มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2550 (ครั้งที่ 8)
วันที่ 25 เมษายน 2550 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม อาคาร 2 กระทรวงพลังงาน
1. ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550
2. ขอความเห็นชอบ เปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ"
3. ขอความเห็นชอบ เปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับ "โครงการส่งเสริมปั้มอิสระจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ได้คุณภาพ"
4. ขอความเห็นชอบ ขยายระยะเวลา โครงการค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทางในส่วนต่างให้แก่บริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน)
5. ความคืบหน้า และขอปรับแผนงาน โครงการส่งเสริมการวิจัยเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
6. ขอความเห็นชอบ เปลี่ยนชื่อ "โครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5"
7. ขอความเห็นชอบโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า มติคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2550 โดยสรุปสาระสำคัญของแผนฯ ได้ดังนี้
(1) เร่งรัดการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2535 เพื่อบังคับให้โรงงานควบคุม 3,110 แห่ง อาคารควบคุม 1,115 แห่ง (ไม่รวมอาคารของรัฐ 800 แห่ง) ดำเนินการตามแผนและเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานที่เสนอไว้กับ พพ. อย่างจริงจัง โดยแก้ไขกฎกระทรวง ใช้มาตรการส่งเสริม สนับสนุนและจูงใจทั้งด้านการเงิน มาตรการทางภาษี และคำแนะนำทางด้านเทคนิค
(2) ติดตามการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงในหน่วยงานราชการและอาคารของรัฐให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีกับประชาชน คาดว่าในปี 2550 จาก 1,800 หน่วยงานที่ใช้ไฟฟ้ามากกว่า 10,000 หน่วย/ปี จะลดใช้พลังงาน 38 ktoe/ปี คิดเป็นมูลค่า 1,187 ล้านบาท/ปี
(3) เร่งรัดการจัดการออกกฎกระทรวงเพื่อให้ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย ได้มาตรฐานมีประสิทธิภาพด้านพลังงาน พร้อมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีการผลิตและประชาชนนิยมใช้เป็นที่แพร่หลาย คาดว่าจะก่อให้เกิดผลประหยัดพลังงาน 120 ktoe/ปี คิดเป็นมูลค่า 3,493 ล้านบาท/ปี
(4) ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนพัฒนาพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น โดยใช้มาตรการกำหนดอัตราราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเพิ่ม (Adder) และใช้เงินจากกองทุนฯ 2,000 ล้านบาท (1,000 ล้านบาท/ปี) เพื่อให้เอกชนที่จะลงทุนด้านพลังงานทดแทนได้มีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ที่คาดว่าจะช่วยทำให้เพิ่มอัตราส่วนการใช้พลังงานทดแทนจากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 4.7 คาดว่าเป็นการผลิตไฟฟ้าเพิ่มจาก 2,055 MW เป็น 2,233 MW เพิ่มการใช้ในกระบวนการความร้อนจาก 1,789 ktoe เป็น 2,217 ktoe และเพิ่มการใช้เอทานอล 0.4 ล้านลิตร/วัน เป็น 0.9 ล้านลิตร/วัน และใช้ไบโอดีเซล 0.3 ล้านลิตร/วัน เป็น 0.5 ล้านลิตร/วัน
(5) การกระจายความรู้ความเข้าใจสู่ภูมิภาคและท้องถิ่นอย่างทั่วถึง ทั้งเรื่องการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้พลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานรูปแบบอื่นที่เหมาะสมกับท้องถิ่น รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในเรื่องพลังงานทางเลือก ทั้งด้านนโยบายของรัฐ การผลิต การใช้ การกำกับดูแลความปลอดภัย และการจัดการป้องกันผลกระทบ เช่น ก๊าซธรรมชาติ แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล ถ่านหิน นิวเคลียร์ เป็นต้น
(6) เห็นชอบจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในวงเงินรวมทั้งสิ้น 3,484,538,344 บาท ประกอบด้วย
หน่วย : บาท
หน่วยงาน | 1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | รวม |
1) พพ. | 1,597,552,500 | 697,350,000 | - | 2,294,902,500 |
2) สนพ. | 529,500,000 | 472,611,000 | 186,405,104 | 1,188,516,104 |
3) กรมบัญชีกลาง | - | - | 1,119,740 | 1,119,740 |
รวม | 2,127,052,500 | 1,169,961,000 | 187,524,844 | 3,484,538,344 |
ทั้งนี้ ให้แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายภายในแผนงาน/งานเดียวกันได้
คาดว่าในปี 2550 จะสามารถลดปริมาณการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ลง 541 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และจะนำพลังงานทดแทนมาใช้เพิ่มขึ้น 550 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ภายในปี 2550
2. คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติให้ สนพ. และ พพ. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานให้ฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อสรุปรายงานคณะอนุกรรมการฯ ทุก 3 เดือน และคณะกรรมการกองทุนฯ ทุก 6 เดือน บัดนี้ครบกำหนดระยะเวลา 3 เดือน นับจากวันที่คณะกรรมการกองทุนฯ เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2550 แล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงสรุปความคืบหน้ามาเพื่อโปรดทราบ ดังต่อไปนี้
2.1 ความคืบหน้าของงานในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ
- มีจำนวนเรื่องที่ต้องดำเนินการรวม 56 โครงการ ลงนามในสัญญาและเริ่มงานแล้ว 10 โครงการ คาดว่าจะลงนามในไตรมาสที่ 3 และ 4 จำนวน 38 โครงการ และ 8 โครงการ ตามลำดับ
2.2 ความคืบหน้าของงานในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ
- มีจำนวนเรื่องที่ต้องดำเนินการ 259 รายการ ลงนามในสัญญาแล้ว 43 รายการ คาดว่าจะลงนามในเดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน ได้อีก 16 รายการ 161 รายการ และ 39 รายการ ตามลำดับ โดย พพ. คาดว่าสามารถลงนามในสัญญาและเริ่มดำเนินงานได้ครบทั้ง 259 รายการ ภายในเดือนมิถุนายน 2550
มติที่ประชุม
ให้ พพ. และ สนพ. ปรับปรุงเอกสารประกอบการรายงานความก้าวหน้าให้มีรายละเอียดและข้อมูลที่ชัดเจนมากพอเพื่อคณะอนุกรรมการฯ จักได้สามารถเปรียบเทียบกับเป้าหมายและแผนงานที่เข้าใจง่าย และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบความเป็นมาของโครงการนี้ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ที่ได้กำหนดให้รถยนต์ราชการที่ใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงติดตั้งอุปกรณ์เพื่อเปลี่ยนไปใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) โดยให้ บริษัท ปตท. (มหาชน) จำกัด ดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้ก่อน และให้กระทรวงการคลังกำหนดระเบียบการผ่อนจ่ายค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ราชการเพื่อคืนให้ ปตท. โดยบวกเพิ่มในราคาก๊าซธรรมชาติอีกกิโลกรัมละ 5 บาท เป็น 9.53 + 5.00 บาท = 14.53 บาท
มีส่วนราชการ 20 กระทรวง ขอติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ราชการรวม 1,708 คัน แต่ส่วนราชการไม่มีงบประมาณรายจ่ายเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ NGV และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุฯ ในเรื่องการเบิกจ่ายวัสดุ (ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง) ไม่เอื้อต่อการติดตั้งอุปกรณ์ไปก่อนและผ่อนชำระคืนผู้รับจ้าง
ปตท. จึงยื่นข้อเสนอ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" ขอใช้เงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เป็นเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย สำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ของราชการ ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อ 25 สิงหาคม 2548 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2548 ให้ ปตท. ในวงเงิน 110 ล้านบาท (หนึ่งร้อยสิบล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาใช้เงินทั้งหมดคืนกองทุนฯ ภายใน 10 ปี โดยให้ ปตท. หารือกับกรมบัญชีกลางเรื่องระเบียบวิธีการเบิกจ่ายและเรียกเก็บเงินคืนกองทุนฯ
กระทรวงการคลังเห็นว่าส่วนราชการไม่สามารถผ่อนชำระค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ได้ทันภายในปีงบประมาณ และการผูกพันเงินงบประมาณในปีต่อไปต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการก่อหนี้ผูกพัน คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2548 จึงได้อนุมัติหลักการให้ทุกส่วนราชการที่นำรถยนต์ราชการเข้าร่วมโครงการฯ ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณในการผ่อนชำระคืนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้แก่กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ สนพ. เป็นผู้แทนทุกส่วนราชการในการเสนอขอตั้งงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนชดเชยกองทุนฯ เพื่อผูกพันงบประมาณโดยรวม
ในช่วงระยะเวลา 1 ปี ( ธันวาคม 2548 ถึง ธันวาคม 2549) ปตท. ได้ติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้รถยนต์ราชการรวม 1,209 คัน คาดว่าจะประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในภาครัฐคิดเป็นมูลรวม 32,358,856 บาท/ปี โดย ปตท. มีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ผ่านเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย รวม 66,091,653 บาท (หกสิบหกล้านเก้าหมื่นหนึ่งพันหกร้อยห้าสิบสามบาทถ้วน) และ สนพ. เตรียมตั้งเป็นรายจ่ายในงบประมาณประจำปี 2551 เสนอสำนักงบประมาณเพื่อนำมาชำระคืนกองทุนฯ ต่อไป
กรมธุรกิจพลังงานเห็นว่ายังมีรถยนต์ราชการจำนวน 1,200 คัน ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลที่ยังไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์ NGV จึงเสนอขอใช้เงินจากกองทุนฯ 100 ล้านบาท (หนึ่งร้อยล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ยสำหรับสนับสนุนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้กับหน่วยงานดังกล่าว โดยในครั้งนี้กรมธุรกิจพลังงานจะเป็นเป็นผู้แทนทุกส่วนราชการในการเสนอขอตั้งงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนชดเชยกองทุนฯ ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติจัดสรรวงเงินดังกล่าวให้กรมธุรกิจพลังงานแล้วในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อ 21 ธันวาคม 2549
2. กระทรวงพลังงานได้เสนอที่ประชุมเพื่อพิจารณาเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับทั้ง 2 โครงการข้างต้น โดยให้ใช้ในลักษณะ "เงินให้เปล่า" แทน "เงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย" โดยมีเหตุผลดังนี้
2.1 ในช่วงเวลาที่พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ สำหรับ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" เมื่อ 25 สิงหาคม 2548 นั้น สถานการณ์พลังงานของประเทศอยู่ในช่วงเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาไปพร้อมๆ กันทุกด้าน ฐานะของกองทุนฯ จึงขาดสภาพคล่อง แต่เพื่อให้มาตรการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่งดำเนินการไปได้โดยไม่หยุดชะงัก สนพ. จึงได้เสนอขอให้การสนับสนุนฯ โครงการดังกล่าวในรูปของเงินยืมเป็นเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย และให้ ปตท. เร่งคืนเงินกองทุนฯ โดยเร็ว
2.2 ด้วยรัฐบาลจำเป็นต้องใช้เงินงบประมาณแผ่นดินเป็นจำนวนมากในการผลักดันงานและโครงการต่างๆ เพื่อพัฒนาและสร้างความมั่นคงของประเทศ ประกอบกับปัจจุบันฐานะการเงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเมื่อจัดสรรเงินตามประมาณการรายจ่ายตามแผนงาน 2550-2554 แล้วยังอยู่ในลักษณะสมดุล และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีแนวโน้มจะสามารถชำระหนี้ชดเชยตรึงราคาน้ำมันค้างชำระและหนี้ชดเชยราคา LPG ได้หมดภายในสิ้นปี 2550 การโอนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบางส่วนมาสมทบเป็นรายได้ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ก็จะเพิ่มศักยภาพช่วยผลักดันการดำเนินการตามนโยบายของรัฐในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศได้มากขึ้น
2.3 สนพ. จึงขอเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อโปรดพิจารณาการเปลี่ยนแปลงการใช้เงินจากกองทุนฯ สำหรับ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" ของ ปตท. และ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" ของกรมธุรกิจพลังงาน ดังต่อไปนี้
(1) ให้การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ภายใต้ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" และ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" เปลี่ยนแปลงเป็น "เงินให้เปล่า" แทน "เงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย ที่ต้องคืนกองทุนฯ ภายใน 10 ปี โดยใช้คืนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของวงเงินภายในปีที่ 5 และคืนส่วนที่เหลือภายในปีที่ 10"
(2) จากข้อ (1) สนพ. และกรมธุรกิจพลังงาน ไม่ต้องตั้งรายจ่ายในงบประมาณแผ่นดินประจำปี เพื่อนำมาชำระคืนกองทุนฯ
(3) เปลี่ยนชื่อ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" ที่กรมธุรกิจพลังงานได้รับอนุมัติจัดสรรเงินไว้แล้วจากมติคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 โดยเปลี่ยนชื่อเป็น "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" และให้กรมธุรกิจพลังงานปรับแผนงานโครงการฯ ให้สอดรับกับการดำเนินงานสนับสนุนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ราชการ แบบให้เปล่า
มติที่ประชุม
เห็นชอบการเปลี่ยนแปลงการใช้เงินจากกองทุนฯ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอมาในข้อ 2.3 และให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณาต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบความเป็นมาของ "โครงการส่งเสริมปั้มอิสระจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ได้คุณภาพ" ที่กรมธุรกิจพลังงานได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ในวงเงิน 20 ล้านบาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) ตามมติคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 โดยมีวัตถุประสงค์จะจ้างผู้เข้ามาดำเนินการล้างถังน้ำมันของปั้มอิสระ 2,200 ปั้มๆ ละ 7,000 บาท คิดเป็นเงินค่าล้างถังรวม 15,400,000 บาท และเป็นค่าดำเนินการและจัดสัมมนา 4,600,000 บาท
2. กรมธุรกิจพลังงานได้ขอเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินงานโดยขอให้สำนักงานพลังงานภูมิภาคทั้ง 12 แห่งเข้ามาร่วมดำเนินการและเป็นผู้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ โดยตรงจาก สนพ. ทั้งนี้ให้บริหารจัดการภายในวงเงินรวม 20 ล้านบาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) ที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว และขอปรับเปลี่ยนเป้าหมายของโครงการฯ เป็นล้างถังน้ำมันของปั้มอิสระ 1,400 ปั้ม โดยมีเหตุผลและความจำเป็นดังนี้
2.1 กรมธุรกิจพลังงานได้ทราบว่าการล้างถังมีด้วยกัน 2 วิธี คือ (1) ล้างด้วยเครื่อง (Flushing) โดยใช้เครื่องดูดทั้งน้ำมัน พร้อมตะกอนสิ่งสกปรกออกมาผ่านตัวกรองในลักษณะหมุนเวียนจนกว่าจะได้น้ำมันมันที่สะอาด ไม่มีตะกอน-สารแขวนลอย ไม่มีน้ำ มีค่าใช้จ่ายประมาณ 6,000-20,000 บาท/ถัง/ครั้ง และ (2) ใช้คนล้าง ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายสูงประมาณ 10,000-38,000 บาท/ถัง/ครั้ง โดยค่าจ้างล้างถังขึ้นอยู่กับขนาดและสภาพถัง ซึ่งจากข้อมูลที่ได้รับทำให้ทราบว่ากรมธุรกิจพลังงานได้ประมาณการค่าล้างถังน้ำมันไว้ที่ 7,000 บาท/รายนั้น เป็นอัตราค่าจ้างที่ต่ำกว่าความเป็นจริง
2.2 จำนวนผู้รับจ้างล้างถังและสนใจเข้าร่วมโครงการฯ มี 6 ราย หากกรมธุรกิจพลังงานเป็นหน่วยงานเดียวที่ดำเนินการทั่วประเทศ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 18 เดือน ซึ่งมีผลกระทบต่อการกระตุ้นและสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้เร็วขึ้นจึงขอให้สำนักงานพลังงานภูมิภาค 1-12 ร่วมเป็นเจ้าของโครงการฯ ล้างถังให้กับปั๊มอิสระในพื้นที่รับผิดชอบ
2.3 กรมธุรกิจพลังงานเสนอขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในการดำเนินโครงการฯ ดังนี้
(1) ขอเปลี่ยนแปลงเจ้าของโครงการฯ โดยประกอบด้วย กรมธุรกิจพลังงาน และสำนักงานพลังงานภูมิภาค 1-12
(2) กรมธุรกิจพลังงาน รับผิดชอบในการกำหนดรายละเอียดขอบเขตงานจ้างผู้ประกอบการล้างถัง จัดทำทะเบียนผู้ประกอบการ แจ้งรายชื่อปั๊มอิสระให้สำนักงานพลังงานภูมิภาค 1-12 และคุณสมบัติและเงื่อนไขของปั๊มอิสระที่จะเข้าร่วมโครงการฯ จัดทำราคากลางค่าจ้างล้างถัง ตามวิธีล้าง ขนาด ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง จัดทำเกณฑ์หรือแนวทางในการตรวจสอบคุณภาพงานของผู้รับจ้าง โดยรับจัดสรรเงินกองทุนฯ จาก สนพ. ในวงเงิน 200,000 บาท (สองแสนบาทถ้วน)
(3) สำนักงานพลังงานภูมิภาคแต่ละแห่ง รับผิดชอบในการจัดจ้างผู้รับจ้างล้างถังจากรายชื่อที่กรมธุรกิจพลังงานขึ้นทะเบียนไว้ ล้างถังกับปั๊มอิสระในพื้นที่รับผิดชอบตามขอบเขตงานและปริมาณงานที่กรมธุรกิจพลังงานแจ้งให้ทราบ โดยให้ สพภ. รับจัดสรรเงินกองทุนฯ โดยตรงจาก สนพ. ในวงเงินรวมทั้ง 12 สพภ. ไม่เกิน 19,800,000 บาท (สิบเก้าล้านแปดแสนบาทถ้วน) สำหรับการจ่ายค่าจ้างล้างถังให้ผู้รับจ้าง แต่ละ สพภ. จะจ่ายตามจำนวนถังที่ได้รับการล้างจริง และจะนำเงินส่วนที่เหลือส่งคืนกองทุนฯ
(4) กำหนดวิธีล้างถังน้ำมันไว้ทั้ง 2 วิธี เพื่อเปิดกว้างให้ผู้รับจ้างล้างถังน้ำมันสามารถเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมกับสภาพจริงของถังน้ำมันของปั๊มที่เข้าร่วมโครงการฯ
(5) ขอเปลี่ยนแปลงราคากลางค่าจ้างล้างถังจากเดิมที่เสนอไว้ 7,000 บาท/ถัง/ครั้ง โดยให้กรมธุรกิจพลังงานจัดทำราคากลางตามขนาดและสภาพถังของปั๊ม เพื่อเป็นเกณฑ์ให้ สพภ. 1-12 ใช้เป็นหลักในการพิจารณาราคาที่เหมาะสม โดยในเบื้องต้นกำหนดราคากลางที่ 12,000 บาท/ถัง/ครั้ง
(6) จากอัตราค่าล้างถังน้ำมันที่อาจเปลี่ยนแปลงตามข้อ (5) และจะทำให้เป้าหมายของโครงการฯ เปลี่ยนแปลงลดลง ซึ่งยังไม่ทราบจำนวนปั๊มที่จะสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ที่แน่นอน จึงขอเสนอดังนี้
- กรณีมีปั๊มสมัครเข้าร่วมโครงการมากกว่า 1,400 ราย จะล้างถังให้ปั๊มที่มีขนาดความจุถังมากก่อน และจำแนกพื้นที่ตามสำนักงานพลังงานภูมิภาคที่ 1-12
- กรณีปั๊มสมัครเข้าร่วมโครงการน้อยกว่า 1,400 ราย จะขอเบิกจ่ายค่าล้างถังตามจำนวนที่ล้างจริง
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงรายละเอียด "โครงการส่งเสริมปั้มอิสระจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ได้คุณภาพ" จากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติโครงการฯ ไว้แล้ว ตามที่กรมธุรกิจพลังงานเสนอ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบความเป็นมาของ "โครงการค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทางในส่วนต่างให้แก่บริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน)" เป็นการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 21 ธันวาคม 2547 ที่ได้เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจรบนถนนวิภาวดีรังสิต ตามที่กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เสนอ โดยให้บริษัททางยกระดับฯ ปรับลดราคาค่าผ่านทางตลอดสาย ทางยกระดับอุตราภิมุข เป็นระยะเวลา 3 เดือน (ตั้งแต่ 22 ธันวาคม 2547 ถึง 21 มีนาคม 2548) ในอัตรา 20 บาทต่อคัน สำหรับรถยนต์ไม่เกิน 4 ล้อ และไม่เกิน 50 บาทต่อคัน สำหรับรถยนต์ที่เกินกว่า 4 ล้อ กรณีที่รายได้จากค่าผ่านทางของบริษัททางยกระดับฯ ลดลงต่ำกว่าวันละ 3.3 ล้านบาท รัฐจะต้องชดเชยในส่วนต่างให้กับบริษัททางยกระดับฯ ร้อยละ 80 ของส่วนต่าง โดยให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จัดสรรเงินชดเชยให้ โดยให้กรมทางหลาวงจัดทำเรื่องเสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ด้วย
หลังการทดลองปรับลดค่าผ่านทาง 90 วัน (ตั้งแต่ 22 ธันวาคม 2547 ถึง 21 มีนาคม 2548) กรมทางหลวงได้ตรวจสอบค่าผ่านทางและพบว่ามีรายได้ 258,745,192 บาท หรือเฉลี่ยวันละ 2.87 ต่อวัน เท่ากับรายได้ลดลงรวม 297,000,000 บาท - 258,745,192 บาท = 38,254,807 บาท ซึ่งรัฐต้องจ่ายชดเชยในวงเงิน 30,603,845 บาท (ร้อยละ 80 ของส่วนต่าง) และกรมทางหลวงได้มีหนังสือที่ คค 0637/ฝส./10614 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2548 ขอให้ สนพ. ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในส่วนที่รัฐต้องชดเชยค่าผ่านทางยกระดับอุตราภิมุขตลอดสายเนื่องจากรายได้จากค่าผ่านทางของบริษัททางยกระดับฯ ลดลงต่ำกว่าวันละ 3.3 ล้านบาท
คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อ 10 มีนาคม 2549 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ปี 2549 ให้แก่กรมทางหลวง ในวงเงิน 30,603,845 บาท เพื่อนำไปจ่ายชดเชยค่าผ่านทางในส่วนต่างให้แก่บริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) โดยให้กรมทางหลวงรวบรวมเอกสารหลักฐานการเบิกจ่ายเงินให้ครบถ้วนตามจำนวนเงิน 30,603,845 บาท พร้อมรับรองความถูกต้องในเอกสารที่ขอเบิกทุกฉบับ และให้กรมทางหลวงคำนวณผลประหยัดพลังงานและประเมินความคุ้มค่าของการดำเนินโครงการฯ ในช่วงดังกล่าวส่งให้ สนพ. ด้วย
2. กรมทางหลวงได้ คำนวณผลประหยัดและประเมินความคุ้มค่าของการดำเนินโครงการฯ โดยสรุปได้ว่าในช่วงทดลอง 90 วัน มีรถยนต์เปลี่ยนมาใช้ทางยกระดับมากขึ้น 37,081 คันต่อวัน (เพิ่มขึ้นน้อยกว่า 70,000 คันต่อวัน บริษัทฯ จึงมีรายได้ลดลงจากเดิม) และความเร็วเฉลี่ยบนถนนวิภาวดีรังสิตเพิ่มขึ้นเป็น 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มูลค่าผลประหยัดที่ได้จากโครงการประมาณ 134,778,565 บาท โดยแบ่งเป็น
บนถนนวิภาวดี | บนทางยกระดับดอนเมือง | รวมผลประหยัด | |
ประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้รถ (Vehicle Operating Cost) ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันหล่อลื่น ยางรถ อะไหล่ และ ค่าซ่อมบำรุง |
32,167,613 บาท | 31,824,882 บาท | 63,992,495 บาท |
ประหยัดเวลาในการเดินทาง (Vehicle Operating Time) ค่าเสียเวลา คิดจากรายได้เฉลี่ยของผู้ใช้รถ แยกตามประเภทยานพาหนะ |
38,521,726 บาท | 32,264,344 บาท | 70,786,070 บาท |
3. กรมทางหลวงได้มีหนังสือที่ คค 0637/ฝส./00107 ลงวันที่ 23 มกราคม 2550 ขอขยายระยะเวลาโครงการฯ ออกไป 1 เดือนเป็นสิ้นสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2550 โดยเหตุแห่งความล่าช้าเกิดจากการคำนวณผลประหยัดพลังงานและประเมินความคุ้มค่าของการดำเนินโครงการฯ ต้องตรวจสอบจากข้อมูลที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก และต้องใช้เวลาในการดำเนินงานมากกว่าแผนงานที่กำหนดไว้
การพิจารณาของที่ประชุม
1. ที่ประชุมไม่มีข้อขัดข้องในประเด็นการขอขยายระยะเวลาโครงการฯ เพราะกรมทางหลวงมีเหตุผลที่จำเป็นในการรวบรวมข้อมูลย้อนหลัง ตั้งแต่ 22 ธันวาคม 2547 ถึง 21 มีนาคม 2548 และกระบวนการตรวจสอบรับรองความถูกต้องของข้อมูลก่อนนำมาประเมินความคุ้มค่าของการดำเนินโครงการฯ ซึ่งผู้แทนของกรมทางหลวงได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าปัจจุบันเอกสารหลักฐานได้ส่งให้ สนพ. เรียบร้อยแล้ว คงเหลือเพียงเอกสารหลักฐานด้านการเงินของเดือนธันวาคม 2548 ที่พร้อมจะจัดส่งให้ สนพ. แล้ว และเพื่อความรอบคอบในการพิจารณาเห็นควรให้กรมทางหลวงจัดส่งสัญญาที่กรมทางหลวงได้จัดทำกับบริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ให้ที่ประชุมได้พิจารณาในรายละเอียดก่อนเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาโครงการฯ
2. เรื่องดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ซึ่งกระทรวงคมนาคมดำเนินการโดยผิดขั้นตอน ที่เสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบก่อนผ่านความเห็นของคณะกรรมการกองทุนฯ จึงทำให้ขาดการเตรียมข้อมูลหรือเอกสารหลักฐาน ที่นำมาซึ่งปัญหาของงานที่ล่าช้าในปัจจุบัน จึงได้ฝากผู้แทนจากกรมทางหลวงไว้หากมีงาน/โครงการที่จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ อีกในอนาคต ก็ขอให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนก่อนดำเนินการด้วย
มติที่ประชุม
เห็นควรให้กรมทางหลวงจัดส่งสัญญาที่กรมทางหลวงได้จัดทำกับบริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อนำเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้ง
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบความเป็นมาของ "โครงการส่งเสริมการวิจัยเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน" ที่คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 2) เมื่อ 9 มีนาคม 2548 ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เป็นผู้ดำเนินการในวงเงินรวม 60 ล้านบาท (หกสิบล้านบาทถ้วน) มีจุดมุ่งหมายที่จะศึกษาและวิเคราะห์สถานการณ์และนำเสนอมาตรการเพื่อแก้ปัญหาด้านพลังงานของประเทศ โดยการส่งเสริมให้มีการศึกษาวิจัยเชิงนโยบายบนพื้นฐานของการประเมินศักยภาพ และความเป็นไปได้ของแหล่งพลังงานหมุนเวียน ศักยภาพในการประหยัดพลังงาน และการประเมินเทคโนโลยีพลังงานแต่ละด้านทั้งในเชิงเทคนิคและเชิงเศรษฐศาสตร์ การจัดลำดับความสำคัญของทางเลือก แหล่งพลังงาน เทคโนโลยีพลังงาน และมาตรการที่เหมาะสม การเสนอแนะแผนงานวิจัยและพัฒนาและแผนงานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านพลังงาน
2. ผู้แทนจาก สกว. ได้รายงานต่อที่ประชุมเพื่อทราบความคืบหน้าของการดำเนินงาน ซึ่งมีคณะกรรมการกำกับทิศทาง คณะกรรมการที่ปรึกษา การจัดตั้งสำนักประสานงานชุดโครงการวิจัยเชิงนโยบายขึ้นที่บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม เพื่อทำหน้าที่กำหนดกรอบและเงื่อนไขการวิจัย (TOR) ของแต่ละหัวข้อตลอดจนกำกับดูแล ประสานงาน ให้มีการดำเนินการตามกรอบที่กำหนด โดยแบ่งกลุ่มวิจัยออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่
(1) กลุ่มพลังงานหมุนเวียนประเภทชีวมวล ขยะและก๊าซชีวภาพ
(2) กลุ่มพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ นอกเหนือจาก (1)
(3) กลุ่มประหยัดพลังงาน
(4) กลุ่มผลกระทบเศรษฐศาสตร์ สังคมและสิ่งแวดล้อม ในภาพรวมของประเทศ
การดำเนินงานวิจัยได้เกิดหัวข้อวิจัย 25 หัวข้อ เป็นการทำงานร่วมกันของนักวิจัยกว่า 50 คน ผู้ช่วยนักวิจัยกว่า 30 คน และผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ 10 คน
ผลการศึกษาได้ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยมีศักยภาพด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนและการประหยัดพลังงาน โดยในระยะเวลา 5-10 ปีข้างหน้า หากมีการใช้พลังงานหมุนเวียนและประหยัดพลังงานเต็มศักยภาพซึ่งต้องอาศัยมาตรการที่เข้มข้นและต่อเนื่อง อาจช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานและทดแทนพลังงานรูปแบบปกติได้ถึง 15-20%
(1) การส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนผลิตไฟฟ้า
- ปรับปรุงมาตรการ VSPP ใหม่ ด้วยการเพิ่มค่า Adder สำหรับกรณีที่ไม่คุ้มทุน เช่น Biomass ผลิตไฟฟ้าอย่างเดียว ขยะ ลม และ PV
- กำหนดอัตรารับซื้อให้สะท้อน avoided cost โดยปรับปรุงมาตรการ "Adder" ในปัจจุบันเพื่อสร้างความมั่นใจมากขึ้น เช่น ใช้หลักการให้ผู้ลงทุนอยู่ได้ ( IRR ที่ยอมรับได้) แต่ไม่ควรเกิน External benefit)
- กำหนดให้มีระยะเวลาสนับสนุนให้นานพอสมควร (15-20 ปี) และให้ผู้ใช้ไฟฟ้ารับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เพิ่มผ่าน Ft
(2) การส่งเสริมการใช้เพลิงทดแทนภาคขนส่ง : ควรมีการกำหนดกลไกประสานงานงานและแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพอย่างครบวงจรในรูปของ "cluster" ที่ประกอบด้วย multi-stakeholders เพื่อพิจารณา : ราคา วัตถุดิบ ตลาด กฎหมาย เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และกำลังคน
(3) การส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
- ควรเพิ่มความเข้มการบังคับใช้มาตรฐานและฉลากประสิทธิภาพพลังงานของอุปกรณ์/เครื่องใช้ อาคาร และเครื่องจักร รวมทั้งยานยนต์
- ควรกำหนดให้มีกลไกที่สามารถดำเนินการด้านการจัดการอุปสงค์ การเดินทาง (Travel Demand Management ) อย่างเป็นรูปธรรม
- ควรเร่งรัดการบังคับใช้ข้อกำหนดด้านพลังงานของอาคาร (Energy Building Code) การจัดทำดัชนีการใช้พลังงานของแต่ละสาขาอุตสาหกรรม (Specific Energy Consumption) รวมทั้งการส่งเสริมการสร้างขีดความสามารถของอุตสาหกรรมวิศวกรรมและการผลิตในประเทศ
(4) ควรกำหนดนโยบายและกลยุทธ์การส่งเสริมการวิจัยและการพัฒนาระดับชาติ โดยควรจัดให้มีองค์ทีรับผิดชอบการบริการจัดการในเรื่องดังกล่าว "National programs" และ "Key national facilties"
3. สกว. ได้ดำเนินการครอบคลุมขอบเขตและเป้าหมายที่กำหนดไว้แล้ว แต่ด้วยข้อจำกัดด้านเวลาและข้อมูลที่มีอยู่ ทำให้ผลการวิจัยในบางเรื่องยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน สกว. จึงขอขยายระยะเวลาโครงการไปสิ้นสุดในเดือนพฤษภาคม 2551 เพื่อศึกษาในรายละเอียดและเชิงลึกเพิ่มเติม ได้แก่
3.1 ประเด็นเชิงนโยบายที่ต้องการข้อยุติเร่งด่วน (ภายในประมาณ 4 เดือน)
(1) การใช้ทรัพยากรแหล่งน้ำ เพื่อการผลิตไฟฟ้า
(2) การใช้พื้นที่สาธารณะเพื่อการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
(3) โอกาสความเป็นไปได้ในการเพิ่มศักยภาพพืชน้ำมันสำหรับการผลิตไบโอดีเซล
(4) มาตรการการคิด Carbon tax เป็นส่วนหนึ่งของ Avoided cost เพื่อส่งเสริมการประหยัดพลังงานในภาคขนส่ง (กรณีการกำหนด Emission tax)
(5) การบังคับใช้ Building Energy Code
(6) การประเมินผลกระทบของ SPP ต่อการส่งเสริม CHP ที่ผ่านมาและแนวทางการปรับปรุงระเบียบ SPP ในอนาคต
3.2 ประเด็นที่ต้องการการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อให้ผลของการศึกษาระยะที่ 1 มีความครบถ้วนสมบรูณ์ยิ่งขึ้น (ใช้เวลาประมาณ 1 ปี)
3.2.1 ด้านการประเมินศักยภาพ
(1) การประเมินศักยภาพที่อาจมีเพิ่มเติมของแหล่งพลังน้ำขนาดเล็ก เช่น การใช้น้ำทิ้งท้ายเขื่อน การสร้างเขื่อน Run-of-river แบบขั้นบันได (Cascade) ปรับปรุงนิยามของ "พลังน้ำขนาดเล็ก" หรือ "Small hydro" โดยรวมเขื่อนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น แต่เลือกใช้เทคโนโลยีสร้างเขื่อนประเภทที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย เป็นต้น
(2) การประเมินความเป็นไปได้ของการใช้ป่าเสื่อมโทรมเพื่อปลูกไม้โตเร็ว
(3) การประเมินความเป็นไปได้ในการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกอ้อย มันสำปะหลังและปาล์มน้ำมัน
(4) การประเมินศักยภาพและเทคโนโลยีการประหยัดพลังงานเฉพาะอุตสาหกรรมบางสาขาที่มีการใช้พลังงานมาก (industry/process-specific)
3.2.2 ด้านการประเมินทางเทคนิคและเศรษฐศาสตร์
(1) การประเมินทางเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ของการเก็บรวบรวมและใช้วัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรประเภทยอดและใบอ้อย และฟางข้าว เพื่อผลิตความร้อนและไฟฟ้า
(2) การประเมินทางเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ของการผลิตก๊าซชีวภาพจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร และ Energy crop
(3) การพัฒนากระบวนการและเครื่องมือการประเมินแนวทางการจัดการพลังงานชีวภาพในแนวทางที่ยั่งยืนในเบื้องต้น โดยคำนึงถึงยุทธศาสตร์การใช้ทรัพยากรชีวมวลเพื่อพลังงานอย่างคุ้มค่าและลดปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2
3.2.3 ด้านมาตรการเชิงนโยบาย
(1) การศึกษานโยบายการกำหนดราคาของเอทานอลและไบโอดีเซลที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย
(2) การประเมิน Cost-effectiveness ของการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนและการประหยัดพลังงาน ในภาพรวมของประเทศ
(3) การพัฒนาและสาธิตกระบวนการเพื่อปรับปรุงการวางแผนการสร้างโรงไฟฟ้าในระยะยาวของประเทศแบบบูรณาการ โดยคำนึงถึงการประหยัดพลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียน และความมีส่วนร่วมของประชาชน
(4) การพัฒนากรอบและแนวทางการจัดทำฐานข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการประเมินศักยภาพและติดตามผลกระทบของทางเลือกการประหยัดพลังงานในภาคขนส่ง
การพิจารณาของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบผลการศึกษาของโครงการฯ ตามที่ผู้แทน สกว. รายงาน โดยมีข้อสังเกตว่า การศึกษาของ สกว. เป็นการศึกษาศักยภาพทางด้านเทคนิค เท่านั้น และเงื่อนไขและข้อสมมุติฐานที่นำมาใช้ในการศึกษาในแต่ละภาคส่วน ข้อมูลบางตัวอ้างอิงเป้าหมายเดิมที่ยังไม่ได้ปรับให้เป็นปัจจุบัน ข้อมูลบางส่วนต่างไปจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอุรักษ์พลังงาน บางตัวก็อ้างอิงจากต่างประเทศ จึงทำให้ผลการศึกษาอาจคลาดเคลื่อนกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ระดับความลึกของรายละเอียดของข้อมูลอาจไม่เท่ากันด้วย เช่น สัดส่วนความยืดหยุ่นการใช้พลังงานต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศไทย สมมุติฐานการคำนวณ Externality cost ของโรงไฟฟ้าถ่านหิน สมมุติฐานในการคำนวณศักยภาพพลังงานทดแทนอื่นๆ เป็นต้น ประกอบกับเอกสารงานวิจัยของ สกว. มีเป็นจำนวนมาก คณะอนุกรรมการฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องใช้เวลาในการศึกษาในรายละเอียด
มติที่ประชุม
ให้ สนพ. และ พพ. ประชุมกับ สกว. เพื่อร่วมกันพิจารณาข้อมูลและปรับตัวเลขเป้าหมายของการศึกษาให้ตรงกัน และพิจารณาประเด็นงานวิจัยที่ สกว. เสนอขอศึกษาเพิ่มเติมเพื่อลดความซ้ำซ้อนของงานและกำหนดขอบเขตงานวิจัยให้ สกว. เพื่อให้ผลการศึกษาได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจได้แม่นยำมากขึ้น เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้ง
เรื่องที่ 6 ขอความเห็นชอบ เปลี่ยนชื่อ "โครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5"
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุม ทราบว่า ตามที่คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2550 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2550 ได้เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในวงเงิน 80,000,000 บาท (แปดสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5 " มีวัตถุประสงค์ที่จะดำเนินมาตรการประหยัดพลังงานของประเทศด้วยการปฏิบัติการให้มีการยุติการผลิต การนำเข้าและการใช้หลอดอินแคนเดสเซนต์ (หลอดไส้) และส่งเสริมให้มีการใช้หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ (หลอดตะเกียบ) ทดแทน
2. กฟผ. ได้มีหนังสือที่ กฟผ.982000/15642 ลงวันที่ 17 เมษายน 2550 ขอเปลี่ยนแปลงชื่อโครงการเป็น "โครงการ เพื่อชาติ เลิกหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5" และขอเปลี่ยนกำหนดเวลาดำเนินงานโครงการฯ ตามตารางต่อไปนี้
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ กฟผ. เปลี่ยนแปลงชื่อโครงการเป็น "โครงการ เพื่อชาติ เลิกหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5" และเปลี่ยนกำหนดเวลาดำเนินงานโครงการฯ ได้ตามที่เสนอมา
เรื่องที่ 7 ขอความเห็นชอบโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้ที่ประชุมพิจารณา "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม" ที่ พพ. เสนอขอรับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 เพิ่มเติม ในวงเงิน 119 ล้านบาท (หนึ่งร้อยสิบเก้าล้านบาทถ้วน) เพื่อสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ขนาด 1.5 MW บริเวณพื้นที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช
2. คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2550 (ครั้งที่ 8) เมื่อ 12 เมษายน 2550 ได้พิจารณาโครงการนี้ไปแล้ว โดยมีมติไม่มีข้อขัดข้องที่ พพ. จะดำเนินโครงการฯ แต่อาจมีบางรายการของวงเงินที่ได้รับจัดสรรงบประมาณปี 2550 สามารถเปลี่ยนแปลงงบประมาณมาใช้กับโครงการนี้ได้ จึงให้ พพ. พิจารณาใช้จ่ายเงินเพื่อโครงการนี้จากงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไว้และอาจเหลือจ่ายดังกล่าวก่อน หากไม่เพียงพอให้นำเสนอที่ประชุมพิจารณาอีกครั้ง
3. พพ. ได้ดำเนินการตามความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ แล้วและพบว่างบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 ที่ พพ. ได้รับจัดสรรไว้ได้มีการทำข้อผูกพันไว้ครบถ้วนแล้วและไม่มีเงินเหลือจ่ายที่จะเปลี่ยนแปลงมาใช้กับ "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม" พพ. จึงขอเสนอโครงการฯ มาเพื่อโปรดพิจารณาอีกครั้ง
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติม ในวงเงิน 119,000,000 บาท (หนึ่งร้อยสิบเก้าล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม" ตามรายละเอียดแผนงานที่ พพ. เสนอมา