มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2550 (ครั้งที่ 9)
วันที่ 11 มิถุนายน 2550 เวลา 10.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550
2. ขอความเห็นชอบ โครงการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้านอย่างยั่งยืน
3. ขอความเห็นชอบ "โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 จำนวน 11 ผลิตภัณฑ์"
4. ขอความเห็นชอบ "โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก"
5. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการโครงการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ระยะที่ 2"
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า มติคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2550 โดยสรุปสาระสำคัญของแผนฯ ได้ดังนี้
(1) เร่งรัดการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 เพื่อบังคับให้โรงงานควบคุม 3,110 แห่ง อาคารควบคุม 1,115 แห่ง (ไม่รวมอาคารของรัฐ 800 แห่ง) ดำเนินการตามแผนและเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานที่เสนอไว้กับ พพ. อย่างจริงจัง
(2) ติดตามการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงในหน่วยงานราชการและอาคารของรัฐให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีกับประชาชน คาดว่าในปี 2550 จาก 1,800 หน่วยงานที่ใช้ไฟฟ้ามากกว่า 10,000 หน่วย/ปี จะลดใช้พลังงาน 38 ktoe/ปี คิดเป็นมูลค่า 1,187 ล้านบาท/ปี
(3) เร่งรัดการจัดการออกกฎกระทรวงเพื่อให้ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย ได้มาตรฐานมีประสิทธิภาพด้านพลังงาน พร้อมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีการผลิตและประชาชนนิยมใช้เป็นที่แพร่หลาย คาดว่าจะก่อให้เกิดผลประหยัดพลังงาน 120 ktoe/ปี คิดเป็นมูลค่า 3,493 ล้านบาท/ปี
(4) ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนพัฒนาพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น โดยใช้มาตรการกำหนดอัตราราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเพิ่ม (Adder) และใช้เงินจากกองทุนฯ 2,000 ล้านบาท (1,000 ล้านบาท/ปี) เพื่อให้เอกชนที่จะลงทุนด้านพลังงานทดแทนได้มีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ที่คาดว่าจะช่วยทำให้เพิ่มอัตราส่วนการใช้พลังงานทดแทนจากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 4.7 คาดว่าเป็นการผลิตไฟฟ้าเพิ่มจาก 2,055 MW เป็น 2,233 MW เพิ่มการใช้ในกระบวนการความร้อนจาก 1,789 ktoe เป็น 2,217 ktoe และเพิ่มการใช้เอทานอล 0.4 ล้านลิตร/วัน เป็น 0.9 ล้านลิตร/วัน และใช้ไบโอดีเซล 0.3 ล้านลิตร/วัน เป็น 0.5 ล้านลิตร/วัน
(5) การกระจายความรู้ความเข้าใจสู่ภูมิภาคและท้องถิ่นอย่างทั่วถึง ทั้งเรื่องการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้พลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานรูปแบบอื่นที่เหมาะสมกับท้องถิ่น รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในเรื่องพลังงานทางเลือก ทั้งด้านนโยบายของรัฐ การผลิต การใช้ การกำกับดูแลความปลอดภัย และการจัดการป้องกันผลกระทบ เช่น ก๊าซธรรมชาติ แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล ถ่านหิน นิวเคลียร์ เป็นต้น
(6) เห็นชอบจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในวงเงินรวมทั้งสิ้น 3,484,538,344 บาท ประกอบด้วย
หน่วย : บาท
หน่วยงาน | 1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | รวม |
1) พพ. | 1,597,552,500 | 697,350,000 | - | 2,294,902,500 |
2) สนพ. | 529,500,000 | 472,611,000 | 186,405,104 | 1,188,516,104 |
3) กรมบัญชีกลาง | - | - | 1,119,740 | 1,119,740 |
รวม | 2,127,052,500 | 1,169,961,000 | 187,524,844 | 3,484,538,344 |
ทั้งนี้ ให้แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายภายในแผนงาน/งานเดียวกันได้
คาดว่าในปี 2550 จะสามารถลดปริมาณการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ลง 541 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และจะนำพลังงานทดแทนมาใช้เพิ่มขึ้น 550 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ภายในปี 2550
2. คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติให้ สนพ. และ พพ. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานให้ฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อสรุปรายงานคณะอนุกรรมการฯ ทุก 3 เดือน และคณะกรรมการกองทุนฯ ทุก 6 เดือน บัดนี้ครบกำหนดระยะเวลา 3 เดือน นับจากวันที่คณะกรรมการกองทุนฯ เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2550 แล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงสรุปความคืบหน้ามาเพื่อโปรดทราบ ดังต่อไปนี้
2.1 ความคืบหน้าของงานในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ
มีจำนวนเรื่องที่ต้องดำเนินการรวม 56 โครงการ ลงนามในสัญญาและเริ่มงานแล้ว 10 โครงการ คาดว่าจะลงนามในไตรมาสที่ 3 และ 4 จำนวน 38 โครงการ และ 8 โครงการ ตามลำดับ โดยการดำเนินงานในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบยังคงเป็นไปตามแผน
2.2 ความคืบหน้าของงานในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ
มีจำนวนเรื่องที่ต้องดำเนินการ 121 รายการ ลงนามในสัญญาแล้ว 52 รายการ คาดว่าจะลงนามในเดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน ได้อีก 17 รายการ 23 รายการ และ 29 รายการ ตามลำดับ โดย พพ. คาดว่าสามารถลงนามในสัญญาและเริ่มดำเนินงานได้ครบทั้ง 121 รายการ ภายในเดือนมิถุนายน 2550
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ขอความเห็นชอบ โครงการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้านอย่างยั่งยืน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้มีหนังสือด่วนที่สุด พน 0506/276 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2550 ขอให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำ "โครงการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้านอย่างยั่งยืน" เสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อพิจารณาอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 150 ล้านบาท (หนึ่งร้อยห้าสิบล้านบาทถ้วน) เป็นค่าดำเนินงานตามข้อเสนอดังกล่าว สรุปได้ดังนี้
(1) วัตถุประสงค์และสาระสำคัญ
พพ. ได้ดำเนินโครงการไฟฟ้าพลังน้ำระดับหมู่บ้าน ในรูปแบบความร่วมมือกับราษฎร รวม 90 โครงการ ขนาดกำลังผลิตรวม 2,920.50 กิโลวัตต์ ซึ่งต่อมา กฟภ. ได้ขยายเขตระบบจำหน่ายสายส่งไฟฟ้าแรงสูงเข้าไปถึงหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงเลิกใช้ไฟฟ้าจากโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำ จึงมีเพียง 40 โครงการที่ยังคงใช้งานอยู่ ขนาดกำลังผลิตรวม 1,202 กิโลวัตต์ ดังนั้น พพ. จึงมีแผนพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้านอย่างยั่งยืน ใช้เวลา 24 เดือน ปรับปรุงโรงไฟฟ้าที่ชาวบ้านเลิกใช้งานแต่ยังมีศักยภาพ 25 โครงการ ขนาดกำลังผลิตรวม 970 กิโลวัตต์ พัฒนาเป็น 1,500 กิโลวัตต์ และเชื่อมโยงกับระบบจำหน่ายของ กฟภ. โดย พพ. จะปรับปรุงเครื่องกังหันน้ำและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า พร้อมทั้งอุปกรณ์ประกอบและระบบผันน้ำ-ระบบส่งน้ำ ระบบสายส่งไฟฟ้า เพื่อรองรับการเชื่อมโยงขนานเข้าระบบ คาดว่าใช้เงินลงทุนประมาณ 100,000 บาทต่อกิโลวัตต์
(2) งบประมาณรายจ่ายของโครงการฯ
รายการ | จำนวน | ต่อโครงการ | รวมทั้งสิ้น | |
(โครงการ) | (บาท) | (บาท) | ||
1 | งานบริหารโครงการ | 25 | 480,000 | 12,000,000 |
ค่าตอบแทน ควบคุมงาน ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก | ||||
ค่าใช้สอย ว่าจ้าง ค่าซ่อม ยานพาหนะ เครื่องจักรกลหนัก | ||||
ค่าวัสดุ ในการสำรวจ ออกแบบ น้ำมันเชื้อเพลิง อื่นๆ | ||||
2 | ค่าจ้างปรับปรุงทางด้านโยธา | 25 | 2,640,000 | 66,000,000 |
จ้างปรับปรุง ฝาย ประตูระบายตะกอน ระบบปันน้ำ ระบบส่งน้ำ อาคารโรงไฟฟ้า | ||||
3 | ค่าจ้างปรับปรุงด้านไฟฟ้าและเครื่องกล | 25 | 2,880,000 | 72,000,000 |
ระบบสายส่งไฟฟ้า เสาไฟฟ้า หม้อแปลงไฟฟ้า พร้อมอุปกรณ์ยึดโยงและเชื่อมโยงเข้าระบบ กฟภ. | ||||
ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ รวม 25 โครงการ | 6,000,000 | 150,000,000 |
(3) ประโยชน์ที่มีต่อการประหยัดพลังงาน
- เพิ่มพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานทดแทนเข้าสู่ระบบ 1,500 ล้านหน่วย และช่วยเพิ่มความมั่นคงให้กับระบบสายส่งของการไฟฟ้า และเพิ่มอัตถประโยชน์ในแต่ละชุมชนหมู่บ้านจากการได้กระแสไฟฟ้าไปใช้
- มีการใช้พลังงานน้ำที่เป็นทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่สูญเปล่า ทำให้เกิดการรักษาป่าไม้ที่เป็นต้นน้ำ และทำให้น้ำใต้ดินมีความชุ่มชื้นทำให้ป่าอุดมสมบูรณ์ เป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อม
2. สนพ. ได้ประเมินคุณภาพของข้อเสนอฯ โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย 1) ผศ.ดร.อุดมเกียรติ นนทแก้ว 2) ดร.ธานี มนต์ไตรเวศย์ และ 3) คุณประหยัด เครื่องประดิษฐ์ ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างกันเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2550 ซึ่งเห็นว่ารายละเอียดในข้อเสนอของ พพ. ยังขาดข้อมูลในประเด็นสำคัญที่เห็นควรให้ผู้แทน พพ. ได้เข้าร่วมประชุมและแสดงรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น
(1) ความเชื่อมั่น (ด้านปริมาณน้ำ) โอกาสในการพัฒนา (ความพร้อมของชุมชน) แนวโน้มในการเชื่อมโยง (ระยะห่างจากเครื่องกำเนิดถึงระบบของ กฟภ.)
(2) การวิเคราะห์ทางเลือกและความเหมาะสมของเทคโนโลยีการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้าพลังน้ำ ที่จะเลือกใช้ INDUCTION GENERATOR
(3) แนวทางในการขยายกำลังการผลิต จะเป็นการเปลี่ยนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในขนาดที่ใหญ่ขึ้น หรือ เป็นการเสริมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพิ่มเติมจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเดิมที่มีอยู่ รวมถึงโอกาสที่จะขยายกำลังการผลิตจากเดิมที่เข้าใจว่าออกแบบไว้ประมาณ 80% ของปริมาณน้ำทั้งปี ให้เต็มศักยภาพ
(4) แนวทางบริหารจัดการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ การดูแลบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า อย่างยั่งยืน
(5) แนวทางบริหารจัดการรายได้ที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำภายใต้โครงการ
3. ผู้แทนของ พพ. ได้เข้าร่วมประชุมและให้ข้อมูลรายละเอียดแนวทางการดำเนินงานเพิ่มเติมต่อ ผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว คณะผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นว่าโครงการนี้ก่อเกิดประโยชน์ต่อประเทศโดยรวมทั้งด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม การรักษาและฟื้นฟูป่าไม้ แหล่งต้นน้ำ จึงเห็นควรที่กองทุนฯ จะสนับสนุนให้ พพ. ดำเนินโครงการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้านอย่างยั่งยืน โดยให้ พพ.
(1) ปรับปรุงเพิ่มเติมข้อมูลในข้อเสนอโครงการฯ ให้ครบถ้วนและชัดเจนตามที่ได้ให้ไว้กับคณะผู้ทรงคุณวุฒิ ดังรายละเอียดปรากฏในข้อ 3 ของรายงานการประชุม
(2) เห็นด้วยกับทางเลือกที่จะเสนอเป้าหมายของโครงการฯ ที่ พพ. จะสำรวจออกแบบโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้าน โดยชื่อหรือจำนวนโครงการอาจเปลี่ยนแปลงไปจากรายการที่เสนอมา ซึ่ง พพ. จะปรับปรุงให้โครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำจากที่สำรวจออกแบบไว้ให้กลับมาใช้งานได้ใหม่ในกำลังการผลิตรวมไม่น้อยกว่า 1,500 kW หรือมากกว่า ทั้งนี้จนหมดวงเงินที่จะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ 150 ล้านบาท
หาก พพ. ดำเนินการปรับปรุงได้กำลังการผลิตรวมไม่น้อยกว่า 1,500 kW และหมดวงเงินแล้ว ยังมีโครงการฯ ที่มีศักยภาพเหลืออยู่ พพ. จะได้นำไปเสนอของบประมาณมาดำเนินการต่อไป
(3) ระบุที่มาของการประเมินศักยภาพในการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้านที่ พพ. คาดว่าจะสามารถปรับปรุงให้กลับมาใช้งานได้ใหม่ในกำลังการผลิตรวม 1,500 kW
(4) ปรับประมาณการค่าการลงทุนพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้าน ที่ พพ. เสนอไว้ในเบื้องต้น 100,000 บาท/kW โดยควรจำแนกเป็นราคาต่อหน่วยให้สอดคล้องกับงานในแต่ละด้าน เช่น งานด้านไฟฟ้าจัดทำเป็นราคาต่อกิโลวัตต์ และงานด้านโยธาจัดทำเป็นราคาต่อกิโลเมตร ฯลฯ เพื่อเป็นหลักในการพิจารณาความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายในการลงทุน
(5) พิจารณาระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ให้เหมาะสมกับปริมาณงาน เพราะจากการศึกษาสำรวจออกแบบ และจ้างผู้เข้าไปดำเนินการเป็นรายโครงการฯ พพ. จะดำเนินการได้ไม่ทันภายในเวลา 24 เดือน
(6) ให้ สนพ. ประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการฯ และนำคณะผู้ทรงคุณวุฒิไปเยี่ยมชมผลสำเร็จของการดำเนินโครงการฯ ในพื้นที่ต่างๆ ด้วย
พพ. ได้ปรับแผนงานของโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะของคณะผู้ทรงคุณวุฒิข้างต้นเรียบร้อยแล้ว ตามรายละเอียดปรากฏตามเอกสารประกอบวาระ 4.1 ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อโปรดพิจารณา
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ปีงบประมาณ 2550 ที่ สนพ. ได้รับอนุมัติไว้แล้วจากคณะกรรมการกองทุนฯ ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้านอย่างยั่งยืน" ในวงเงิน 150 ล้านบาท ตามรายละเอียดที่ปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 4.1
2. ให้ พพ. ทำความตกลงกับกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับวิธีการนำรายได้ที่เกิดจากการขายไฟฟ้าในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ช่วงก่อนที่ พพ. จะโอนโรงไฟฟ้าให้แก่ท้องถิ่น นำส่งกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แทนการนำส่งกระทรวงการคลัง
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า พพ. ได้มีหนังสือด่วนที่สุด พน.0509/273 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2550 ขอให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำ "โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 จำนวน 11 ผลิตภัณฑ์" เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 18.8 ล้านบาท (สิบแปดล้านแปดแสนบาทถ้วน) เป็นค่าดำเนินงานตามข้อเสนอดังกล่าว สรุปได้ดังนี้
(1) วัตถุประสงค์และสาระสำคัญ
ในช่วงปี 2543-2548 พพ. ได้จัดทำร่างกฎกระทรวงฯ จำนวน 11 ผลิตภัณฑ์ไว้แล้ว คือ กระจก ตู้แช่ เตารีดไฟฟ้า เครื่องซักผ้า เตาไฟฟ้า เตาอบไมโครเวฟ กาต้มน้ำร้อนไฟฟ้า ฉนวนใยแก้ว เครื่องอบผ้า เตาอบไฟฟ้า และเครื่องทำน้ำเย็น ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีของแต่ละผลิตภัณฑ์ได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้วจำเป็นต้องทบทวนร่างกฎกระทรวงฯ ให้เหมาะสมกับสภาวะปัจจุบัน เพื่อประกาศใช้ในการส่งเสริมการผลิตและจำหน่าย ตลอดจนจัดทำร่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ประสิทธิภาพขั้นต่ำ) เพื่อส่งให้ สมอ. ดำเนินการต่อไป
(2) งบประมาณรายจ่ายของโครงการฯ ขอรับสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงินรวม 18.8 ล้านบาท แบ่งเป็น
ค่าใช้จ่าย | จำนวน |
1. ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร | 6,337,550 บาท |
2. ค่าใช้จ่ายประชุม-สัมมนา | 1,450,000 บาท |
3. ค่าใช้จ่ายทดสอบผลิตภัณฑ์ | 4,950,000 บาท |
4. ค่าใช้จ่ายประชาสัมพันธ์ | 5,092,100 บาท |
5. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ | 972,100 บาท |
* ขอสนับสนุนจากกองทุนฯ | 18,800,000 บาท |
(3) ประโยชน์ที่มีต่อการประหยัดพลังงาน :ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน คาดว่าการออกกฎกระทรวงของอุปกรณ์ 11 ประเภท จะช่วยให้เกิดการประหยัดพลังงานได้ 90 ktoe/ปี
2. สนพ. ได้ประเมินคุณภาพของข้อเสนอฯ โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย 1) ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ 2) ศ.ดร.จุลละพงษ์ จุลละโพธิ และ 3) รศ.ดร.อภิชิต เทอดโยธิน ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างกันเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2550 ซึ่งเห็นว่ารายละเอียดในข้อเสนอของ พพ. ยังขาดข้อมูลในประเด็นสำคัญ คือ
(1) การทบทวนงานที่หน่วยงานต่างๆ รวมถึง พพ. ที่ได้ดำเนินการศึกษาไว้แล้ว เพื่อศึกษาแนวทาง กระบวนการที่จะผลักดันให้งานจัดทำมาตรฐานประสิทธิภาพ ประสพความสำเร็จ
(2) การทบทวนผลการดำเนินงานศึกษาร่างกฎกระทรวงที่ พพ. ดำเนินการผ่านมา เพื่อบ่งชี้ให้เห็นปัญหาอุปสรรคที่ พพ. ไม่สามารถนำร่างกฎกระทรวงของอุปกรณ์ที่ได้ศึกษาไว้ทั้ง 24 ชนิด มาประกาศใช้ และระบุกระบวนการหรือแนวทางที่จะเชื่อมั่นได้ว่าการศึกษาครั้งนี้ จะผ่านอุปสรรคเดิมและสามารถประกาศกฎกระทรวงได้
(3) การอ้างอิงถึงกระบวนการพิจารณาถึงความเหมาะสมที่แจ้งว่าผลการศึกษาเดิม (ปี 2543-2548) ไม่เป็นปัจจุบัน จำเป็นต้องศึกษาใหม่ ทั้ง 11 อุปกรณ์
(4) เหตุผลที่ต้องศึกษาเพื่อกำหนดค่ามาตรฐานโดยแยกเป็นรายอุปกรณ์ เพราะอุปกรณ์บางชนิดไม่มีความซับซ้อนและเทคโนโลยีไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงเร็ว เช่น กระติกน้ำร้อน กาต้มน้ำร้อน เตาอบไมโครเวฟ เป็นต้น หรือความจำเป็นที่ต้องกำหนดมาตรฐานในอุปกรณ์บางชนิดที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ออกรุ่นใหม่ๆ มาเสมอ เช่น เครื่องซักผ้า และมีแนวทางจะกำหนดมาตรฐานอย่างไรกับอุปกรณ์ลักษณะนี้
(5) ความจำเป็นที่ต้องจ้างที่ปรึกษาเข้ามาดำเนินการแทนในทุกรายการ เพราะการทบทวนกฎกระทรวงฯ ไม่น่าจะจำเป็นที่ต้องจ้างที่ปรึกษามาให้ความเห็นทุกอุปกรณ์ บุคลากรของหน่วยงานเจ้าของโครงการ น่าจะดำเนินการเองได้ เพราะต้องมีความชำนาญการในเรื่องนี้มากกว่าที่ปรึกษาเพื่อการกำกับดูแลคุณภาพงานจะได้เป็นไปด้วยความครบถ้วน
(6) ที่มาของผลการประหยัดพลังงานที่ระบุไว้ หากมีการประกาศใช้กฎกระทรวงของ 11 ผลิตภัณฑ์ จะช่วยให้เกิดการประหยัดพลังงานได้ 90 ktoe/ปี
(7) ยังไม่ควรดำเนินการประชาสัมพันธ์ เพราะเป้าหมายของโครงการฯ เป็นเรื่องทางเทคนิคที่ยังไม่มีผลเป็นนามธรรมหรือจับต้องได้
โดยคณะผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นว่า พพ. ควรจัดทำข้อเสนอใหม่ โดยเพิ่มเติมข้อมูลที่สำคัญในประเด็น ตามที่มีความเห็นไว้ข้างต้น ประกอบกับในช่วงนี้กระทรวงพลังงานจะทำงบประมาณปี 2551 เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา และงานที่ พพ. มีอยู่เดิมและต้องดำเนินการในปีงบประมาณ 2550 มีปริมาณมากอยู่แล้ว จึงเห็นควรให้ พพ. จัดทำรายละเอียดและปรับแนวทางการดำเนินโครงการฯ ให้เรียบร้อย และยื่นเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในปีงบประมาณ 2551 ต่อไป
3. ด้วยกระทรวงพลังงานเห็นว่าเรื่องดังกล่าวมีความจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้เครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยมีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพโดยเร็ว พพ. จึงได้จัดทำข้อเสนอ "โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2" ที่ปรับปรุงตามความเห็นของคณะผู้ทรงคุณวุฒิตามข้อ 2 และเสนอต่อคณะอนุกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณา
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำ "โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2" เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 18.8 ล้านบาท โดยก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พพ. จะต้องปรับขอบเขตงานประชาสัมพันธ์ และงบประมาณในส่วนการประชาสัมพันธ์ให้เป็นไปตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ ด้วย
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า พพ. ได้มีหนังสือด่วนที่สุด พน.0509/273 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2550 ขอให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำ "โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก" (เอกสารแนบวาระ 4.3.1) เสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อพิจารณาอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 22 ล้านบาท (ยี่สิบสองล้านบาทถ้วน) เป็นค่าดำเนินงาน โดยสรุปได้ดังนี้
1) วัตถุประสงค์และสาระสำคัญ
โรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กทั่วประเทศ มีประมาณ 36,000 แห่ง ที่ต้องการความรู้ความเข้าใจวิธีการอนุรักษ์พลังงานอย่างถูกต้องและเป็นระบบ ในช่วงปี 2548 และ 2549 พพ. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเข้าไปดำเนินการโครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กแล้ว 700 แห่ง เกิดผลประหยัดพลังงาน 8.366 ktoe และเพื่อให้การดำเนินงานมีความต่อเนื่อง พพ. จึงจะว่าจ้างที่ปรึกษาดำเนินการต่อในปี 2550 อีก 100 แห่ง
2) งบประมาณรายจ่ายของโครงการฯ ขอสนับสนุนจากกองทุนฯ 22 ล้านบาท แบ่งเป็น
ค่าใช้จ่ายต่อกลุ่ม (กลุ่มละ 25 แห่ง) | จำนวน |
1. ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร | 3,306,000 บาท |
2. ค่าใช้จ่ายอื่น | 1,835,250 บาท |
3. ภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 | 359,888 บาท |
รวม | 5,501,138 บาท |
ขอตั้งงบประมาณ ต่อกลุ่ม | 5,500,000 บาท |
รวมงบประมาณ 100 แห่ง (แบ่ง 4 กลุ่มๆ ละ 25 แห่ง) | 22,000,000 บาท |
3) ประโยชน์ที่มีต่อการประหยัดพลังงาน : ระยะเวลา 8 เดือน คาดว่าจะมีผลประหยัดพลังงานเฉลี่ยต่อแห่งไม่ต่ำกว่า 5 toe/ปี หรือเมื่อจบโครงการแล้วจะเกิดผลประหยัดรวมไม่น้อยกว่า 500 toe/ปี ระยะเวลาคืนทุนเฉลี่ยไม่เกิน 2 ปี
2. สนพ. ได้ประเมินคุณภาพของข้อเสนอฯ โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย 1) ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ 2) ศ.ดร.จุลละพงษ์ จุลละโพธิ และ 3) รศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างกันเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2550 ซึ่งเห็นว่ารายละเอียดในข้อเสนอของ พพ. ยังขาดข้อมูลในประเด็นสำคัญ คือ
(1) การทบทวนการทำงานโครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม ที่ พพ. ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2545 การที่บ่งชี้ถึงสิ่งที่ พพ. ได้เรียนรู้จากประสบการณ์การทำงาน จำแนกกลุ่มของสถานประกอบการที่เข้าไปดำเนินการมาแล้ว แสดงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทั้งด้านพลังงานและมาตรการที่เกิดขึ้น ระบุประเด็นปัญหาหรือข้อจำกัด ที่นำมาสู่การทำโครงการตามที่เสนอมาในครั้งนี้ โดยระบุให้ชัดเจนว่าจะเลือกเข้าไปดำเนินการกับกลุ่มเป้าหมายใน sector ใดบ้าง ด้วยเหตุผลอะไร
(2) ปรับแนวทางการดำเนินโครงการฯ ที่ไม่ใช่การดำเนินการผ่านระบบที่ปรึกษา แต่ควรมุ่งเน้นกระบวนการที่จะก่อให้เกิดความยั่งยืนโดยปลูกฝังพัฒนาไว้ที่บุคลากรของสถานประกอบการ เช่น การนำองค์ความรู้ที่ได้จากการดำเนินงานที่ผ่านมาที่ พพ. จัดทำไว้ในรูปแบบเอกสารเผยแพร่ หรือ VDO อยู่มากนั้น ไปขยายผลด้วยวิธีที่เข้าถึงสถานประกอบการที่ยังไม่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานกว่า 20,000 แห่ง ได้เร็วขึ้น รวมถึงการใช้ทรัพย์สินที่ลงทุนไว้แล้ว เช่น ศูนย์ให้คำปรึกษา ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น หรือหากต้องการให้มีที่ปรึกษาเข้าไปช่วยให้คำแนะนำ ก็ควรให้เจ้าของสถานประกอบการนั้นออกค่าใช้จ่ายด้วยส่วนหนึ่ง
(3) พิจารณาปรับตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการ จากที่จะประหยัดพลังงานเฉลี่ยต่อแห่งไม่ต่ำกว่า 5 toe/ปี โดยน่าจะเพิ่มการวัดผลที่ความยั่งยืนที่สถานประกอบการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเนื่องด้วย
โดยคณะผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นว่า พพ. ควรจัดทำข้อเสนอใหม่ โดยเพิ่มเติมข้อมูลที่สำคัญในประเด็น ตามที่มีความเห็นไว้ข้างต้น ประกอบกับในช่วงนี้กระทรวงพลังงานจะทำงบประมาณปี 2551 เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา และงานที่ พพ. มีอยู่เดิมและต้องดำเนินการในปีงบประมาณ 2550 มีปริมาณมากอยู่แล้ว จึงเห็นควรให้ พพ. จัดทำรายละเอียดและปรับแนวทางการดำเนินโครงการฯ ให้เรียบร้อย และยื่นเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในปีงบประมาณ 2551 ต่อไป
3. ด้วยกระทรวงพลังงานเห็นว่าเรื่องดังกล่าวมีความจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อช่วยผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน พพ. จึงได้จัดทำข้อเสนอ "โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก" ที่ปรับปรุงตามความเห็นของคณะผู้ทรงคุณวุฒิตามข้อ 2 และเสนอต่อคณะอนุกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณา
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำ "โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก" เสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อพิจารณาอนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 22 ล้านบาท
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่มีความผันผวนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในแต่ละปีประเทศไทยต้องจ่ายเงินหลายแสนล้านบาทเพื่อนำเข้าน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป ดังนั้น ทางออกทางหนึ่งของการลดใช้น้ำมัน คือ การส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานทดแทน โดยเฉพาะ "น้ำมันแก๊สโซฮอล์" กระทรวงพลังงานจึงมีนโยบายจะส่งเสริมให้มีการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์เพิ่มมากขึ้น และตั้งเป้าหมายการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ให้ได้ 8 ล้านลิตรต่อวันภายในสิ้นปี 2550 ดังนั้น สนพ. จึงได้ดำเนินการโครงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2550 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตลอดจนสร้างกระแสการรับรู้ที่ดี ลดอคติ ไม่กล่าวโทษปัญหาของรถยนต์ว่าเป็นผลมาจากการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ และมุ่งหวังให้ประชาชนเปลี่ยนทัศนคติมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ในที่สุด ถึงแม้ว่าปัจจุบันราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์จะมีส่วนต่างกับน้ำมันเบนซินถึง 3.30 บาทต่อลิตร และการดำเนินการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์แบบครบวงจร แต่ปริมาณการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ก็ยังไม่มีทีท่าจะขยับตัวเร็วในระดับที่เชื่อมั่นได้ว่าจะไปถึงเป้าหมายที่ภาครัฐได้ตั้งไว้ที่ 8 ล้านลิตรต่อวันภายในสิ้นปี 2550
2. สนพ. จึงเห็นควรรณรงค์ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ระยะที่ 2 เพื่อเร่งสร้างความมั่นใจกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนสร้างโอกาสให้ผู้ใช้รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ ได้ทดลองเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์เพื่อให้เห็นผลว่าไม่ทำให้เครื่องยนต์เสียหาย และจะขอความร่วมมือบริษัทผู้ค้าน้ำมันอีกครั้งให้ยืนยันและรับประกันชดใช้ความเสียหายหากพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายของเครื่องยนต์มาจากนำมันแก๊สโซฮอล์ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหันมาเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์อย่างถาวร
2.1 วัตถุประสงค์
เพื่อตอกย้ำให้ประชาชนลดอคติและเพื่อโน้มน้าวใจผู้บริโภคที่มีต่อน้ำมันแก๊สโซฮอล์ว่าไม่ส่งผลกระทบต่อเครื่องยนต์แต่อย่างใด และสร้างความมั่นใจว่าการหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ (E10) ทดแทนน้ำมันเบนซินก่อให้เกิดประโยชน์มากมาย ภายใต้แนวคิด "ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ มั่นใจได้ในคุณภาพ ไม่กระทบต่อสมรรถนะของเครื่องยนต์ และประหยัดค่าน้ำมันจริง ใช้แล้วคุณจะติดใจ"
2.2 ขอบเขตงาน
วางแผนงานโครงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยเสนอกลยุทธ์เชิงรุก ผ่านงานสร้างสรรค์ที่สามารถสื่อสารในวงกว้างเพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว และทั่วถึง ตลอดจนสร้างกระแสต่อเนื่องของการรณรงค์เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ เชิญชวนให้ผู้ที่ยังไม่กล้าทดลองใช้ให้หันมาเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ทันที โดยมีการขยายประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ด้วย อาทิ
- ผลิตและเผยแพร่ภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อโทรทัศน์, สปอตวิทยุ และสื่อต่างๆ
- ผลิตและเผยแพร่ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ หรือแนวคิดในการใช้สื่อที่ทันสมัย
- จัดกิจกรรมเผยแพร่ต่างๆ ที่เอื้อต่อการทดลองใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์
- จัดทำแผนงานประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพื่อกระตุ้นสื่อมวลชนให้เผยแพร่ข้อเท็จจริงสู่ภาคประชาชน
- การจัดกิจกรรมเผยแพร่ต่างๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงบางรายการเพื่อความเหมาะสม ฯลฯ
2.3 ผลที่คาดว่าจะได้รับ
ประชาชนผู้ขับขี่มีความมั่นใจในคุณภาพน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และเข้าใจว่าการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ไม่ส่งผลกระทบต่อสมรรถนะของรถยนต์
ประชาชนผู้ใช้รถยนต์ตัดสินใจทดลองเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ในทันที ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้หันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์อย่างถาวร
2.4 งบประมาณ
ขอใช้เงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 40,000,000 บาท (สี่สิบล้านบาทถ้วน) เพื่อจัดจ้างเอกชนเข้ามาเป็นผู้ดำเนินโครงการฯ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและสามารถสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้โดยสามารถถัวจ่ายระหว่างรายการ และแยกรายการและทำสัญญาหรือหนังสือยืนยันได้หลายรายการตามความเหมาะสม
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในวงเงิน 40,000,000 บาท (สี่สิบล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ระยะที่ 2" โดยให้ สนพ. รับข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ ไปดำเนินการในโครงการดังกล่าวด้วย
2. เห็นชอบให้ถัวจ่ายเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค โครงการสนับสนุนการศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงาน ที่ สนพ. ได้รับอนุมัติไว้แล้วจากคณะกรรมการกองทุนฯ ในวงเงิน 40,000,000 บาท (สี่สิบล้านบาทถ้วน) มาสมทบในโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันเก๊สโซฮอล์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ระยะที่ 2