มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 6/2550 (ครั้งที่ 12)
วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ชั้น 6 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
1. รายงานความคืบหน้าโครงการส่งเสริมการจัดการด้านการใช้พลังงาน "โดยวิธีประกวดราคา"
2. แนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการสนับสนุนการลงทุนโครงการพัฒนาระบบการขนส่งขนาดใหญ่
3. เห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ปีที่ 2 และพิจารณาแผนงานโครงการฯ ปีที่ 3
4. ขอความเห็นชอบปรับแผนงาน โครงการส่งเสริมการวิจัยเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
5. ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
6. ขอความเห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับการดำเนินงานตามแผนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์
7. ขอความเห็นชอบโครงการศูนย์สาธิตและพัฒนาพลังงานทดแทนจากข้าวครบวงจร
8. ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก แควน้อย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายอดุลย์ ฉายอรุณ) แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 รายงานความคืบหน้าโครงการส่งเสริมการจัดการด้านการใช้พลังงาน "โดยวิธีประกวดราคา"
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปความก้าวหน้าของโครงการส่งเสริมการจัดการด้านการใช้พลังงาน "โดยวิธีประกวดราคา" เป็นมาตรการที่จะจูงใจผู้ประกอบการตัดสินใจลงทุนดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในกิจการได้เร็วขึ้น ด้วยการเชิญชวนผู้ประกอบการยื่นข้อเสนอวิธีการที่จะปรับปรุงการใช้พลังงาน และเสนอขอรับเงินสนับสนุนต่อค่าพลังงานที่ประหยัดได้ ตามอัตราที่ต้องการและไม่เกินวงเงินที่ สนพ. กำหนด โดย มีเงินจากกองทุนฯ สนับสนุนอัตราต่อหน่วยพลังงานที่ประหยัดได้ ซึ่ง สนพ. ได้จัดสัมมนาผู้ประกอบกิจการโรงงานและอาคารธุรกิจและผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อรับทราบรายละเอียดโครงการฯ พร้อมกับรับข้อคิดเห็นมาปรับปรุงรายละเอียดโครงการฯ และออกประกาศเชิญชวนเรียบร้อยแล้ว โดยกำหนดตรวจสอบความครบถ้วนและความถูกต้องสมบูรณ์ของข้อเสนอและพิจารณาตัดสินคัดเลือกผู้ได้รับจัดสรรรอบที่ 1 ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2551 และจะรายงานคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ ได้ทราบผลต่อไป
มติที่ประชุม
รับทราบ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอที่ประชุมเพื่อรับทราบมติของ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2550 เรื่องแนวทางในการบริหาร "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง" หลังหมดภาระหนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ดังนี้
1.1 ให้ปรับโอนอัตราเงิน "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง" ให้แก่ "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ดังนี้
โอนให้กองทุนอนุรักษ์พลังงาน | เพื่อลดราคา ขายปลีกน้ำมัน |
||
สำหรับแผนงานปกติ | สำหรับโครงการขนส่งฯ | ||
1) เบนซิน 95 | 0.1800 | 0.5000 | 0.5000 |
2) เบนซิน 91 | 0.1800 | 0.5000 | 0.5000 |
3) แก๊สโซฮอล์ 95 | 0.1870 | 0 - 0.5000 | 0.5000 |
4) แก๊สโซฮอล์ 91 | 0.1870 | 0 - 0.5000 | 0.5000 |
5) ดีเซลหมุนเร็ว | 0.1800 | 0.5000 | 0.5000 |
6) ไบโอดีเซล บี 5 | 0.1835 | 0 - 0.5000 | 0.5000 |
โดยในระยะแรกให้โอนอัตรากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซล ไปยังกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่ง ในระดับ 0 บาท/ลิตร และมอบอำนาจให้ประธาน กพช. เป็นผู้พิจารณาปรับเพิ่มการโอนอัตรากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซล ในอนาคตสูงขึ้นได้ถึง 0.50 บาท/ลิตร ตามภาวการณ์ที่เห็นว่าเหมาะสม ทั้งนี้ ให้ปรับเพิ่มการโอนอัตรากองทุนน้ำมันฯ ไปยังกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่ง เป็น 0.70 บาท/ลิตร เมื่อกองทุนน้ำมันฯ ได้สะสมเงินไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในภาวะฉุกเฉินและเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงได้เพียงพอแล้ว โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงานรับไปพิจารณาปริมาณเงินกองทุนน้ำมันฯ ที่เหมาะสมต่อไป
1.2 มอบหมายให้ ฝ่ายเลขานุการฯ ออกประกาศ กพช. และนำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้สอดคล้องกับมติ กพช. ตามข้อ 2.1 โดยให้กระทำในวันเดียวกัน ดังนี้
1) ประกาศ กพช. เพื่อกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล์ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และไบโอดีเซล บี 5 เป็น 0.75, 0.25, 0.75 และ 0.25 บาท/ลิตร ตามลำดับ
2) ประกาศ กบง. เพื่อปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 เบนซิน 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และไบโอดีเซล บี 5
1.3 มอบหมายให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานรับไปจัดทำแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนในการสนับสนุนโครงการด้านระบบขนส่ง เพื่อเสนอ กพช. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
2. เพื่อให้การจัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการพัฒนาระบบการขนส่งมีความชัดเจน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้เพิ่มเป็นภารกิจพิเศษภายใต้แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยกำหนดเป็นงานที่ 5) โครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งขนาดใหญ่ และกำหนดแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ดังต่อไปนี้
(1) แนวทางในการให้การสนับสนุน "โครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งขนาดใหญ่" : เพื่อเป็นเงินหมุนเวียน เงินช่วยเหลือ หรือเงินอุดหนุน หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ สำหรับการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาระบบการขนส่งเฉพาะที่ก่อให้เกิดผลลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศ และประชาชนได้รับประโยชน์จากโครงการนั้น เช่น การสร้างระบบขนส่งมวลชนในเมืองใหญ่ การพัฒนาระบบการขนส่งทางรถไฟ รวมถึงรถไฟรางคู่ และ การพัฒนาระบบสนับสนุนการขนส่งสินค้า (Logistics) เช่น การปรับปรุงท่าเรือ และคลังสินค้า เป็นต้น
(2) ผู้ที่จะได้รับการสนับสนุน : หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ
(3) ประเภทของค่าใช้จ่ายที่จะได้รับการสนับสนุน : ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ ในลักษณะเงินช่วยเหลือให้เปล่า ซึ่งกองทุนฯ จะจ่ายเงินเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของหน่วยงานนั้นๆ ในการบริหารโครงการ และค่าใช้จ่ายในการลงทุน ในลักษณะเงินช่วยเหลือ หรือเงินอุดหนุน หรือเงินหมุนเวียน ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในการควบคุมงานก่อสร้างหรือติดตั้ง เครื่องจักร อุปกรณ์ โดยการจ่ายเงินทำเป็นงวดๆ ตามปริมาณงานหรือความจำเป็นและเหมาะสม
(4) แนวทางจัดทำข้อเสนอโครงการฯ "เจ้าของโครงการ" จะต้องจัดทำข้อเสนอโครงการ โดยมีแผนงานและงบลงทุนเต็มโครงการ รายจ่ายทั้งแผนงาน และต้องจำแนกส่วนที่ดำเนินงานไปแล้ว กำลังดำเนินงาน และจะต้องระบุแหล่งเงินทุนที่จะต้องใช้ในการดำเนินโครงการในแต่ละแหล่งให้ชัดเจน รวมทั้งจะต้องระบุรายละเอียดความคุ้มค่าของการลงทุน ผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจ ผลตอบแทนด้านการเงิน และผลตอบแทนด้านการลดการใช้พลังงานของประเทศ
(5) เงื่อนไขในการพิจารณาโครงการ : โครงการที่จะได้รับการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ต้องผ่านการพิจารณาจากสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คณะกรรมการกองทุนฯ และคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว และหากจะมีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญของโครงการฯ ก็ให้ สศช. พิจารณาก่อน
(6) วิธีการและขั้นตอนในการให้การสนับสนุน : หน่วยงานที่มีความประสงค์ขอรับการสนับสนุน ยื่นข้อเสนอโครงการต่อ สนพ. เพื่อวิเคราะห์และกลั่นกรอง ให้ความเห็น ตามแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข ที่กำหนดไว้ และเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
(7) หลักเกณฑ์การจัดสรรเงินสนับสนุน : เนื่องจากรายรับของกองทุนฯ มาจากสัดส่วนของการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ของประชาชนในภูมิภาคต่างๆ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงนำปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้จำหน่ายไปของแต่ละจังหวัดคิดค่าเฉลี่ยตั้งแต่ ปี 2547-ปัจจุบัน และจัดกลุ่มแบ่งออกเป็น 5 ภาค เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางกำหนดสัดส่วนการจัดสรรค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทุนในโครงการพัฒนาระบบการขนส่ง
3. สนพ. ได้จัดทำประมาณการรับและรายจ่ายของกองทุนน้ำมันฯ ให้สอดคล้องตามมติ กพช. โดยไม่ได้โอนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงฯ จำนวน 3,000 ล้านบาท ไปเพิ่มสภาพคล่องให้กับกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (มติคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2550) จากการประมาณการกระแสเงินของกองทุนน้ำมันฯ คาดว่าจะมีฐานะเป็นบวกประมาณกลางเดือนธันวาคม 2550 จึงเริ่มโอนอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจัดเก็บแทน ในอัตรา 0.50 บาทต่อลิตร ในวันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2550 กองทุนน้ำมันฯ จะมีเงินสะสม 10,179 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายน 2551
ด้วย กบง. ในการประชุมเมื่อ 12 ตุลาคม 2550 มีมติให้กองทุนน้ำมันฯ โอนเงิน 3,500 ล้านบาท ฝากที่ ธกส. เพื่อเป็นทุนให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อใช้ในการผลิตไบโอดีเซล ทำให้เงินกองทุนน้ำมันฯ จะสะสมได้ถึง 10,000 ล้านบาท ในปลายเดือนกันยายน 2551 และการโอนอัตรากองทุนน้ำมันฯ ไปยังกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่งเป็น 0.70 บาท/ลิตร จะเริ่มได้ประมาณวันที่ 1 ตุลาคม 2551
4. จากแนวทางตามข้อ 3 ฐานะการเงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จะเป็นดังนี้
5. จากข้อ 4 กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจะมีวงเงินสำหรับโครงการลงทุนพัฒนาระบบขนส่งขนาดใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2550 ถึงกันยายน 2555 รวมทั้งสิ้น 71,424 ล้านบาท ดังนี้
6. การทบทวนเป้าหมายแผนอนุรักษ์ฯ ในช่วงปี 2551-2554 ตามมติ กพช. ในการประชุมเมื่อ 28 กันยายน 2550 นั้น สนพ. ได้ศึกษาจากรายงานผลการศึกษาโครงการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ที่ พพ. ได้ว่าจ้าง TDRI แล้ว และเห็นว่าเป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2551-2554 ได้รวมผลการประหยัดพลังงานในเรื่องการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน และการก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงไว้แล้ว จึงได้เพิ่มผลการประหยัดพลังงานที่ได้จากการผลิตรถประหยัดเชื้อเพลิง (ECO Car) 123 ktoe และการผลิตไฟฟ้าระบบ Cogeneration 608 ktoe สำหรับการลงทุนในโครงการพัฒนาระบบขนส่งขนาดใหญ่ จะเกิดผลการประหยัดพลังงานหลังปี 2554 จึงสรุปเป้าหมายของแผนอนุรักษ์พลังงานฯ เป็นดังนี้
เป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงาน ณ ปี 2554 | |||
กพช. | กพช. | ปรับปรุง | |
23 ธ.ค.47 | 26 ธ.ค.49 | ต.ค. 50 | |
(ktoe) | (ktoe) | (ktoe) | |
เป้าหมายรวม | 17,884 | 19,005 | 18,931 |
แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 10,354 | 7,694 | 7,725 |
สาขาอุตสาหกรรม | 3,411 | 3,832 | 3,094 |
สาขาขนส่ง | 6,270 | 3,290 | 3,413 |
การจัดการด้านการใช้พลังงาน | 673 | 572 | 1,217 |
แผนงานด้านพลังงานทดแทน | 7,530 | 11,311 | 11,206 |
ส่งเสริม NGV | - | 4,348 | 4,518 |
พลังงานหมุนเวียน* | 7,530 | 6,963 | 6,688 |
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับโครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งขนาดใหญ่ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ โดยรับคำแนะนำของอนุกรรมการฯ ไปปรับปรุงแนวทางฯ และเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
2. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาการเริ่มโอนอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้ "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" จัดเก็บแทน ในอัตรา 0.50 บาทต่อลิตร ในวันที่ 17 ธันวาคม 2550 และปรับเพิ่มเป็น 0.70 บาท/ลิตร ในวันที่ 1 ตุลาคม 2551 เพื่อใช้สำหรับโครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งขนาดใหญ่ โดยกองทุนน้ำมันฯ ไม่ต้องโอนเงินจำนวน 3,000 ล้านบาท ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อเพิ่มสภาพคล่องตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ เคยมีมติไว้แล้ว และให้เสนอ กพช. พิจารณาต่อไป
3. รับทราบและเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาเป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2551-2554 ที่ปรับปรุงตามข้อ 5.3 และให้เสนอ กพช.พิจารณาต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานที่ประชุมเพื่อรับทราบผลการดำเนินงาน "โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ" ซึ่งเป็นโครงการที่คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2548 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ในวงเงินรวม 50 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในศึกษาวิจัยที่เป็นงานต่อเนื่องระยะเวลา 5 ปี โดยให้ มช. เสนอผลการดำเนินงานแต่ละปีให้คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ทราบและเห็นชอบก่อน สนพ. จะจัดสรรเงินดำเนินการปีต่อไป
2. มช. ได้ดำเนินโครงการฯ มาจนครบปีที่ 2 โดยได้คัดเลือกสายพันธุ์ปาล์มน้ำมัน 3,200 ต้น และคัดเลือกสายพันธุ์สบู่ดำ 10,000 ต้น และได้นำไปลงปลูกในแปลงวิจัยพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 แห่ง รวม 386 ไร่ คือ แปลงวิจัยศรีบัวบาน จ.ลำพูน 350 ไร่ ควบคุมสภาวะแวดล้อม 100% และที่แปลงวิจัยแม่เหียะ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ 36 ไร่ ควบคุมสภาวะแวดล้อม 50% ควบคุมวิธีการให้น้ำด้วยระบบชลประทานน้ำหยด การคลุมด้วยวัสดุต่างๆ ปริมาณการให้น้ำ ระยะเวลาการให้น้ำที่เหมาะสม การจัดการปุ๋ย ได้แก่ ปุ๋ยยูเรีย ฟอสเฟต ปุ๋ยคอก และการตัดแต่งกิ่ง วิจัยผลกระทบต่อปาล์มน้ำมันและสบู่ดำที่เกิดจากการจัดการวัชพืชด้วยวิธีต่างๆ วิธีปลูกพืชแซมที่ไม่กระทบต่อปาล์มและสบู่ดำ
3. ในปีที่ 2 ได้เก็บข้อมูลวิจัยการเจริญเติบโตปาล์มน้ำมัน และสบู่ดำ ในแปลงวิจัยทั้ง 2 แห่ง
1) ปาล์มน้ำมัน อายุ 20 เดือน (ณ เดือนมิถุนายน 2550) เจริญเติบโตดี มีความสูงเฉลี่ย 278 เซนติเมตร จำนวนทางใบเฉลี่ย 35 ทางใบ การออกดอกของปาล์มน้ำมัน พบว่า ปาล์มน้ำมันพันธุ์สุราษฎร์ธานี 2 ออกดอกมากที่สุด 116 ต้น พันธุ์ไนจีเรียจำนวน 30 ต้น พันธุ์สุราษฎร์ธานี 3 จำนวน 5 ต้น โดยจะทราบว่าปาล์มน้ำมันจะให้ผลผลิตหรือไม่ ต้องรอให้ปาล์มน้ำมันมีอายุประมาณ 36 เดือน หรือประมาณเดือนมิถุนายน 2551
2) ปลูกสบู่ดำ อายุ 16 เดือน (ณ เดือนมิถุนายน 2550) เจริญเติบโตดี มีการให้ผลผลิตครั้งแรก ในเดือนพฤษภาคม 2549 - ธันวาคม 2549 (รวม 8 เดือน) และหยุดการให้ผลผลิตเนื่องจากเกิดการทิ้งใบเพื่อพักตัวและหยุดการเจริญเติบโตในช่วงฤดูแล้ง ผลผลิตของสบู่ดำในปีที่ 2 เฉลี่ย 307 กิโลกรัม/ไร่ โดยพันธุ์ชัยภูมิให้ผลผลิตมากที่สุด คือ 345.87 กิโลกรัม/ไร่ ส่วนสบู่ดำพันธุ์สตูล ให้ผลผลิตน้อยที่สุด คือ 278.46 กิโลกรัม/ไร่ อย่างไรก็ตามผลผลิตในครั้งแรกยังไม่ใช่ผลผลิตที่สูงสุดของสบู่ดำ ปริมาณผลผลิตต่อไร่สูงสุด จะทราบผลในการให้ผลผลิตปีที่ 3
4. มช. ได้ศึกษาออกแบบพัฒนาเครื่องสกัดน้ำมันสบู่ดำ เครื่องหีบน้ำมันปาล์มขนาดเล็ก และเครื่องผลิตไบโอดีเซลขนาด 300 ลิตรต่อครั้ง โดยเครื่องสกัดน้ำมันสบู่ดำและเครื่องผลิตไบโอดีเซลที่พัฒนาขึ้น ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้งานได้ง่าย ไม่มีความยุ่งยากซับซ้อน เมื่อนำไปให้เกษตรกรทดลองใช้งาน ช่วยให้เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจในหลักการทำงานของเครื่องจักรทั้งสองอย่าง สำหรับการสาธิตใช้ไบโอดีเซลกับเครื่องยนต์การเกษตรในชุมชนนั้น เครื่องยนต์เดินปกติสม่ำเสมอไม่มีสะดุด การถอดชิ้นส่วนของเครื่องยนต์เพื่อตรวจสภาพ ไม่พบคราบหรือยางเหนียว ทุกชิ้นส่วนยังคงสภาพเดิม
5. แผนงานในปีที่ 3 ยังคงเป็นเรื่องการศึกษาวิจัยการเจริญเติบโตของต้นปาล์มน้ำมันและต้นสบู่ดำ ทั้งในแปลงวิจัยและแปลงสาธิต โดยต้นปาล์มน้ำมันในแปลงวิจัยจะครบรอบการให้ผลผลิตในครั้งแรก ซึ่งจะทราบโอกาสและความเป็นไปได้ของการปลูกปาล์มในภาคเหนือ พร้อมนี้ มช. จะเริ่มพัฒนาสายพันธุ์สบู่ดำด้วยวิธีตัดต่อพันธุกรรม (GMO) เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่ด้วย โดย มช. ประมาณการรายจ่ายสำหรับปีที่ 3 ในวงเงิน 11,846,000 บาท
มติที่ประชุม
1. รับทราบและเห็นชอบรายงานผลการดำเนินงาน "โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ" ปีที่ 2 ตามที่ มช. เสนอมา
2. เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนงานโครงการฯ ในปีที่ 3 ตามแผนงานที่เสนอมา ในวงเงินรวม 11,846,000 บาท โดยใช้เงินกองทุนฯ แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ ปีงบประมาณ 2550 โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจร ในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ได้อนุมัติไว้แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอที่ประชุมเพื่อทราบความเป็นมาของ "โครงการส่งเสริมการวิจัยเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน" ที่คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ได้สนับสนุนทุนวิจัยให้กับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ในวงเงินรวม 60 ล้านบาท เพื่อศึกษาและวิเคราะห์สถานการณ์และนำเสนอมาตรการเพื่อแก้ปัญหาด้านพลังงานของประเทศ ซึ่งคณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2550 มีข้อสังเกตว่ารายงานผลการศึกษาของ สกว. ข้อมูลบางตัวอ้างอิงเป้าหมายเดิมที่ยังไม่ได้ปรับให้เป็นปัจจุบัน บางส่วนต่างไปจาก พพ. บางส่วนอ้างอิงจากต่างประเทศ จึงทำให้ผลการศึกษาอาจคลาดเคลื่อนกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จึงมีมติให้ สนพ. พพ. และ สกว. พิจารณาข้อมูลร่วมกันและปรับตัวเลขเป้าหมายของการศึกษาให้ตรงกัน รวมถึงพิจารณาความซ้ำซ้อนและปรับขอบเขตงานวิจัยที่ สกว. เสนอขอศึกษาเพิ่มเติม เพื่อให้ผลการศึกษาได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจได้แม่นยำมากขึ้น โดย สกว. จะใช้เงินกองทุนฯ ที่ได้รับอนุมัติจัดสรรไปแล้วและยังคงเหลืออยู่ ประมาณ 28.5 ล้านบาท เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้ง
2. สนพ. พพ. และ สกว. ประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาข้อมูลและปรับตัวเลขที่ปรากฏในรายงานการศึกษาให้ตรงกัน รวมถึงพิจารณาความซ้ำซ้อนและปรับขอบเขตงานวิจัยที่ สกว. เสนอขอศึกษาเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ผลการศึกษาที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจได้แม่นยำมากขึ้น โดย สกว. จะใช้เงินกองทุนฯ ที่ได้รับอนุมัติจัดสรรไปแล้วและยังคงเหลืออยู่ ประมาณ 28.5 ล้านบาท เพื่อเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้ง ซึ่ง สนพ. พพ. และ สกว. ได้ประชุมร่วมกันตามมติคณะอนุกรรมการฯ เรียบร้อยแล้ว สามารถสรุปได้ดังนี้
2.1 ศักยภาพการผลิตไบโอดีเซล สกว. ได้ประเมินตามแผนการขยายพื้นที่เพาะปลูกปาล์มของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เฉลี่ย 3 แสนไร่ต่อปี พบว่าในปี 2554 การผลิตไบโอดีเซลจะอยู่ระหว่าง 1.48-3.24 ล้านลิตรต่อวัน ทั้งนี้กรณีต่ำสุดคิดจากฐานปัจจุบันที่มีข้อจำกัดด้านการขยายพื้นที่ให้ผลผลิตจริงและยังไม่มีการปรับปรุงอัตราการผลิตผลปาล์มต่อหน่วยพื้นที่ ส่งผลให้พื้นที่ให้ผลผลิตจริงอาจจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 1.5 แสนไร่/ปี เท่านั้น ทั้งนี้หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการเพาะปลูกในรูปแบบ Good Agricultural Practice การใช้กล้าปาล์มที่ให้ผลผลิตสูง (ซึ่งเอกชนบางรายสามารถทำได้ถึง 5.0 ตันต่อไร่ต่อปี) อีกทั้งมีการคัดสรรพื้นที่ส่งเสริมให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มสัดส่วนของพื้นที่ให้ผลผลิตต่อพื้นที่เพาะปลูกแล้ว ก็สามารถจะผลิตไบโอดีเซลได้ถึง 3.0 ล้านลิตรต่อวัน
2.2 ค่า External cost ของโรงไฟฟ้าถ่านหิน จากที่ สกว. เคยเสนอไว้ 6.0 บาท/kWh พบว่าข้อมูลที่นำมาใช้คำนวณเป็นข้อมูลที่ยังมิได้มีการปรับปรุงให้ทันสมัย โดยเฉพาะภายหลังการติดตั้งอุปกรณ์กำจัดซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (FGD) ทั้งนี้ สกว. จึงได้นำข้อมูลของโรงไฟฟ้าแม่เมาะและโรงไฟฟ้า BLCP ที่ดำเนินการผลิตอยู่ในปัจจุบันมาเป็นฐานการคำนวณ และแปลงค่าเงินยูโรด้วย Purchasing Power Parity Index พบว่า ค่า External cost ของการผลิตไฟฟ้าจากลิกไนท์เฉลี่ยในช่วงปี 2544-2549 คือ 0.48 บาท/kWh ค่า External cost ของการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนำเข้าคือ 0.33 บาท/kWh และของก๊าซธรรมชาติคือ 0.18 บาท/kWh สรุปได้ดังนี้
สารมลพิษ | External cost (บาท/kWh) | ||
ลิกไนต์ (แม่เมาะ) | ถ่านหินนำเข้า (BLCP) | ก๊าซธรรมชาติ (บางปะกง) | |
CO2 | 0.28 | 0.23 | 0.12 |
SO2 | 0.06 | 0.05 | 0 |
NOX | 0.12 | 0.05 | 0.06 |
PM10 | 0.02 | N/A | 0 |
รวม | 0.48 | 0.33 | 0.18 |
2.3 การพิจารณาประเด็นงานวิจัย พพ. สนพ. และ สกว. ได้ประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2550 ณ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย เพื่อร่วมกันพิจารณาประเด็นงานวิจัยที่ สกว. เสนอขอศึกษาเพิ่มเติมเพื่อลดความซ้ำซ้อนของงาน และสรุปได้ดังนี้
ประเด็นงานวิจัย | ผลที่คาดหวัง | สรุปความเห็น |
1.พลังงานน้ำขนาดเล็ก | ||
1.1 การใช้ทรัพยากรแหล่งน้ำ เพื่อการผลิตไฟฟ้า | อุปสรรคข้อกฎหมายที่ขัดแย้งกัน ระหว่างหน่วยงานใช้ประโยชน์ของทรัพยากรน้ำ | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจาก พพ. มีการปรึกษาหารือกับกรมป่าไม้และ สผ. อยู่แล้ว |
1.2 การประเมินศักยภาพเพิ่มเติม ของแหล่งพลังงานน้ำขนาดเล็ก | สำรวจศักยภาพของน้ำทิ้งท้ายเขื่อน (กฟผ.และกรมชลฯ) ด้วยวิธีการสำรวจพื้นที่และความเป็นไปได้ในการพัฒนาเขื่อนแบบ run-of-river ในลุ่มน้ำที่สำคัญ | ให้ศึกษาศักยภาพในภาพรวมในส่วนที่ยังไม่ได้มีการศึกษา (พพ.มีการสำรวจศักยภาพลุ่มน้ำโขง-ชี-มูลและน่าน รวมถึงน้ำทิ้งท้ายเขื่อนของกรมชลฯ) |
2.พลังงานลม | ||
2.1 การใช้พื้นที่สาธารณะเพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม | ปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของภาคเอกชนในการติดตั้งกังหันลมในพื้นที่สาธารณะเพื่อผลิตไฟฟ้า | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจาก พพ.ศึกษากฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้องแล้ว |
3.พลังงานชีวมวล | ||
3.1 การเพิ่มศักยภาพแหล่งชีวมวลสำหรับผลิตไบโอดีเซล | ศึกษาโอกาสความเป็นไปได้ในการเพิ่มผลผลิตโดยเพิ่มพื้นที่และใช้เทคโนโลยี | ให้รวบรวมเทคโนโลยีพร้อมทั้งประเมินความเป็นไปได้ในการเพิ่มผลผลิต ภายใต้ความร่วมมือกับ ก.เกษตรฯ |
3.2 นโยบายการกำหนดราคาเอทานอลและไบโอดีเซลที่เหมาะสม | หลักเกณฑ์การกำหนดราคาที่เหมาะสมและผลกระทบของการใช้สูตรกำหนดราคาต่างๆ | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจากกระทรวงฯได้ประกาศหลักเกณฑ์และสูตรการคำนวณเรียบร้อยแล้ว |
3.3 การเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกอ้อย มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน | ความเป็นไปได้การเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกและการกระจายเชิงภูมิศาสตร์ | ให้ศึกษาศักยภาพสูงสุดในการขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชพลังงานโดยดูผลกระทบในการขยายพืชที่ไปทับซ้อนกับพืชเศรษฐกิจอื่นๆ |
3.4 การใช้ป่าเสื่อมโทรมเพื่อปลูกไม้โตเร็ว | ประเภทไม้โตเร็วที่เหมาะสมและความเป็นไปได้ในการปลูกในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจาก สนพ.ได้ให้ทุนนักวิจัยศึกษาการปลูกไม้โตเร็วเพื่อผลิตไฟฟ้าเป็น pilot scale แล้ว |
3.5 ประเมินทางเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ของการเก็บรวบรวมยอดใบอ้อย ฟางข้าว เพื่อผลิตความร้อนและไฟฟ้า | ศึกษาเทคนิคการจัดเก็บฟางข้าว ยอดและใบอ้อยเพื่อให้เกิดความคุ้มทุนในเชิงเศรษฐศาสตร์ในภาพรวมของประเทศ | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจาก สนพ. ให้ทุนวิจัยศึกษาศักยภาพที่แหล่งของแกลบและชานอ้อยแล้ว |
3.6 การพัฒนากระบวนการและเครื่องมือการจัดการพลังงานชีวมวลที่ยั่งยืนโดยคำนึงการใช้อย่างคุ้มค่าและลด CO2 | จัดทำฐานข้อมูลและประเมินข้อดีข้อเสียและทางเลือกการใช้ชีวมวลต่างๆ | ไม่มีข้อขัดข้อง |
3.7 ประเมินทางเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ของการผลิตก๊าซ ชีวภาพจากวัสดุเหลือทิ้งทางเกษตรและพืชพลังงาน | ค้นหาวัตถุดิบใหม่สำหรับการผลิตก๊าซชีวภาพ ได้แก่วัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและพืชที่ปลูกเพื่อเป็นพลังงานโดยเฉพาะ | ไม่ซ้ำซ้อน กับที่ พพ.ได้ศึกษาศักยภาพของการใช้น้ำเสียจากโรงงานประเภทต่างๆและฟาร์มสุกรแล้ว |
4.ประสิทธิภาพพลังงาน | ||
4.1 ประเมินผลกระทบ SPP ต่อการส่งเสริม CHP และ ปรับปรุงระเบียบ SPP | ได้ศึกษาล่วงหน้าเพื่อให้ทันกับระเบียบปรับปรุงของ SPP | ไม่มีข้อขัดข้อง |
4.2 การบังคับใช้ building energy code | ปัญหาข้อขัดข้องในการนำไปสู่การปฏิบัติ | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจาก พพ.ได้ทำร่างกระทรวง หารือขั้นตอนการปฏิบัติกับ กทม.และกรมโยธาธิการ และรอประกาศใช้ |
4.3 ประเมินศักยภาพและเทคโนโลยีประหยัดพลังงานเฉพาะอุตสาหกรรมบางสาขาที่มีการใช้พลังงานมาก | ประเมินศักยภาพและโอกาสการประหยัดพลังงานในภาพรวมเพื่อวางยุทธ์ศาสตร์ในการยกระดับเทคโนโลยีการประหยัดพลังงาน | พพ.ได้ประเมินศักยภาพและเทคโนโลยีการประหยัดพลังงาน 13 สาขาจาก 28 สาขา และยินดีให้ สกว.นำข้อมูลไปวิเคราะห์และหาแนวทางในการบรรลุเป้าหมาย |
4.4 พัฒนากรอบและจัดทำฐานข้อมูลสำหรับประเมินศักยภาพและติดตามผลกระทบทางเลือกการประหยัดพลังงานในภาคขนส่ง | พัฒนาแนวทางการจัดทำฐานข้อมูลที่จำเป็นที่สามารถทำเป็นงานประจำที่สะสมตัวเองได้ | ให้ศึกษากรอบการจัดทำฐานข้อมูล พร้อมทั้งทำการสำรวจข้อมูลในภาคขนส่งเพื่อให้ในงานวางแผนต่อไป |
5.ประเด็นทั่วไป | ||
5.1 ประเมิน cost-effectiveness ของการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนและการประหยัดพลังงานในภาพรวมของประเทศ | ศึกษาการลงทุนและผลตอบแทนในภาพรวมของประเทศ | ไม่มีข้อขัดข้อง |
5.2 แนวทางคิด carbon tax เป็นส่วนหนึ่งของ avoided cost ในการประหยัดพลังงานในภาคขนส่งและการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพและพลังงานหมุนเวียน | ศึกษาความเหมาะสมของการใช้ carbon tax ในประเทศไทยและรูปแบบที่เหมาะสม และคิดค่า carbon tax สำหรับประเทศไทย | ไม่มีข้อขัดข้อง |
5.3 การพัฒนาและสาธิตกระบวนการ PDP โดยคำนึงการประหยัดพลังงานและใช้พลังงานหมุนเวียนและการมีส่วนร่วมของประชาชน | พัฒนากระบวนการวางแผน PDP ที่ประชาชนมีส่วนร่วม | ให้ศึกษา model กระบวนการจัดทำ PDPที่เป็นรูปธรรมสามารถนำไปใช้จริงได้ เช่น มีระยะการปฎิบัติตามกระบวนการไม่นานจนข้อมูลล้าสมัย ระบุนิยามผู้มีส่วนได้เสียที่จะเข้าร่วมกระบวนการที่ชัดเจน |
มติที่ประชุม
1. รับทราบและเห็นชอบผลการศึกษา "โครงการส่งเสริมการวิจัยเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน" ตามที่ สกว. ปรับตัวเลขเสนอมา โดยให้ สกว. ดำเนินการจัดพิมพ์รายงานฉบับใหม่และส่งไปยังหน่วยงานต่างๆ ตามที่ที่ประชุมให้ความเห็นไว้ด้วย
2. เห็นชอบให้ สกว. ปรับแผนงานโครงการฯ โดยขยายระยะเวลาออกไปจนถึงเดือนตุลาคม 2551 และให้ใช้จ่ายเงินส่วนที่เหลืออยู่จำนวน 28.5 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษารายละเอียดเชิงลึกเพิ่มเติม ได้ตามที่เสนอมา ดังรายละเอียดที่ปรากฏในส่วนที่ 5 ของเอกสารประกอบวาระที่ 4.3 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 5 ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอต่อที่ประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องที่มีหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปแล้ว ได้ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้ รวม 20 โครงการ ดังนี้
1.1 ขอขยายระยะเวลาดำเนินงาน รวม 12 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | เดิม | ขยายถึง | |
(1) | โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการอบแห้งกุนเชียง | ม.พระจอมเกล้าธนบุรี | กันยายน 2550 | ธันวาคม 2550 |
(2) | โครงการบูรณาการงานด้านพลังงานกับแผนยุทธศาสตร์จังหวัด | สำนักงานพลังงานภูมิภาค 3 | พฤษภาคม 2550 | สิงหาคม 2550 |
(3) | โครงการศึกษาดัชนีการใช้พลังงานสำหรับหน่วยงานราชการ | ม.เชียงใหม่ | กันยายน 2550 | ธันวาคม 2550 |
(4) | โครงการออกแบบประตูบานเกล็ดเพื่ออนุรักษ์พลังงาน | ม.พระจอมเกล้าธนบุรี | ธันวาคม 2548 | ธันวาคม 2550 |
(5) | โครงการกรุงเทพฯ ฟ้าใส ด้วยไบโอดีเซล | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | พฤศจิกายน 2550 | พฤศจิกายน 2551 |
(6) | โครงการส่งเสริมการใช้ก๊าซชีวภาพจากระบบจัดการน้ำเสียโรงฆ่าสัตว์ | มูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม | กันยายน 2550 | สิงหาคม 2552 |
(7) | โครงการการส่งเสริมการผลิตการใช้ไบโอดีเซลในระดับชุมชน (ทดสอบการใช้ ไบโอดีเซลกับเครื่องยนต์การเกษตรเอนกประสงค์) | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | สิงหาคม 2550 | กุมภาพันธ์ 2551 |
(8) |
โครงการการศึกษาวิศวกรรมแบบบูรณาการเพื่อเพิ่มทักษะด้านการอนุรักษ์พลังงานสำหรับพนักงานปฏิบัติการในโรงงานอุตสาหกรรม |
ม.พระจอมเกล้าธนบุรี | เมษายน 2550 | ธันวาคม 2550 |
(9) |
โครงการอบรมบุคลากรเรื่องบูรณาการการเรียนการสอนด้านพลังงานระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา |
มูลนิธิสิ่งแวดล้อมไทย | กันยายน 2550 | มีนาคม 2551 |
(10) | โครงการสนับสนุนทุนวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา รวม 3 ทุน | ม. พระจอมเกล้าธนบุรี | - | - |
(11) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศ จำนวน 2 ทุน | ม.เชียงใหม่ | - | - |
(12) | ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเกิน 3 เดือนนับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา จำนวน 5 ราย | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | - | 3 เดือนนับจากวันที่ได้รับอนุมัติการขยายระยะเวลา |
1.2 ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ รวม 8 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | ขอเปลี่ยนแปลง | |
(1) | โครงการบูรณาการงานด้านพลังงานกับแผนยุทธศาสตร์จังหวัด | สำนักงานพลังงานภูมิภาค 9 | ขอนำเงินค่าบริหารโครงการ ไปจัดซื้อเครื่องมือตรวจวัดการใช้พลังงาน จำนวน 6 ชุด ราคาชุดละ 29,799.50 บาท รวมเป็นเงิน 178,797 บาท |
(2) | โครงการการจัดการพลังงานพลังงานทั่วทั้งองค์กรสำหรับโรงแรมและการบริหารเปลี่ยนแปลง | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย | ขอขยายระยะเวลาดำเนินงาน จากเดิมสิ้นสุดเดือนกันยายน 2550 เป็นเดือนพฤษภาคม 2551 และขอปรับรายละเอียดการรายงานความก้าวหน้าและการเบิกจ่ายเงิน |
(3) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่างประเทศ จำนวน 3 ทุน | - | ขอขยายระยะเวลาการศึกษาและเพิ่มวงเงินทุนการศึกษา จำนวน 2 หน่วยงาน และขอโอนการชดใช้ทุน จำนวน 1 หน่วยงาน * |
(4) | โครงการสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา จำนวน 4 หน่วยงาน | - | ขอเปลี่ยนแปลงคณะผู้วิจัย จำนวน 3 หน่วยงาน และ ขอสละสิทธิ์การรับทุน อุดหนุนการวิจัย จำนวน 1 หน่วยงาน |
(5) | โครงการศึกษากำหนดคุณภาพและคุณสมบัติของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่เหมาะสมหลังปี 2550 | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | ขอขยายระยะเวลาดำเนินงาน จากเดิมสิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2551 เป็นเดือนพฤษภาคม 2551 และปรับลดวงเงินจากเดิม 6,400,000 บาท เป็น 5,340,000 บาท |
(6) | โครงการตรวจวัดมลพิษทางอากาศจากรถยนต์ที่ใช้แก๊สโซฮอล์ | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | ขอขยายระยะเวลาดำเนินงาน จากเดิมสิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2550 เป็นเดือนพฤศจิกายน 2550 และปรับลดจำนวนรถยนต์ที่ใช้ทดสอบจาก 2 คัน เหลือ 1 คัน พร้อมปรับลดวงเงินจาก 11,762,000 บาท เหลือ 11,296,500 บาท |
(7) | โครงการ การส่งเสริมการผลิต การใช้ไบโอดีเซลในระดับชุมชน (ขนาด 2,000 ลิตรต่อวัน) | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | - ขอเปลี่ยนชุมชนต้นแบบการผลิตและใช้ไบโอดีเซล จาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี เป็นศูนย์ทดลองวิชาการพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน จังหวัดหนองคาย
- ขอโอนเงินกองทุนฯ หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ งานบริหารแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน จำนวน 4,733,500 บาท ไปก่อสร้างอาคารโรงคลุมระบบผลิตไบโอดีเซล ศูนย์ทดลองวิชาการฯ จ.หนองคาย |
(8) | โครงการผลิตเมทานอลจากชีวมวลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในเซลล์เชื้อเพลิง | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | ขอยกเลิกการดำเนินงานโครงการผลิต เมทานอลจากชีวมวลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในเซลล์เชื้อเพลิง เพื่อเปลี่ยนไปดำเนินโครงการพัฒนาสาธิตการผลิตไฮโดรเจนจากขบวนการความร้อนเคมีระยะที่ 2 แทน ในวงเงิน 6,000,000 บาท |
* หมายเหตุ
(1)สำนักงานศาลปกครอง ขอขยายเวลาการศึกษาให้แก่ นางสาวรัชดาพร นิ่มพงษ์ศักดิ์ ออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 9 มกราคม 2552 เพื่อปรับปรุงวิทยานิพนธ์ และขออนุมัติเพิ่มวงเงินทุนการศึกษา จำนวน 9,040 ปอนด์
(2) ม. อุบล ขอขยายเวลาการศึกษาให้แก่ นางสาวบงกช สุขอนันต์ ออกไปอีก 10 เดือน ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2551 เพื่อใช้เวลาในการเขียนวิทยานิพนธ์ และขออนุมัติเพิ่มวงเงินจำนวน 9,550 ปอนด์
(3) กรมควบคุมมลพิษ ขอให้ นายสราวุธ เทพานนท์ โอนการชดใช้ทุนการศึกษาจากกรมควบคุมมลพิษ ไปปฏิบัติงานเป็นพนักงานของรัฐ ตำแหน่งอาจารย์ ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พิจารณาการขอขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดของโครงการฯ ทั้ง 20 โครงการแล้ว เห็นควรให้ดำเนินการ ดังนี้
2.1 เห็นสมควรให้โครงการตามข้อ 1.1 (1)-(12) และข้อ 1.2 (1)-(7) รวม 19 โครงการ ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่เสนอมา เนื่องจากไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้วและไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง
2.2 ไม่เห็นสมควรให้โครงการตามข้อ 1.2 (8) เปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ เพราะเป็นการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของโครงการไปจากเดิม เนื่องจาก พพ. จะขอยกเลิกการดำเนิน "โครงการผลิตเมทานอลจากชีวมวลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในเซลล์เชื้อเพลิง" และจะขอนำเงินของโครงการดังกล่าวไปใช้สำหรับดำเนิน "โครงการพัฒนาสาธิตการผลิตไฮโดรเจนจากขบวนการความร้อนเคมี ระยะที่ 2" แทน
ในกรณีข้างต้น ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าถ้า พพ. จะไม่ดำเนิน "โครงการผลิตเมทานอลจากชีวมวลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในเซลล์เชื้อเพลิง" ก็ควรส่งเงินจำนวนดังกล่าวคืนกองทุนฯ และถ้า พพ. จะดำเนิน "โครงการพัฒนาสาธิตการผลิตไฮโดรเจนจากขบวนการความร้อนเคมี ระยะที่ 2" ก็ควรจัดทำรายละเอียดโครงการฯ เสนอขอจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ต่อไป
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้โครงการตาม ข้อ 1.1 (1)-(12) และ ข้อ 1.2 (1)-(7) รวม 19 โครงการ สามารถขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
2. ไม่เห็นชอบให้ พพ. ปรับรายละเอียดของโครงการตามข้อ 1.2 (8) โดยให้พิจารณาดำเนินการตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็นไว้
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า กพช. ในการประชุมครั้งที่ 2/2550 เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2550 มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ (Nuclear Power Infrastructure Preparation Committee : NPIPC) เพื่อทำหน้าที่ในการจัดทำและเสนอแนะแผนงาน มาตรการ แนวทางในการดำเนินงานด้านการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากนิวเคลียร์เพื่อผลิตไฟฟ้า รวมทั้งการสื่อสารสาธารณะเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และนำไปสู่การยอมรับของประชาชน และมีการได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 7 คณะ เพื่อช่วยเหลือคณะกรรมการในการศึกษาประเด็นหลัก (Key Issues) ประกอบด้วย (1) คณะอนุกรรมการด้านระบบกฎหมาย ระบบกำกับ และข้อผูกพันระหว่างประเทศ (2)คณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ (3) คณะอนุกรรมการด้านการถ่ายทอด พัฒนาเทคโนโลยี และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (4)คณะอนุกรรมการความปลอดภัยนิวเคลียร์ และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (5) คณะอนุกรรมการด้านสื่อสารสาธารณะและการยอมรับของประชาชน (6) คณะอนุกรรมการด้านการวางแผนด้านการเตรียมจัดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ และ (7) คณะอนุกรรมการยกร่างแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานพลังงานนิวเคลียร์
โดยคณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ และคณะอนุกรรมการฯ ได้จัดทำร่างแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ แล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2550 และได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากทบวงพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) มาให้ความเห็นต่อร่างดังกล่าว พร้อมทั้งได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องทุกภาคฝ่าย เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2550 และนำข้อคิดเห็นที่ได้รับมาปรับปรุงร่างแผนงานฯ ที่สมบูรณ์ ประกอบด้วย 6 แผน คือ (1 )แผนงานด้านระบบกฎหมาย ระบบกำกับ และข้อผูกพันระหว่างประเทศ (2) แผนงานโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ (3) แผนการถ่ายทอดพัฒนาเทคโนโลยี และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (4) แผนด้านความปลอดภัยและการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (5)แผนการสื่อสารและการยอมรับของสาธารณะ และ (6) การวางแผนการดำเนินการโครงสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
2. คณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ ได้เสนอร่างแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ต่อ กพช. ในการประชุมครั้งที่ 7/2550 (ครั้งที่ 116) เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2550 และที่ประชุมมีมติดังนี้
2.1 เห็นชอบในหลักการ แผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานฯ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ รับไปศึกษาในรายละเอียดเพื่อจัดทำแผนให้สมบูรณ์ และเสนอ กพช. ต่อไป
2.2 เห็นชอบให้มีการจัดตั้งสำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ เป็นหน่วยงานภายในกระทรวงพลังงาน
2.3 เห็นชอบในการดำเนินโครงการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยจัดประชุมสัมมนาอย่างน้อย 8 ครั้ง ในระยะเวลา 6 เดือน
2.4 เห็นชอบแผนการดำเนินงานในช่วง 3 ปีแรก (พ.ศ. 2551 - 2553) โดยมอบหมายให้คณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ รับไปกำหนดแผนการดำเนินงานในรายละเอียดต่อไป
2.5 เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณในช่วง 3 ปีแรก (พ.ศ. 2551 - 2553) จำนวน 1,800 ล้านบาท เพื่อใช้ในการจัดตั้งสำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ การดำเนินงานแผนงานด้านกฎหมาย ระบบกำกับและข้อผูกพันระหว่างประเทศ แผนงานด้านโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ แผนงานด้านพัฒนา ถ่ายทอดเทคโนโลยีและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ แผนงานด้านความปลอดภัยนิวเคลียร์และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม แผนงานด้านสื่อสารสาธารณะและการยอมรับของประชาชน และแผนงานด้านการเตรียมการจัดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ โดยให้ตั้งงบประมาณรวมอยู่ในกระทรวงพลังงาน และให้กระทรวงพลังงานรับไปพิจารณาจัดหางบประมาณต่อไป
2.6 เห็นชอบให้การกำกับดูแลในระยะเริ่มแรกให้ใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่หลายฉบับไปพลางก่อน หลังจากนั้นมอบหมายให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รับไปยกร่างกฎหมายเฉพาะในการกำกับดูแล มาตรฐานและความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์ โดยครอบคลุมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
3. กระทรวงพลังงาน ได้มีข้อเสนอสำหรับการดำเนินงานตามแผนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ดังนี้
3.1 คณะอนุกรรมการยกร่างแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานพลังงานนิวเคลียร์ ได้มีการประชุมครั้งที่ 4/2550 (ครั้งที่ 4) เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2550 เพื่อรับทราบมติของ กพช. และให้คณะอนุกรรมการทั้ง 6 ชุด จัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินงานและแผนงบประมาณในช่วง 3 ปีแรก (พ.ศ. 2551-2553) ซึ่งคาดว่าจะใช้จ่ายเงินประมาณ 450 ล้านบาท/ปี หรือจำนวนรวม 1,350 ล้านบาท
3.2 เพื่อให้การดำเนินงานตามแผนฯ มีความต่อเนื่องและทันตามกำหนดเวลาที่ กพช. เห็นชอบไว้ กระทรวงพลังงานจึงเสนอขอใช้เงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ให้ สนพ. ไว้สำหรับจัดสรรเป็นเงินช่วยเหลืออุดหนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 250 ล้านบาท/ปี หรือจำนวนรวม 750 ล้านบาท โดยมีแนวทางและขั้นตอนการจัดสรรเงินกองทุนฯ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 คณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ จัดทำแผนการดำเนินงานในรายละเอียดของแต่ละโครงการและหน่วยงานที่รับผิดชอบ พร้อมกำหนดแหล่งทุนที่จะใช้สำหรับโครงการนั้น
ขั้นตอนที่ 2 โครงการที่คณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ กำหนดให้ใช้เงินจากกองทุนฯ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการฯ ยื่นข้อเสนอต่อ สนพ. เพื่อให้ความเห็นเสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ
ขั้นตอนที่ 3 ข้อเสนอที่คณะอนุกรรมการกองทุนฯ เห็นชอบแล้ว สนพ. จะแจ้งมติให้เจ้าของโครงการทราบ และลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญากับเจ้าของโครงการ การเบิกจ่ายเงินงวดแรกให้ "เจ้าของโครงการ" เป็นไปตามที่ระบุไว้ในหนังสือยืนยันหรือสัญญา
ขั้นตอนที่ 4 เจ้าของโครงการดำเนินการตามแผนงาน และรายงานผลให้ สนพ. ทราบทุกระยะ โดยมีคณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ รับรองรายงานแต่ละฉบับ
ขั้นตอนที่ 5 เมื่อต้องมีการจ่ายเงินตามงวดในหนังสือยืนยัน สนพ. จะดำเนินการเบิกเงินจากที่เก็บรักษาเงินกองทุนฯ เพื่อนำมารอจ่ายให้แก่เจ้าของโครงการ โดย สนพ. ต้องตรวจสอบให้เจ้าของโครงการดำเนินการตามหนังสือยืนยันหรือสัญญาก่อนจึงจ่ายเงินได้
ขั้นตอนที่ 6 สนพ. รายงานความก้าวหน้าและผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบเป็นระยะๆ รวมถึงติดตามประเมินผลโครงการด้วย
มติที่ประชุม
เห็นชอบการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ให้ สนพ. จำนวน 250 ล้านบาท/ปี หรือจำนวนรวม 750 ล้านบาท ไว้สำหรับจัดสรรเป็นเงินช่วยเหลืออุดหนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับดำเนินการตามแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ในช่วง 3 ปีแรก (พ.ศ.2551 - 2553) และเห็นชอบกรอบ แนวทางและขั้นตอนการจัดสรรเงินกองทุนฯ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ โดยนำคำแนะนำของที่ประชุมไปปรับให้ชัดเจนขึ้น และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 7 ขอความเห็นชอบโครงการศูนย์สาธิตและพัฒนาพลังงานทดแทนจากข้าวครบวงจร
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า พพ. ได้จัดทำแผนงานเบื้องต้น "โครงการศูนย์สาธิตและพัฒนาพลังงานทดแทนจากข้าวครบวงจร" เสนอต่อ สนพ. เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงานในวงเงินรวม 13,800,000 บาท (สิบสามล้านแปดแสนบาทถ้วน) ซึ่งมีระยะเวลาในการดำเนินโครงการฯ 6 เดือน
2. โครงการนี้มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
2.1 พพ. จะร่วมกับมูลนิธิชัยพัฒนา และกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ณ โรงสีข้าว จัดตั้งและสาธิตเครื่องจักรแปรรูปข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร คือ โรงสีข้าวชุมชนและเครื่องจักรผลิตไฟฟ้าจากแกลบ หรือ Gasifier ณ พื้นที่ของศูนย์บริการวิชาการเกษตร มูลนิธิชัยพัฒนา หมู่ 1 ตำบลบึงทองหลาง อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรหรือชีวมวล คือ แกลบ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยการนำไปผลิตเป็นกระแสไฟฟ้า อีกทั้งเครื่องจักรทั้งสองดังกล่าว ยังเป็นนวัตกรรมด้านวิศวกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรที่ได้ทำการศึกษา ออกแบบ วิจัย พัฒนา และประดิษฐ์ขึ้นด้วยฝีมือคนไทยทั้งหมด จนประสบความสำเร็จ และสามารถนำไปใช้งานได้จริง
2.2 ศูนย์บริการวิชาการเกษตร มูลนิธิชัยพัฒนา จะเป็นสถานที่ตัวอย่างพร้อมถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีให้กับเกษตรกรหรือผู้ที่สนใจในการดำเนินกิจกรรมข้าวแบบครบวงจร สอดคล้องกับดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในเรื่องทฤษฎี เศรษฐกิจพอเพียง คือ เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยเริ่มตั้งแต่การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว การเพาะปลูกข้าว การทำเขตกรรมนาข้าว การเก็บเกี่ยวข้าว การแปรรูปจากข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร การบริหารจัดการการตลาด รวมถึงการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรอย่างแกลบจากโรงสีข้าวไปผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อป้อนกลับไปใช้ยังโรงสี และเหลือใช้ภายในชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับการสร้างพลังงานทดแทน และการอนุรักษ์พลังงาน โดยเกษตรกรสามารถใช้ทุกพื้นที่นาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
2.3 พพ. ขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงินทั้งสิ้น 16,300,000 บาท ประกอบด้วย
หน่วยการผลิต | งบลงทุน (บาท) | (%) | |
หน่วยงานผู้สนับสนุนโครงการ | |||
กองทุนฯ | CP | ||
1. โรงสีข้าวชุมชน ซีพี-อาร์1000 (1,000 กก. ข้าวเปลือก/ชม.) | - | 2,500,000 | 15.34% |
2. Gasifier 200 kW (200 กิโลวัตต์) | 9,500,000 | - | 58.28% |
3. เครื่องอบลดความชื้น (30 ตัน ข้าวเปลือก/วัน) | 3,800,000 | - | 23.31% |
4. เครื่องสกัดน้ำมันรำ (80 กก. รำ/ชม.) | 500,000 | - | 3.07% |
รวมเงินลงทุนทั้งโครงการ | 13,800,000 | 2,500,000 | 100.00% |
2. ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าโครงการนี้มีวัตถุประสงค์และแนวทางดำเนินโครงการฯ อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ จึงเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาเห็นชอบให้ สนพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ให้ พพ. ในวงเงิน 13,800,000 บาท โดย สนพ. จะแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ คือ ดร. สมชาติ โสภณรณฤทธิ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ ดร. วีระชัย อาจหาญ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ร่วมพิจารณาข้อเสนอดังกล่าว และเมื่อ พพ. ปรับแผนงานของโครงการฯ ตามความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิเรียบร้อยแล้ว ผอ.สนพ. จะได้พิจารณาเห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้ พพ. ต่อไป
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ สนพ. ใช้จ่ายเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค โครงการสนับสนุนการศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ปีงบประมาณ 2550 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติให้ สนพ. สามารถขยายระยะเวลาการผูกพันและใช้จ่ายเงินต่อไปได้ถึงเดือนธันวาคม 2550 จัดสรรให้ พพ. ในวงเงิน 13,800,000 บาท (สิบสามล้านแปดแสนบาทถ้วน) เพื่อนำไปใช้จ่ายสำหรับ "โครงการศูนย์สาธิตและพัฒนาพลังงานทดแทนจากข้าวครบวงจร" โดยดำเนินการตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็นไว้
เรื่องที่ 8 ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก แควน้อย
1. อธิบดี พพ. เสนอที่ประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2550 (ครั้งที่ 46) ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ แผนพัฒนาพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2551 วงเงินรวม 64,780,000 บาท ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก แควน้อย จ.พิษณุโลก โดยมีเงื่อนไขให้ พพ. เพิ่มเติมหนังสือจากกรมป่าไม้เห็นชอบให้เข้าดำเนินการในพื้นที่ได้ด้วยนั้น
2. เนื่องจากการขอหนังสือให้ความเห็นชอบจากกรมป่าไม้เห็นชอบ ต้องใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี ซึ่งเจ้าหน้าที่ของ พพ. จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเข้าไปดำเนินการขอใช้พื้นที่ป่าตามขั้นตอนของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้วย เช่น การดำเนินการร่วมประชุมกับราษฎร และ อบต. เพื่อขอมติจากที่ประชุมในการอนุญาตให้ใช้พื้นที่ รวมถึงเจ้าหน้าที่ของ พพ. ต้องเข้าสำรวจแนวเขตพื้นที่โครงการฯ เพื่อตรวจสอบสภาพพื้นที่ที่ขอใช้ก่อสร้างโครงการฯ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้ เป็นต้น พพ. จึงขอปรับแผนค่าใช้จ่ายโดยขอจัดสรรเงินจำนวน 3,307,800 บาท มาใช้เป็นค่าดำเนินงานบริหารโครงการฯ โดยวงเงินรวมไม่เปลี่ยนแปลง
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ พพ. เปลี่ยนแปลงรายละเอียดค่าใช้จ่ายของโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กแควน้อย โดยจัดสรรเงินจำนวน 3,307,800 บาท ไปใช้เป็นค่าดำเนินงานบริหารโครงการฯ ได้ตามที่ขอมา