ว
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตลาดโลกน้ำมัน ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ ในเดือนสิงหาคม 2548 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 56.60 และ 63.93 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.63 และ 6.13 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากข่าวการก่อการร้ายโดยลอบยิงขีปนาวุธโจมตีเรือรบสหรัฐอเมริกาที่ท่าเรือ Aqaba ประเทศจอร์แดน และข่าวโรงกลั่น Rotterdam ของคูเวตปิดฉุกเฉิน ประกอบกับตลาดกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดเฮอริเคนทำให้นักลงทุนเข้าซื้ออย่างต่อเนื่องในตลาดซื้อขายล่วงหน้า NYMEX และ IPE
เดือนกันยายน 2548 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 56.54 และ 63.33 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ได้ปรับตัวลดลง 0.06 และ 0.60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากข่าว IEA ประกาศที่จะส่งน้ำมันสำรองฉุกเฉินประมาณ 2 ล้านบาร์เรล/วัน เพื่อแก้ปัญหาอุปทานตึงตัวในสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศยุโรป ได้จัดส่งน้ำมันเบนซินสำรองฉุกเฉินจำนวนกว่า 30 Cargoes ไปยังสหรัฐอเมริกา ประกอบกับ โอเปคยืนยันที่จะพิจารณาเพิ่มเพดานการผลิตอีก 500,000 บาร์เรล/วัน
2. ตลาดน้ำมันสิงคโปร์ เดือนสิงหาคม 2548 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ,92 และ ดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 73.20 , 72.52 และ 70.66 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 8.50, 9.09 และ 5.78 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาซื้อขายน้ำมันดิบระหว่างวันในตลาด NYMEX และ IPE ประกอบกับอุปทานในภูมิภาคค่อนข้างตึงตัว และจากรายงานปริมาณสำรองน้ำมันเบนซินของสหรัฐลดลง ขณะที่ความต้องการใช้อยู่ระดับสูงมากในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวเพิ่มขึ้นจากข่าวอินโดนีเซียจะนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปในเดือนกันยายน 2548 เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เนื่องจากโรงกลั่นจะปิดซ่อมบำรุง
เดือนกันยายน 2548 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ,92 และ ดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 79.40, 78.39 และ 75.45 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 6.21 , 5.87 และ 4.79 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตามราคาน้ำมันเบนซินในสหรัฐอเมริกาที่อยู่ในระดับสูงกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากผลกระทบของพายุเฮอริเคน แคทรีนา ทำให้นักลงทุนในสิงคโปร์นำน้ำมันเบนซินไปขายในสหรัฐอเมริกาเพิ่มมากขึ้น ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวเพิ่มขึ้นจากตลาดคาดว่า Sinopec ของจีนกำลังจะประมูลซื้อน้ำมันดีเซลส่งมอบช่วงครึ่งหลัง ของเดือนตุลาคม 2548 ประกอบกับข่าวอินเดียยกเลิกการประมูลขายน้ำมันดีเซลส่งมอบเดือนตุลาคม 2548 เนื่องจากราคาเสนอซื้อต่ำ
3. ตลาดน้ำมันไทย เดือนสิงหาคม 2548 ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 2 ครั้งๆ ละ 0.40 บาท/ลิตร รวมเป็น 0.80 บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และ ดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 26.54, 25.74 และ 23.39 บาท/ลิตร ตามลำดับ เดือนกันยายน ผู้ค้าน้ำมัน(ยกเว้น ปตท.) ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 3 ครั้งๆ ละ 0.40 บาท/ลิตร และปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 2 ครั้งๆ ละ 0.40 บาท/ลิตร ส่วน ปตท. ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 3 ครั้งๆละ 0.40 บาท/ลิตร และปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 2 ครั้งๆ ละ 0.40 บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และ ดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 อยู่ที่ระดับ 27.74, 26.94 และ 24.19 บาท/ลิตร ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ชำระหนี้ชดเชยตรึงราคาน้ำมันไปแล้วทั้งสิ้นจำนวน 77,623 ล้านบาท ใช้เงินจากกองทุนฯ จำนวน 6,623 ล้านบาท และจากเงินกู้ 71,000 ล้านบาท และมีหนี้ชดเชยราคาน้ำมันค้างชำระสะสมประมาณ 2,600 ล้านบาท
2. ปัจจุบันกองทุนฯ มีหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันจำนวน 49,000 ล้านบาท และหนี้ที่กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันจำนวน 22,000 ล้านบาท และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) ได้ชำระดอกเบี้ยไปแล้วประมาณ 1,183 ล้านบาท
3. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 3 ตุลาคม 2548 มียอดเงินคงเหลือประมาณ 1,303 ล้านบาท หนี้เงินกู้ 71,000 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว 9,291 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 2,600 ล้านบาท และหนี้กรณีอื่นๆ 159 ล้านบาท ฐานะกองทุนฯ ติดลบประมาณ 81,934 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประจำปีงบประมาณ 2549 - 2553
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2537 อนุมัติให้เพิ่มเติมกฎเกณฑ์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในคำสั่งนายกรัฐมนตรี โดยให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารกองทุนฯ สามารถนำเงินจากกองทุนฯ มาเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนฯ ได้ และต่อมาคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้ออกคำสั่งที่ 3/2546 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2546 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารกองทุน น้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) เพื่อทำหน้าที่พิจารณาเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
2. เนื่องจากสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพ.) กำลังจะออกตราสารหนี้ โดยไม่มีกระทรวงการคลังค้ำประกันทำให้นักลงทุนอาจขาดความมั่นใจในตราสารหนี้/พันธบัตรของ สบพ. ดังนั้น ในการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2548 ได้มีมติเห็นชอบให้ยุติการอนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้สนับสนุนโครงการศึกษาและวิจัยต่างๆ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้สำหรับโครงการศึกษาและวิจัยที่ได้รับอนุมัติเงินสนับสนุนไปแล้ว และมีการผูกพันไปยังงบประมาณปีถัดไปให้ดำเนินการต่อไปจนสิ้นสุดระยะเวลา ของโครงการ และมอบหมายให้ สนพ. สบพ. รับไปดำเนินการจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ ระยะ 5 ปี เพื่อใช้แสดงต่อผู้ลงทุนให้เกิดความเชื่อมั่นในตราสารหนี้/พันธบัตรของกองทุนฯ และนำเสนอต่อคณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งต่อไป
3. ในปีงบประมาณ 2548 กองทุนน้ำมันฯ ได้จัดสรรเงินสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนฯ ให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และ สป.พน. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) พร้อมทั้งอนุมัติเงินสนับสนุนในโครงการศึกษาวิจัยต่างๆ ให้กับหน่วยงาน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 518,668,574.86 บาท และหน่วยงานต่างๆ ได้เบิกไปใช้แล้วเป็นเงิน 400,434,030.45 บาท ปัจจุบันมีเงินที่ยังไม่ได้เบิกจ่ายอยู่ประมาณ 118,234,544.41 บาท
4. คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในการประชุมเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2548 ได้อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ ปีละ 80 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินกองกลางและสำรอง เมื่อมีเหตุฉุกเฉินจำเป็นเกิดขึ้น โดยทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการบริหารของกองทุนน้ำมันฯ ในช่วงปี 2549 - 2553 (5 ปี) ของทุกหน่วยงาน จะประมาณ 376.1534 ล้านบาท และเงินสำรองอีก 5 ปี รวมเป็นเงินงบประมาณในแผนการใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิงในช่วงปี 2549 - 2553 จำนวน 776.154 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 1.0603 ของรายได้สุทธิของกองทุนน้ำมันฯ
มติของที่ประชุม
1. อนุมัติค่าใช้จ่ายในการบริหารของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงปี 2549 - 2553 (5 ปี) ของทุก หน่วยงานในวงเงิน 376.1534 ล้านบาท
2. อนุมัติงบประมาณสำรองปีละ 80 ล้านบาท ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงปี 2549 - 2553 (5 ปี) ของหน่วยงานภายในกระทรวงพลังงาน ในวงเงิน 400 ล้านบาท ทั้งนี้ การขออนุมัติใช้จ่ายเงินงบสำรองในแต่ ละครั้งจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการฯ ก่อน
เรื่องที่ 4 การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (เพิ่มเติม)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2546 ได้มีมติเห็นชอบ ให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาอีก 1 ชุด เพื่อทำหน้าที่พิจารณาการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ โดยตรง และต่อมาเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2546 กบง. ได้ออกคำสั่ง ที่ 3/2546 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น โดยมีรองปลัดกระทรวงพลังงานที่ปลัดกระทรวงพลังงานมอบหมายเป็นประธานอนุกรรมการ และมีคณะอนุกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 5 คน
2. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2548 ได้มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน รับความเห็นของ สศช. ไปดำเนินการในประเด็นที่ให้ สบพ. จัดทำประมาณการกระแสเงินสดล่วงหน้าใหม่ให้สอดคล้องกับเงื่อนไขในการชำระหนี้และจ่ายดอกเบี้ยให้กับสถาบันการเงินกรณีที่มีการระดมทุนด้วยการกู้เงินแทนการออกพันธบัตร และจะต้องประมาณการเผื่อการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในอนาคต เนื่องจากใช้อัตราดอกเบี้ยที่อ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ยลอยตัวของธนาคารพาณิชย์ และเปรียบเทียบต้นทุนในระยะเวลาจากการกู้ยืมจากสถาบันการเงินกับการออกตราสารหนี้ ในกรณีอัตราดอกเบี้ยต่างๆ กัน เพื่อปรับทางเลือกในการบริหารเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงานประสานหารือกับกระทรวงการคลังอย่างใกล้ชิดในการดำเนินการออกพันธบัตร หรือการกู้เงินจากสถาบันการเงินในแต่ละครั้งด้วย
3. จากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีต้องการให้มีผู้แทนจากกระทรวงการคลัง มาช่วยดูแลบริหารหนี้ของกองทุนน้ำมันฯ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แต่เนื่องจากหน้าที่ของคณะอนุกรรมการฯ ถูกกำหนดให้ทำหน้าที่ในการพิจารณาใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันฯ แต่ถ้าให้คณะอนุกรรมการฯ ดูแลเกี่ยวกับการบริหารหนี้สินของกองทุนฯ จึงจำเป็นต้องเพิ่มอำนาจหน้าที่ให้กับ คณะอนุกรรมการฯ
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้มีการแต่งตั้งอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติม คือ ผู้แทนจากกระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะหรือผู้แทน) พร้อมทั้งปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการฯ เกี่ยวกับการบริหารจัดการสินทรัพย์และหนี้สินของกองทุนฯ ให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของการออกตราสารหนี้/พันธบัตรของ สบพ.
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้มีการแก้ไขคำสั่งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ที่ 3/2546 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเพิ่มเติมผู้แทนจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง และ เพิ่มอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการฯ ให้สอดคล้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2548
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2548 ได้มีมติเรื่อง การขอเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเห็นชอบให้ สบพ. แก้ไขระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2546 ให้เป็นไปตามร่างระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ตามที่ สบพ. เสนอ และ ขณะนี้ สบพ. อยู่ระหว่างการออกตราสารหนี้ซึ่งจำเป็นต้องปรับปรุงระเบียบดังกล่าวใหม่เพิ่มเติมเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
2. จากการดำเนินการเพื่อรองรับการออกตราสารหนี้ของ สบพ. ที่ผ่านมา ทำให้มีความจำเป็นต้องขอแก้ไขระเบียบกระทรวงพลังงานใน 5 กรณี คือ
2.1 คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2548 ได้มีมติเรื่อง การขอกู้เงินของ สบพ. โดยให้ สบพ. จัดหาเงินกู้ได้ทั้งการออกตราสารหนี้และการกู้จากสถาบันการเงิน จากร่างระเบียบกระทรวงพลังงานฯ (เดิม) ที่ กบง. อนุมัติเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2548 ได้ระบุให้นำเงินในบัญชีต่างๆ ไปชำระหนี้ที่เกิดจากการออกตราสารหนี้เท่านั้น สบพ. ขอเปลี่ยนชื่อบัญชีและเพิ่มวัตถุประสงค์การใช้เงินในบัญชีต่างๆ ให้สามารถนำไปชำระหนี้ต่างๆ ของ สบพ. ได้อย่างครบถ้วน
2.2 เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน จึงได้มีการจำกัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่างๆ ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ประมาณ 120 ล้านบาท/ปี ในข้อกำหนดสิทธิระหว่าง สบพ. กับผู้ถือตราสารหนี้ โดย สบพ. ขอเปิดบัญชีเพิ่มเติมเพื่อเก็บรักษาเงินที่มีไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่างๆ ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแยกออกจากรายรับที่สะสมไว้เพื่อชำระหนี้ของ สบพ.
2.3 ปัจจุบันกรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างดำเนินการให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมน้ำมันเชื้อเพลิง สามารถชำระภาษีสรรพสามิตและส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงผ่านธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ได้ กรมสรรพสามิตจึงขอให้ สบพ. ดำเนินการแก้ไขระเบียบกระทรวงพลังงานฯ โดยขอให้ สบพ. สามารถเปิดบัญชีเงินฝากเพื่อรับโอนเงินจากส่วนราชการที่รับเงินจากผู้มีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายกับสถาบัน การเงินอื่นได้ ที่ไม่ใช่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และเพื่อไม่ให้ผิดเงื่อนไขในข้อกำหนดสิทธิระหว่าง สบพ. กับผู้ถือตราสารหนี้ของ สบพ. ดังนั้น สบพ. จึงขอเปิดบัญชีเงินฝาก 1 บัญชี เพื่อรับเงินส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยผ่านธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และให้โอนเงินจากบัญชีเงินฝากดังกล่าวเข้าบัญชีเงินฝากที่รับเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเดิม คือ บัญชี "กองทุนน้มันเชื้อเพลิง (กระทรวงพลังงาน)" อีกทอดหนึ่ง
2.4 จากเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2547 กบง. ได้มีมติเรื่อง การขออนุมัติเงินทดรองจ่ายเพื่อจ่ายเงินชดเชยที่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร ให้ยกเลิกเงินทดรองจ่ายเพื่อจ่ายเงินชดเชยและเงินรับคืนกองทุนน้ำมันฯ โดยให้ สบพ. เป็นผู้จ่ายเงินให้กับผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยหรือผู้มีสิทธิได้รับเงินคืนโดยตรง และให้แก้ไขระเบียบกระทรวงพลังงานฯ ซึ่งปัจจุบัน สบพ. ไม่ได้เบิกเงินกองทุนน้ำมันฯ เพื่อทดรองจ่ายให้กรมสรรพสามิตและ กรมศุลกากรแล้ว สบพ. จึงขอแก้ไขยกเลิกเงินทดรองจ่ายที่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร ในระหว่างที่ สบพ. ยังไม่สามารถจ่ายเงินให้กับผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยหรือผู้มีสิทธิได้รับเงินคืนโดยตรง และขอให้กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรเป็นผู้จ่ายเงินให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยหรือผู้มีสิทธิได้รับเงินคืนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ไปพลางก่อน
2.5 นอกจากนี้ตามหลักเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ผู้ออกหลักทรัพย์ต้องแสดงรายงานงบการเงินรายไตรมาสต่อ ก.ล.ต. ภายใน 45 วัน ซึ่งการออกตรา สารหนี้ของ สบพ. ต้องรายงานงบการเงินทั้งของ สบพ. และกองทุนน้ำมันฯ รายไตรมาสต่อ ก.ล.ต. แต่ระเบียบกระทรวงพลังงานฯ กำหนดให้หน่วยงานที่ได้รับเงินจากกองทุนฯ ปิดบัญชีเงินฝากและส่งเงินคงเหลือพร้อมทั้งดอกผลหรือรายรับอื่นใดทั้งหมดให้กองทุนฯ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่การดำเนินงานสิ้นสุด และให้ทำรายงานสรุปรับ - จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประจำเดือนส่งให้ สบพ. ภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดไป ซึ่งการกำหนดช่วงเวลาดังกล่าวจะทำให้ สบพ. ไม่สามารถรายงานงบการเงินของกองทุนฯ ให้ ก.ล.ต. ได้ทันตามกำหนดเวลา จึงขอแก้ไขระยะเวลาการทำงบการเงินให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของ ก.ล.ต.
3. สบพ. จึงขอเสนอให้แก้ไขร่างระเบียบกระทรวงพลังงานฯ (เดิม) ดังนี้
3.1 หมวดที่ 1 การเก็บรักษาเงินและการนำส่งเงิน ขอแก้ไขเป็น
"ข้อ 5 ให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานเปิดบัญชีเงินฝากกับสถาบันการเงินตามประเภทที่ ได้รับความเห็นชอบจากปลัดกระทรวงพลังงาน ดังนี้
(1) บัญชีเงินฝากชื่อ "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (e-banking)" เพื่อรับโอนเงินจากส่วนราชการ ที่รับเงินจากผู้ที่มีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมาย
(2) บัญชีเงินฝากชื่อ "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กระทรวงพลังงาน)" เพื่อรับโอนเงินจากส่วนราชการที่รับเงินจากผู้ที่มีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมาย และรับโอนเงินเงินจากบัญชี "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (e-banking)"
(3) บัญชีเงินฝากชื่อ "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (งบค่าใช้จ่ายดำเนินการ)" เพื่อรับโอนเงิน จากบัญชี "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กระทรวงพลังงาน)" และจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการหรืออนุกรรมการ
(4) บัญชีเงินฝากชื่อ "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (เงินคงเหลือเพื่อค่าใช้จ่ายต่างๆ ของกองทุน)" สำหรับรับโอนเงินจากบัญชี "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กระทรวงพลังงาน)" และเก็บรักษาไว้เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ของกองทุน
(5) บัญชีเงินฝากชื่อ "สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (เงินกู้ยืม)" เพื่อรับเงินที่สถาบันบริหารกองทุนพลังงานจัดหามาชำระหนี้ จ่ายดอกเบี้ย และเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ของกองทุน
(6) บัญชีเงินฝากชื่อ "สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (เงินสะสมเพื่อการชำระหนี้)" เพื่อเก็บรักษาเงินที่จะสะสมไว้ใช้ชำระหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงานเมื่อครบกำหนด
(7) บัญชีเงินฝากชื่อ "สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (เงินสะสมสำรองเพื่อการชำระหนี้)" เพื่อเก็บรักษาเงินที่จะสะสมสำรองไว้ใช้ชำระหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงานที่ครบกำหนด แต่เงินในบัญชี "สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (เงินสะสมเพื่อการชำระหนี้)" มีไม่เพียงพอ
หากบัญชีเงินฝากใดหมดความจำเป็นต้องใช้แล้วให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานโดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงพลังงานปิดบัญชีเงินฝากนั้น
ข้อ 6 ให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานโอนเงินจากบัญชีเงินฝากข้อ 5 (1) เข้าบัญชีเงินฝากข้อ 5 (2) ทุกวันทำการสุดท้ายของทุกๆ สัปดาห์
ข้อ 7 ให้ส่วนราชการที่ได้รับเงินจากผู้ที่มีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนตามกฎหมาย ส่งเงินเข้าบัญชีเงินฝากข้อ 5 (1) หรือ 5 (2) ภายในวันที่ได้รับเงินหรืออย่างช้าภายในสองวันทำการนับแต่วันที่ได้รับเงิน
3.2 หมวดที่ 3 การจ่ายเงินชดเชยและการจ่ายคืน ขอแก้ไขเป็น
ข้อ 10 ให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยหรือผู้มีสิทธิได้รับเงินคืนจากกองทุนดำเนินการดังนี้
(1) ยื่นคำขอรับชดเชยหรือคำขอรับคืนต่อส่วนราชการ
(2) ให้ส่วนราชการตรวจสอบและรับรองความถูกต้องของเอกสารและหลักฐานต่างๆ ของ ผู้มีสิทธิไดรับชดเชยหรือผู้มีสิทธิได้รับเงินคืนก่อนแจ้งจำนวนเงินรับชดเชยหรือเงินรับคืนจากกองทุนต่อสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
(3) ให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานจ่ายเงินให้ส่วนราชการเพื่อนำไปจ่ายให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยหรือผู้มีสิทธิได้รับเงินคืน หรือพิจารณาสั่งจ่ายเงินให้กับผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยหรือผู้มีสิทธิได้รับเงินคืนโดยตรงต่อไป
3.3 หมวดที่ 4 การขอเบิกเงิน ข้อแก้ไขเป็น
ข้อ 15 เมื่อการดำเนินงานสิ้นสุด ให้ส่วนราชการและสถาบันบริหารกองทุนพลังงานที่ได้รับเงินจากกองทุนปิดบัญชีเงินฝากสถาบันการเงินและส่งเงินคงเหลือพร้อมทั้งดอกผลหรือรายรับอื่นใดทั้งหมดให้กองทุนภายใน 5 วัน นับแต่วันสิ้นสุดการดำเนินงาน
3.4 หมวดที่ 5 การบัญชีการรายงาน ขอแก้ไขเป็น
ข้อ 17 ให้ส่วนราชการและสถาบันบริหารกองทุนพลังงานถือปฏิบัติตามระบบบัญชีส่วนราชการโดยอนุโลมและจัดทำรายงานสรุปการรับ - จ่ายเงินกองทุนประจำเดือน แยกตามประเภทการจ่าย ส่งสถาบันบริหารกองทุนพลังงานภายในวันที่ 5 ของเดือนถัดไป โดยให้รวบรวมและเก็บรักษาใบสำคัญคู่จ่ายและเอกสารอื่นไว้ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้มีการแก้ไขระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... (เดิม) ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2548 โดยทั้งนี้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปพิจารณารายละเอียดการแก้ไขระเบียบดังกล่าว
2. เห็นชอบให้กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรเป็นผู้จ่ายเงินให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยหรือผู้มีสิทธิได้รับเงินคืนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (แล้วแต่กรณี) ไปพลางก่อนในระหว่างที่ สบพ. ยังไม่สามารถจ่ายเงินให้กับผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยหรือผู้มีสิทธิได้รับเงินคืนโดยตรง
ประกาศรับสมัครคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญเข้าสู่ระบบข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูง รุ่นที่ 11 ประจำปี 2558 วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2558
กพช. ครั้งที่ 81 - วันพุธที่ 27 ธันวาคม 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 11/2543 (ครั้งที่ 81)
วันพุธที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2543 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.รายงานคุณภาพสิ่งแวดล้อมโรงไฟฟ้าบางปะกง
3.รายงานความก้าวหน้าการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ในภาคการขนส่งและอุตสาหกรรม
4.รายงานความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาภาระจากการจัดหาก๊าซธรรมชาติ
5.แนวทางการแก้ไขปัญหาของบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน)
6.แนวทางการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
7.การส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ แทนเลขาธิการคณะกรรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ในเดือนพฤศจิกายน ตลาดน้ำมันดิบอยู่ในภาวะสมดุล จากการเพิ่มปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปค ซึ่งเป็นไปตามกลไกการรักษาระดับราคา ทำให้ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ในระดับ 29-34 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ต่อมาในเดือนธันวาคมราคาน้ำมันดิบได้ลดลงกว่า 6 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากปริมาณน้ำมันดิบมีมากกว่าความต้องการของตลาด ทั้งนี้ เพราะปริมาณน้ำมันดิบจากกลุ่มโอเปคออกสู่ตลาดมากขึ้น ในขณะที่ความต้องการไม่เพิ่มสูงมาก เนื่องจากอากาศไม่หนาวเย็นมาก ทำให้ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของเดือนธันวาคมอยู่ที่ระดับ 19.3-25.8 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
2. น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ ในเดือนพฤศจิกายน ราคาน้ำมันเบนซินเฉลี่ยสูงขึ้น 1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล สาเหตุจากปริมาณสำรองในตลาดอยู่ในระดับต่ำ ส่วนน้ำมันดีเซลลดลง 4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นผลจากโรงกลั่นต่างๆ ในย่านเอเซียเพิ่มปริมาณการผลิตขึ้น ทำให้ปริมาณน้ำมันออกสู่ตลาดมากขึ้น ในเดือนธันวาคม ราคาน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซลและเตา ลดลง 2, 6, 4 และ 4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบ รวมทั้งปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปต่างๆ ออกสู่ตลาดเพิ่ม มากขึ้น
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยได้ปรับตัวตามราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาด จรสิงคโปร์และ ค่าเงินบาท โดยในเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม ราคาน้ำมันเบนซินทุกชนิดปรับเพิ่มขึ้น 2 ครั้ง รวม 60 สตางค์/ลิตร ปรับลดลง 6 ครั้ง รวม 1.80 บาท/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับเพิ่มขึ้น 3 ครั้ง รวม 90 สตางค์/ลิตร ปรับลดลง 10 ครั้ง รวม 2.80 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 เบนซินออกเทน 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 26 ธันวาคม 2543 อยู่ในระดับ 15.89, 14.89, 13.14 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ในเดือนพฤศจิกายนค่าการตลาดเฉลี่ยของประเทศอยู่ที่ระดับปกติ 1.00 บาท/ลิตร ส่วนค่าการกลั่น ลดลงมาอยู่ในระดับจุดคุ้มทุนที่ 3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล (0.79 บาท/ลิตร) เนื่องจากปริมาณน้ำมันดีเซลออกสู่ตลาดมาก ต่อมาในเดือนธันวาคม ราคาน้ำมันสำเร็จรูปอ่อนตัวลงอย่างรวดเร็วและผู้ค้าน้ำมันทยอยปรับลดราคาลง ตามต้นทุน ทำให้ค่าการตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์อยู่ที่ 1.40 บาท/ลิตร และค่าการกลั่นอยู่ในระดับ 1.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล (1.40 บาท/ลิตร)
5. จากการคาดการณ์ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงต่อเนื่องไปถึงต้นปีหน้าคาดว่าจะ มีแนวโน้มดีขึ้นเป็นลำดับ หลังพ้นช่วงฤดูหนาวแล้วความต้องการใช้น้ำมันของโลกจะลดลง รวมทั้ง การเพิ่มปริมาณการผลิตของโอเปคตามกลไกการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน และการเพิ่มปริมาณการผลิตของประเทศนอกกลุ่มโอเปคอันเนื่องจากราคาน้ำมันที่ สูงขึ้น จะทำให้ปริมาณน้ำมันดิบเพียงพอกับความต้องการของโลก ในช่วงต้นปี 2544 ราคาน้ำมันจะทรงตัวอยู่ในระดับเดียวกับปลายปีนี้ โดยแนวโน้มของราคาน้ำมันดิบในปี 2544 น้ำมันดิบดูไบจะอยู่ในระดับ 20 - 22 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล น้ำมันดิบเบรนท์ 22 - 26 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยเฉลี่ย ทั้งปีอยู่ในระดับ 22 และ 24 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
6. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลกเดือนธันวาคม 2543 ลดลง 10 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ในระดับ 335 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ราคาก๊าซ LPG ในประเทศอยู่ในระดับ 14.62 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับ 9.96 บาท/กก. หรือ 1,337 ล้านบาท/เดือน แนวโน้มราคาก๊าซ LPG ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2544 จะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 300 - 330 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ทำให้อัตราเงินชดเชยจะอยู่ ในระดับ 8.50- 10.00 บาท/กก. หรือ 1,140 - 1,340 ล้านบาท/เดือน
7. ในเดือนธันวาคม 2543 ได้มีการปรับขึ้นอัตรากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อแก้ไขปัญหาฐานะกองทุนน้ำมันฯ ติดลบจำนวน 2 ครั้ง คือปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันเบนซินและดีเซลเพิ่มขึ้นรวม 0.05 บาท/ลิตร และ 0.45 บาท/ลิตร ตามลำดับ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายได้เพิ่มขึ้น 612 ล้านบาท/เดือน เป็น 867 ล้านบาท/เดือน กองทุนน้ำมันฯ มีเงินไหลออกสุทธิ 491 ล้านบาท/เดือน ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2543 อยู่ในระดับ 1,252 ล้านบาท เงินชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2543 อยู่ในระดับ 5,143 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานคุณภาพสิ่งแวดล้อมโรงไฟฟ้าบางปะกง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 79) เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2543 ได้รับทราบเรื่อง แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ 2543-2554 (PDP99-02) โดยมีข้อสังเกตของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายพินิจ จารุสมบัติ) เกี่ยวกับผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อแม่น้ำบางปะกงอันเกิดจากโรงไฟฟ้าบางปะกง และที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รายงานผลการดำเนินการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมจากผลกระทบ ที่เกิดขึ้นจากโรงไฟฟ้าบางปะกงให้ที่ประชุมทราบในการประชุมครั้งต่อไป
2. กฟผ. ได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ รายงานผลการดำเนินงานตามแผนการฟื้นฟูแม่น้ำบางปะกงมาเพื่อให้นำเสนอต่อคณะ กรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ สรุปได้ดังนี้
2.1 โครงการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาน้ำระบายความร้อนโดยก่อสร้างหอหล่อเย็น (Helper Cooling Tower) จำนวน 6 ชุด แล้วเสร็จในปี 2539 การติดตั้งเครื่องมือวัดอุณหภูมิที่กระชังปลาของเกษตรกรเพื่อตรวจสอบผลกระทบ ของอุณหภูมิน้ำตลอด 24 ชั่วโมง การแก้ปัญหาเขม่าควันจากปล่องโรงไฟฟ้าพลังความร้อน โดยการก่อสร้างเครื่องดักจับฝุ่นไฟฟ้าสถิต (Electrostatic Precipitator) ที่โรงไฟฟ้า พลังความร้อนทั้ง 4 โรง แล้วเสร็จเมื่อเดือนสิงหาคม 2542 การนำระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมตาม มาตรฐาน ISO 14001 มาใช้ตั้งแต่ต้นปี 2541 การปล่อยพันธุ์ปลากระพง จำนวน 29,999 ตัว ในแม่น้ำบางปะกงเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2543
2.2 โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ประกอบด้วย การติดตามตรวจสอบและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพน้ำในแม่น้ำบางปะกงปีละ 4 ครั้ง การป้องกันน้ำมันหกรั่วไหลและมีบ่อแยกน้ำมัน (Oil Seperator) ออกจากน้ำทิ้ง การควบคุมและบำบัดน้ำเสียทางชีวภาพจากอาคารสำนักงาน การปลูกป่าชายเลนบริเวณท่าเรือรับน้ำมัน และการศึกษาผลกระทบของสัตว์น้ำในแม่น้ำบางปะกง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 รายงานความก้าวหน้าการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ในภาคการขนส่งและอุตสาหกรรม
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2543 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการขนส่งและภาคอุตสาหกรรม โดยให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เร่งโครงการสนับสนุนการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในยานยนต์ให้เร็วขึ้น และเริ่มทดลองในรถแท็กซี่ก่อน
2. ปตท. ได้คัดเลือกแท็กซี่อาสาสมัครเข้าร่วมโครงการทดสอบการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซ ธรรมชาติใน รถยนต์จำนวน 100 คัน และสำรองอีกจำนวน 27 คัน โดยเริ่มทำการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซฯ ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน 2543 ปัจจุบันแล้วเสร็จ จำนวน 10 คัน แต่ได้มีการชะลอการติดตั้งออกไป ทั้งนี้ เพื่อรอให้สถานีบริการก๊าซฯ รังสิต สามารถเปิดบริการให้กับรถแท็กซี่ในโครงการฯ ได้
3. ปตท. ได้จัดสัมมนาเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องการใช้ก๊าซธรรมชาติในยานยนต์ แก่ผู้ประกอบการรถแท็กซี่และผู้สนใจ ณ กรมการขนส่งทางบก ทุกวันศุกร์ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม - 22 ธันวาคม 2543 ซึ่งมีผู้ สนใจเข้าร่วมสัมมนาเป็นจำนวนมาก และ ปตท. ได้เปิดรับสมัครแท็กซี่ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการนำร่องการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ ก๊าซธรรมชาติในรถแท็กซี่อาสาสมัคร จำนวน 1,000 คัน โดยไม่จำกัดยี่ห้อและอายุการใช้งานของรถแท็กซี่ ซึ่งได้ขยายเวลาเปิดรับสมัครไปจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2544 คาดว่าจะสามารถเริ่มการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซฯ ให้กับรถแท็กซี่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ได้ในช่วงปลายไตรมาสที่ 2 ของปี 2544
4. การขยายจำนวนสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ ปตท. อยู่ระหว่างการปรับปรุงสถานีบริการก๊าซฯ ของ ปตท. ที่มีอยู่เดิม ณ สถานีควบคุมก๊าซที่ 11 ถ. ปู่เจ้าสมิงพราย จ. สมุทรปราการ เพื่อสามารถให้บริการรถแท็กซี่ในโครงการฯ เพิ่มเติม คาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ในกลางเดือนมกราคม 2544
5. แผนการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซฯ เพิ่มเติม เพื่อรองรับการให้บริการรถแท็กซี่ในโครงการนำร่องฯ จำนวน 1,000 คัน ในระยะแรกจะทำการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซฯ แบบลูก (Daughter Station) ในสถานีบริการน้ำมันของ ปตท.จำนวน 3 สถานี คือ สถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขาดอนเมือง ถ. พหลโยธิน (ใกล้สี่แยกอนุสรณ์สถาน หลักสี่) สถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขาห้างหุ้นส่วนศรีเจริญภัณฑ์ ถ. พหลโยธิน และสถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขา ถ. กำแพงเพชร 2 ใกล้สถานีขนส่งสายเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ โดยในช่วงแรกจะใช้สถานีบริการก๊าซฯ ที่รังสิต และสถานีควบคุมก๊าซที่ 11 เป็นสถานีแม่ (Mother Station) และคาดว่าการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซฯ ดังกล่าวจะเริ่มทยอยแล้วเสร็จประมาณปลายไตรมาสที่ 2 ของปี 2544 สำหรับสถานีบริการก๊าซฯ แบบแม่ จำนวน 1 สถานี และสถานีบริการก๊าซฯ แบบลูกอีกจำนวน 2 สถานี ในสถานที่แห่งอื่น จะได้กำหนดที่ตั้งที่เหมาะสมต่อไป
6. ปตท. ได้ประสานงานกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ในการขออนุญาตให้เปิดสถานีบริการก๊าซฯ รังสิต เพื่อให้บริการรถแท็กซี่ที่เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่ง ขสมก. ได้อนุมัติในหลักการแล้วเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2543 และอยู่ระหว่างดำเนินการพิจารณาอนุมัติรายละเอียดขั้นตอนการให้บริการเติม ก๊าซฯ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2543 นอกจากนี้ ขสมก. อยู่ระหว่างพิจารณาอนุญาตให้ ปตท. ติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมในสถานีบริการก๊าซฯ ที่รังสิต เพื่อใช้เป็นสถานีบริการแม่
7. ปตท. ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์และได้มีการดำเนินการ ดังนี้
7.1 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และกรมศุลกากร ในการพิจารณายกเว้น/ลดหย่อนอากรขาเข้าของอุปกรณ์ใช้ก๊าซฯ ในรถยนต์และในสถานีบริการก๊าซฯ รวมถึงรถยนต์ใช้ก๊าซฯ ซึ่งกรมศุลกากรได้จัดทำการกำหนดพิกัดอัตราภาษีของอุปกรณ์ต่างๆ แล้วเสร็จและอยู่ระหว่างนำเสนอ สศค. เพื่อพิจารณาดำเนินการ ยกเว้น/ลดหย่อนอากรขาเข้าของอุปกรณ์ดังกล่าว
7.2 กรมการขนส่งทางบกในการขอผ่อนผันให้รถแท็กซี่ที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถวิ่งใช้งานบนท้องถนนได้เป็นการชั่วคราว ซึ่งกรมการขนส่งทางบกได้เห็นชอบในหลักการ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2543 และ จะร่วมดำเนินการกับ ปตท. ในการปรับปรุงกฎ ระเบียบ และมาตรฐานความปลอดภัยของรถยนต์ใช้ก๊าซธรรมชาติให้ทันสมัยต่อไป
7.3 กรมโยธาธิการในการพิจารณาข้อกำหนดเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติ ซึ่งกรมโยธาธิการได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อยกร่างข้อกำหนดในการควบคุมสถาน ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ เพื่อใช้เป็นมาตรฐานความปลอดภัย
7.4 กรมทะเบียนการค้าในการจัดทำระเบียบและขั้นตอนการตรวจรับรองมิเตอร์ของตู้ จ่ายก๊าซฯ ในสถานีบริการก๊าซฯ ซึ่งอยู่ระหว่างการประสานงาน
7.5 กระทรวงอุตสาหกรรมในการประสานงานกับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรถยนต์ภายใน ประเทศในการศึกษาผลกระทบของการยกเว้น/ลดหย่อนอากรขาเข้าของรถยนต์ใช้ก๊าซฯ ต่อผู้ประกอบการดังกล่าว และการส่งเสริมให้มีการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ใช้ก๊าซฯ ให้มากขึ้น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 รายงานความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาภาระจากการจัดหาก๊าซธรรมชาติ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 เห็นชอบแนวทางในการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติ การซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่างการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) กับผู้ใช้ และอัตราค่าผ่านท่อ โดยในประเด็นราคาค่าเนื้อก๊าซฯ ให้แยกออกเป็น 4 กลุ่ม คือ Pool 1 สำหรับโรงแยกก๊าซฯ Pool 2 สำหรับการไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) Pool 3 สำหรับ IPP/SPP/อุตสาหกรรม และ Pool 4 สำหรับโรงไฟฟ้าราชบุรี ทั้งนี้ เมื่อ ปตท. เชื่อมโยงระบบท่อก๊าซฯจากสหภาพพม่าเข้ากับระบบท่อหลักแล้ว ก๊าซฯ จาก Pool 4 (ยาดานา)และ Pool 2 (อ่าวไทยและเยตากุน) จะถูกนำมาเฉลี่ยให้เป็นราคาเดียวกัน และต่อมาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้กำหนดราคาค่าก๊าซฯโดยเฉลี่ยรวม Pool 2 กับ Pool 4 เข้าด้วยกัน หลังจาก โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติราชบุรี-วังน้อยแล้วเสร็จและสามารถเริ่มดำเนินการ จ่ายก๊าซฯได้จริงใน วันที่ 1 มกราคม 2544
2. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาภาระจากการจัดหาก๊าซธรรมชาติที่มากกว่าความต้อง การ ซึ่งประกอบด้วย แนวทางการลดขนาดของปัญหาภาระ Take or Pay แนวทางการจัดสรรภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากภาระ Take or Pay กลไกการจัดการกับภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากภาระ Take or Pay โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ปตท. และ กฟผ. ร่วมกันจัดทำรายละเอียดวิธีคำนวณ และการบันทึกบัญชีภาระ Take or Pay เพื่อถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป
3. สพช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการดำเนินงานตามแนวทางและขั้นตอนดังกล่าวข้าง ต้น ซึ่งมีความก้าวหน้าในการดำเนินการสรุปได้ดังนี้
3.1 ความก้าวหน้าในการดำเนินการตามแนวทางการลดขนาดของปัญหาภาระ Take or Pay สรุปได้ดังนี้
(1) มาตราการเร่งรัดแผนการใช้ก๊าซฯทั้งในภาคการผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม ภาคการ ขนส่ง รวมทั้งการปรับแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ มีความก้าวหน้าดังนี้
ก) ภาคการผลิตไฟฟ้า โรงไฟฟ้าราชบุรีและโรงไฟฟ้าของบริษัท ไตรเอนเนอจี้ จำกัด (TECO) ได้มีการรับก๊าซฯเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าแล้ว โครงการท่อราชบุรี - วังน้อยแล้วเสร็จสามารถระบายก๊าซฯจากสหภาพพม่าไปที่โรงไฟฟ้าวังน้อย และการเร่งรัดการใช้ก๊าซฯ โดยมีการปรับแผนพัฒนากำลังการผลิต ไฟฟ้าของ กฟผ. จาก PDP99-01 เป็น PDP99-02 เพื่อให้มีการใช้ก๊าซฯทดแทนการใช้น้ำมันเตาที่โรงไฟฟ้า พระนครใต้และโรงไฟฟ้าบางปะกง
ข) ภาคอุตสาหกรรม อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการระบบท่อจำหน่ายก๊าซฯรอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล (Bangkok Ring Gas Pipeline Project) โดยคาดว่าจะก่อสร้าง แล้วเสร็จปลายปี 2545
ค) ภาคคมนาคมขนส่ง เร่งรัดแผนงานสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ รวมถึงการ ส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์โดยสารรับจ้างหรือรถแท็กซี่โดยมีการทำ โครงการทดลองในระยะแรกจำนวน 100 คัน
ง) การปรับปรุงแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ การลงทุนขยายโครงข่ายท่อก๊าซธรรมชาติหลัก เพื่อรองรับการขยายตัวของการใช้ก๊าซฯ ในภาคการผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และภาคการขนส่ง
(2) มาตราการลดข้อผูกพันปริมาณการซื้อขายก๊าซฯตามสัญญาฯ มีความก้าวหน้าดังนี้
ก) ปตท. อยู่ระหว่างการเจรจาตามแนวทางที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 โดยปรับลดปริมาณก๊าซฯต่อวันตามสัญญา (DCQ) ลงชั่วคราวและรับก๊าซฯเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยในภายหลัง
ข) สัญญายาดานา ผู้ขายก๊าซฯ สนับสนุนแนวทางแก้ไขปัญหาตามวิธีการปรับลดปริมาณต่อวันตามสัญญา (DCQ) ลงชั่วคราวและรับก๊าซเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยในภายหลัง (Reschedule DCQ) ซึ่งผู้ขายก๊าซฯมีข้อเสนอเพิ่มเติมโดยการขอเพิ่มปริมาณต่อวันตามสัญญา (DCQ) ใหม่ในอนาคต เพื่อชดเชยกับการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซฯ โดย ปตท. กำลังพิจารณาข้อเสนอของผู้ขายก๊าซฯทั้งในเรื่องปริมาณและราคาสำหรับก๊าซฯ ส่วนเพิ่ม
ค) สัญญาเยตากุน ผู้ขายก๊าซฯกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอของ ปตท. ที่จะขอเลื่อนการรับก๊าซฯ ส่วนเพิ่ม
3.2 กลไกการจัดการกับภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากภาระ Take or Pay ในขณะนี้ สพช. ปตท. และ กฟผ. ได้ร่วมกันจัดทำรายละเอียดดังกล่าวแล้วเสร็จ โดยมีสาระสำคัญคือ การกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติงานในแต่ละปี สกุลเงินและอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้คำนวณ Take or Pay และ Make-up value การคำนวณอัตรา ดอกเบี้ย การคำนวณกำไร/ขาดทุนจากการ Make-up และการใช้ประโยชน์ การจ่าย/รับเงิน และหลักการเกลี่ยราคา (Levelized price)
3.3 ความก้าวหน้าในการนำก๊าซฯ จาก Pool 2 และ Pool 4 มาเฉลี่ยให้เป็นราคาเดียวกันและการกำหนดราคาค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติใหม่ ซึ่ง สพช. ปตท. และ กฟผ. ได้ร่วมกันจัดทำรายละเอียดแล้วเสร็จ โดยกำหนดให้ใช้ราคาค่าก๊าซฯเฉลี่ย Pool 2 กับ Pool 4 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2544 เป็นต้นไป และกำหนดให้ใช้อัตราค่าผ่านท่อส่วนของ Demand Charge ใหม่ คือ 1) ในส่วนของ Zone 1+Zone 3 เป็น 19.4029 บาท ต่อล้านบีทียู และ 2) ในส่วนของ Zone 2 เป็น 14.2177 บาทต่อล้านบีทียู ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2544 เป็นต้นไป โดยกำหนดให้มีการพิจารณาทบทวนข้อสมมุติฐานในประเด็นการชำระคืนเงินต้นและการ ลงทุนเพิ่มเติมของ โครงการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 สำหรับอัตราค่าผ่านท่อในส่วนของ Commodity Charge ให้ใช้อัตราปัจจุบัน โดยกำหนดให้มีการพิจารณาทบทวนข้อสมมุติฐานในประเด็นสูตรการคำนวณให้แล้ว เสร็จภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 ต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 แนวทางการแก้ไขปัญหาของบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน)
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีหนังสือลงวันที่ 31 ตุลาคม 2543 ถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เพื่อขอให้ดำเนินการหาข้อยุติเกี่ยวกับปัญหาการประกอบกิจการของบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นโรงกลั่นน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน (Lubebase Oil) หนึ่งในสองโรงที่มีอยู่ปัจจุบันในประเทศไทย โดยกรมสรรพสามิตมีความเห็นว่า บริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) ไม่ถือเป็น "โรงกลั่นน้ำมัน" ตามนัยของประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 31) ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2535 จึงไม่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีตามประกาศกระทรวงดังกล่าว
2. บริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากการไม่ได้รับยกเว้นภาษีดังนี้
2.1 ผลกระทบทางตรง คือ วัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานไม่สามารถขอยกเว้นภาษี สรรพสามิตได้ และจะต้องวางเงินค้ำประกันในการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเป็นจำนวนเงิน ที่สูงอย่างต่อเนื่อง โดยมิได้กำหนดระยะเวลาทวงคืนเงินค้ำประกันที่ชัดเจน ทำให้เกิดความเสียเปรียบต่อผู้ประกอบ อุตสาหกรรมประเภทเดียวกัน คือ บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีคัลไทย (TPI) ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีวัตถุดิบเพราะเป็นโรงกลั่นน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานที่รวม อยู่เป็นส่วนหนึ่งของโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงของ TPI ในขณะที่บริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) เป็นกิจการแยกออกต่างหากจากโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์
2.2 ผลกระทบทางอ้อม คือ น้ำมันดิบส่วนเบา (Reduced Crude) ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิต น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานมีราคาซื้อขายตลอดจนคุณภาพและคุณสมบัติสูงกว่าน้ำมัน เตาที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง หากต้องเสียภาษีสรรพสามิตจะได้รับผลไม่คุ้มค่าเชิงพาณิชย์ และหากไม่มีข้อยุติเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตจะส่งผลต่อแผนการปรับปรุงโครง สร้างหนี้ของบริษัทฯ รวมทั้ง การวางเงินประกันนำเข้าวัตถุดิบทำให้มีผลกระทบต่อสภาพคล่องของบริษัทฯ และทำให้บริษัทฯ มีต้นทุนการผลิตสูง จึงทำให้การแข่งขันไม่ได้อยู่บนพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน กับบริษัทอื่นๆ นอกจากนี้ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะสูญเงินลงทุนในบริษัทฯ หากบริษัทฯ ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ และการตีความที่ขัดกันระหว่างกรมสรรพสามิตและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จะมีผลให้ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศขาดความเชื่อมั่นในระบบ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยส่วนรวม
3. ปตท. ซึ่งได้รับความเห็นชอบให้เข้าร่วมลงทุนในบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) ตามมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2535 ได้มีหนังสือขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาความหมายของ "โรงกลั่นน้ำมัน" ตามประกาศของกระทรวงการคลัง ซึ่งผลจากการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่า คำว่า "โรงกลั่นน้ำมัน" ที่ปรากฏในบัญชีท้ายประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ยกเว้นภาษี สรรพสามิต (ฉบับที่ ๓๑) ลงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๖ ย่อมหมายถึง โรงกลั่นน้ำมันตามความหมายทั่วไป อันเป็นคำที่มีความหมายชัดเจนในตัวเอง ซึ่งไม่ต้องอาศัยการตีความตามเจตนารมณ์แต่อย่างใด และเมื่อข้อ เท็จจริงปรากฏว่าโรงกลั่นน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานของบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) เป็นโรงกลั่นน้ำมัน ตามความหมายทั่วไป จึงต้องถือเป็นโรงกลั่นน้ำมันตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ๓๑) ลงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๖
4. สพช. มีความเห็นว่า การกลั่นน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานมิได้เป็นการกลั่นจากน้ำมันดิบโดยตรง แต่จะเป็นการรับน้ำมันที่เหลือจากขบวนการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปมากลั่นซ้ำ เพื่อผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานสำหรับนำไปปรุงแต่งเป็นน้ำมันหล่อลื่นสำเร็จ รูปต่อไป ทำให้วัตถุดิบดังกล่าวจะต้องผ่านขั้นตอนการกลั่นหรือการผลิตเพื่อแยกเอา ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มิใช่น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานออกไป ดังนั้น จึงถือได้ว่าเป็นการผลิตตามความหมายของโรงกลั่นน้ำมัน จึงควรมีการยกเว้นภาษีอากรสำหรับวัตถุดิบที่นำมาผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน มิฉะนั้นแล้วจะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงกว่าบริษัทที่ได้รับการยกเว้นภาษีสรรพ สามิต และไม่สามารถแข่งขันได้กับน้ำมันหล่อลื่น นำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้น เพื่อให้เกิดการแข่งขันในการจัดตั้งกิจการกลั่นน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานขึ้นใน ประเทศ ได้อย่างกว้างขวางและสามารถแข่งขันกันบนพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน จึงควรเปิดโอกาสให้ได้รับยกเว้นภาษีสรรพสามิตเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเลือกจัดตั้งกิจการเป็นส่วนหนึ่งของโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงหรือ เป็นกิจการแยกต่างหากจากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงก็ตาม
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาให้การยกเว้นภาษีสรรพสามิตตาม ประกาศกระทรวงคลัง (ฉบับที่ 31) ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2536 มีผลบังคับใช้กับโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นเป็นการ ทั่วไป โดยเร็วที่สุด
เรื่องที่ 6 แนวทางการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีหนังสือลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2543 มายังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เรื่อง แนวทางการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาให้ความเห็นชอบแนวทางในการแปรรูป ปตท. ซึ่งได้มีการ ปรับปรุงใหม่ และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ปตท. แล้ว เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2543
2. แนวทางการแปรรูปของ ปตท. ที่ได้ปรับปรุงใหม่ สรุปได้ดังนี้
2. 1 โครงสร้างเพื่อการแปรรูป มีดังนี้
(1) นำกิจการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมาจัดตั้งเป็นบริษัท ปตท. จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติครบวงจร (Integrated Oil and Gas Business) ในลักษณะเป็น Operating Holding Structure โดยมี ปตท. รัฐวิสาหกิจ (ปตท.) เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดในขั้นต้น โดยเมื่อตลาดทุนเอื้ออำนวยจึงจะแปรสภาพเป็น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) (บมจ. ปตท.) เพื่อระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป โดยใน ระยะยาว ปตท. จะคงสัดส่วนการถือหุ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 51
(2) นำหุ้นบริษัทในเครือที่มีความเกี่ยวเนื่องและเสริมสร้างมูลค่า (Value Chain) ต่อการดำเนินธุรกิจก๊าซฯ และน้ำมัน ซึ่งไม่เป็นภาระทางการเงินโอนไปยัง บมจ. ปตท.
(3) สำหรับหุ้นของบริษัทในเครืออื่นๆ อันได้แก่บริษัทในกลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งยังมีภาระทางการเงินทั้งระยะสั้นและระยะกลาง จะคงไว้ที่ ปตท. เพื่อรอปรับปรุงมูลค่า
(4) ทั้งนี้ ปตท. อาจจะทำสัญญาให้สิทธิ (Option) แก่ บมจ. ปตท. ในการซื้อหุ้นบางบริษัทที่มีความสำคัญต่อการดำเนินการของ บมจ. ปตท. จาก ปตท. ในอนาคต ในราคาตามมูลค่าทางบัญชี
(5) สำหรับกิจการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติจะแยกออกมาจัดตั้งเป็นบริษัท ปตท. ท่อส่ง ก๊าซธรรมชาติ จำกัด ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 โดยมี บมจ. ปตท. เป็นผู้ถือหุ้น ร้อยละ 100
(6) นอกจากนี้ ปตท. เห็นควรจัดตั้งบริษัท ปตท. ท่อจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด เพื่อให้ สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ในการขยายการจำหน่ายก๊าซฯ เพิ่มขึ้นด้วย
2.2 การเลือกใช้กฎหมายเพื่อดำเนินการจัดตั้งบริษัท ทางเลือกกฎหมายที่เหมาะสมสำหรับการจัดตั้งบริษัท คือ การใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) เนื่องจากในด้านองค์กรจะมีความ สอดคล้องกับกลยุทธ์และสนับสนุนการจัดโครงสร้างได้ดีกว่า พ.ร.บ. ทุนรัฐวิสาหกิจ โดย ปตท. สามารถนำเงินจากการขายหุ้นใน บมจ. ปตท. และเงินปันผลจาก บมจ. ปตท. มาสนับสนุนกิจการที่เหลือเพื่อลดภาระของภาครัฐได้ นอกจากนั้นการใช้ ป.พ.พ. ยังสามารถควบคุมกระบวนการจัดตั้งบริษัทให้มีการดำเนินการได้เร็วตามแผนที่ กำหนด และในส่วนของพนักงาน ทั้ง ป.พ.พ. และ พ.ร.บ. ทุนฯ จะไม่มีประเด็นแตกต่างกัน
2.3 โครงสร้างการบริหารภายในและกลไกกำกับดูแล
(1) ปตท. รัฐวิสาหกิจ (ปตท.) จะไม่มีการดำเนินธุรกิจใดๆ ยกเว้นเป็นผู้ถือหุ้นใน บมจ. ปตท. และบริษัทในเครือ เช่น บริษัทในกลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่น โดยยังคงอำนาจหน้าที่และสิทธิตาม พ.ร.บ. ปตท. และจะเป็นผู้ทำการว่าจ้าง บมจ. ปตท. ให้เป็นผู้บริหารและจัดการ
(2) ในระยะยาว ปตท. จะยังคงถือหุ้นใน บมจ. ปตท. เกินร้อยละ 50 เพื่อให้ยังคงสถานภาพ การเป็นรัฐวิสาหกิจและเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทในเครือที่มีความเกี่ยวเนื่อง กับธุรกิจก๊าซฯ และน้ำมัน รวมทั้งมีหน้าที่รับจ้าง ปตท. บริหารจัดการบริษัทในเครือของ ปตท. โดย ปตท. ได้จัดทำหลักเกณฑ์และรูปแบบการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance and Management) เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจของ ปตท. รวมทั้ง บมจ. ปตท. และบริษัทในเครือ
2.4 การจัดโครงสร้างเงินทุนเพื่อการแปรรูป
(1) บมจ. ปตท. จะต้องจัดให้มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนที่เหมาะสม เพื่อให้มีความสามารถในการกู้ยืมเงินด้วยต้นทุนทางการเงินต่ำ และมีความสามารถในการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย ในระดับใกล้เคียงกับบริษัทอ้างอิงในอุตสาหกรรม เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของนักลงทุน
(2) จำนวนหนี้สินของ ปตท. ที่จะโอนไปยัง บมจ. ปตท. จริงจะขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด ความสนใจที่จะลงทุนของนักลงทุน ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ ปตท./บมจ. ปตท. รวมทั้งผลการเจรจากับเจ้าหนี้เงินกู้ ณ เวลาที่ทำการแปรรูป และเพื่อให้ ปตท. สามารถจัดการกับภาระหนี้ ในส่วนที่ไม่สามารถโอนไป บมจ. ปตท. ได้ทั้งหมด รวมทั้งเพื่อให้ ปตท. มีเงินสำรองการบริหารงานและการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัทในเครือที่ มีปัญหาตามสัญญาการให้การสนับสนุนทางการเงิน จึงมีความจำเป็นต้องขายหุ้นใน บมจ. ปตท. จำนวนหนึ่ง รวมทั้งเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนของ บมจ. ปตท. โดยขออนุมัติการเก็บกำไรจากการเสนอขายหุ้นเก่าไว้ทั้งจำนวนโดยไม่นำส่งรัฐ
2.5 การดำเนินการจัดตั้งบริษัทและการโอนธุรกิจให้ บมจ. ปตท.
(1) ปตท. จะจัดตั้งบริษัท ปตท. จำกัด ตาม ป.พ.พ. และจะแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ในภายหลัง โดย ปตท. เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด และกำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต้น 100 ล้านบาท
(2) ปตท. จะจัดตั้งบริษัท ปตท. ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ จำกัด และบริษัท ท่อจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด ขึ้น โดยมี บมจ. ปตท. เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดทั้ง 2 บริษัท และกำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต้นบริษัทละ 1 ล้านบาท
(3) ปตท. จะโอนสินทรัพย์กิจการก๊าซฯ และน้ำมัน รวมทั้งหุ้นของบริษัทในเครือที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจก๊าซฯ และน้ำมันให้ บมจ. ปตท. ยกเว้นหุ้นบริษัทในเครือที่ยังไม่มีความพร้อม ส่วนสินทรัพย์ที่ไม่สามารถโอนได้ให้คงไว้ที่ ปตท. โดยราคาสินทรัพย์ที่จะโอนไปจะใช้ราคาตามบัญชีสุทธิ ณ วันสิ้นงวดไตรมาส ล่าสุดก่อนวันที่มีการโอน
2.6 การโอนย้ายพนักงาน จะไม่มีการเลิกจ้างพนักงานเนื่องจากการแปรรูป และให้โอนพนักงานของ ปตท. ทั้งหมดไป บมจ. ปตท. โดยยังคงสิทธิประโยชน์ ทั้งนี้ พนักงานที่โอนย้ายไปบริษัท ปตท. จำกัด จะอยู่ภายใต้ระบบการให้ผลตอบแทนเดียวกัน และ ปตท. จะให้พนักงานทุกคนได้มีส่วนร่วมในการให้ข้อคิดเห็น/การพิจารณาร่วมกันในขั้น ตอนการดำเนินงานด้านการแปรรูปที่สำคัญ นอกจากนั้น ปตท. ยังมีนโยบายที่จะให้สิทธิพิเศษแก่พนักงานในการซื้อหุ้นของ บมจ. ปตท.
2.7 แผนการดำเนินงาน เมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติแนวทางการแปรรูป ปตท. แล้ว (อนุมัติครั้งที่ 1) ปตท. จะดำเนินการจัดตั้งบริษัท ปตท. จำกัด ตามขั้นตอนของ ป.พ.พ. ในช่วงเดือนมกราคม 2544 ส่วนการเตรียมการโอนธุรกิจ รวมทั้ง เตรียมการแปรสภาพเป็น บมจ. ปตท. และเตรียมการแปรรูป บมจ. ปตท. โดยการเสนอขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้น ปตท. จะนำเสนอรายละเอียดดังกล่าวเพื่อขออนุมัติการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรี (อนุมัติครั้งที่ 2) ให้เสร็จภายในไตรมาส 2 ของ ปี 2544 ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถนำหุ้น บมจ. ปตท. เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ประมาณเดือนกันยายน 2544 หากสภาวะตลาดมีความเหมาะสม
3. กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีข้อเสนอขอความเห็นชอบแนวทางการแปรรูป ปตท. ดังนี้
3.1 การจัดโครงสร้างองค์กรเพื่อการแปรรูป
(1) ขออนุมัติให้ ปตท. จัดตั้ง บริษัท โดยอาศัยมาตรา 7 (11) ของพระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2521 และบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยมีชื่อว่า "บริษัท ปตท. จำกัด" (ภายหลังแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด) ให้ ปตท. ถือหุ้นร้อยละ 100 และให้ บริษัท ปตท. จำกัด จัดตั้งบริษัทในเครือขึ้น 2 บริษัท คือ "บริษัท ปตท. ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ จำกัด" และ "บริษัท ปตท. ท่อจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด" และมี บริษัท ปตท. จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 100 ทั้ง 2 บริษัท โดยมิต้องนำระเบียบว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2522 มาใช้บังคับกับการลงทุนใน 3 บริษัทดังกล่าว และให้ ปตท. ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทมหาชนจำกัด เหลือไม่ต่ำกว่าร้อยละ 51 และเพื่อเป็นการให้ความมั่นใจกับผู้ลงทุนในหุ้นของบริษัท ปตท. จำกัด ขอให้คณะรัฐมนตรีมีนโยบายให้บริษัท ปตท. จำกัดไม่ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท ปตท. ท่อส่งก๊าซธรรมชาติจำกัด และบริษัท ปตท. ท่อจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด ลงในอนาคต ยกเว้นกรณีที่บริษัท ปตท. จำกัด เห็นสมควรและเหมาะสม
(2) ขอความเห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับการเตรียมการเพื่อโอนกิจการ สินทรัพย์ หนี้สิน หุ้นของ ปตท. ให้กับบริษัทที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่
(3) ให้พนักงาน ปตท. /พนักงาน บริษัท ปตท. จำกัด/กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของพนักงาน ปตท. และพนักงาน บริษัท ปตท. จำกัด มีส่วนร่วมในการซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่จะเสนอขายให้แก่นักลงทุน ทั่วไปเพื่อเสริมสร้างความรู้สึกร่วมเป็นเจ้าของกิจการ และให้ ปตท. โอนพนักงานของ ปตท. ทั้งหมด ไปเป็นพนักงานของ บริษัท ปตท. จำกัด โดยไม่มีการเลิกจ้าง
3.2 การดำเนินการของบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ให้บริษัทที่จะจัดตั้งขึ้นดังกล่าวข้างต้น สามารถบริหารงานในรูปแบบของบริษัทเอกชนทั่วไป และมีระเบียบข้อบังคับที่ใช้ปฏิบัติงานต่างๆ ของตนเอง รวมทั้งได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่ใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจทั่วไป ยกเว้นระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ของประเทศ พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติมที่ยังคงต้องปฏิบัติต่อไป
3.3 ให้ส่วนราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และ กฟผ. ถือเป็นนโยบายที่จะต้องให้ความร่วมมือและสนับสนุน โดยนำไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจังต่อไป
4. สพช. ได้มีการพิจารณาข้อเสนอดังกล่าวข้างต้นแล้วเห็นว่า เนื่องจากการพิจารณาเพื่อให้ความเห็นชอบข้อเสนอแนวทางการแปรรูป ปตท. จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานควบคู่กันไปด้วย โดยเฉพาะในประเด็นแนวทางการแปรรูป ปตท. การจัดโครงสร้างองค์กรเพื่อการแปรรูป และการจัดการด้านบุคลากร ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาของ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ จึงเห็นควรให้ สพช. เป็นแกนกลางในการดำเนินการและแต่งตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้แทนจาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ ปตท. เป็นต้น เพื่อ ทำหน้าที่จัดทำแนวทางการแปรรูป ปตท. โดยคำนึงถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องและนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
1.ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าแนวทางการแปรรูป ปตท.
2.มอบหมายให้ สพช. รับเป็นแกนกลางในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณา เพิ่มเติมในประเด็น 1) รูปแบบโครงสร้างที่เหมาะสม 2) การใช้กฎหมาย 3) การที่จะขอยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎ ระเบียบต่างๆ 4) แนวทางของแผน ระยะเวลา และเงื่อนไข และ 5) ประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การแปรรูปดังกล่าวเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ ให้นำเสนอผลการพิจารณาต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อพิจารณาก่อนนำเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีต่อไป
เรื่องที่ 7 การส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง
กระทรวงอุตสาหกรรมได้สรุปสาระสำคัญให้ที่ประชุมทราบดังนี้
1. เอทานอลเป็นเชื้อเพลิงที่ผลิตจากพืชผลทางการเกษตร โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้นำเสนอแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและการ ใช้เอทานอลต่อคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันอังคารที่ 26 ธันวาคม 2543 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการ และมอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาในเรื่องการยกเว้นการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์
2. วัตถุประสงค์ของโครงการนี้จะช่วยบรรเทาปัญหาในเรื่องราคาน้ำมันที่เพิ่มสูง ขึ้น และราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ โดยการผลิตเอทานอลจะผลิตจากพืชผลทางการเกษตร เช่น อ้อย กากน้ำตาล มันสำปะหลัง ฯลฯ และใช้ผสมในน้ำมันเบนซินแทนสาร MTBE ในสัดส่วนร้อยละ 10 เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาผลกระทบด้านเทคนิคต่อรถยนต์ที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน
3. ขนาดกำลังการผลิตเอทานอลที่เหมาะสมควรมีกำลังการผลิตที่ระดับ 500,000 ลิตรต่อวัน ใช้เงิน ลงทุนประมาณ 2,700 ล้านบาท ถ้าราคาอ้อยอยู่ที่ 550 บาทต่อตัน และกากน้ำตาลราคา 1,250 บาทต่อตัน ราคาขายเอทานอลเท่ากับ 11.00 บาทต่อลิตร จะมีผลตอบแทนการลงทุนร้อยละ 7.6 และถ้าราคาหัวมันสดอยู่ที่ 1.10 บาทต่อกิโลกรัม ราคาขายเอทานอลเท่ากับ 11.00 บาทต่อลิตร จะมีผลตอบแทนการลงทุนร้อยละ 6.5
4. การวิเคราะห์โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้เอทานอลผสมในสัดส่วนร้อยละ 10 สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณี คือ กรณีที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ราคาขายปลีกจะอยู่ที่ระดับ 15.38 บาทต่อลิตร และกรณีที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ กรณีที่ได้รับการลดหย่อนภาษีสรรพสามิต แต่ไม่ได้รับการยกเว้นการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ราคาขายปลีกจะอยู่ที่ระดับ 14.94 บาทต่อลิตร และกรณีที่ได้รับการลดหย่อนภาษีสรรพสามิตและได้รับการยกเว้นการเรียกเก็บ เงินเข้ากองทุนฯ ราคาขายปลีกจะอยู่ที่ระดับ 14.37 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ จากการหารือกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไม่ขัดข้องในเรื่องการลดหย่อนภาษีสรรพสามิต โดยจะเรียกเก็บเฉพาะภาษี สรรพสามิตในส่วนของเนื้อน้ำมันเท่านั้น
5. ประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการนี้ก็คือ สามารถลดการนำเข้าสาร MTBE และลดการใช้น้ำมันเบนซินลงได้ปีละประมาณ 8,000 ล้านบาท ลดค่าใช้จ่ายในการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปีละ 760 ล้านบาท รวมทั้ง ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ช่วยยกระดับพืชผลทางเกษตร และช่วยลดมลพิษทางอากาศด้วย
มติของที่ประชุม
1.ให้กระทรวงอุตสาหกรรมแจ้งให้คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติพิจารณา เพื่อให้เกิดความชัดเจนในประเด็นการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการยกเว้นการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อ เพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ทั้งนี้ ขอให้พิจารณาถึงผลกระทบที่มีต่อผู้ผลิตยานยนต์ ผู้จัดจำหน่าย และผู้บริโภคด้วย แล้วจึงนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
ครั้งที่ 9 - วันพฤหัสบดี ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2548
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2548 (ครั้งที่ 9)
วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุม 603 ชั้น 6 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. ขอทบทวนมติการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว และฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
4. ข้อหารือในการออกตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตลาดน้ำมันโลก ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ระดับ 52.12 และ 57.75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นและลดลงจากเดือนที่แล้ว 0.17 และ 0.88 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจาก Hedge Fund เข้าซื้อในตลาดซื้อขายล่วงหน้า NYMEX และ IPE และพายุ Cindy พัด เข้าเขตอ่าวเม็กซิโก ทำให้โรงกลั่น 5 แห่งต้องปิดชั่วคราว ประกอบกับข่าวประชาชนในอิรักประท้วงรัฐบาล และ ขู่จะหยุดผลิตน้ำมันทางตอนใต้ของอิรัก ตลอดจนจากตลาดคาดว่าความต้องการซื้อน้ำมันจากสหรัฐอเมริกา ยังคงอยู่ในระดับสูง
2. ตลาดน้ำมันสิงคโปร์ ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 เฉลี่ยเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ระดับ 65.45 และ 64.35 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 0.10 และ 0.05 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากความต้องการซื้อในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับข่าวโรงกลั่น Deer Park (274,000 บาร์เรล/วัน) ของ Shell ในสหรัฐอเมริกาต้องเลื่อนการเดินเครื่อง เป็นครั้งที่ 3 และจาก IES ประกาศปริมาณสำรอง Light Distillates ของสิงคโปร์ลดลง 0.16 ล้านบาร์เรล อยู่ที่ระดับ 9.24 ล้านบาร์เรล ในส่วนของราคาน้ำมันดีเซล หมุนเร็วเฉลี่ยเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ระดับ 66.71 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 0.46 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จาก Pertamina ของอินโดนีเซียออกประมูลซื้อน้ำมันดีเซล จำนวน 2 Cargo ปริมาณรวมประมาณ 400,000 บาร์เรล
3. ตลาดน้ำมันไทย ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 2 ครั้ง รวมเป็น 0.80 บาท/ลิตร โดยปรับตามหลังตลาดโลก และปรับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (ยกเว้น ปตท.) เพิ่มขึ้น 4 ครั้ง และลดลง 1 ครั้ง รวมเป็น 1.60 บาท/ลิตร ส่วน ปตท. ปรับราคาดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 4 ครั้ง รวมเป็น 2.00 บาท/ลิตร โดยราคา ขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 27 กรกฎาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 25.74, 24.94 และ 22.99 บาท/ลิตร ตามลำดับ ทั้งนี้ นับแต่เริ่มดำเนินการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม - 12 กรกฎาคม 2548 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายเงินอุดหนุนตรึงราคาน้ำมันไปแล้วรวมประมาณ 92,071 ล้านบาท ซึ่งในวันที่ 13 มิถุนายน 2548 รัฐได้ยกเลิกการตรึงราคาน้ำมันดีเซล มีผลทำให้หนี้ตรึงราคาน้ำมันจะ ไม่เพิ่มขึ้นอีก
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ขอทบทวนมติการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว และฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2546 ได้มีมติเห็นชอบ แนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยให้จำกัดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียม (LPG) สูงสุด เพื่อยุติการไหลออกของเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและให้กองทุนน้ำมันฯ จะสามารถชำระหนี้ได้หมดภายในปี 2547 โดยกำหนดให้ (1) เดือนกรกฎาคม 2546 จำกัดอัตราชดเชยไม่เกิน 3 บาท/กก. ซึ่งเป็นระดับไม่สูงกว่ารายได้ของกองทุนน้ำมัน (2) เดือนกรกฎาคม 2547 จำกัดอัตราชดเชยไม่เกิน 2 บาท/กก. และ (3) เดือนกรกฎาคม 2548 ให้ยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ซึ่งต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ 2547 กบง. ได้มีมติให้กำหนดอัตราเงินชดเชยสูงกว่าเพดานสูงสุด 3 บาท/กก. ได้เป็นการชั่วคราว โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจกำหนดอัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG เกินกว่าอัตราเงินชดเชยสูงสุดได้ตามความเหมาะสมแก่สถานการณ์
2. เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2547 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG สูงกว่าระดับเพดานอัตราเงินชดเชยสูงสุด 3 บาท/กก. ได้มีผลบังคับใช้ในช่วงวันที่ 1 กรกฎาคม 2547 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2547 โดยอัตราเงินชดเชยจริงสูงสุดเท่ากับ 3.0711 บาท/กก. และเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2548 ได้เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG สูงกว่าระดับเพดานอัตราเงินชดเชยสูงสุด 2 บาท/กก. มีผลบังคับใช้ในช่วงวันที่ 1 มกราคม 2548 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2548 โดยอัตราเงินชดเชยจริงสูงสุดเท่ากับ 2.2816 บาท/กก. และต่อมาเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2548 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เห็นชอบให้ขยายเวลาการกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ดังกล่าวออกไปจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2548
3. การตรึงราคาก๊าซ LPG ได้กำหนดระยะเวลาไม่เกินเดือนกรกฎาคม 2548 ทั้งนี้ต่อมารัฐบาลมีนโยบายให้มีการยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ภายในปี 2548 เนื่องจากรัฐบาลได้มีการประกาศ ลอยตัวราคาน้ำมันดีเซล และหากดำเนินการยกเลิกการตรึงราคาก๊าซ LPG จะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ ราคาสินค้าและอัตราค่าขนส่ง และประชาชน และปัจจุบันอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG อยู่ที่ระดับ 3.1554 บาท/กก. ขณะที่รัฐบาลได้กำหนดอัตราเงินชดเชยสูงกว่าระดับเพดานอัตราเงินชดเชยสูงสุด 2 บาท/กก. แต่ได้รับการผ่อนผันจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2548 ซึ่งการจ่ายเงินชดเชยราคา LPG คาดว่าจะมีแนวโน้มเกิน 3 บาท/กก. เนื่องจากครึ่งปีหลังความต้องการก๊าซ LPG เพื่อความอบอุ่นจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องขยายเวลาการกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG สูงกว่าระดับเพดานอัตราเงินชดเชยสูงสุด 2 บาท/กก. ต่อไปอีกจนถึงสิ้นปี 2548 พร้อมทั้งขอให้มีการยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ภายในปี 2548 ด้วย
มติของที่ประชุม
เห็นควรอนุมัติขยายระยะเวลาแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
1. ให้ขยายระยะเวลาการยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จากเดือนกรกฎาคม 2548 เป็นภายในปี 2548
2. ให้ขยายระยะเวลาการกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG สูงกว่าระดับเพดานอัตราเงินชดเชยสูงสุด 2 บาท/กก. จากเดือนกรกฎาคม 2548 เป็นภายในปี 2548
ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2548 กบง. ได้อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจ่ายเป็นเงินชดเชยใน โครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง ในวงเงิน 94,254,060.54 บาท โดยจ่ายให้แก่บริษัท น้ำมันทีพีไอ จำกัด เป็นจำนวนเงิน 58,775,024.94 บาท สำหรับการชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเขียวตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548 และจ่ายให้แก่บริษัท อัลลายแอนซ์ รีไฟน์นิ่ง จำกัด และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด เป็นจำนวนเงินรวม 35,479,035.62 บาท เพื่อจ่ายชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเหลืองเป็นน้ำมันเขียวตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548
2. ต่อมาสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพ.) และกรมสรรพสามิต ได้ดำเนินการเบิกจ่ายเงินชดเชยในโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่องให้กับบริษัท น้ำมันทีพีไอ จำกัด และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด แล้ว แต่สำหรับบริษัท อัลลายแอนซ์ รีไฟน์นิ่ง จำกัด บริษัทขอรับเงินในนามของบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด ซึ่ง สบพ. ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้แก่บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด ได้ เนื่องจาก กบง. ไม่ได้มีมติเห็นชอบอนุมัติจ่ายเงินให้กับบริษัทดังกล่าว
3. เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอให้มีการปรับปรุงแก้ไขมติ กบง. เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2548 เรื่องดังกล่าวในข้อ 2.2 ใหม่ โดยเปลี่ยนข้อความเป็น “…สำหรับการชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเขียวตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2547 และจ่ายให้แก่บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด เป็นจำนวนเงินรวม 35,479,035.60 (สามสิบห้าล้านสี่แสนเจ็ดหมื่นเก้าพันสามสิบห้าบาท หกสิบสตางค์) เพื่อจ่ายชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเหลืองเป็นน้ำมันเขียวตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548…"
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับปรุงแก้ไขมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 6) เรื่อง การชดเชยราคาน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว) ในข้อ 2 เป็นดังนี้
"2. เห็นชอบอนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจ่ายเป็นเงินชดเชยในโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง ในวงเงิน 94,254,060,54 บาท (เก้าสิบสี่ล้านสองแสนห้าหมื่นสี่พันหกสิบบาทห้าสิบสี่สตางค์) โดยจ่ายให้แก่บริษัท น้ำมัน ทีพีไอ จำกัด เป็นจำนวนเงิน 58,775,024.94 บาท (ห้าสิบแปดล้านเจ็ดแสนเจ็ดหมื่นห้าพันยี่สิบสี่บาทเก้าสิบสี่สตางค์) สำหรับการชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเขียว ตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548 และจ่ายให้แก่บริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด เป็นจำนวนเงินรวม 35,479,035.62 บาท (สามสิบห้าล้านสี่แสนเจ็ดหมื่นเก้าพันสามสิบห้าบาทหกสิบสองสตางค์) เพื่อจ่าย ชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเหลืองเป็นน้ำมันเขียวตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548 โดยทั้งนี้ จำนวนเงินดังกล่าว เป็นการจ่ายจากกองทุนฯ ให้กับชาวประมงก่อนและจะเรียกเก็บเงินคืนเข้ากองทุนฯ เมื่อราคาน้ำมันเขียวลดต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบกไปจนกว่าจะเรียกเก็บคืนได้หมดตามจำนวนเงินที่จ่ายชดเชยไป"
เรื่องที่ 4 ข้อหารือในการออกตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน)
1. ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) ได้นำเสนอประเด็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนของการออกตราสารหนี้ของ สบพ. เนื่องจาก กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2548 ได้อนุมัติให้ สบพ. เปิดบัญชีสำหรับการออกตราสารหนี้ได้ 3 บัญชี ซึ่ง สบพ. ได้ดำเนินการแล้ว นอกจากนี้ กองทุนน้ำมันฯ ยังมีค่าใช้จ่ายสำหรับการบริหารกองทุนฯ ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยจะจัดสรรเงินให้กับงานบริหารของ หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนฯ ได้แก่ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สนพ. เป็นต้น และโครงการศึกษาวิจัยต่างๆ ที่หน่วยงานต่างๆ ขอเงินสนับสนุนมาตลอดปี โดยไม่มีการกำหนดวงเงินค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไว้ ชัดเจนหรือโดยไม่จำกัดจำนวน แต่ขณะนี้เมื่อจะออกตราสารหนี้ความจำเป็นในเรื่องรายรับ - รายจ่ายของกองทุนฯ ต้องมีความชัดเจนและมีจำนวนที่แน่นอน เพื่อแสดงให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจ ดังนั้น สบพ. จึงขอเสนอให้กันเงินจำนวน 100 ล้านบาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนฯ และโครงการศึกษาและวิจัยด้านพลังงานของหน่วยงานต่างๆ พร้อมนี้ ผู้อำนวยการ สนพ. ได้เสนอขอเงินสนับสนุนที่จะกันไว้ดังกล่าวให้กับโครงการเกี่ยวกับ NGV ด้วย
2. ประธานฯ ได้มีข้อคิดเห็นว่า ไม่ควรนำเงินกองทุนฯ มาใช้สนับสนุนโครงการ NGV เนื่องจากจะทำให้ผู้ลงทุนไม่มีความมั่นใจในฐานะกองทุนฯ ที่มีค่าใช้จ่ายแบบไม่มีหลักเกณฑ์ จึงเห็นควรให้นำเสนอโครงการ NGV เสนอขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานที่มีวัตถุประสงค์สอดคล้องมากกว่า สำหรับในกรณี การกันเงินกองทุนฯ เพื่อการบริหารกองทุนฯ จำนวน 100 ล้านบาท อาจจะมากเกินไป ควรตัดส่วนที่ เป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนโครงการศึกษาและวิจัยของหน่วยงานต่างๆ ที่มีจำนวนไม่จำกัดออก โดยให้ยุติการให้เงินสนับสนุนโครงการศึกษาและวิจัยต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า เพื่อให้กระแสการเงินของกองทุนฯ มีความ แน่นอนและชัดเจนยิ่งขึ้น โดยมอบหมายให้ สบพ. จัดทำแผนการใช้จ่ายเงินของงบบริหารของกองทุนฯ จากหน่วยงานต่างๆ เพื่อนำเสนอที่ประชุมต่อไป
3. นอกจากนี้ ผู้อำนวยการ สบพ. ได้ขอหารือในประเด็นการออกตราสารหนี้ของ สบพ. โดยไม่มีกระทรวงการคลังค้ำประกันจึงไม่มีผู้รับผิดชอบหนี้ของกองทุนฯ ที่เกิดจากการออกตราสารหนี้เมื่อกองทุนฯ ไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ โดย สบพ. ได้มีหนังสือขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยออกหนังสือรับรองสภาพคล่องของตราสารหนี้กองทุนฯ แล้ว ขณะเดียวกัน สบพ. ไม่มีอำนาจในการกำหนดอัตราเงินเก็บเข้ากองทุนจึงทำให้ผู้ลงทุนขาดความมั่นใจในตราสารหนี้ของ สบพ. ทำให้การขายตราสารหนี้ของ สบพ. ทำได้ยาก
4. ประธานฯ ได้เสนอความเห็นว่า สบพ. ควรจะจัดทำบัญชีรายรับ - รายจ่ายของกองทุน (Clash - flow) ให้ชัดเจน โดยจัดทำเป็นแผน 5 ปี พร้อมทั้งชี้แจงให้ผู้ลงทุนทราบนโยบายด้านราคาพลังงานและการกำหนดอัตราเงินกองทุนฯ ส่งเข้า ที่มี กบง. และ กพช. เป็นผู้กำหนด และฝ่ายเลขานุการฯ ได้รับที่จะเจรจาหารือร่วมกับ สบพ. และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ สำหรับใช้ชี้แจงแก่นักลงทุน ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ยุติการอนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้สนับสนุนโครงการศึกษาและวิจัยต่างๆ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้สำหรับโครงการศึกษาและวิจัยที่ได้รับอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ไปแล้วและมีความผูกพันไปยังงบประมาณปีถัดไปให้ดำเนินการต่อไปจนสิ้นสุดระยะเวลาของโครงการ
2. มอบหมายให้ สนพ. และ สบพ. รับไปดำเนินการจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ ระยะ 5 ปี เพื่อใช้แสดงต่อผู้ลงทุนให้เกิดความเชื่อมั่นในตราสารหนี้ของกองทุนฯ และนำเสนอต่อคณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งต่อไป
กพช. ครั้งที่ 80 - วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 10/2543 (ครั้งที่ 80)
วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2543 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ....
2.รายงานผลการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม
4.ความคืบหน้าของมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
5.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและแผนเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ แทนเลขาธิการคณะกรรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ....
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 79) เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2543 ได้พิจารณาเรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... และได้มีมติเห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมโยธาธิการ กระทรวงมหาดไทย และการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จัดส่งข้อแก้ไขมายัง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ และเวียนคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อขอความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะ รัฐมนตรีต่อไป
2. สพช. ได้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตาม มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติข้างต้น ได้แก่ กรมโยธาธิการ ปตท. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ในการพิจารณาข้อแก้ไขและข้อคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... เพื่อนำไปปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ซึ่งจากการหารือร่วมกันได้ข้อสรุปในการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ดังนี้
2.1 กรมโยธาธิการ มีข้อแก้ไขดังนี้
(1) เพิ่มเติมมาตรา 7(6) โดยให้อำนาจแก่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติร่วมกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในการกำหนดขอบเขตการอนุญาตหรือการให้สัมปทาน ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 พ.ศ. 2515 และขอบเขตการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยของกรมโยธาธิการและคณะกรรมการฯ เพื่อไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกัน
(2) เพิ่มเติมข้อความวรรค 5 ของมาตรา 43 เกี่ยวกับการขอรับใบอนุญาตของผู้ประกอบ กิจการพลังงานเป็นดังนี้ "การประกอบกิจการพลังงานใดซึ่งจะต้องได้รับอนุญาตหรือรับสัมปทานตามกฎหมาย อื่น จะต้องได้รับอนุญาตหรือรับสัมปทานตามกฎหมายนั้นด้วย ยกเว้นการขออนุญาตการผลิตพลังงานควบคุมตามกฎหมายว่าด้วยการพัฒนาและส่งเสริม พลังงาน และการขออนุญาตตามมาตรา 37 ตามกฎหมายว่าด้วยการ ไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย"
(3) เพิ่มเติมข้อความในมาตรา 45 (16) โดยในส่วนของประเภทใบอนุญาตการประกอบ กิจการค้าปลีกก๊าซธรรมชาติ ให้เพิ่มเติมว่า "ยกเว้นการประกอบกิจการสถานีบริการก๊าซธรรมชาติสำหรับรถ"
(4) เพิ่มเติมข้อความในมาตรา 68 วรรคหนึ่ง โดยให้กระทรวงมหาดไทยมีอำนาจกำหนดมาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยและด้านเทคโนโลยีของโรงไฟฟ้า
(5) แก้ไขมาตรา 172 โดยตัด " ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58" ออกจากข้อความเดิม
(6) มาตรา 176 เปลี่ยนแปลงถ้อยคำจาก "อนุญาตตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58" เป็น "สัมปทานตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58"
2.2 ปตท. ได้ขอเพิ่มเติมข้อความในมาตรา 174 วรรค 3 ดังนี้ "ในการออกใบอนุญาตตาม วรรคสองให้คณะกรรมการกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการประกอบกิจการของการไฟฟ้าฝ่าย ผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึง ข้อผูกพันที่มีอยู่เดิมและ ประโยชน์ของประชาชนที่ได้รับบริการอยู่เดิม และการพัฒนาเพื่อให้มีการบริการที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพหรือการอื่นใด เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์แห่งพระราชบัญญัตินี้"
3. สพช. ได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... ตาม ความเห็นของหน่วยงานข้างต้น และได้เวียนคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาแล้ว ซึ่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการ ประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... ดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2543
มติของที่ประชุม
- เห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... โดยให้รับข้อสังเกตของที่ประชุมไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำหรือข้อความใน ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... ในขั้นตอนการพิจารณาตรวจร่างของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป
เรื่องที่ 2 รายงานผลการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ให้ดูแลกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เพื่อให้สามารถนำ "ดอกผล" อันเกิดจากกองทุนฯ จำนวน 350 ล้านบาท ที่ได้รับจากบริษัท เอสโซ่ แสตนดาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด ตามสัญญาขยายและประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียม ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม กับ บริษัท เอสโซ่ แสตนดาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด มาใช้ประโยชน์ในการส่งเสริมและสนับสนุนงานด้านพลังงานและปิโตรเลียม โดยมีระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ว่าด้วยการบริหารกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 เป็นกรอบในการบริหารงานกองทุนฯ
2. ระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ว่าด้วยการบริหารกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ทำหน้าที่พิจารณา จัดระเบียบ วางแนวทางและพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ พร้อมทั้งจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินดอกผลของกองทุนฯ เป็นรายปีงบประมาณในช่วง 3 ปีข้างหน้า เพื่อใช้เป็นกรอบในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนแก่หน่วยงานที่ ปฏิบัติงานทางด้านพลังงานและปิโตรเลียม นอกจากนี้ยังกำหนดให้ สพช. จัดทำงบแสดงผลการรับ - จ่ายเงินในระหว่างปีงบประมาณและงบแสดงฐานะการเงินของกองทุนฯ ณ วันสิ้นปีงบประมาณให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณเพื่อรายงานต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
3. คณะกรรมการกองทุนฯ ได้จัดทำรายงานผลการดำเนินงานปีงบประมาณ 2543 ซึ่งได้อนุมัติเงิน กองทุนฯ ภายใต้กรอบของแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ อย่างเคร่งครัดสอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งมีการอนุมัติตามความจำเป็นและหมาะสมเพื่อประโยชน์ของหน่วยงานที่ ปฏิบัติงานด้านพลังงานและปิโตรเลียม เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ โดยสามารถสรุปแผนและผลการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ในรอบปีงบประมาณ 2543 ได้ดังนี้
หน่วย:ล้านบาท
หมวดค่าใช้จ่าย | แผนการใช้จ่าย | ผลการใช้จ่าย |
การค้นคว้า วิจัย และการศึกษา | 4.4 | 4.1 |
เงินทุนการศึกษา และฝึกอบรม | 4.6 | 4.6 |
การโฆษณา การเผยแพร่ข้อมูลและประชาสัมพันธ์ | 1.5 | 1.0 |
การเดินทางเพื่อศึกษาดูงาน ประชุม อบรมและสัมมนา | 6.5 | 6.2 |
การจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์สำนักงาน | 2.4 | 2.4 |
ค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน | 0.6 | 0.6 |
รวม | 20.0 | 18.9 |
4. คณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาข้อมูลจากงบแสดงผลการรับจ่ายเงินในระหว่างปีงบประมาณ งบแสดงฐานะการเงินของกองทุน ณ วันสิ้นปีงบประมาณ งบประมาณผูกพันต่อเนื่องในช่วงปี 2544 ประกอบกับประมาณการรายรับของกองทุนฯ ที่คาดว่าจะได้รับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของเงินกองทุนฯ ในช่วงสามปีข้างหน้าแล้ว ได้เสนอแผนการใช้จ่ายเงินในช่วงปีงบประมาณ 2544 - 2546 ภายในวงเงิน 66 ล้านบาท เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้ความเห็นชอบ ภายใต้กรอบของหมวดรายจ่ายต่างๆ ดังนี้
(หน่วย:ล้านบาท)
หมวดรายจ่าย | ปีงบประมาณ | |||
2544 | 2545 | 2546 | รวม | |
การค้นคว้า วิจัย และการศึกษา | 4.00 | 4.00 | 4.00 | 12.00 |
เงินทุนการศึกษา และฝึกอบรม | 5.40 | 5.40 | 5.40 | 16.20 |
การโฆษณา การเผยแพร่ข้อมูล และประชาสัมพันธ์ | 3.00 | 3.00 | 3.00 | 9.00 |
การเดินทางเพื่อศึกษา ดูงาน ประชุม อบรมและสัมมนา | 5.00 | 5.00 | 5.00 | 15.00 |
การจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์สำนักงาน | 4.00 | 4.00 | 4.00 | 12.00 |
ค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน | 0.60 | 0.60 | 0.60 | 1.80 |
รวม | 22.00 | 22.00 | 22.00 | 66.00 |
5. เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และมีความยืดหยุ่นในการใช้จ่ายเงินในหมวดต่างๆ ตลอดระยะเวลา 3 ปี จึงเห็นควรให้คณะกรรมการกองทุนฯ สามารถอนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2544 - 2546 ตามแผนการใช้จ่ายเงินข้างต้นในวงเงินรวม 66 ล้านบาทได้ และให้คณะกรรมการ กองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินดังกล่าว โดยสอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลำดับความสำคัญ ตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ
6. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีหนังสือเวียนขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เกี่ยวกับรายงานผลการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินของกองทุนเงินอุดหนุนจาก สัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้มีการพิจารณาและมีมติเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2543 รับทราบผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ 2543 และเห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ 2544-2546
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 1/2539 (ครั้งที่ 55) เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2539 ให้นำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้สนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ตั้งแต่ปี 2539 และจนถึงปี 2543 คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ซึ่งกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้อนุมัติงบประมาณจาก กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปแล้วรวมทั้งสิ้น 1,746.0 ล้านบาท
2. ในปี 2544 หน่วยงานต่างๆ ได้จัดทำโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนฯ ประกอบด้วย กรมศุลกากร 1 แผนงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 7 โครงการ กรมสรรพสามิต 9 โครงการ กรมทะเบียนการค้า 3 โครงการ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ 1 โครงการ รวมทั้งสิ้น 21 โครงการ คิดเป็นจำนวนเงินขอรับการสนับสนุนรวมทั้งสิ้น 1,211.2 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นโครงการที่ได้รับอนุมัติค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2543 ซึ่งได้มีการดำเนินการและก่อหนี้ผูกพันไว้แล้ว และจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนในปีงบประมาณ 2544 คิดเป็นจำนวนเงิน 583.3 ล้านบาท และที่เหลือเป็นงบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนใหม่จำนวน 627.9 ล้านบาท
3. เนื่องจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระในการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ทำให้การพิจารณา...จัดสรรงบประมาณภายใต้ข้อจำกัดดังกล่าวจะต้องมีการพิจารณา อย่างรอบคอบ และจัดสรรให้เฉพาะส่วนที่ จำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น ดังนั้น ในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยงานต่างๆ จึงได้กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณา คือ พิจารณาเป็นรายหน่วยงาน/รายโครงการ และให้ความสำคัญโครงการที่มีลำดับความสำคัญ...ก่อน คือ โครงการที่มีการก่อหนี้ผูกพันไว้แล้วในปี 2543 โครงการที่ดำเนินการแล้วในปี 2543 และต้อง ดำเนินการต่อให้แล้วเสร็จในปี 2544 โครงการที่จำเป็นต้องดำเนินการเร่งด่วนเนื่องจากมีปัญหาค่อนข้างรุนแรง นอกจากนั้นจะพิจารณาจัดสรรงบประมาณเท่าที่เห็นว่าเหมาะสมจำเป็นเท่านั้น
4. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 29) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2543 ได้มีมติอนุมัติให้หน่วยงานต่างๆ ดำเนินโครงการตามที่เสนอโดยอนุมัติจัดสรรงบประมาณประจำปี 2544 จากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อ เพลิงให้แก่หน่วยงานต่างๆ ตามโครงการที่เสนอในวงเงิน 861,756,567.22 บาท (แปดร้อยหกสิบเอ็ดล้านเจ็ดแสน ห้าหมื่นหกพันห้าร้อยหกสิบเจ็ดบาทยี่สิบสองสตางค์) ซึ่งเป็นเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วในปี 2543 ยกมาขอใหม่ จำนวน 583,296,704.22 บาท และอนุมัติเพิ่มเติมในปี 2544 จำนวน 278,459,863.00 บาท ซึ่งสามารถแยก รายละเอียดตามหน่วยงาน ได้ดังนี้
หน่วย: บาท | |
กรมศุลกากร | 43,000,000.00 |
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง | 156,472,610.00 |
กรมสรรพสามิต | 621,351,024.22 |
กรมทะเบียนการค้า | 40,211,683.00* |
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ | 721,250.00 |
5. นอกจากนี้ คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้มอบหมายให้หน่วยงานที่ได้รับการจัดสรร งบประมาณดังกล่าวข้างต้น จัดทำรายงานผลการดำเนินงานในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้า น้ำมันเชื้อเพลิงในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติทราบต่อไป ซึ่งขณะนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ อยู่ระหว่างรวบรวมและจัดทำสรุปการรายงานผล ดังกล่าว เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วจะได้รายงานให้คณะกรรมการฯ ทราบต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 ความคืบหน้าของมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2542 จนถึงปัจจุบันเกี่ยวกับมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งมีความก้าวหน้าเพิ่มเติมในแต่ละมาตรการ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. มาตรการอนุรักษ์พลังงาน มีความก้าวหน้าดังนี้
1.1 การอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (ประกอบด้วย โครงการของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) จำนวน 3 โครงการ คือ 1) โครงการลดต้นทุน อุตสาหกรรมขนาดกลาง-ขนาดย่อมและสนับสนุนฐานการผลิตเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน ซึ่ง ขณะนี้ กสอ. ขอชะลอโครงการฯ ไว้ก่อนเพื่อรอแนวทางที่ชัดเจนและจะจัดทำข้อเสนอมาใหม่อีกครั้ง 2) โครงการปรึกษา แนะนำและสร้างผู้เชี่ยวชาญการบริหารการจัดการพลังงานแก่โรงงานอุตสาหกรรม ขนาดกลางและขนาดย่อม ได้ผ่านการพิจารณาข้อเสนอโครงการเบื้องต้นจากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงาน สนับสนุนแล้ว เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 โดย กสอ. อยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดของโครงการเพิ่มเติม และ3) โครงการกระตุ้นให้ เกิดการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงข้อเสนอโครงการเบื้องต้นให้สมบูรณ์ก่อนจะนำ เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ มีโครงการของกรมโรงงานอุตสาหกรรมอีกจำนวน 3 โครงการ คือ โครงการสนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดพลังงานในภาคอุตสาหกรรมและโครงการ สาธิตการปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้สาร CFCs เป็นสารทำความเย็น ซึ่งทั้ง 2 โครงการได้ผ่านการพิจารณาข้อเสนอโครงการจากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาค ความร่วมมือแล้วเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 และสำนักควบคุม วัตถุอันตรายอยู่ระหว่างการปรับข้อเสนอโครงการสาธิตการปรับเปลี่ยนเครื่อง ปรับอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้สาร CFCs ส่วนโครงการที่สามคือโครงการติดตั้งหม้อไอน้ำสำหรับเตาเผากากอุตสาหกรรม ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมซึ่งอาจมีผล กระทบต่องบประมาณ จึงขอนำโครงการฯ กลับไปทบทวน เพื่อรอข้อสรุปที่ชัดเจนก่อน
1.2 แผนการรณรงค์ประหยัดน้ำมันในสาขาขนส่ง ตามโครงการ " 22 กันยา จอดรถไว้บ้านช่วยกันประหยัดน้ำมัน" ประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ สพช. จึงได้จัดทำแผนรณรงค์ประหยัดน้ำมันในสาขาขนส่ง ปีงบประมาณ 2544 โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2543 การรณรงค์มีกิจกรรมหลักคือ แผนรณรงค์จอดรถไว้บ้านช่วยกันประหยัดน้ำมัน และมีกิจกรรมสนับสนุนอื่นๆ เช่น แผนรณรงค์การบำรุงรักษาเครื่องยนต์ แผนรณรงค์ขี่จักรยานและเดินเท้า การใช้อุปกรณ์สื่อสารแทนการเดินทาง การวางแผนก่อนเดินทางและขับรถอย่างถูกวิธี และกิจกรรมทางเดียวกันไปด้วยกัน นอกจากนี้ ได้มีการแต่งตั้ง "คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการประหยัดน้ำมันในสาขาขนส่ง" เพื่อร่วมกันกำหนดแผนรณรงค์ให้มีความชัดเจนและดำเนินการรณรงค์ให้บรรลุเป้า หมายที่ตั้งไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
1.3 โครงการศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงานได้อนุมัติให้สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (ประเทศไทย) ดำเนินโครงการสาธิตเทคโนโลยี ประสิทธิภาพพลังงาน ประกอบด้วย โครงการจัดตั้งศูนย์สาธิต 4 แห่ง ในกรุงเทพมหานคร อยุธยา พิษณุโลก และเชียงใหม่ และจัดทีมรถนิทรรศการสาธิตเคลื่อนที่ไปอีก 22 จังหวัด รวมทั้งการจัดหาพื้นที่ในจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อจัดตั้งค่ายฝึกอบรมถาวรด้านวิทยาศาสตร์และพลังงาน ซึ่งได้มีการเปิดโครงการเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2543 ภายใต้ชื่อ "โครงการมหิดลรวมพลังหารสอง" ณ มหาวิทยาลัยมหิดล ภายในงานมีการบรรยาย พิเศษและนิทรรศการ สำหรับศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงานในกรุงเทพฯ จัดสร้างขึ้นที่อาคารสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ซึ่งได้เปิดให้เข้าชมแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม เป็นต้นมา
1. 4 โครงการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อประหยัดพลังงาน (Tune-up) การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้เริ่มดำเนินโครงการ Tune-up ระยะที่ 1 โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2543 ณ กรมการขนส่งทางบก ซึ่ง ปตท. ได้กำหนดแผนการให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม ถึง 29 ธันวาคม 2543 หน้าอาคาร 6 กรมการขนส่งทางบก และให้บริการแก่หน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กองบิน 6 ฐานทัพอากาศดอนเมือง กรมชลประทาน กรมพลาธิการทหารบก องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กรมการขนส่งทหารเรือ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ การประปานครหลวง และการเคหะแห่งชาติ ในระหว่างวันที่ 1 - 25 ตุลาคม 2543 มีจำนวนรถที่เข้ารับบริการรวมทั้งสิ้น 3,435 คัน คิดเป็นร้อยละ 20 ของ แผนการให้บริการรถยนต์ทั้งหมด
2. มาตรการลดราคาน้ำมัน มีความก้าวหน้าดังนี้
2.1 ปตท. ได้ลดราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลให้แก่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการ เกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) 0.25 บาทต่อลิตร และลดราคาน้ำมันหล่อลื่นอีกลิตรละ 2.00 บาท ต่อไปจนถึงธันวาคม 2543 โดยในช่วงมกราคม - กันยายน 2543 ได้จำหน่ายน้ำมันให้เกษตรกรไปแล้วครอบคลุม 59 จังหวัด คิดเป็นปริมาณรวม 39 ล้านลิตร เป็นมูลค่าความช่วยเหลือ 8.8 ล้านบาท นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ได้มีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลที่ สูงขึ้น โดยชดเชยราคาน้ำมันดีเซลให้แก่เกษตรกรรายครัวเรือนที่สังกัดสถาบัน/องค์กร เกษตรกรที่เป็นนิติบุคคลในอัตราลิตรละ 3 บาท ในปริมาณ 15 ลิตรต่อเดือน โดยขณะนี้ ธกส. อยู่ระหว่างการรวบรวมรายชื่อเกษตรกรที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ประสานไปยังผู้ค้าน้ำมันเพื่อให้สถานีบริการทั่วประเทศให้ความร่วมมือใน การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวแล้ว
2.2 ปตท. ได้ขยายระยะเวลาขายน้ำมันราคาถูกให้แก่กลุ่มประมงผ่านจุดจ่าย 134 แห่ง จนถึง สิ้นปี 2543 ในอัตราส่วนลดลิตรละ 0.42 บาท โดยในช่วงมกราคม - กันยายน 2543 ได้จำหน่ายน้ำมันให้กลุ่มประมงไปแล้วรวม 92 ล้านลิตร เป็นมูลค่าส่วนลดรวม 53 ล้านบาท นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายและ มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรได้อนุมัติเงินจ่ายขาดวงเงิน 321 ล้านบาท ให้กับกรมประมงเพื่อใช้ชดเชยการ ขาดทุนของกลุ่มผู้ประกอบการประมงโดยการลดราคาให้ในอัตราลิตรละไม่เกิน 3 บาท ให้กับเรือขนาดความยาวเกินกว่า 14 เมตร แต่ไม่เกิน 18 เมตร เป็นระยะเวลา 4 เดือน โดยตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543 จนถึงพฤศจิกายน 2543 มีชาวประมงเข้าเป็นสมาชิกโครงการฯ จำนวน 8,704 ราย และมีสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันเข้าร่วม โครงการรวม 120 สถานีบริการ โดยมียอดจัดสรรน้ำมันที่ให้ส่วนลดไปแล้วรวม 39.8 ล้านลิตร
2.3 กระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการชดเชยค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาต ประกอบการขนส่งไม่ประจำทางด้วยรถที่ใช้ขนส่งสัตว์หรือสิ่งของตามหลักเกณฑ์ ที่กระทรวงคมนาคมกำหนด โดยตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน ถึง 9 ตุลาคม 2543 มีจำนวนรถที่ได้รับการชดเชยไปแล้วทั่วประเทศประมาณ 31,799 คัน แยกเป็นกรุงเทพมหานคร 12,884 คัน และส่วนภูมิภาค 18,915 คัน โดยมีจำนวนคูปองที่จ่ายไปแล้วประมาณ 424,238 ใบ รวมเป็นเงิน 42,423,800 บาท ส่วนการเบิกจ่ายเงินให้กับ ปตท. ทางกรมการขนส่งทางบกกำลังรอแจ้งการโอนเงินจากกระทรวงการคลัง
2.4 ปตท. ได้จำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงอุตสาหกรรม โดยให้ส่วนลดน้ำมันดีเซลลิตรละ 0.15 บาท และน้ำมันเตาลิตรละ 0.07 บาท โดยในช่วงเมษายน - กันยายน 2543 ได้จำหน่ายน้ำมันโดยให้ส่วนลดไปแล้วรวม 11 ล้านลิตร คิดเป็น มูลค่ารวม 0.83 ล้านบาท
3. ปตท. ได้ดำเนินโครงการทดสอบการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซธรรมชาติระบบ Bi-fuel ในรถแท๊กซี่ อาสาสมัครจำนวน 100 คัน ซึ่งขณะนี้มีผู้แจ้งความจำนงเข้าร่วมโครงการจำนวน 150 คัน คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2543 นอกจากนี้ยังได้เปิดรับสมัครรถแท๊กซี่เข้าร่วมโครงการนำร่องการติดตั้ง อุปกรณ์ใช้ก๊าซฯ จำนวน 1,000 คัน ในปี 2544 แล้ว
4. ปตท. ได้จัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐในปี 2543 เพิ่มขึ้นจากปี 2542 จำนวน 29 พันบาร์เรลต่อวัน รวมเป็นจำนวนที่นำเข้าในปี 2543 จำนวน 135.3 พันบาร์เรลต่อวัน การนำเข้าน้ำมันดิบดังกล่าวเป็นลักษณะสัญญา TERM ซึ่งมีราคาเฉลี่ยต่ำกว่าตลาดจรประมาณ 0.08-0.12 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2543 ได้นำเข้าน้ำมันดิบตามสัญญา Term เป็นจำนวน 48.2 ล้านบาร์เรล
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและแผนเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในเดือนตุลาคม 2543 ของแหล่งในตะวันออกกลางอยู่ในระดับทรงตัว ทั้งนี้ เนื่องจากตลาดอยู่ในภาวะสมดุล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบชนิดเบาได้ลดลง 1-2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็นผลจากการที่สหรัฐอเมริกาได้นำน้ำมันดิบสำรองทางยุทธศาสตร์ซึ่งเป็นชนิด เบาออกสู่ตลาด แต่เนื่องจากปริมาณสำรองทาง การค้าอยู่ในระดับต่ำ จึงทำให้ราคาน้ำมันดิบมีความไวต่อข่าวที่มีผลต่อความต้องการใช้และการจัดหา (สภาพอากาศ และความตึงเครียดในตะวันออกกลาง) โดยราคาน้ำมันดิบ ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2543 อยู่ในระดับ 29.57 - 34.35 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในเดือนตุลาคมได้ลดลง โดยน้ำมันเบนซินปรับตัวลงตามความต้องการที่ลดลงตามฤดูกาลและปริมาณน้ำมันที่ มีมากในตลาด ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากค่าการกลั่นที่ดีขึ้น ทำให้โรงกลั่นเพิ่มปริมาณการผลิตมีผลให้ปริมาณเพิ่มมากขึ้นในตลาด สำหรับน้ำมันก๊าด และเตา มีความต้องการเพื่อสำรองไว้ใช้สำหรับทำความอบอุ่นประกอบกับปริมาณที่มีอยู่ ในตลาดมีระดับต่ำทำให้ราคาสูงขึ้น 1.4 และ 1.6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ก๊าด ดีเซล และเตา ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2543 อยู่ในระดับ 32.8, 43.0, 38.5 และ 29.4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยในเดือนตุลาคมได้ปรับขึ้น 2 ครั้ง ทั้งน้ำมันเบนซินและดีเซล รวม 60 สตางค์/ลิตร เนื่องจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงอีก 1 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ทำให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศสูงขึ้นประมาณ 20 สตางค์/ลิตร ประกอบกับการตรึงราคาขายปลีก ทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าอยู่ ในระดับติดลบ ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2543 อยู่ในระดับ 16.79 , 15.79 และ 15.04 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดในเดือนตุลาคม ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย โดยค่าการตลาดของน้ำมันเบนซินได้เริ่มปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลยังอยู่ในระดับติดลบ ค่าการตลาดเฉลี่ยของทุกผลิตภัณฑ์ในเดือนตุลาคมอยู่ที่ระดับ 0.22 บาท/ลิตร และเนื่องจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่อ่อนตัวน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบ ทำให้ค่าการกลั่นในเดือนตุลาคมอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเคลื่อนไหวในระดับ 5 - 6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (1.3 - 1.5 บาท/ลิตร) เฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 บาท/ลิตร เมื่อพิจารณารายได้รวมของธุรกิจน้ำมัน (ค่าการตลาดและค่าการกลั่น) เฉลี่ยอยู่ในระดับ 1.7 บาท/ลิตร
5. แนวโน้มของราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และสภาพอากาศ หากอากาศหนาวเย็นกว่าปกติ และอิรัคลดการส่งออกเพื่อกดดันให้ยกเลิกการคว่ำบาตร ราคาน้ำมันอาจจะสูงขึ้นมาก รวมทั้งปริมาณสำรองน้ำมันในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ ส่วนราคาน้ำมันเบนซินจะปรับตัวลดลงตามความต้องการที่จะลดลงในฤดูหนาว ส่วนราคาน้ำมันเพื่อความอบอุ่น (ก๊าด และดีเซล) ราคาจะสูงขึ้นตามความ ต้องการที่เพิ่มขึ้น คาดว่าราคาน้ำมันดีเซลในฤดูหนาวนี้จะไม่เกิน 45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนราคาขายปลีกของไทย ราคาน้ำมันเบนซินมีแนวโน้มปรับลดลงตามราคาตลาดโลก ส่วนราคาน้ำมันดีเซลจะปรับตัวสูงขึ้น คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 15 -16 บาท/ลิตร
6. จากปัญหาความตึงเครียดในตะวันออกกลางซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประเทศใน 2 ลักษณะ คือ กรณีการจัดหาไม่ถูกจำกัดเพียงราคาน้ำมันแพง และกรณีกระทบการจัดหาของประเทศ ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) จึงได้เสนอแผนเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ในตะวันออกกลางในการแก้ปัญหา ทั้ง 2 กรณี ดังนี้
6.1 มาตรการบรรเทาผลกระทบจากปัญหาน้ำมันราคาแพง ประกอบด้วย มาตรการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรการปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานเพื่อลดการใช้น้ำมัน มาตรการลดราคาน้ำมันเป็นรายสาขา และมาตรการอื่นๆ เช่น การส่งเสริมการใช้เบนซินให้ถูกชนิด เป็นต้น
6.2 มาตรการและแนวทางแก้ไขปัญหาภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับในกรณีที่สถานการณ์ในตะวันออกกลางได้ลุกลาม และส่งผลกระทบต่อการจัดหาน้ำมันของไทย ก่อให้เกิดการขาดแคลน ขึ้นในประเทศ ให้ใช้มาตรการและแนวทางการแก้ไขปัญหาภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยนายกรัฐมนตรี มีอำนาจตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 เพื่อออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีให้สามารถดำเนินการตามมาตรการรองรับ ซึ่งสรุปได้ดังนี้
(1) ด้านการจัดหาน้ำมัน รัฐบาลต้องเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานจากแหล่งในประเทศให้มากขึ้น ควบคุมการนำเข้าและส่งออกน้ำมัน และเร่งจัดหาน้ำมันโดยการเจรจากับต่างประเทศเพื่อขอซื้อน้ำมันในลักษณะของ การค้าต่างตอบแทน (Counter trade) ระหว่างภาครัฐกับภาครัฐ ( G to G) รวมทั้งการใช้ข้อ ตกลงระหว่างประเทศอาเซียนในความร่วมมือจัดหาน้ำมันในยามขาดแคลน และให้ผู้ค้าน้ำมันจัดหาจากบริษัทแม่และธุรกิจเครือข่ายในต่างประเทศ หากการจัดหาน้ำมันยังคงไม่เพียงพอ ก็อาจต้องมีการนำน้ำมันสำรองตามกฎหมายมาใช้ ตลอดจนการนำเข้าเชื้อเพลิงชนิดอื่นเพื่อทดแทนการใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง
(2) การเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงอื่นที่ผลิตได้ในประเทศ ส่งเสริมให้มีการเปลี่ยนแปลงการใช้เชื้อเพลิงที่ผลิตได้ในประเทศ โดยรัฐต้องแก้ไขเพื่อผ่อนปรนกฎระเบียบเกี่ยวกับมาตรฐานการระบายมลพิษทาง อากาศจากการเผาเชื้อเพลิง
(3) มาตรการด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิง หากสามารถจัดหาน้ำมันได้เพียงพอกับความต้องการใช้ในประเทศ ให้การปรับราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศสอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริงของราคา น้ำมันที่สูงขึ้นทันที แต่หากเกิดวิกฤตการณ์การขาดแคลนน้ำมัน โดยไม่สามารถจัดหาน้ำมันได้เพียงพอกับความต้องการใช้ รัฐบาลจะต้องประกาศใช้ "ระบบการควบคุมราคา" เป็นการชั่วคราว เพื่อป้องกันการกักตุนและโก่งราคาขายเกินเหมาะสม
(4) มาตรการด้านการประหยัดพลังงานและการจัดการด้านการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง แบ่งได้ตามความรุนแรงของสถานการณ์เป็น 3 ระดับ คือ ระดับต้น เป็นการเตรียมการ เมื่อสถานการณ์มีแนวโน้มที่จะเกิดการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยรัฐต้องให้ข้อมูลที่แท้จริงต่อประชาชน ระดับกลางเมื่อ เกิดการขาดแคลน น้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น โดยสามารถจัดหาน้ำมันได้ต่ำกว่าปริมาณการใช้ แต่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 จะต้องใช้มาตรการบังคับต่างๆ เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำมันลงอย่างจริงจัง ระดับร้ายแรง เมื่อมาตรการบังคับไม่สามารถลดปริมาณการใช้น้ำมันลงมาอยู่ในระดับเดียวกับการจัดหา จำเป็นต้องมีการปันส่วนน้ำมัน
(5) มาตรการป้องกันการกักตุน การควบคุมการจำหน่าย และการปันส่วนน้ำมัน เป็น มาตรการเพื่อจัดสรรการใช้น้ำมันที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจสูงสุด และลดความเดือดร้อนของประชาชนจากการขาดแคลนน้ำมันให้เหลือน้อยที่สุด โดยกำหนดขั้นตอนในการดำเนินการเป็น 3 ขั้นตอน คือ ระยะที่ 1 เมื่อการจัดหาเริ่มมีปริมาณต่ำกว่าความต้องการของประเทศเล็กน้อย ควบคุมผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 ให้จำหน่ายน้ำมันในปริมาณเท่าที่จำเป็น ควบคุมการจำหน่ายน้ำมันให้แก่เครื่องบินและเรือที่เดินทางออกนอกราชอาณาจักร ระยะที่ 2 เมื่อการจัดหาเริ่มลดต่ำกว่าความต้องการของประเทศมากยิ่งขึ้น ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 จัดทำแผนการจำหน่าย เพื่อขอรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการส่วนกลางที่จะมีการจัดตั้งขึ้นเป็นประจำ ทุกเดือน ระยะที่ 3 เมื่อการจัดหาเริ่มขาดแคลนมาก เริ่มใช้มาตรการในการปันส่วนน้ำมัน เพื่อให้การปันส่วนน้ำมัน การควบคุมการจำหน่าย และการป้องกันการกักตุนน้ำมันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
มติของที่ประชุม
1.รับทราบสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.เห็นชอบแผนเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และมาตรการและแนวทางในการแก้ไขปัญหาภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
3.มอบหมายให้ สพช. ติดตามสถานการณ์ในตะวันออกกลางและสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างใกล้ ชิด โดยให้ประเมินสถานการณ์และรายงานให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติทราบเป็นระยะๆ
4.หากสถานการณ์ในตะวันออกกลางลุกลาม และมีผลกระทบต่อการจัดหาน้ำมันของประเทศ ให้ สพช. หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ และผู้ค้าน้ำมัน เพื่อกำหนดมาตรการปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงให้ เหมาะสมกับสถานการณ์ และเสนอผ่านประธานคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เพื่อให้นายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ออกเป็นคำสั่งนายกรัฐมนตรีต่อไป
กพช. ครั้งที่ 79 - วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 79)
วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2543 เวลา 9.30 น.
ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล
1.ความคืบหน้าในการเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีน
2.ความคืบหน้าการดำเนินงานแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
3.แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543-2554 (PDP 99-02)
4.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
5.ความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
6.โครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
7.ความเห็นเกี่ยวกับการผ่อนปรนข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันดีเซลและเบนซิน
8.ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ...
9.แผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
10.การส่งเสริมนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก
11.ร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
12.การปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
13.การกำหนดราคาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ บริษัท ไตรเอนเนอจี้ จำกัด
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ แทนเลขาธิการคณะกรรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ความคืบหน้าในการเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีน
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐ ประชาชนจีน โดยทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมและร่วมมือกันในการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าใน สาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อจำหน่ายให้แก่ประเทศไทยจำนวน 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2560 ต่อมา เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2543 คณะผู้แทนบริษัทไฟฟ้าแห่งรัฐและการไฟฟ้ายูนนานของสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มาเยือนไทย เพื่อหารือในรายละเอียดของการรับซื้อไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(สพช.) ซึ่งทั้ง 2 ฝ่าย ได้ข้อสรุปของผลการหารือที่สำคัญ คือ โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหงจะเป็นโครงการแรกขนาด 1,500 เมกะวัตต์ ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน จะส่งมอบไฟฟ้าให้ไทยในปี 2556 และโครงการที่เหลืออีก 1 โครงการในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ สาธารณรัฐประชาชนจีนจะส่งมอบไฟฟ้าให้ไทยในปี 2557 ทั้งนี้ กฟผ. จะบรรจุโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง และโครงการที่เหลือไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าในระยะยาวฉบับใหม่
2. คณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าไทย-จีน ได้มีการประชุมร่วมกันเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 4-5 กันยายน 2543 ณ เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีสาระสำคัญของผลการประชุมสรุปได้ดังนี้
2.1 ได้มีการเน้นย้ำถึงความร่วมมือในการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าในสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ได้ตกลงกันไว้แล้วในเดือนมีนาคม 2543
2.2 การหารือถึงความตกลงในการลงทุนก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง และได้ลงนามในความตกลงเรื่อง "การร่วมลงทุนในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหงระหว่างกลุ่มผู้ ลงทุนไทย-จีน" เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2543
2.3 การตกลงที่จะใช้ระบบสายส่งขนาด 500 kV DC แบบวงจรเดี่ยว (Single Pole) เพื่อส่งไฟฟ้าจำนวน 1,500 เมกะวัตต์ จากโครงการแรก ในปี 2556 และเพิ่มเป็น 3,000 เมกะวัตต์ เพื่อส่งไฟฟ้าอีก 1 โครงการ ในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ แบบสองวงจร (Bi Pole) ในปี 2557 โดยแนวสายส่งจากจีนมาไทยจะผ่านพื้นที่ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) และมีสถานีจุดเปลี่ยนกระแสไฟฟ้า (Coverter Station) อยู่ในอาณาเขตของสาธารณรัฐประชาชนจีน
2.4 เห็นชอบให้โรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง เข้าร่วมการซื้อขายไฟฟ้าในตลาด Power Pool ของไทย โดยต้องอยู่บนหลักการของการแข่งขันด้านการซื้อขายไฟฟ้าอย่างยุติธรรม ทั้งนี้ฝ่ายไทยได้เสนอทางเลือกให้พิจารณา 2 ทางคือ ให้โรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง ส่งไฟฟ้าเข้าไปซื้อขายในตลาด Power Pool ของไทย โดยตรง หรือให้ซื้อขายไฟฟ้าผ่านบริษัทผู้ค้าไฟฟ้า (Energy Trader Company)
2.5 เห็นชอบกับแผนงานเบื้องต้นของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหงที่จะดำเนิน การในระยะต่อไป ได้แก่ การศึกษาความเป็นไปได้ของระบบสายส่ง การปรับปรุงสัญญาด้านการปฏิบัติการ ข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายไฟฟ้า การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ รวมทั้งการจัดเตรียมและเริ่มงานก่อสร้าง โรงไฟฟ้าฯ อย่างเป็นทางการ ในปี 2549 เพื่อให้โครงการฯสามารถส่งมอบไฟฟ้าให้ไทยได้ทันตามกำหนดในปี 2556
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ความคืบหน้าการดำเนินงานแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 ได้มีมติเห็นชอบแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวได้กำหนดให้แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการระดมทุน จากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี (คณะกรรมการดำเนินการฯ) ซึ่งมีนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นประธาน ประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงการคลัง สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักนายกรัฐมนตรี บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด และผู้แทนจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมเป็นกรรมการ เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการประเมินราคาทรัพย์สินที่ กฟผ. จะขายให้บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด กำหนดอัตราค่า ไฟฟ้าที่ กฟผ. จะรับซื้อจากบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด กำกับดูแลการจัดทำสัญญาทุกฉบับ กำหนดราคาหุ้น จำนวนหุ้น และวิธีการขายหุ้นของบริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง ให้กับประชาชนและพนักงาน กฟผ.
2. คณะกรรมการดำเนินการฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2543 ได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบจำนวนหุ้น วิธีการขายหุ้น วิธีการกำหนดราคาหุ้น และช่วงราคาหุ้น (Price Range) ของบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และได้นำเสนอมติคณะกรรมการดำเนินการฯ ต่อคณะกรรมการ กฟผ. ในการประชุม เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2543 ซึ่งคณะกรรมการ กฟผ. ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการดำเนินการฯ แล้ว ดังนี้
2.1 จำนวนหุ้นสามัญของบริษัทราชบุรีโฮลดิ้งจำกัด (มหาชน) ทั้งหมดเท่ากับ 1,450 ล้านหุ้น จำนวนหุ้นที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปเท่ากับ 580 ล้านหุ้น โดยมีโครงสร้างการจัดจำหน่ายและการกระจายหุ้นคือ ให้มีการกระจายหุ้นส่วนหนึ่งให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ (Nationwide) ชำระเงินผ่านสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และส่วนที่เหลือให้กระจายหุ้นผ่านทางผู้จัดการการจัดจำหน่ายและ รับประกันการจำหน่าย (Lead Underwriter) ผู้ร่วมการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย (Co-Lead Underwriter) และผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย (Co-Manager) ทั้งนี้ ให้กำหนดโดยคณะกรรมการบริษัทราชบุรีโฮลดิ้งฯ
2.2 วิธีการกำหนดราคาหุ้นที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก จะใช้วิธี Book-building กับ นักลงทุนสถาบันการเงิน
2.3 ช่วงราคาหุ้นเพื่อทำ Book-building ราคาหุ้นละ 13-15 บาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543-2554 (PDP 99-02)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 ได้เห็นชอบแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2542-2554 ฉบับปรับปรุง (PDP 99-01 ฉบับปรับปรุง) ตาม ข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และได้มอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พิจารณาปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ช่วงปี พ.ศ. 2542-2554 เป็นระยะๆ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง และให้ กฟผ. รับไปศึกษาเกณฑ์กำหนดปริมาณสำรองการผลิตไฟฟ้าของประเทศที่เหมาะสมต่อไป
2. ในช่วงปี 2542 โครงการโรงไฟฟ้าหลายโครงการได้ถูกชะลอออกไป และไม่เป็นไปตามแผนฯ ชุดเดิม (PDP 99-01 ฉบับปรับปรุง) ประกอบกับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้จัดทำแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติชุดใหม่ ขณะนี้ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศยังอยู่ระดับใกล้เคียงกับค่าพยากรณ์ความ ต้องการ ไฟฟ้ากรณีเศรษฐกิจฟื้นตัวปานกลาง รวมทั้งสถานการณ์การรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนยังไม่แน่นอน กฟผ. จึงได้ปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า PDP 99-01 ใหม่เป็น PDP 99-02 โดยใช้แผนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ตามเดิม แต่เปลี่ยนแปลงกำหนดแล้วเสร็จของโรงไฟฟ้าตามผลความก้าวหน้าของการก่อสร้าง และเปลี่ยนแปลงกำหนดจ่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าเอกชนตามที่ร้องขอ ซึ่งคณะกรรมการ กฟผ. ได้อนุมัติแล้ว
3. สาระสำคัญของแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. พ.ศ. 2543-2554 (PDP 99-02) สรุปได้ดังนี้
3.1 โครงการต่างๆ ที่บรรจุอยู่ในแผนฯ ฉบับนี้ (PDP 99-02) เป็นตัวโครงการที่ปรากฏในแผนฯ ชุดเดิม (PDP 99-01 ฉบับปรับปรุง) ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ โดยเฉพาะโครงการที่ กฟผ. ได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว ได้แก่ โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (Independent Power Producers : IPPs) 7 โครงการ จำนวน 5,943.5 เมกะวัตต์ ในช่วงปี 2543-2550 โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (Small Power Producers : SPPs) 1,958.4 เมกะวัตต์ ในช่วงปี 2539-2546 โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 3,300 เมกะวัตต์ ในช่วงปี 2549-2551 ทั้งนี้ เนื่องจากแผนฯ ฉบับนี้ (PDP 99-02) ใช้ค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าชุดกรณีเศรษฐกิจฟื้นตัวปานกลาง (MER) ซึ่งเป็นชุดเดียวกันกับที่ใช้ในแผนฯ ชุดเดิม (PDP 99-01 ฉบับปรับปรุง)
3.2 โครงการที่มีการเลื่อนกำหนดจ่ายไฟฟ้าออกไปจากแผนฯ เดิม ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPPs) ได้แก่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าอิสระ (ประเทศไทย) จำกัด เลื่อนจากเดือนกันยายน 2542 เป็น เดือนมิถุนายน 2543, บริษัท อิสเทิร์นเพาเวอร์ จำกัด เลื่อนจากเดือนมกราคม 2545 เป็นเดือนกรกฎาคม 2545, บริษัท ยูเนียนเพาเวอร์ดีวีลอปเมนต์ จำกัด เครื่องที่ 1 และ 2 เลื่อนจากเดือนตุลาคม 2545 และมกราคม 2546 เป็นเดือนตุลาคม 2546 และมกราคม 2547, บริษัท กัลฟ์เพาเวอร์เจนเนอเรชั่น จำกัด เครื่องที่ 1 และ 2 เลื่อน จากเดือนตุลาคม 2545 และเมษายน 2546 เป็นเดือนตุลาคม 2546 และเมษายน 2547, และโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี กำลังผลิตรวม 3,645 เมกะวัตต์ เลื่อนออกไปประมาณ 1 ปี โดยปัจจุบันเริ่มเดินเครื่องโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมชุดที่ 1 กังหันแก๊สชุดที่ 1-2 แล้ว และคาดว่าจะเดินเครื่องได้เต็มที่ทั้งโครงการประมาณเดือนตุลาคม 2544
3.3 ได้เปลี่ยนแปลงกำหนดจ่ายไฟฟ้าตามแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติของ ปตท. ชุดใหม่ คือ เลื่อนโครงการแหล่งก๊าซใหม่จากฝั่งตะวันออกในบริเวณโครงการพัฒนาร่วม ไทย-มาเลเซีย (Joint Development Area : JDA) จากปี 2550 เป็นปี 2553
4. เนื่องจากความต้องการไฟฟ้าในปี 2543 ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยในอัตราร้อยละ 7.3 ตามการ ขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจ ประกอบกับมีการชะลอบางโครงการออกไป จึงทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองในปี 2543 ซึ่งคาดว่าจะสูงถึงร้อยละ 43.5 ลดลงเหลือร้อยละ 19.1 และทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองในปีอื่นๆ ต่ำกว่าประมาณการที่ได้จัดทำไว้ในแผนฯ ชุดเดิม (99-01 ฉบับปรับปรุง)
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และมอบหมายให้ กฟผ. เสนอแนวทางฟื้นฟูสภาพแวดล้อมจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโรงไฟฟ้าบางปะกงในการ ประชุมครั้งต่อไป รวมทั้ง ให้รับไปพิจารณาถึงการตั้งโรงไฟฟ้าในภาคอีสานเพื่อ การพัฒนาอุตสาหกรรมด้วย
เรื่องที่ 4 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในเดือนกันยายนได้เพิ่มขึ้น 3.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แม้ว่าประเทศในกลุ่ม โอเปคจะตกลงเพิ่มปริมาณการผลิต 800,000 บาร์เรลต่อวัน แต่ตลาดน้ำมันดิบก็ยังตึงตัว เพราะความต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าอัตราการผลิตน้ำมันดิบ ประธานาธิบดีคลินตันแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาจึงได้ประกาศให้มีการนำน้ำมัน สำรองทางยุทธศาสตร์ออกมาใช้จำนวน 30 ล้านบาร์เรล โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ราคาน้ำมันอ่อนตัวลง และเพื่อกลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูปเก็บสำรองไว้สำหรับฤดูหนาว ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง ในระดับ 1 - 2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบ ณ วันที่ 25 กันยายน 2543 อยู่ในระดับ 29 - 32 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในเดือนกันยายนมีความผันผวนค่อนข้างสูง เนื่องจากปริมาณสำรองน้ำมัน ทางการค้าในสิงคโปร์และญี่ปุ่นอยู่ในระดับต่ำ และเกิดสภาวะตึงตัวจากการปิดซ่อมแซมของโรงกลั่นหลายแห่ง อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของเดือนราคาน้ำมันสำเร็จรูปลดลงเนื่องจากปริมาณการซื้อลดลง ประกอบกับค่าการกลั่นที่สูง ทำให้โรงกลั่นในภูมิภาคนี้เพิ่มปริมาณการผลิตขึ้น นอกจากนี้ได้เริ่มมีการส่งออกจากอินเดีย ไทย และญี่ปุ่น ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ก๊าด ดีเซล และเตา ณ วันที่ 25 กันยายน อยู่ในระดับ 31.8, 40.6, 36.8 และ 26.2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกในเดือนกันยายน ราคาน้ำมันดีเซลปรับลดลง 1 ครั้ง จำนวน 25 สตางค์/ลิตร หลังจากนั้น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้ปรับราคาน้ำมันดีเซลขึ้นรวม 1.0 บาท/ลิตร บางจากปรับขึ้น รวม 1.3 บาท/ลิตร และผู้ค้าเอกชนปรับขึ้นรวม 1.2 บาท/ลิตร ส่วนราคาน้ำมันเบนซินไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 26 กันยายน 2543 น้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ระดับ 16.49, 15.49 และ 14.48 บาท/ลิตร ตามลำดับ สำหรับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วของบางจาก และ ปตท. ต่ำกว่าผู้ค้าน้ำมันอื่นอยู่ 11 และ 20 สตางค์/ลิตร ตามลำดับ โดย ปตท. ได้ใช้นโยบายตรึงราคาขายปลีก ทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันอยู่ในระดับต่ำมากหรือขาดทุน ทางกลุ่มผู้ค้าน้ำมันจึงได้มีหนังสือถึงประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่ง ชาติ และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) เพื่อขอหารือกับฝ่ายรัฐ
4. จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น และผู้ค้าได้ชะลอการปรับราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไว้ ทำให้ค่าการตลาดในเดือนสิงหาคมถึงกลางเดือนกันยายนลดต่ำลงมากจนอยู่ในระดับ ติดลบ ค่าการตลาดเฉลี่ยของทุกผลิตภัณฑ์ในเดือนกันยายนอยู่ในระดับติดลบที่ 0.05 บาท/ลิตร และผลจากราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่าราคาน้ำมัน ดิบ ทำให้ค่าการกลั่นในเดือนกันยายนอยู่ในระดับสูงโดยเคลื่อนไหวในระดับ 5 - 6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (1.3 - 1.6 บาท/ลิตร) เฉลี่ยอยู่ที่ 1.19 บาท/ลิตร
5. นักวิเคราะห์ด้านน้ำมันได้วิเคราะห์ว่า ปริมาณน้ำมันในตลาดจะไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นในฤดูหนาว แต่มีความเป็นไปได้ที่ประเทศในกลุ่มโอเปคจะเพิ่มปริมาณการผลิต เพื่อหยุดการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบ และคาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ณ ไตรมาสสุดท้ายจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 25 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล สำหรับราคาน้ำมันเบนซินจะปรับลงตามความต้องการที่จะลดลง แม้ว่าความต้องการใช้น้ำมันเพื่อความอบอุ่น (ก๊าด และดีเซล) ที่เพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลให้ราคาน้ำมันประเภทดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้น แต่ระดับของราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่เกิน 40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จะจูงใจให้โรงกลั่นเพิ่มปริมาณการผลิต จึงคาดว่าราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในปลายปีนี้จะไม่เกิน 45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล สำหรับราคาขายปลีกของไทย ราคาน้ำมันเบนซินมีแนวโน้มปรับตัวลดลงตามราคาตลาดโลก ส่วนราคาน้ำมันดีเซลในไตรมาสสุดท้าย คาดว่าจะเคลื่อนไหวในระดับ 15 - 16 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
1.รับทราบสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ตอบหนังสือกลุ่มผู้ค้า น้ำมัน เพื่อชี้แจงว่ารัฐบาลยังคงนโยบายการค้าเสรี โดยไม่ได้มีการเข้าไปแทรกแซงการกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
เรื่องที่ 5 ความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2542 จนถึงปัจจุบันเกี่ยวกับมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งมีความก้าวหน้าเพิ่มเติมในแต่ละมาตรการ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. มาตรการอนุรักษ์พลังงาน มีความก้าวหน้าดังนี้
1.1 การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุม อาคารควบคุม รวมทั้ง อาคาร ของรัฐ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และมีหน้าที่กำกับดูแลการอนุรักษ์พลังงานในโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบ คุม รวมทั้งอาคารของรัฐ ได้มีการอนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ รวมเป็นเงิน 491.33 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้อนุมัติเงินกองทุนฯเพื่อว่าจ้างศึกษาการดำเนินการกับเครื่องปรับอากาศ เก่าที่ถูกถอดออกและการตรวจสอบการดำเนินงานของตัวแทนดำเนินการ รวมเป็นเงิน 2 ล้านบาท ส่วนโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมได้มีการอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการอนุรักษ์พลังงาน รวมเป็นเงิน 237.71 ล้านบาท นอกจากนี้ได้มีการอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเร่งรัดให้กระทรวง/ทบวง และหน่วยงานต่างๆ ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโครงการเร่งด่วน (Fast Track) ให้แก่ทบวงมหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และกองทัพเรือแล้ว รวมเป็นเงิน 15.4 ล้านบาท และ ยังมีอาคารส่วนราชการยื่นขอรับการสนับสนุนอีกจำนวน 3 ราย คือ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และโรงพยาบาลอุดรธานี จำนวนเงิน 34.53 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการจัดทำข้อเสนออีกจำนวน 15 ราย จำนวนเงิน 45 ล้านบาท
1.2 การอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)ประกอบ ด้วย โครงการของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) จำนวน 3 โครงการ คือ 1) โครงการลดต้นทุน อุตสาหกรรมขนาดกลาง-ขนาดย่อมและสนับสนุนฐานการผลิตเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน (โครงการลดต้นทุน SMEs-ชดเชยอัตราดอกเบี้ย) ซึ่ง ขณะนี้ กสอ. ขอชะลอโครงการฯ ไว้ก่อนเพื่อรอแนวทางที่ชัดเจนของโครงการทดสอบนำร่องก่อนจัดทำข้อเสนอมาใหม่ อีกครั้ง 2) โครงการปรึกษาแนะนำและสร้างผู้เชี่ยวชาญการบริหารการจัดการพลังงานแก่โรงงาน อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ได้ผ่านการพิจารณาข้อเสนอโครงการเบื้องต้นจากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงาน สนับสนุนแล้ว เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 และ 3) โครงการกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาด ย่อม ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงข้อเสนอโครงการเบื้องต้นให้สมบูรณ์ก่อนจะนำ เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ มีโครงการของกรมโรงงานอุตสาหกรรมอีกจำนวน 3 โครงการ คือ โครงการสนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดพลังงานในภาคอุตสาหกรรมและโครงการ สาธิตการปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้สาร CFCs เป็นสารทำความเย็น ซึ่งทั้ง 2 โครงการได้ผ่านการพิจารณาข้อเสนอโครงการจากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาค ความร่วมมือแล้วเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 ส่วนโครงการติดตั้งหม้อไอน้ำสำหรับเตาเผากากอุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้แจ้งว่าโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของ สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมซึ่งอาจมีผลกระทบต่องบประมาณ จึงขอนำโครงการฯ กลับไปทบทวน เพื่อรอข้อสรุปที่ชัดเจนก่อน
1.3 โครงการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาด คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงาน ภาคความร่วมมือได้พิจารณาข้อเสนอโครงการสาธิตการใช้งานรถโดยสารประจำทาง ไฮบริดที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าของกรมควบคุมมลพิษแล้วเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 และมีมติเห็นชอบให้กรมควบคุมมลพิษจัดทำรายละเอียดของโครงการฯ เพิ่มเติมก่อนนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาให้การสนับสนุนต่อไป
1.4 โครงการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อประหยัดพลังงาน (Tune-up) โดยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จะเริ่มให้บริการปรับแต่งเครื่องยนต์ระยะที่ 1 ในเดือน ตุลาคม - ธันวาคม 2543 ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยจะตั้งศูนย์บริการประชาชนทั่วไปที่กรมการขนส่งทางบก และจะมีศูนย์บริการเคลื่อนที่เพื่อให้บริการกับหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ รวม 10 แห่งๆ ละ ประมาณ 10 วัน และในระยะที่ 2 จะขยายการให้บริการตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ 16 จังหวัด รวมจุดบริการ 60 แห่ง ในระยะเวลา 3 ปี คาดว่าจะให้บริการรถยนต์ได้อย่างน้อย 49,000 คัน
1.5 โครงการรณรงค์ในวันคาร์ฟรีเดย์ (Car Free Day) คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 เห็นชอบให้คณะรัฐมนตรี หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจร่วมรณรงค์ในวันคาร์ฟรีเดย์ในวันที่ 22 กันยายน 2543 โดยการปรับเปลี่ยนวิธีการเดินทางในแนวทางที่ประหยัด เช่น การใช้รถที่มีขนาดเล็กและ ไม่เปลืองน้ำมัน หรือเดินทางโดยรถสาธารณะ หรือจักรยาน หรืออาจใช้วิธีการใช้รถร่วมกัน (Car Pool) เพื่อให้เกิดการประหยัดน้ำมัน ผลการดำเนินโครงการดังกล่าวพบว่า การจราจรบนถนนเบาบางลงกว่าวันปกติทั่วไป ร้อยละ 5-10 ส่วนบนทางด่วนเบาบางลงร้อยละ 15-20 และจากการตรวจวัดปริมาณมลพิษ 2 ตัวหลัก โดยกรมควบคุมมลพิษ พบว่าในช่วงเวลา 7.00-24.00 น. ปริมาณมลพิษรวมเมื่อเปรียบเทียบกับในวันที่ 21 กันยายน 2543 ลดลงร้อยละ 9 โดยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ลดลงร้อยละ 2 และฝุ่นละอองขนาดเล็กลดลงร้อยละ 16 สำหรับการใช้บริการรถสาธารณะเมื่อเทียบกับวันที่ 21 กันยายน 2543 พบว่ามีผู้ใช้บริการรถ ขสมก. เพิ่มขึ้น 193,000 คน คิดเป็นร้อยละ 7 ผู้ใช้บริการรถไฟชานเมืองเพิ่มขึ้น 21,500 คน คิดเป็นร้อยละ 36 และผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสเพิ่มขึ้น 24,868 คน คิดเป็นร้อยละ 15
1.6 โครงการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน การ ไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้รับอนุมัติเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในวงเงิน 168 ล้านบาท ในการจัดสร้างโรงไฟฟ้าระบบเซลล์แสงอาทิตย์ขนาด 500 กิโลวัตต์ โดยจะดำเนินการก่อสร้างในเขตอำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน บนพื้นที่ขนาด 18,000 ตารางเมตร ใกล้โรงไฟฟ้าดีเซลของ กฟผ. เพื่อเสริมการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าดีเซล รวมทั้งจะใช้เป็นที่ศึกษาและอบรมนักศึกษา นักวิชาการ นักธุรกิจ เพื่อรองรับการขยายตัวด้านเซลล์แสงอาทิตย์ในอนาคต
1.7 โครงการศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงานได้อนุมัติให้สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (ประเทศไทย) ดำเนินโครงการสาธิตเทคโนโลยี ประสิทธิภาพพลังงานซึ่งประกอบด้วยโครงการจัดตั้งศูนย์สาธิต 4 แห่ง ในกรุงเทพมหานคร อยุธยา พิษณุโลก และเชียงใหม่ และจัดทีมรถนิทรรศการสาธิตเคลื่อนที่ไปอีก 22 จังหวัด รวมทั้งการจัดหาพื้นที่ในจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อจัดตั้งค่ายฝึกอบรมถาวรด้านวิทยาศาสตร์และพลังงาน สำหรับศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงานในกรุงเทพฯ ได้จัดสร้างที่ชั้น 1 อาคารสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในเดือนตุลาคม ศกนี้
2. มาตรการลดราคาน้ำมัน ประกอบด้วย
2.1 ปตท. ได้ลดราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลให้แก่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการ เกษตรและสหกรณ์การเกษตร 0.25 บาทต่อลิตร และลดราคาน้ำมันหล่อลื่นอีกลิตรละ 2.00 บาท เป็นการชั่วคราวตั้งแต่ 1 เมษายน - 30 กันยายน 2543 และจะพิจารณาขยายเวลาต่อไปอีก นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เสนอมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลที่สูง ขึ้น ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 ทั้งนี้จะให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรรายครัวเรือนที่สังกัดสถาบัน/องค์กร เกษตรกรที่เป็นนิติบุคคลโดยชดเชยให้ครัวเรือนละ 15 ลิตรต่อเดือน ในอัตราลิตรละ 3 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม ถึง ธันวาคม 2543
2.2 ปตท. ได้ขยายระยะเวลาขายน้ำมันราคาถูกให้แก่กลุ่มประมงผ่านจุดจ่าย 100 แห่ง จนถึง สิ้นปี 2543 โดยให้ส่วนลดลิตรละ 0.60 บาท นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรได้อนุมัติเงินจ่ายขาดวงเงิน 321 ล้านบาท ให้กับกรมประมงเพื่อใช้ชดเชยการขาดทุนของกลุ่มผู้ประกอบการประมงโดยการลด ราคาให้ในอัตราลิตรละไม่เกิน 3 บาท ให้กับเรือขนาดความยาวเกินกว่า 14 เมตร แต่ไม่เกิน 18 เมตร เป็นระยะเวลา 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543 เป็นต้นมา โดยเปิดรับสมัครสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันภายใต้การควบคุมดูแลขององค์การ สะพานปลา และตั้งแต่วันที่ 1-19 กันยายน 2543 มีการสั่งซื้อน้ำมันดีเซลจาก ปตท. ผ่านองค์การสะพานปลาแล้ว จำนวน 7.904 ล้านลิตร
2.3 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2543 เห็นชอบในหลักการให้ชดเชยค่าน้ำมัน เชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งไม่ประจำทางด้วย รถที่ใช้ขนส่งสัตว์หรือสิ่งของตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงคมนาคมกำหนด ซึ่งต่อมา ปตท. ได้จัดพิมพ์คูปองส่งให้กรมการขนส่งทางบกเพื่อนำไปจ่ายให้ผู้ประกอบการขนส่ง แล้วตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2543
2.4 ปตท. ได้จำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงอุตสาหกรรมโดยให้ส่วนลดน้ำมันดีเซลลิตรละ 0.15 บาท และน้ำมันเตาลิตรละ 0.07 บาท ตั้งแต่เดือนเมษายน 2543 ซึ่งสิ้นสุดไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2543 แต่เนื่องจากราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มสูงขึ้น ปตท. จึงได้ขยายระยะเวลาต่อไปอีกระยะหนึ่ง
3. การจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเพื่อใช้ในโรงไฟฟ้าราชบุรี ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ กฟผ., ปตท. และ สพช. โดยมีประเด็นที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้เพียง 1 ประเด็น คือ ปริมาณการซื้อขายก๊าซฯ ซึ่งคาดว่าผลการพิจารณาร่วมกันจะมีข้อยุติและสามารถจัดทำสัญญาได้ภายในเดือน ตุลาคม 2543
4. ปตท. ได้เร่งรัดการดำเนินมาตรการปรับเปลี่ยนพลังงานจากการใช้น้ำมันเป็นก๊าซ ธรรมชาติมากขึ้นทั้งในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม โดยการจัดทำโครงการ NGV Pre-marketing Project ซึ่งการประเมินผลและการจัดทำรายงานฉบับสมบูรณ์จะแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม ศกนี้ ต่อจากนั้นจะนำผลการทดสอบ รวมทั้ง ข้อคิดเห็นเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงานในการปรับปรุงรถของ ขสมก. และ กทม.ให้ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ตลอดจนการสร้างสถานีบริการก๊าซฯ นอกจากนี้ยังมีโครงการทดสอบการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซธรรมชาติระบบ Bi-fuel ในรถแท๊กซี่อาสาสมัคร จำนวน 100 คัน ใช้งบประมาณของ ปตท. วงเงินประมาณ 4 ล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2543 โดย ปตท. ได้กำหนดราคาขายก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ให้อยู่ในระดับร้อยละ 50 ของราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเพื่อเป็นการจูงใจให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้น
5. ปตท. ได้จัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐเพิ่มเติมจากอิรัก ทำให้การจัดหาเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ได้รายงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ไปแล้วซึ่งมีปริมาณ 129.8 พันบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นเป็น 135.3 พัน บาร์เรลต่อวัน โดยการจัดหาในปี 2543 เพิ่มขึ้นจากปี 2542 จำนวน 29 พันบาร์เรลต่อวัน การนำเข้าน้ำมันดิบ ดังกล่าวเป็นลักษณะสัญญา TERM ซึ่งมีราคาเฉลี่ยต่ำกว่าตลาดจรประมาณ 0.08-0.12 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
6. การแสดงความคิดเห็นในเวทีนานาชาติเพื่อสะท้อนปัญหาความเดือดร้อนจากราคา น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ) ได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในกลุ่มเอเปค (ยกเว้นจีนไทยเป และฮ่องกง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอาเซียน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ Indian Ocean Rim Association for Regional Economic Cooperation-IOR-ARC เพื่อขอให้ร่วมแสดงความห่วงกังวลต่อผลกระทบจากสถานการณ์ราคาน้ำมันไปยัง ประชาคมโลกโดยผ่านเวทีนานาชาติที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศโอเปคเพื่อ เตือนให้ประเทศในกลุ่มโอเปคคำนึงถึงผลกระทบระยะยาวจาก ความถดถอยของเศรษฐกิจโลก
ส่วนรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ในฐานะประธานการประชุมอังค์ถัด ครั้งที่ 10 ได้มีหนังสือถึงเลขาธิการอังค์ถัด เพื่อขอให้ร่วมแสดงความกังวลต่อ สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกและร่วมส่งสัญญาณเตือนไปยังกลุ่มโอเปค และในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปค ครั้งที่ 3 (Third APEC Senior Officials Meeting) ณ ประเทศบรูไน ดารูซซาลาม ระหว่าง วันที่ 21-23 กันยายน 2543 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ในฐานะรัฐมนตรีพลังงาน ได้มีการนำประเด็นปัญหาเรื่องสถานการณ์ราคาน้ำมันขึ้นหารือ และในการประชุมผู้นำเอเปคครั้งที่ 8 APEC Economic Leaders Meeting ในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ ก็จะนำปัญหาดังกล่าวขึ้นหารือเช่นกัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 6 โครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
สรุปสาระสำคัญ
1. สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ได้เสนอขอให้มีการจัดตั้งสถานี (Tanker) จำหน่ายน้ำมันในเขตต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวประมงในเรื่องต้นทุนการทำประมง และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันทางทะเล ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดตั้งระบบ การค้าน้ำมันกลางทะเลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และได้เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2543 ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้มีมติรับทราบผลการศึกษาดังกล่าว และมอบหมายให้ สพช. รับไปดำเนินการจัดทำรายละเอียดโครงการเพื่อเสนอคณะกรรมการฯ ให้ความเห็นชอบ ต่อไป
2. สพช. ได้จัดทำรายละเอียดแนวทางการดำเนินโครงการ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
2.1 โครงการดังกล่าวจะช่วยพัฒนาระบบการป้องกันและปราบปรามน้ำมันเถื่อนในทะเล จากการติดตามจับกุมเป็นการป้องกันมิให้มีการลักลอบนำน้ำมันขึ้นฝั่ง โดยประสานงานกับผู้จำหน่ายน้ำมันในทะเลและชาวประมง ทำให้จับกุมได้ง่ายและทันเวลา สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปราม นอกจากนั้นยังช่วยให้เรือประมงได้ใช้น้ำมันคุณภาพดี ราคาต่ำ และสามารถเข้าทดแทนโครงการลดราคาน้ำมันเพื่อช่วยเหลือชาวประมงของกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ได้ ช่วยให้ลดภาระค่าใช้จ่ายในการอุดหนุน ได้ส่วนหนึ่ง รวมทั้งช่วยให้ผู้ค้าน้ำมันภายในประเทศสามารถจำหน่ายน้ำมันส่วนเกินของโรง กลั่นได้ ซึ่งคาดว่า จะมีปริมาณความต้องการน้ำมันดีเซลของกลุ่มเรือประมงในระดับ 120 ล้านลิตรต่อเดือน หรือมูลค่าประมาณ 15,000 ล้านบาทต่อปี
2.2 คุณภาพของน้ำมันดีเซลที่จำหน่ายในโครงการ มีค่ากำมะถันโดยน้ำหนักไม่เกิน 0.5% อุณหภูมิการกลั่นไม่เกิน 3700C และมีการเติมสาร Marker ตามข้อกำหนดของน้ำมันส่งออก รวมทั้งเติมสีน้ำเงิน เพื่อให้มีความแตกต่างจากน้ำมันที่ใช้ทั่วไป
2.3 ราคาที่จำหน่ายให้แก่เรือประมง จะเป็นราคาไม่รวมภาษีและกองทุนต่างๆ และหักค่าปรับลดคุณภาพน้ำมัน บวกด้วยค่าพรีเมี่ยมของโรงกลั่นและผู้จำหน่ายน้ำมันกลางทะเล ทำให้ราคาจำหน่ายจะต่ำกว่าปกติในระดับมากกว่า 2 บาท/ลิตร ขึ้นไป
2.4 การอนุญาตให้จำหน่ายน้ำมันในเขตต่อเนื่องเป็นอำนาจอนุมัติของอธิบดีกรม ศุลกากร โดยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเป็นไปตามที่ศูนย์ประสานงานการป้องกันและปราบปราม การลักลอบกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม (ศปปป.) กำหนด
2.5 เรือที่จำหน่ายน้ำมันต้องติดตั้งมิเตอร์จ่ายน้ำมันและมีมาตรฐานความปลอดภัย โดยให้ปฏิบัติ ตามระเบียบและมาตรฐานที่ทางราชการกำหนดไว้
2.6 มาตรการควบคุมการลักลอบนำเข้า จะดูแลโดย ศปปป. ซึ่งกำหนดให้โรงกลั่นน้ำมัน เรือจำหน่ายน้ำมัน และสมาคมประมงฯ ต้องรายงานข้อมูลการซื้อขายเป็นรายเดือน ทั้งนี้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตรวจสอบ รวมทั้งสมาคมประมงฯ ต้องแจ้งปริมาณความต้องการใช้น้ำมันของเรือประมงที่เป็นสมาชิกทุกลำ สำหรับผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งล่วงหน้าถึงข้อมูลการรับน้ำมันจากโรงกลั่น การขนส่งไปยังคลังทัณฑ์บนและขนส่งไปยังเรือจำหน่ายน้ำมัน สถานที่และเวลาการขนถ่ายน้ำมัน เพื่อที่ ศปปป. จะได้ตรวจสอบเปรียบเทียบปริมาณ น้ำมันที่รายงาน ซึ่งต้องสัมพันธ์กับของต้นทาง (โรงกลั่น/ผู้ค้าน้ำมัน) กลางทาง (เรือ Tanker) และปลายทาง (ผู้ซื้อคือเรือประมง) เพื่อนำมาวิเคราะห์ว่ามีการลักลอบนำเข้าหรือจัดซื้อน้ำมันจากต่างประเทศหรือ ไม่ นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบเรือประมงที่แล่นสู่ชายฝั่งทะเล ท่าเทียบเรือ แพปลา มิให้มีการสูบถ่ายน้ำมันจากเรือประมงออกจากถังนำมาจำหน่ายบนฝั่ง โดยการตรวจสอบสี และสาร Marker ในน้ำมันที่จำหน่ายในสถานีบริการชายฝั่งโดยหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งขอความร่วมมือจากสมาคมประมงฯ เรือจำหน่ายน้ำมันและเรือประมงสมาชิกช่วยสอดส่องดูแล แจ้งเบาะแสการกระทำผิดให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐทราบ
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบโครงการและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้
3.1 เห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
3.2 ให้กรมสรรพสามิตพิจารณาดำเนินการยกเว้นภาษีสรรพสามิต สำหรับน้ำมันดีเซลและน้ำมันที่คล้ายกันที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมได้จำหน่ายไป ยังเรือจำหน่ายน้ำมันกลางทะเล (Tanker) ในเขตต่อเนื่อง (12-24 ไมล์ทะเล) โดยมีวัตถุประสงค์ในการจำหน่ายให้แก่ชาวประมง เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเรือประมง ในทะเล ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 103 แห่งพระราชบัญญัติตามภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527
3.3 ให้กรมศุลกากรพิจารณาอนุญาตให้เรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงใน เขต ต่อเนื่อง สามารถขนถ่ายสิ่งของใดๆ ได้ ตามมาตรา 37 ตรี แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 (แก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 15) พ.ศ. 2540)
3.4 ให้กรมศุลกากรพิจารณากำหนดให้การส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงออกไปจำหน่ายในเขต ต่อเนื่อง ระบุจุดหมายปลายทางว่า "เขตต่อเนื่อง" รวมทั้ง พิจารณายกเว้นอากรขาเข้าสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ชาวประมงซื้อในเขตต่อ เนื่อง และน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในถังใช้การปกติของยานพาหนะที่นำมาจากนอกราช อาณาจักร เพื่อใช้สำหรับยานพาหนะนั้นเท่านั้น
3.5 ให้กรมทะเบียนการค้าไปพิจารณาออกประกาศกำหนดคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะส่ง ออกไปจำหน่ายในเขตต่อเนื่องให้สอดคล้องกับหลักการของโครงการฯ และเหมาะสมกับสภาพการใช้งานในทะเล
3.6 ให้กรมสรรพากรสนับสนุนโครงการฯ โดยการเร่งรัดการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้เร็วที่สุด เพื่อให้ ผู้จำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ สามารถแข่งขันราคากับผู้จำหน่ายน้ำมันในต่างประเทศได้ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ ในการตรวจสอบความถูกต้องของภาษีมูลค่าเพิ่มที่ขอคืน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการฯ ตามข้อ 3
เรื่องที่ 7 ความเห็นเกี่ยวกับการผ่อนปรนข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันดีเซลและเบนซิน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2543 มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม รับไปพิจารณาถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชน ในกรณีที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอให้มีการพิจาณาผ่อนปรนข้อกำหนดคุณภาพน้ำมัน ดีเซลและเบนซิน เพื่อเป็นการลดระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง
2. กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ได้พิจารณาแล้วมีความเห็นว่าควรคงข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันไว้ตามที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบัน ทั้งนี้ เนื่องจากการผ่อนปรนคุณภาพน้ำมันดีเซล โดยการเพิ่มอุณหภูมิการกลั่นจาก 357oC เป็น 370oC และการเพิ่มปริมาณกำมะถันจากร้อยละ 0.05 เป็นร้อยละ 0.5 โดยน้ำหนัก จะมีผลโดยตรงต่อปริมาณฝุ่นละอองในไอเสียของรถยนต์ดีเซลที่จะเพิ่มมากขึ้น ทำให้ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในบรรยากาศที่อยู่ในระดับเกินเกณฑ์มาตรฐานอยู่ แล้วจะเพิ่มปริมาณมากขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศและมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล นอกจากนี้ ยังเห็นว่ามาตรการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมคือการใช้น้ำมันอย่างประหยัดและคุ้ม ค่า ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อ เนื่อง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบตามความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีความเห็นว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากการผ่อนปรนคุณภาพน้ำมัน ซึ่งจะทำให้ราคาลดลงบ้างนั้นไม่คุ้มค่ากับความเสียหายต่อสุขภาพอนามัย และคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเฉพาะประชาชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจากปัญหามลพิษที่เพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากการผ่อนปรนคุณภาพนั้น ดังนั้น จึงควรคงสภาพข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไว้ อนึ่งกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เห็นว่ามาตรการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมคือการใช้น้ำมันอย่างประหยัดและคุ้มค่า ซึ่งเป็นแนวทางที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
เรื่องที่ 8 ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ...
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2541 เห็นชอบแผนแม่บทการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ โดยสาขาพลังงานได้กำหนดแนวทางการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งกำหนดให้มีการวางกรอบการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ และให้มีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงานขึ้นเป็นหน่วยงานอิสระ เพื่อรับผิดชอบในการกำกับดูแลกิจการพลังงานในอนาคต ต่อมารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะทำงานยกร่างกฎหมายจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงานเพื่อ ดำเนินการยกร่างกฎหมายให้แล้วเสร็จ และนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี และรัฐสภาพิจารณาต่อไปตามลำดับ
2. คณะทำงานยกร่างกฎหมายจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงาน ได้ดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... โดยใช้กรอบของแนวทางในการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลฯ ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจและคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2542 และแนวทางในการปรับโครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติของประเทศในระยะยาวที่คณะ รัฐมนตรีได้ให้ความ เห็นชอบเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 รวมทั้งข้อเสนอการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขาย ไฟฟ้าที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 มาใช้เป็นแนวทางหลักในการ ยกร่างกฎหมายดังกล่าว
3. ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... มีสาระสำคัญ คือ
3.1 เพื่อกำกับดูแลกิจการพลังงานที่มีลักษณะผูกขาด ได้แก่ กิจการไฟฟ้า กิจการก๊าซธรรมชาติ และกิจการอื่นที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา และให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานแห่งชาติมีหน้าที่คือออกใบ อนุญาตการประกอบกิจการพลังงาน ส่งเสริมการแข่งขัน ป้องกันการใช้อำนาจการผูกขาดโดย มิชอบ และให้การคุ้มครองผู้ใช้พลังงาน
3.2 ให้มีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานแห่งชาติขึ้น เป็นหน่วยงานของรัฐซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคล ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการเพื่อให้คณะกรรมการสามารถ ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.3 ให้มีการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าแห่งประเทศไทยขึ้น ทำหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมระบบส่งไฟฟ้าของประเทศ ศูนย์ปฏิบัติการทางการตลาด และศูนย์บริหารการชำระเงิน โดยมีคณะกรรมการตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าแห่งประเทศไทยทำหน้าที่กำกับดูแล เพื่อให้กิจการไฟฟ้ามีการแข่งขัน ผู้ใช้ไฟฟ้ามีทางเลือก ในการซื้อไฟฟ้า และมีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ
4. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จัดการสัมมนาระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการ พลังงาน พ.ศ. ... เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2543 โดยได้เชิญผู้แทนจากหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ ผู้ใช้พลังงาน สถาบันการเงิน สถาบันการศึกษา และองค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าร่วมสัมมนา นอกจากนี้ ได้ประกาศเชิญชวนประชาชนผู้สนใจทั่วไปให้เข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ผ่านทางสื่อ ต่างๆ โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้กว่า 500 คน ซึ่งคณะทำงานยกร่างกฎหมายจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงาน ได้นำข้อคิดเห็นที่ได้รับจากการสัมมนาในหลายประเด็น มาใช้ในการปรับปรุงร่างกฎหมายตามความเหมาะสมแล้ว
5. เมื่อร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... ได้รับความเห็นชอบในหลักการจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติและคณะ รัฐมนตรีแล้ว ก็จะนำพระราชบัญญัติฉบับนี้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาตรวจ ร่าง ก่อนนำเสนอรัฐสภาพิจารณาเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป ซึ่งคาดว่าร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จะผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ประมาณกลางปี 2545
6. ในระหว่างที่ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาและรัฐสภา สพช. จะเป็นแกนกลางในการประสานงานเพื่อดำเนินการยกร่างกฎหมาย ที่จะออกตามบทบัญญัติแห่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งจะช่วยเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานของ องค์กรกำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน โดยคาดว่าจะจัดตั้งขึ้นภายในปี 2545 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะช่วยให้การประกาศใช้กฎหมายรองรับ รวมทั้งกฎและระเบียบที่จะใช้ในการกำกับดูแลกิจการพลังงานสามารถดำเนินการได้ อย่างรวดเร็วหลังการจัดตั้งองค์กรกำกับการประกอบกิจการพลังงาน และวันเริ่มต้นที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ ซึ่งจะสอดคล้องกับแผนการดำเนินงานในการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าแห่ง ประเทศไทยที่กำหนดภายในปี 2546
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดส่งข้อแก้ไขมายัง สพช. เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ และเวียนคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อขอความเห็นชอบ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
เรื่องที่ 9 แผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 เห็นชอบข้อเสนอการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขาย ไฟฟ้า โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า เป็นผู้กำกับดูแลการดำเนินงานของหน่วยงานดังกล่าว และหากมีประเด็น ที่ไม่สามารถหาข้อยุติได้ ให้นำเสนอคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เพื่อตัดสินชี้ขาด
2. สพช. ได้จัดทำแผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาด กลางซื้อขายไฟฟ้า รวมทั้งได้ปรับปรุงรายละเอียดแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับร่างพระราช บัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... โดยคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ซึ่งมีนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นประธาน ประกอบด้วย ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ (สศช.) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมบัญชีกลาง และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้มีมติเห็นชอบในหลักการของแผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้า และการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าแล้ว
3. แผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขาย ไฟฟ้าที่คณะ อนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2543 สามารถสรุปสาระสำคัญ ได้ดังนี้
3.1 การจัดทำกฎตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า (Market Rules) จะครอบคลุมถึงกฎเกณฑ์ กติกาในการซื้อขายไฟฟ้าและการกำหนดราคา ตลอดจนข้อปฏิบัติทางเทคนิคในการควบคุมความมั่นคงของระบบและตรวจวัดหน่วย ไฟฟ้าเพื่อชำระเงิน ในการยกร่างกฎหมายดังกล่าว สพช. จะเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน ทั้งนี้ คาดว่าการจัดทำร่างกฎตลาดกลางฯ จะแล้วเสร็จ และเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาให้ความเห็นชอบได้ในราวเดือนตุลาคม 2544
3.2 การดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... ดังกล่าวจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานแห่งชาติเพื่อทำหน้าที่ กำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน ได้แก่ กิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ และคาดว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว จะผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และมีผลใช้บังคับประมาณกลางปี 2545
3.3 การดำเนินการยกร่างกฎหมายรองรับในช่วงที่ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอยู่ ระหว่างการพิจารณาในสภาฯ สพช. จะเป็นแกนกลางในการจัดทำร่างกฎระเบียบ ข้อกำหนด ประกาศ ฯลฯ และรายละเอียดอื่นๆ ทางกฎหมายที่จำเป็นต่อการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระและการดำเนินการของ ตลาดกลางฯในอนาคต
3.4 การจัดการต้นทุนและหนี้สินติดค้าง (Stranded Cost) สพช. เป็นแกนกลางในการดำเนินการและว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อจัดทำแบบจำลองทาง การเงินเพื่อประเมินมูลค่าและเสนอมาตรการในการจัดการต้นทุนติดค้าง ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ให้ความเห็นชอบได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2544
3.5 การดำเนินการด้านระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จะดำเนินการ ร่วมกันเพื่อจัดทำข้อกำหนดการเชื่อมโยง การใช้บริการและการปฏิบัติการระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า (Grid Code and Distribution Code) และกำหนดขอบเขตระหว่างระบบส่ง และระบบจำหน่ายให้ชัดเจน ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จในปลายปี 2544
3.6 การเตรียมความพร้อมภายในองค์กรของ กฟผ. คาดว่าจะสามารถปรับหน่วยงานต่างๆ ภายในองค์กรออกเป็นหน่วยธุรกิจเชิงพาณิชย์ ภายในปลายปี 2544 โดยจะจัดตั้งบริษัทผลิตไฟฟ้า 1 และ 2 ภายในเดือนตุลาคม 2545 และลดสัดส่วนการถือหุ้นภายในเดือนตุลาคม 2546 นอกจากนี้ กฟผ. จะดำเนินการเตรียมความพร้อมด้านระบบมิเตอร์และการสื่อสารให้เสร็จภายในสิ้น ปี 2545 และจะเริ่มการเตรียมระบบของศูนย์ ควบคุมระบบ (SO) ศูนย์ปฏิบัติการทางการตลาด (MO) และศูนย์บริหารการชำระเงิน (SA) โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว กฟผ. ได้ดำเนินการขออนุมัติงบประมาณ ซึ่งจะรวมเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลงทุนระยะยาว และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ สศช. ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จและตลาดกลางฯ สามารถเปิดดำเนินการได้ในเดือนธันวาคม 2546
3.7 การเตรียมความพร้อมภายในองค์กรของ กฟน. และ กฟภ. มีดังนี้
(1) การปรับโครงสร้างองค์กรภายใน กฟน. และ กฟภ. จะต้องปรับกิจการหลักเป็นการดำเนินการเชิงพาณิชย์ แยกธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักออกเป็นบริษัทในเครือ และลดสัดส่วนการถือหุ้น ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำได้แล้วเสร็จก่อนเดือนธันวาคม 2546
(2) การเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี กฟน. และ กฟภ. จะดำเนินการพัฒนาระบบการวัดหน่วยไฟฟ้า ระบบเรียกเก็บเงิน ระบบชำระเงิน และลักษณะการใช้ไฟฟ้ารูปแบบต่างๆ (Load Profiles) เพื่อให้ระบบสามารถรองรับการซื้อขายไฟฟ้าที่มีการแข่งขันได้ภายในปี 2545
3.8 การจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า หลังจากที่พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... มีผลใช้บังคับ ตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าจะมีสถานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ในช่วงแรกตลาดกลางฯ จะมอบหมายให้ กฟผ. เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ของตลาดกลางฯ ทั้งหมด แต่ทั้งนี้ต้องมีการโอนทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ พนักงาน และงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของตลาดกลางฯ จาก กฟผ. ไปเป็นของตลาดกลางฯ ภายใน 3 ปี นับจากวันที่พระราชบัญญัติมีผลใช้บังคับ
4. ความคืบหน้าในการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปได้ดังนี้
4.1 คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายให้ สพช. ในการ ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาดำเนินการศึกษาในเรื่อง 1) การกำหนดกฎตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า 2) การจัดการต้นทุนและหนี้สินติดค้าง และ 3) การดำเนินการทางด้านกฎหมายและการกำกับดูแล ซึ่งขณะนี้ สพช. อยู่ระหว่างการพิจารณาคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษา คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน 2543
4.2 กฟผ. ได้เริ่มดำเนินการจัดเตรียมระบบศูนย์ควบคุมระบบอิสระโดยได้จัดทำขอบเขตการ ศึกษาสำหรับโครงการพัฒนาศูนย์ควบคุมระบบอิสระ (ISO) ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคและ ข้อเสนอด้านราคาเพื่อคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษา
4.3 กฟน. อยู่ระหว่างการดำเนินการศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนา กฟน. โดยจะจัดทำแผนการเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี และแผนการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อการดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้แล้วเสร็จภาย ในเดือนพฤศจิกายน 2543
4.4 สพช. ได้ช่วยเหลือการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จัดทำขอบเขตการศึกษา 3 เรื่อง คือ 1) ข้อกำหนดการเชื่อมโยงการใช้บริการและการปฏิบัติการระบบส่งไฟฟ้า และระบบจำหน่ายไฟฟ้า 2) การจัดทำแผนการเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี และ 3) แผนการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อดำเนินการเชิงพาณิชย์ โดยการศึกษาในเรื่องแรก การไฟฟ้าทั้ง 3 จะดำเนินการร่วมกันเพื่อจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษา โดยมี กฟผ. เป็นแกนนำ สำหรับการศึกษาใน 2 เรื่องที่เหลือ กฟภ. จะเป็นผู้ดำเนินการ
4.5 คณะอนุกรรมการประสานฯ เห็นชอบให้มีการจัดตั้งคณะทำงาน จำนวน 5 คณะ คือ คณะทำงานพิจารณาร่างกฎตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า คณะทำงานศึกษาต้นทุนและหนี้สินติดค้าง คณะทำงานเตรียมการด้านระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า คณะทำงานเตรียมการด้านกฎหมายและการกำกับดูแล และคณะทำงานพิจารณาปรับปรุงสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบตามข้อเสนอแผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการ จัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า รายละเอียดตามข้อ 3 และเอกสารแนบ 2 ของเอกสารแนบวาระ 4.4.1 และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามแผนการดำเนินงานฯ และให้กระทรวงการคลังนำแผนดังกล่าวไปใช้เป็นหลักเกณฑ์หนึ่งในการประเมินผล การดำเนินงานของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง
2.รับทราบการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการ ไฟฟ้า สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และมอบหมายให้ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 ดำเนินการว่าจ้างที่ปรึกษาตามขอบเขตการศึกษาที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะ อนุกรรมการประสานฯ รายละเอียดตามข้อ 3 ต่อไป
3.มอบหมายให้ กฟผ. เป็นผู้ดำเนินการจัดเตรียมความพร้อมของระบบตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วย ศูนย์ควบคุมระบบ ศูนย์ปฏิบัติการทางการตลาด และศูนย์บริหารการชำระเงิน โดยให้มีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับ สพช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การจัดตั้งตลาดกลางฯ มีความเป็นกลางและเป็นไปอย่างราบรื่นตามแผน และให้ กฟผ. เป็นผู้ดำเนินการตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าในช่วงแรกไปก่อน ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการตลาดกลางฯ จากนั้นจึงทำการโอนระบบตลาดกลางฯ ออกจาก กฟผ. มาเป็นองค์กรอิสระ (ISO) เพื่อให้ศูนย์ควบคุมระบบเป็นอิสระจากกิจการระบบส่งภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี นับจากวันที่พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... มีผลใช้บังคับ
4.มอบหมายให้ สพช. เป็นผู้เตรียมการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงาน โดยดำเนินการ ยกร่างกฎระเบียบ ข้อบังคับ ฯลฯ ภายใต้ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ...
เรื่องที่ 10 การส่งเสริมนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก
สรุปสาระสำคัญ
1. ระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (SPP) มีข้อกำหนดกระบวนการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration ให้มีสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อการผลิต พลังงาน ทั้งหมดไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 โดยเฉลี่ยในแต่ละปี และมีสัดส่วนของผลบวกระหว่างพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้และครึ่งหนึ่งของพลังงาน ความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อพลังงานน้ำมันและ/หรือก๊าซ ธรรมชาติ (โดยคิดจากค่าความร้อนต่ำ) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 โดยคิดเฉลี่ยในแต่ละปี
2. ภายหลังการเปลี่ยนแปลงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอย ตัว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 เห็นชอบมาตรการในการแก้ไขปัญหาของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก โดยเห็นชอบให้มีการผ่อนผันการกำหนดสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่ใช้ในกระบวน การอุณหภาพจะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 เป็นเวลา 3 ปี นับจากวันเริ่มต้นจ่ายไฟตามสัญญา และผ่อนผันการกำหนดสัดส่วนของผลบวกของพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้และครึ่งหนึ่ง ของพลังงานความร้อนที่นำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อพลังงานจากน้ำมัน และ/หรือก๊าซธรรมชาติ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 เป็นระยะเวลา 3 ปี นับจากวัน เริ่มต้นจ่ายไฟตามสัญญา ซึ่งมีผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ขอผ่อนผันคุณสมบัติของ SPP จำนวน 19 ราย โดยกำหนดวันสิ้นสุดของการได้รับผ่อนผันภายในปี 2546 จำนวนทั้งสิ้น 14 ราย ขอผ่อนผันเป็น Open Cycle จำนวน 10 ราย ขอผ่อนผันสัดส่วนพลังงานความร้อนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 จำนวน 14 ราย และขอผ่อนผันประสิทธิภาพไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 จำนวน 9 ราย
3. สมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ขอให้พิจารณายกเลิกเงื่อนไขการกำหนดสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่ใช้ใน กระบวนการอุณหภาพ และสัดส่วนของผลบวกระหว่างพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้และครึ่งหนึ่งของพลังงาน ความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการ อุณหภาพต่อพลังงานจากน้ำมันและ/หรือก๊าซธรรมชาติ (โดยคิดจากค่าความร้อนต่ำ) เนื่องจาก SPP ได้พยายามผลิตไฟฟ้าให้เกิดการใช้พลังงานความร้อนในกระบวนการอุณหภาพให้สอด คล้องตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า แต่ปัจจุบันลูกค้าอุตสาหกรรมที่ซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจและ การตลาด ทำให้ต้องชะลอการลงทุน ลดการลงทุน หรือยกเลิกโครงการ ส่งผลให้ SPP ไม่สามารถใช้พลังงาน ความร้อนได้ตามเงื่อนไข
4. คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2543 ได้พิจารณาเรื่องการกำหนดสัดส่วนการผลิตพลังงานความร้อนของผู้ผลิตไฟฟ้าราย เล็กแล้ว และมีมติ เห็นควรให้ขยายระยะเวลาการผ่อนผันการกำหนดสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่จะนำ ไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อการผลิตพลังงานทั้งหมดไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 โดยเฉลี่ยในแต่ละปี และสัดส่วนของผลบวกระหว่างพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้และครึ่งหนึ่งของพลังงาน ความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อพลังงานจากน้ำมันและ/หรือก๊าซ ธรรมชาติ (โดยคิดจากค่าความร้อนต่ำ) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 โดยเฉลี่ยในแต่ละปี สำหรับโครงการ SPP ที่กำหนดวันสิ้นสุดการผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 ภายในปี 2546 ให้เลื่อนออกไปอีกจนถึงสิ้นปี 2546 ทั้งนี้ ให้ SPP ที่ประสงค์จะขอผ่อนผันติดต่อกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นรายๆ ไป
5. นอกจากนี้ กรมโยธาธิการได้มีหนังสือถึง สพช. ขอให้พิจารณาสนับสนุนการดำเนินงานของโรง ไฟฟ้าขยะ จังหวัดภูเก็ต ในเรื่องการคิดอัตราค่าไฟฟ้าสรุปได้ดังนี้
5.1 โครงการโรงไฟฟ้าขยะ จังหวัดภูเก็ต ของกรมโยธาธิการ ได้เคยยื่นคำร้องเสนอขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. ในปริมาณ 1 เมกะวัตต์ แต่เนื่องจากตามกฎหมายระบุว่ากรมโยธาธิการเป็นหน่วยงานราชการที่ไม่สามารถ ประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าได้ กรมโยธาธิการจึงไม่สามารถลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้ ดังนั้น กฟผ. จึงได้แจ้งยกเลิกการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการดังกล่าว
5.2 แม้ว่าโครงการโรงไฟฟ้าขยะของกรมโยธาธิการจะไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าให้ กฟผ. ได้ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP แต่โครงการก็ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ และส่งกระแสไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้าส่วน ภูมิภาค (กฟภ.) โดยว่าจ้างบริษัทเอกชนดำเนินการ และมีแผนที่จะโอนโครงการดังกล่าวให้กับเทศบาลเมืองภูเก็ตเป็นผู้บริหารงาน ต่อไปประมาณปลายปี 2543 สำหรับการผลิตไฟฟ้าได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2542 เป็นต้นมา พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ส่วนใหญ่จะใช้ในโครงการและโรงบำบัดน้ำเสียของเทศบาล เมืองภูเก็ต ส่วนที่เหลือจะส่งเข้าระบบของ กฟภ. โดยไม่ได้รับค่าพลังงานไฟฟ้า อย่างไรก็ตามในช่วงที่โรงไฟฟ้าขยะไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอกับความต้อง การใช้ไฟฟ้า โครงการฯ ก็จะซื้อไฟฟ้าจาก กฟภ. ในอัตราปกติประเภทกิจการขนาดกลาง โดยใช้เงินจากงบประมาณ
5.3 กรมโยธาธิการได้มีหนังสือถึง สพช. ขอให้พิจารณาสนับสนุนการดำเนินการของโรงไฟฟ้าขยะ โดยขอให้พิจารณาแลกเปลี่ยนหน่วยพลังงานไฟฟ้าที่ส่งให้ กฟภ. และที่ซื้อจาก กฟภ. และของดหรือลดค่า ความต้องการพลังไฟฟ้า (Demand Charge) จากการคิดค่าไฟฟ้าในอัตราปกติประเภทกิจการขนาดกลาง เพื่อเป็นการลดภาระของท้องถิ่นที่จะดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวเป็นการส่งเสริมการพัฒนาและอนุรักษ์พลังงานในการผลิตไฟฟ้า จากขยะมูลฝอย ตลอดจนเป็นการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวมให้ดีขึ้น
5.4 คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2543 ได้มีการพิจารณาเรื่องดังกล่าว และมีมติเห็นควรให้มีการออกระเบียบเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษสำหรับการรับซื้อ ไฟฟ้าจากโครงการ SPP ขนาดเล็ก โดยมอบให้ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 ร่วมกันดำเนินการ ต่อไป และเห็นควรให้โครงการโรงไฟฟ้าขยะ จังหวัดภูเก็ต แลกเปลี่ยนหน่วยพลังงานไฟฟ้าที่ส่งเข้าระบบของ กฟภ. กับที่ซื้อจาก กฟภ. ได้ ในระหว่างที่ยังไม่โอนงานให้กับเทศบาลเมืองภูเก็ต โดยกรมโยธาธิการจะไม่คิด ค่าไฟฟ้าสำหรับปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ส่งเข้าระบบ กฟภ. เกินกว่าที่ซื้อจาก กฟภ. ทั้งนี้ เมื่อการโอนงาน แล้วเสร็จ เทศบาลเมืองภูเก็ต จะสามารถขอสัมปทานประกอบกิจการไฟฟ้าและยื่นคำร้องเพื่อเสนอขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ได้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการผ่อนผันคุณสมบัติของ SPP สำหรับโครงการ SPP ที่มีกำหนดวัน สิ้นสุดการผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 ภายในปี 2546 ออกไปอีกจนถึงสิ้นปี 2546 โดยคุณสมบัติของ SPP ที่ได้รับการผ่อนผันมีดังนี้
1.1 ผ่อนผันการกำหนดสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพ นอกจากการผลิตไฟฟ้าต่อการผลิตพลังงานทั้งหมดไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 โดยคิดเฉลี่ยในแต่ละปี
1.2 ผ่อนผันการกำหนดสัดส่วนของผลบวกระหว่างพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้และครึ่งหนึ่ง ของพลังงานความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อพลังงานจากน้ำมัน และ/หรือก๊าซธรรมชาติ (โดยคิดจากค่าความร้อนต่ำ) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 โดยคิดเฉลี่ยในแต่ละปี
ทั้งนี้ ให้ SPP ที่ประสงค์จะขอผ่อนผันติดต่อกับ กฟผ. เป็นรายๆ ไป
2.เห็นชอบให้มีการออกระเบียบเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษสำหรับการรับซื้อไฟฟ้า จากโครงการ SPP ขนาดเล็กเพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ กาก หรือเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ก๊าซชีวภาพจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์เป็นเชื้อเพลิง โดยเฉพาะโครงการขนาดเล็ก ทั้งนี้ มอบหมายให้ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ร่วมกันดำเนินการต่อไป
3.เห็นชอบให้โครงการโรงไฟฟ้าขยะ จังหวัดภูเก็ต แลกเปลี่ยนหน่วยพลังงานไฟฟ้าที่ส่งเข้าระบบของ กฟภ. ได้ในระหว่างที่โครงการดังกล่าวยังไม่ได้รับสัมปทาน ภายหลังจากที่ได้รับสัมปทานแล้วให้โครงการขาย ไฟฟ้าให้ กฟผ. ตามระเบียบ SPP
เรื่องที่ 11 ร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2537 อนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่องการพัฒนาก๊าซธรรมชาติจากสหภาพพม่าเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิต ไฟฟ้า โดยเห็นชอบให้นำเงื่อนไขหลักๆ ของสัญญาซื้อขายก๊าซฯ จากแหล่งยาดานา มายกร่างสัญญาซื้อขายก๊าซฯ ระหว่างการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) กับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยอัตราค่าผ่านท่อควรสะท้อนถึง การแบ่งภาระความเสี่ยงระหว่าง ปตท. และ กฟผ.
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบนโยบายราคาก๊าซธรรมชาติและการกำกับดูแล โดยเฉพาะเมื่อมีการนำเข้าก๊าซฯจากสหภาพพม่า ปตท. จะเชื่อมโยงระบบท่อก๊าซฯ จากสหภาพพม่าเข้ากับระบบท่อหลักแล้วให้นำก๊าซฯ จากแหล่งยาดานา (Pool 4) กับก๊าซฯ จากอ่าวไทย และเยตากุน (Pool 2) มาเฉลี่ยให้เป็นราคาเดียวกัน และเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2542 ได้มีมติเห็นชอบ ให้ กฟผ. ให้ความร่วมมือกับ ปตท. ในการเจรจาสัญญาซื้อขายก๊าซฯ สำหรับโรงไฟฟ้าราชบุรีให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของสัญญาฯ ยาดานา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2537 และให้มีการลงนามในสัญญาโดยเร็ว
3. นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 เห็นชอบแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี โดยในส่วนของการจัดหาเชื้อเพลิง (ก๊าซธรรมชาติ) มีประเด็นสำคัญๆ ดังนี้
3.1 บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีจะทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับ ปตท. โดยตรง (Gas Sales Agreement :GSA) ทั้งนี้ กฟผ. จะต้องทำสัญญาซื้อขายก๊าซฯ หลัก (Master Gas Sales Agreement :MGSA) กับ ปตท. ซึ่งจะระบุเงื่อนไขเกี่ยวกับภาระของ กฟผ. กรณีบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีไม่สามารถรับก๊าซฯ ที่ ปตท. ส่งให้ครบตามปริมาณที่กำหนดในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ (Minimum Take Liability) ซึ่งเป็นรูปแบบ เดียวกันกับการจัดหาก๊าซของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ในกรณีที่บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี ไม่สามารถทำสัญญาซื้อขายก๊าซฯ กฟผ. จะเป็นผู้จัดหาก๊าซฯ ให้แก่บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีเป็นการชั่วคราวจนกว่าบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จะลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซฯ กับ ปตท. ได้
3.2 สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ (GSA) ระหว่างบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี กับ ปตท. ได้กำหนด เงื่อนไขเกี่ยวกับปริมาณและการจัดส่งก๊าซฯ ให้กับบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโดยจะใช้สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง บริษัท Tri Energy Company Limited (ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนซึ่งซื้อก๊าซธรรมชาติที่ ปตท. จัดหาจาก สหภาพพม่า) กับ ปตท. เป็นต้นแบบ
3.3 สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติหลัก (MGSA) ระหว่าง กฟผ. กับ ปตท. ได้กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับภาระรับผิดชอบของ กฟผ. กรณีบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีไม่สามารถรับก๊าซฯ ที่ ปตท. ส่งให้ครบตามปริมาณที่กำหนดในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ โดยอาจจะใช้สัญญาซื้อขายก๊าซฯ หลักตามโครงการรับซื้อไฟฟ้าจาก เอกชน (Master IPP Program Gas Sales Agreement) ระหว่าง กฟผ. กับ ปตท. เป็นต้นแบบ หรือแก้ไขสัญญาหลักดังกล่าวเพื่อให้ครอบคลุมถึงบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี
4. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2543 และเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 รับทราบ รายงานผลการเจรจาสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงไฟฟ้าราชบุรีระหว่าง ปตท. และ กฟผ. โดยให้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายก๊าซฯ สำหรับโรงไฟฟ้าราชบุรี เพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว
5. ปตท. กฟผ. และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้ดำเนินการจัดทำสัญญา ซื้อขายก๊าซธรรมชาติของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี โดยคำนึงถึงหลักการการจัดทำสัญญาตามมติคณะรัฐมนตรี ข้างต้นแล้วเสร็จ โดยแยกออกเป็น 2 สัญญา คือ สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ บริษัทผลิต ไฟฟ้าราชบุรี (Gas Sales Agreement : GSA) ที่กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับปริมาณและการจัดส่งก๊าซฯ ให้กับบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี และสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติหลักระหว่าง ปตท. กับ กฟผ. (Ratchaburi Master Gas Sales Agreement : RMGSA) ที่กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับภาระความรับผิดชอบของ กฟผ. ในกรณีที่บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี ไม่สามารถรับก๊าซฯ ที่ ปตท. จัดหาให้ตามปริมาณที่กำหนดไว้ตามสัญญา GSA
มติของที่ประชุม
- เห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี (GSA) และร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติหลักระหว่าง ปตท. กับ กฟผ. (RMGSA) โดยเร่งรัดให้ ปตท. และ กฟผ. รวมทั้งบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด รับไปดำเนินการลงนามในสัญญาฯ ดังกล่าวต่อไป
เรื่องที่ 12 การปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2541 เห็นชอบการออกพันธบัตรในตลาดทุนต่างประเทศของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รวมทั้ง เงื่อนไขของธนาคารโลกในการค้ำประกันเงินต้น และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ดำเนินการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ซึ่ง สพช. ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษา Pricewaterhouse Coopers (PwC) ทำการศึกษาในเรื่องดังกล่าว ซึ่งการศึกษาได้แล้วเสร็จ
2. คณะกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ซึ่งมีนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นประธาน ประกอบด้วยผู้แทนจาก สพช. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมบัญชีกลาง สำนักบริหารหนี้สาธารณะ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย นักวิชาการ และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้พิจารณาผลการศึกษาดังกล่าวจนได้ข้อยุติ
3. ข้อเสนอการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าที่ได้มีการปรับปรุงตามความเห็นของคณะกรรมการกำกับการศึกษาฯ สรุปได้ดังนี้
3.1 ข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง มีดังนี้
(1) โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่งที่ กฟผ. ขายให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กำหนดเป็นโครงสร้างเดียวกัน โดยไม่มีการกำหนดส่วนเพิ่ม-ส่วนลดค่าไฟฟ้าขายส่งที่ กฟผ. ขายให้กับ กฟน. และ กฟภ. ดังเช่นปัจจุบัน แต่มีการชดเชยรายได้ระหว่าง กฟน. และ กฟภ. ในลักษณะเหมาจ่ายแทน
(2) ค่าไฟฟ้าขายส่งประกอบด้วยค่าผลิตไฟฟ้า และค่ากิจการระบบส่ง โดยค่าไฟฟ้าจะ แตกต่างกันตามระดับแรงดัน และช่วงเวลาของการใช้
(3) กำหนดบทปรับค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ในระดับขายส่ง ระหว่าง กฟผ. กับ กฟน. และ กฟภ. หากค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้าต่ำกว่า 0.875 ในอัตรา 5 บาท/kVar/เดือน
(4) กำหนดค่าบริการการเชื่อมโยงระบบใหม่ ในอัตรา 50,000 บาท/MVA/ปี สำหรับผู้ เชื่อมโยงระบบ ณ ระดับแรงดัน 69 kV ขึ้นไป และ 100,000 บาท/MVA/ปี ณ ระดับแรงดันกลาง
(5) ราคาขายส่งเฉลี่ยจะลดลงจากค่าไฟฟ้าขายส่งปัจจุบันร้อยละ 2 ซึ่งสอดคล้องกับค่า ไฟฟ้าขายปลีกที่ลดลงในสัดส่วนเดียวกัน
3.2 ข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก มีดังนี้
(1) อัตราค่าไฟฟ้าขายปลีกเฉลี่ยลดลงประมาณร้อยละ 2
(2) ลดการอุดหนุนระหว่างกลุ่มให้น้อยลงเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มใดต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
(3) โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าจะมีการแยกให้เห็นอย่างชัดเจน สำหรับกิจการผลิต กิจการระบบส่ง กิจการระบบจำหน่าย และกิจการค้าปลีก
(4) มีการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าแบบ Time of Use (TOU) ใหม่ เพื่อให้สะท้อนถึง ต้นทุนและลักษณะการใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟ (Load Profile) ที่เปลี่ยนแปลงไปให้มากที่สุด
(5) ขยายขอบเขตการใช้อัตราค่าไฟฟ้าแบบ TOU ให้ครอบคลุมถึงผู้ใช้ไฟฟ้าในกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรม ที่มีการใช้ไฟฟ้าเกินกว่า 250,000 หน่วย/เดือน หรือมีความต้องการพลังไฟฟ้าตั้งแต่ 1,000 กิโลวัตต์ ขึ้นไป นอกจากนี้ อัตรา TOU จะนำมาใช้เป็นอัตราเลือกสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยกิจการขนาด เล็ก และส่วนราชการ
(6) ปรับปรุงการจำแนกกลุ่มผู้ใช้ไฟใหม่ โดยกำหนดให้กลุ่มผู้ใช้ไฟประเภทกิจการขนาดกลางที่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าเกิน กว่า 250,000 หน่วย หรือมีความต้องการพลังไฟฟ้าเกินกว่า 1,000 กิโลวัตต์ ขึ้นไป อยู่ในกลุ่มผู้ใช้ไฟประเภทกิจการขนาดใหญ่ทั้งหมด
(7) รวมค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ในปัจจุบันเท่ากับ 64.52 สตางค์/หน่วย เข้าไปในค่าไฟฟ้าฐาน และกำหนดค่า Ft ใหม่ ณ จุดเริ่มต้นเท่ากับ 0
(8) โครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่ค่าไฟฟ้าเดือนตุลาคม 2543 เป็นต้นไป
3.3 ใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าจะจำแนกรายละเอียดอัตราค่าไฟฟ้าตามประเภทกิจการ ไฟฟ้า ได้แก่ กิจการผลิต กิจการระบบส่ง และกิจการระบบจำหน่าย รวมทั้งแสดงการให้การอุดหนุนค่าไฟฟ้าระหว่างกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้า เพื่อให้ผู้ใช้ไฟทราบถึงค่าไฟฟ้าในแต่ละกิจการไฟฟ้าอย่างแท้จริงและมูลค่า การอุดหนุนค่าไฟฟ้าของตน ทั้งนี้ ใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าดังกล่าวจะนำมาใช้กับผู้ใช้ไฟประเภทกิจการขนาดใหญ่ ก่อน
3.4 คณะกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าได้พิจารณาให้มีการ ปรับปรุงสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ของบริษัทที่ปรึกษา PwC ดังนี้
(1) แยกค่า Ft ในแต่ละกิจการอย่างชัดเจน กล่าวคือ กิจการผลิต กิจการระบบส่ง กิจการระบบจำหน่าย และกิจการค้าปลีก
(2) ปรับฐานค่า Ft ใหม่ (Rebase เพื่อให้ Ft เท่ากับ 0 ณ จุดเริ่มต้น) เนื่องจากตามข้อเสนอ โครงสร้างค่าไฟฟ้าขายปลีกจะรวมค่า Ft ณ ระดับ 64.52 สตางค์/หน่วย ไว้แล้ว
(3) เนื่องจากการไฟฟ้ายังไม่มีอิสระในการบริหารจัดการหนี้ได้อย่างแท้จริง จึงเห็นควรให้การไฟฟ้านำผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อหนี้สินของการไฟฟ้า ปรับในค่าไฟฟ้าผ่านสูตร Ft ได้ในช่วงแรก หากอัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากระดับ 38 บาท/เหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ การคำนวณค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2544 เป็นต้นไป ให้การไฟฟ้ารับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย โดยให้มีการปรับค่าไฟฟ้าผ่านสูตร Ft เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนอ่อนตัวลงจากอัตราแลกเปลี่ยนฐาน (ซึ่งจะเป็นไปตามอัตราแลกเปลี่ยน ที่ใช้ในการคำนวณค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บในเดือนเมษายน 2544) เกินกว่าร้อยละ 5 แต่ทั้งนี้ไม่เกิน 45 บาท/เหรียญสหรัฐ แต่หากอัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนฐาน ให้การไฟฟ้าคืนผลประโยชน์ให้ประชาชน ผ่านสูตร Ft ทั้งหมด
(4) รายได้ที่เปลี่ยนแปลงของ 3 การไฟฟ้า เนื่องจากราคาขายเปลี่ยนแปลงไปจากที่ประมาณการ (MR) ยังคงให้ปรับค่าไฟฟ้าผ่าน MR ในช่วง 6 เดือนแรก หลังปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ เพื่อให้การไฟฟ้ามีรายได้สอดคล้องกับราคาขายปลีกที่ลดลงร้อยละ 2 เมื่อพ้นกำหนดดังกล่าวให้นำค่า MR ออกจากสูตร Ft
(5) ค่า Ft จะปรับตามการเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินเฟ้อ จากอัตราเงินเฟ้อที่ใช้ในการคำนวณฐานะการเงินของกิจการผลิต กิจการระบบส่ง กิจการระบบจำหน่าย และกิจการค้าปลีก ทั้งนี้ ค่าตัววัดประสิทธิภาพ หรือค่า "X" สำหรับกิจการผลิต กิจการระบบส่ง และกิจการระบบจำหน่าย ได้นำไปรวมไว้ในการกำหนดโครงสร้างค่าไฟฟ้าฐานแล้ว
(6) ค่าใช้จ่ายด้านการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (DSM) ให้นำออกจากสูตรการคำนวณ Ft
3.5 การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า (Financial Tranfers) เนื่องจากการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายมีต้นทุนในการจัดหาไฟฟ้าที่แตกต่างกัน ในขณะที่โครงสร้างค่าไฟฟ้าขายปลีกเป็นอัตราเดียวกันทั่วประเทศ ควรมีการชดเชยรายได้แบบเหมาจ่าย (Lump sum financial Transfer) จาก กฟน. ไปยัง กฟภ. แทนการชดเชยรายได้ผ่านส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่งเช่นในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้ กฟน. ต้องชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ในระดับ 7,979-9,152 ล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2544-2546
4. คณะกรรมการฯ ได้ศึกษาผลกระทบของโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ เปรียบเทียบกับอัตราค่าไฟฟ้าปัจจุบันแล้วพบว่า ผลกระทบโดยรวมค่าไฟฟ้าจะลดลงร้อยละ 2.11
มติของที่ประชุม
- เห็นชอบข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก และรายละเอียดใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้า รายละเอียดตามข้อ 4.6.1-4.6.3 และเอกสารแนบ 8-9 ของเอกสารประกอบวาระ 4.7.1 และมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า รับไปดำเนินการให้เกิดผลในทางปฏิบัติ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2543 เป็นต้นไป
- เห็นชอบในหลักการข้อเสนอสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) รายละเอียดตามข้อ 4.7 และเอกสารแนบ 10 ของเอกสารประกอบวาระ 4.7.1 ทั้งนี้ ให้มีการปรับค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติครั้งต่อไปใน เดือนกุมภาพันธ์ 2544 และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไป ดำเนินการปรับค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ภายใต้หลักการดังกล่าว
- เห็นชอบในหลักการการชดเชยรายได้ระหว่าง กฟน. และ กฟภ. รวมทั้งกลไกในการปรับปรุงการ ชดเชยรายได้ รายละเอียดตามข้อ 4.8 ของเอกสารประกอบวาระ 4.7.1
เรื่องที่ 13 การกำหนดราคาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ บริษัท ไตรเอนเนอจี้ จำกัด
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 เห็นชอบแนวทางในการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติ การซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่างการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) กับผู้ใช้ และอัตราค่าผ่านท่อ ในประเด็นราคาค่าเนื้อก๊าซฯ ให้แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม (Pool) และเมื่อ ปตท. เชื่อมโยงระบบท่อก๊าซฯ จากสหภาพพม่าเข้ากับระบบท่อหลักแล้ว ก๊าซฯ จาก Pool 4 (ยาดานา) และ Pool 2 (อ่าวไทย และ เยตากุน) จะถูกนำมาเฉลี่ยให้เป็นราคาเดียวกัน ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาภาระจากการจัดหาก๊าซธรรมชาติที่มากกว่าความต้อง การ โดยเฉพาะมาตรการเร่งรัดโครงการท่อก๊าซธรรมชาติราชบุรี-วังน้อย ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2543 เพื่อเชื่อมโยงระบบท่อส่งก๊าซฯ จาก สหภาพพม่าเข้ากับระบบท่อหลัก เพื่อส่งก๊าซฯ จาก สหภาพพม่าไปที่โรงไฟฟ้าวังน้อย
2. ปตท. ได้ดำเนินการจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ (Gas Sales Agreement : GSA) กับผู้ใช้โดยเฉพาะผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) ทั้ง 4 ราย และโรงไฟฟ้าราชบุรี ในการจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซฯ ดังกล่าว อยู่บนพื้นฐานการกำหนดราคาก๊าซฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 ที่กำหนดให้มีการ เชื่อมโยงระบบท่อก๊าซฯ จากสหภาพพม่าเข้ากับระบบท่อหลัก แล้วนำราคาก๊าซฯ จาก Pool 2 และ Pool 4 มาเฉลี่ยให้เป็นราคาเดียวกัน
3. จากการเชื่อมโยงระบบท่อก๊าซฯ จากสหภาพพม่าเข้ากับระบบท่อก๊าซฯ หลักตามโครงการก่อสร้างท่อก๊าซฯราชบุรี-วังน้อยซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จและ เริ่มดำเนินการจ่ายก๊าซฯได้จริง (Commissioning) ในวันที่ 1 มกราคม 2544 ขณะที่โรงไฟฟ้า IPP จำนวน 2 รายคือ บริษัทไตรเอนเนอจี้ จำกัด (Tri Energy) และบริษัท ผลิตไฟฟ้าอิสระ (ประเทศไทย) จำกัด (Independent Power) สามารถรับก๊าซฯ และผลิตกระแสไฟฟ้าจ่ายให้กับ กฟผ. (Commercial Operation Date :COD) ได้แล้วตั้งแต่ วันที่ 1 กรกฎาคม 2543 และ วันที่ 15 สิงหาคม 2543 ตามลำดับ
4. ปตท. ได้จัดหาก๊าซฯ และเรียกเก็บค่าก๊าซฯ จาก IPP ทั้ง 2 ราย คือ 1) Tri Energy รับและจ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (เฉพาะในส่วนของเยตากุนเท่านั้น) และ Pool 4 (ยาดานา) แทนที่จะต้องรับและ จ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (อ่าวไทยและ เยตากุน) และ Pool 4 (ยาดานา) ตามสัญญาซื้อขายก๊าซ ธรรมชาติ และ 2) Independent Power รับและจ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (เฉพาะในส่วนของอ่าวไทยเท่านั้น) แทนที่จะต้องรับและจ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (อ่าวไทยและ เยตากุน) และ Pool 4 (ยาดานา) ตามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ
5. บริษัท Tri Energy ได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) แจ้งความเห็นของ กฟผ. ว่า กฟผ. ไม่ควรจะต้องจ่ายค่าก๊าซฯ ในราคาค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจากสหภาพพม่า (เยตากุน และ ยาดานา) โดยเห็นว่า Tri Energy ควรจะรับซื้อก๊าซฯ ในราคาค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 กับ Pool 4 ตามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ
6. สพช. ปตท. และ กฟผ. ได้ร่วมกันพิจารณาประเด็นปัญหาดังกล่าวแล้ว มีความเห็น ดังนี้
6.1 ในหลักการสมควรที่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้ง 1) ปตท. ในฐานะผู้จัดหาก๊าซธรรมชาติ 2) IPP ในฐานะผู้รับซื้อก๊าซฯ จาก ปตท. และผู้ขายไฟฟ้าให้ กฟผ. และ 3) กฟผ. ในฐานะผู้รับซื้อไฟฟ้าจาก IPP จำเป็นต้องอ้างถึงสัญญาต่างๆ ที่มีอยู่คือ สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ IPP (Gas Sales Agreement : GSA) ที่กำหนดให้ ปตท. จำหน่ายก๊าซฯ ให้ IPP ในราคาก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 และ Pool 4 และสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับ IPP (Power Purchase Agreement : PPA) ที่กำหนดให้ราคาไฟฟ้าที่ IPP ขายให้ กฟผ. เป็นราคาส่งต่อ (Passthrough) ตามที่ ปตท. เรียกเก็บค่าก๊าซฯ จาก IPP
6.2 อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงถึงกำหนดแล้วเสร็จของโครงการท่อก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อยที่สามารถ เริ่มดำเนินการจ่ายก๊าซฯ ได้จริง (Commissioning) ในวันที่ 1 มกราคม 2544 ซึ่งทำให้ ปตท. สามารถนำราคาก๊าซฯ Pool 4 (สหภาพพม่า) มาเฉลี่ยรวมกับราคาก๊าซฯ จาก Pool 2 ได้ จึงเห็นสมควรกำหนดให้ ปตท. จัดหาก๊าซฯ และเรียกเก็บค่าก๊าซฯ จาก IPP ทั้ง 2 ราย คือ Tri Energy : รับและจ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (เฉพาะในส่วนของเยตากุนเท่านั้น) และ Pool 4 (ยาดานา) ส่วน Independent Power : รับและจ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (เฉพาะในส่วนของอ่าวไทย เท่านั้น)
6.3 กำหนดให้ กฟผ. รับซื้อกระแสไฟฟ้าจาก IPP ทั้งสองรายตามราคาก๊าซฯ ที่ ปตท. เรียกเก็บ ตามที่ได้มีการปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน โดยไม่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านราคาที่ระบุใน Schedule 4 และ 5 ของสัญญา GSA ไปจนกว่าโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติราชบุรี-วังน้อย แล้วเสร็จและสามารถเริ่มดำเนินการ จ่ายก๊าซฯ ได้จริงในวันที่ 1 มกราคม 2544
มติของที่ประชุม
เห็นชอบการกำหนดให้ ปตท. จัดหาก๊าซฯ และเรียกเก็บค่าก๊าซฯ จาก IPP ทั้ง 2 ราย คือ บริษัทไตรเอนเนอจี้ จำกัด และ บริษัทผลิตไฟฟ้าอิสระ (ประเทศไทย) จำกัด ตามข้อ 6.3 รวมทั้งกำหนดให้ กฟผ. รับซื้อกระแสไฟฟ้าจาก IPP ทั้ง 2 รายตามราคาก๊าซฯ ที่ ปตท. เรียกเก็บจาก IPP ทั้ง 2 ราย ตามข้อ 6.3 โดยไม่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านราคาที่ระบุใน Schedule 4 และ 5 ของสัญญา GSA ไปจนกว่าโครงการท่อส่งก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อย จะแล้วเสร็จและสามารถเริ่มดำเนินการจ่ายก๊าซฯ ได้จริงในวันที่ 1 มกราคม 2544
ปิดประชุมเวลา 13.00 น.