มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2549 (ครั้งที่ 3)
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิติพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. เห็นชอบผลการดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3 ปีที่ 2 และพิจารณาแผนงานโครงการฯ ปีที่ 3
2. เห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ปีที่ 1 และพิจารณาแผนงานโครงการฯ ปีที่ 2
3. พิจารณาการลงทุนอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมของ 3 หน่วยงาน
4. เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) อนุกรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เรียนให้ที่ประชุมทราบว่า ตาม พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 หมวด 4 มาตรา 27 ที่ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกิน 7 คน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ร่วมเป็นเป็นกรรมการ ให้มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละ 3 ปี เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ และด้วยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ รวม 7 ท่าน ได้หมดวาระลง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้จัดทำรายชื่อกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดใหม่เสนอรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ ปรีดิยาธร เทวกุล) ประธานกรรมการกองทุนฯ พิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 โดยมีมติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนฯ เรียบร้อยแล้ว ตามรายนามดังต่อไปนี้
(1) นายปิยะวัติ บุญ-หลง
(2) นายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์
(3) นายกฤษณพงศ์ กีรติกร
(4) นายอรรจน์ เศรษฐบุตร
(5) นายยอดเยี่ยม เทพธรานนท์
(6) คุณพรทิพย์ จาละ
(7) นายพรายพล คุ้มทรัพย์
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีหนังสือแจ้งให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทราบแล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบถึงความก้าวหน้าของผลการดำเนินงานของ "โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3" ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2544 (ครั้งที่ 25) เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2444 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ในวงเงินรวม 853,079,794 บาท มีเป้าหมายดำเนินงานภายในเวลาระยะเวลา 8 ปี (มิถุนายน 2545 ถึงธันวาคม 2553) จะติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพให้สามารถรองรับของเสียจากสุกรขุนได้ 2 ล้านตัว หรือคิดเป็น 70-80% ของปริมาณสุกรที่เลี้ยงอยู่ในฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลงานแต่ละปี ให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ทราบและเห็นชอบก่อนเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ในส่วนบริหารโครงการฯ ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในปีถัดไป
2. คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 7/2547 (ครั้งที่ 14) เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2547 ได้รับทราบผลงานปีที่ 1 และเห็นชอบให้ สนพ.เบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปีที่ 2 ในวงเงิน 43,718,818 บาท ซึ่งบัดนี้ มช. ได้การดำเนินงานตามแผนงานปีที่ 2 ครบเรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยคณะกรรมการกองทุนฯ ได้ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ และคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปแล้ว โดย ณ ปัจจุบัน ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน คณะนี้ไว้เพื่อพิจารณากลั่นกรองงาน ในการนี้ฝ่ายเลขานุการฯ จึงนำผลการดำเนินงานของโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3 ปีที่ 2 ที่ดำเนินการมาตั้งแต่มิถุนายน 2545 ถึงธันวาคม 2548 มารายงานดังต่อไปนี้
2.1 ผลการดำเนินโครงการฯ ปีที่ 2
ส่วนที่ 1: ฟาร์มขนาดใหญ่ เป้าหมายรวมของโครงการฯ คือ 130,000 ลบ.ม โดยกองทุนฯ สนับสนุนในอัตรา 1,128 บาท/ลบ.ม. (ร้อยละ 18ของราคาระบบ) ผลการดำเนินงาน 43 เดือน มีฟาร์มเข้าร่วมโครงการฯ รวม 24 ฟาร์ม คิดเป็นปริมาตรระบบรวม 82,700 ลบ.ม คาดว่าจะผลิตก๊าซชีวภาพได้ 66,160 ลบ.ม. สามารถนำไปผลิตไฟฟ้าได้ 15 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นเงิน 37 ล้านบาทต่อปี
ส่วนที่ 2: ฟาร์มขนาดกลาง เป้าหมายรวมของโครงการฯ คือ 150,000 ลบ.ม โดยกองทุนฯ สนับสนุนในอัตรา 965 บาท/ลบ.ม. (ร้อยละ 18 ของราคาระบบ) ผลการดำเนินงาน 25 มีฟาร์มเข้าร่วมโครงการฯ รวม 46 ฟาร์ม คิดเป็นปริมาตรระบบรวม 36,500 ลบ.ม คาดว่าจะผลิตก๊าซชีวภาพได้ 29,200 ลบ.ม. สามารถนำไปผลิตไฟฟ้าได้ 5.8 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นเงิน 14.6 ล้านบาทต่อปี
ส่วนที่ 3: งานวัยพัฒนา ได้พัฒนาถังหมัก H-UASB รูปแบบใหม่ เพื่อให้ได้แบบวิศวกรรมที่ง่ายต่อการก่อสร้าง, ราคาลดลง, และมีประสิทธิภาพสูง ผู้ปฏิบัติงานมีความสะดวก และมีความเข้าใจในแบบที่ถูกต้องตรงกัน โดยคาดว่าจะลดภาระค่าก่อสร้างระบบก๊าซชีวภาพได้ถึงร้อยละ 42 ที่ประสิทธิภาพการย่อยสลายสารอินทรีย์คงเดิม และได้มีการพัฒนาเพื่อนำก๊าซชีวภาพไปใช้ประโยชน์ ปรับปรุงคาร์บูเรเตอร์สำหรับเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้ก๊าซชีวภาพ งานวิจัยโครงการพัฒนาเครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงคู่ (ก๊าซชีวภาพ/น้ำมันดีเซล) การสาธิตการใช้ประโยชน์จากความร้อนร่วมของการใช้ก๊าซชีวภาพ ใช้ก๊าซชีวภาพสำหรับรถจักรยานยนต์ รถอีแต๋น และรถยนต์ งานวิจัยการศึกษาการเผากระเบื้องเคลือบโดยใช้ก๊าซชีวภาพ งานวิจัยการปรับปรุงคุณภาพก๊าซชีวภาพ ลดก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์โดยใช้ Biofilter เป็นต้น
2.2 ผลการประเมินโครงการฯ
สนพ. ได้ว่าจ้าง บริษัท อีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด ประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ ทั้งด้านเทคโนโลยี ผลตอบแทนการลงทุน ความสามารถในการประหยัดพลังงาน หรือความสามารถในการทดแทนเชื้อเพลิงประเภทอื่น ตรวจสอบความสามารถของผู้เจ้าของโครงการฯ ความเหมาะสมในการบริหารงบประมาณและทรัพยากรของโครงการ ประเมินปัญหาอุปสรรค ประเมินผลกระทบของโครงการฯ ที่มีต่อปัจจัยอื่นๆ ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเลือกตัวแทนของฟาร์มขนาดใหญ่ ได้แก่ วีระชัยฟาร์ม ต.วังมะนาว จ.ราชบุรี และปากช่องฟาร์ม อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ตัวแทนของฟาร์มขนาดกลาง ได้แก่ ฟาร์มไทยรุ่งโรจน์ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี, จักกริชฟาร์ม อ.บ้างบึง จ.ชลบุรี และฟาร์มเรืองศิริ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น โดยมีผลสรุปว่า มช. ได้ดำเนินงานครบถ้วนตามแผนงานที่เสนอแล้ว พร้อมทั้งมีการประชาสัมพันธ์โครงการอย่างต่อเนื่อง สำหรับปัญหาอุปสรรคในช่วงที่ผ่านมา มช. ได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้ว ดังนี้
(1) การขอปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีในฟาร์มขนาดกลางในช่วงแรก ทำให้งานล่าช้าไป 18 เดือน
(2) จำนวนฟาร์มที่เข้าร่วมโครงการฯ เริ่มแรกมี 232 ฟาร์ม คิดเป็น 183,350 ลบ.ม. เมื่อเวลาผ่านไปด้วยปัญหาต่างๆ เช่น ฟาร์มมีพื้นที่ไม่เพียงพอ ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก ไม่พร้อมด้านการเงิน ฯลฯ จึงทำให้เหลือฟาร์มเข้าร่วมโครงการฯ 46 ฟาร์ม คิดเป็นปริมาตรระบบรวม 36,500 ลบ.ม
(3) มีคู่แข่งเทคโนโลยี คือ ระบบบ่อหมักแบบ Anaerobic Lagoon แย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากโครงการฯ ไปค่อนข้างมาก มช. ได้พยายามประชาสัมพันธ์ถึงข้อดีและข้อเสียของทั้งสองระบบฯ เปรียบเทียบกัน เพื่อให้ฟาร์มได้รับความรู้ความเข้าใจมากขึ้น
(4) เกิดความล่าช้าในการก่อสร้างและติดตั้งระบบฯ ซึ่งมีเหตุจากเจ้าของฟาร์มส่วนใหญ่จะดำเนินการก่อสร้างเอง ทำให้ มช. ไม่สามารถเร่งงานก่อสร้างให้เป็นไปตามกำหนดได้
3. แผนการดำเนินงานระยะที่ 3 ปีที่ 3
3.1 ฟาร์มขนาดใหญ่ : ติดตามประเมินผลการทำงานของระบบที่ได้ก่อสร้างในรุ่นที่ 3 และรุ่นที่ 4 งานก่อสร้างและติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพ รุ่นที่ 4 แล้วเสร็จและสามารถเดินระบบได้ ปริมาตรของระบบก๊าซชีวภาพรวมไม่น้อยกว่า 90,000 ลบ.ม. และงานก่อสร้างและติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพ รุ่นที่ 5 ปริมาตรรวม 40,000 ลบ.ม.
3.2 ฟาร์มขนาดกลาง : ก่อสร้างและติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพ รุ่นที่ 3 ปริมาตรรวม 30,000 ลบ.ม. แล้วเสร็จ และสามารถเดินระบบได้ ปริมาตรของระบบก๊าซชีวภาพรวมไม่น้อยกว่า 55,000 ลบ.ม. และเริ่มงานก่อสร้างและติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพ รุ่นที่ 4 ปริมาตรรวม 30,000 ลบ.ม.
3.3 การพัฒนาศูนย์เทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ : สร้างอาคารปฏิบัติการเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ และจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์วิทยาศาสตร์บางส่วน ที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์งานวิจัยและพัฒนาทางด้านการหมักย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจน รวมถึงการใช้ประโยชน์จากก๊าซชีวภาพ
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอความเห็นต่อที่ประชุมว่า ผลงานของ มช. ในปีที่ 2 อาจล่าช้ากว่าแผนงานที่เสนอไว้บ้าง แต่อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ด้วยเหตุเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น ผู้ร่วมโครงการฯ ขอเลื่อนกำหนดการก่อสร้างระบบ ทั้งเพราะขาดสภาพคล่องของเงินทุน ขาดแรงงาน ปัญหาเรื่องฤดูกาล เป็นต้น ซึ่งมิได้เกิดจากเจตนาของ มช. ที่จะไม่ดำเนินงานให้เป็นไปตามแผน ซึ่งผลงาน ณ เดือนตุลาคม 2549 มช. ได้มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ฟาร์มใหญ่ครบตามเป้าหมายแล้ว และได้ร่วมมือกับ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ เบทาโกรฟาร์ม เพื่อลดข้อจำกัดผู้เข้าร่วมโครงการฯ ฟาร์มขนาดกลาง ที่ไม่มีความพร้อมด้านการเงิน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้ มช. ดำเนินโครงการฯ ตามแผนฯ ในปีที่ 3 ต่อไป
มติที่ประชุม
เห็นชอบรายงานผลการดำเนินงาน "โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3" ปีที่ 2 ตามที่ มช. เสนอมา และเห็นชอบการสนับสนุนเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน "โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3" ในส่วนบริหารโครงการฯ ให้ มช. รวม 78,143,841 บาท ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 ฟาร์มขนาดใหญ่ ในวงเงิน 60,623,000 บาท และส่วนที่ 2 ฟาร์มขนาดกลาง ในวงเงิน 17,520,841 บาท
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบถึงความเป็นมาของโครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ที่คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2548 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ในวงเงินรวม 50 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (มิถุนายน 2548-มิถุนายน 2552) โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ โดยการเบิกจ่ายเงินสนับสนุนในปีที่ 2-5 จะพิจารณาอนุมัติจัดสรรปีต่อ
2. มช. ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ตามแผนงานปีที่ 1 ในวงเงิน 9,996,000 บาท ซึ่งบัดนี้ มช. ได้ดำเนินงานครบตามแผนแล้ว โดยฝ่ายเลขานุการฯ สรุปได้ดังนี้
2.1 การคัดเลือกสายพันธ์ : คัดเลือกสายพันธุ์ปาล์มน้ำมัน 3,200 ต้น จาก 4 พันธุ์ คือ พันธุ์สุราษฎร์ธานี 1 และ 2 พันธุ์เดลี่-ลาเม่ และพันธุ์เดลี่-ไนจีเรีย โดยใช้ระยะปลูก 9X9X9 เมตร และคัดเลือกสายพันธุ์สบู่ดำ 10,000 ต้น จาก 6 สายพันธุ์ มีชื่อเรียกตามแหล่งต่างๆ คือ สตูล กำแพงแสน กาญจนบุรี ปราจีนบุรี ชัยภูมิ และ ตากฟ้า ในระยะปลูก 3X3 เมตร
2.2 การปลูกปาล์มน้ำมันและสบู่ดำ
(1) ปลูก ในแปลงวิจัย จะเป็นพื้นที่ที่ควบคุมดูแลการเจริญเติบโต โดยปลูกในพื้นที่ของ มช. 2 แห่ง รวม 155 ไร่ คือ แปลงวิจัยศรีบัวบาน จ.ลำพูน 120 ไร่ ควบคุมสภาวะแวดล้อม 100% และที่แปลงวิจัยแม่เหียะ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ 35 ไร่ ควบคุมสภาวะแวดล้อม 50% ปัจจุบันปาล์มน้ำมัน อายุ 14 เดือน สามารถออกดอกเกสรตัวผู้และตัวเมียแล้ว
(2) ปลูกในแปลงสาธิต เป็นพื้นที่ปลูกตามสภาวะแวดล้อมปกติ โดยอบรมให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้ปลูกและมอบสายพันธุ์ปาล์มน้ำมันและสบู่ดำให้นำกลับไปปลูกในพื้นที่ โดยแนะนำให้ปลูกเป็นพืชแซมในไร่สับปะรด ที่รกร้างในนาข้าว ในสวนลำไย
- ปาล์มน้ำมัน มี 2 พื้นที่ คือ ศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ 270 ต้น ที่กองพันสัตว์ต่าง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 80 ต้น พื้นที่ของเกษตรกรคือ นายไพฑูรย์ หล้าโสด อ.เมือง จ.ลำพูน 90 ต้น และนายรังสรรค์ สุรินทร์ ต.น้ำดิบ อ.เมือง จ.ลำพูน 54 ต้น
- สบู่ดำ มี 3 พื้นที่ คือ บ้านร้องวัวแดง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ขนาด 20 ไร่, บ้านแม่กรณ์ อ.เมือง จ.เชียงราย 10,000 ต้น และพื้นที่ในหมู่บ้านของ นายไพฑูรย์ ล่าโสต ต.ศรีบัวบาน อ.เมือง จ.ลำพูน 10 ไร่ ซึ่งอยู่ระหว่างเริ่มดำเนินการและจัดเก็บข้อมูลการปลูก
2.3 งานด้านวิศวกรรม : พัฒนาออกแบบเครื่องสกัดน้ำมันสบู่ดำแบบสกรู ขนาด 3 กิโลกรัมต่อชั่วโมง หีบน้ำมันได้ 30% ของเมล็ดสบู่ดำ ที่อุณหภูมิ 95 องศาเซลเซียส ที่ราคา 35,000 บาทต่อเครื่อง ขณะที่ราคาในท้องตลาดประมาณ 60,000 บาทต่อเครื่อง โดยจะสร้างเครื่องสกัดและสาธิตใช้งานร่วมกับเกษตรกรหลังจากที่เก็บผลผลิตสบู่ดำได้ในปีที่ 2 ซึ่งจะได้เครื่องที่เหมาะสมจะนำไปส่งเสริมในชุมชนได้
2.4 งานด้านเศรษฐกิจ สังคม และ ICT :
การประชุมสำรวจความเห็นของประชาชนในพื้นที่รอบแปลงสาธิตจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน เกี่ยวกับการผลิตและใช้ไบโอดีเซล พบว่าส่วนมากรู้จักนโยบายของรัฐ และเห็นด้วยกับการส่งเสริมการผลิตและใช้ ตลอดจนยินดีที่จะทดลองใช้น้ำมันไบโอดีเซล แต่อยากให้ภาครัฐและบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รับรองและชี้แจงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับรถยนต์เมื่อใช้น้ำมันไบโอดีเซลด้วย ตลอดจนพัฒนาศูนย์เผยแพร่ข้อมูลการปลูกพืชน้ำมัน โดยจัดทำสื่อสารสนเทศเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชน้ำมัน ประกอบด้วย จัดทำ Website www.thaiodiesel.com และ www.thaibioenergy.com พร้อมทั้งเผยแพร่ข้อมูลความรู้การปลูกพืชน้ำมันโดยสื่อสิ่งพิมพ์เช่นนิตยสาร หนังสือพิมพ์ รายการโทรทัศน์ และรายการวิทยุ
3. ผลการประเมินโครงการฯ คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์ ในการประชุมครั้งที่ 4/2549 (ครั้งที่ 27) เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2549 ได้รับทราบผลประเมินโครงการฯ โดยด้านประสิทธิผล อยู่ในระดับ 4 คือ ดีมาก ด้านประสิทธิภาพ อยู่ในระดับ 3 คือ ดี และที่ปรึกษาประเมินผลฯ ได้มีข้อเสนอแนะดังนี้
(1) การศึกษาวิจัยการปลูกสบู่ดำ สามารถทราบผลวิจัยได้ภายใน 2 ปี เนื่องจากเป็นพืชที่ให้ผลผลิตเร็ว ภายในระยะเวลาดังกล่าวผู้ร่วมโครงการฯ ควรสรุปผลการวิจัยการปลูกสบู่ดำในเขตภาคเหนือได้
(2) การศึกษาวิจัยการปลูกปาล์มน้ำมัน จะใช้เวลาในการสรุปผลวิจัยมากกว่า 5 ปี ดังนั้นระยะเวลาของโครงการอาจไม่เพียงพอที่จะสรุปผลการวิจัยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาวิจัยการปลูกในเขตภาคเหนือ ซึ่งมีสภาพพื้นที่และสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสม
(3) การศึกษาวิจัยการปลูกสบู่ดำและปาล์มน้ำมัน ควรเพิ่มดัชนีชี้วัดการเจริญเติบโตและผลผลิตที่ชัดเจนในแต่ละปีที่ดำเนินการวิจัย
4. แผนการดำเนินงาน ปีที่ 2
4.1 งานด้านเกษตรกรรม
(1) วิจัย เก็บข้อมูล และวิเคราะห์ผลการเจริญเติบโตปาล์มและสบู่ดำต่อเนื่องจากปีที่ 1
(2) ขยายพื้นที่ปลูกปาล์มที่สถานีวิจัยศรีบัวบาน จ.ลำพูน อีก 230 ไร่ เป็นพื้นที่เพาะพันธุ์ และเน้นเป็นระบบกึ่งควบคุมจัดการน้ำและปล่อยตามฤดูกาลปกติ ซึ่งจะเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ชุมชนและเกษตรกรจะเข้ามามีส่วนร่วมในการศึกษาวิจัยมากขึ้น
4.2 งานด้านวิศวกรรม
(1) ปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องหีบน้ำมันสบู่ดำ และสาธิตใช้งานในเครื่องยนต์การเกษตร
(2) วิจัยและสร้างเครื่องผลิตไบโอดีเซลจากน้ำมันปาล์ม และน้ำมันสบู่ดำในระดับชุมชน
(3) พัฒนาระบบการใช้ประโยชน์จากกลีเซอรีน
4.3 งานด้านเศรษฐกิจ สังคมและ ICT
(1) เก็บและจัดทำข้อมูลด้านสภาพแวดล้อม การเจริญเติบโต และการให้ผลผลิตพืช ต่อเนื่องจากปีที่ 1 เพื่อทำแบบจำลอง Process-base ตลอดจนการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ และสังคม
(2) จ้ดตั้งศูนย์ให้บริการแนะนำส่งเสริมและแก้ปัญหาการปลูกพืช ปาล์มน้ำมัน และสบู่ดำในสวนครบวงจร
มติที่ประชุม
รับทราบและเห็นชอบรายงานผลการดำเนิน "โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ" ปีที่ 1 และเห็นชอบแผนดำเนินงานของโครงการฯ ในปีที่ 2 ตามที่ มช.เสนอมา และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2549 ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนงานโครงการฯ ดังกล่าว ในวงเงินรวม 8,346,000 บาท
เรื่องที่ 3 พิจารณาการลงทุนอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมของ 3 หน่วยงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2547 (ครั้งที่ 39) เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 มีมติให้ยกเลิกการสนับสนุนฯ ในส่วนเงินผูกพันภายใต้แผนงานภาคบังคับที่เป็นเงินลงทุนกับหน่วยงานภาครัฐที่ยังไม่ได้มีการลงทุน และคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 1) เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2548 มีมติให้ระงับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานแก่เจ้าของอาคารควบคุมในกรณีที่ยังไม่ดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2548 เป็นต้นไป พพ. ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบการดำเนินงานภายใต้แผนงานภาคบังคับ ที่จะสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ให้แก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จึงได้เร่งออกหนังสือแจ้งเตือนไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่ พพ. ได้แจ้งยืนยันไปแล้วว่าจะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ขอให้หน่วยงานนั้นๆ เร่งดำเนินการจัดหาผู้รับจ้างพร้อมส่งคู่สัญญาจ้างให้ พพ. ตามระยะเวลาที่ระบุในหนังสือแจ้งยืนยันการขอรับการสนับสนุน
2. มีหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติการสนับสนุนการลงทุนอนุรักษ์พลังงานจาก พพ. แล้ว แต่ยังไม่สามารถเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ ให้กับผู้รับจ้างได้ เนื่องจาก
2.1 กรณีจังหวัดกระบี่ : พพ. ได้แจ้งให้จังหวัดกระบี่ ทราบการสนับสนุนการลงทุนอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารโรงพยาบาลกระบี่ ในวงเงิน 2,256,294 บาท โดยจังหวัดกระบี่ได้ว่าจ้าง บริษัท เค แอนด์ พี ซินเซียริตี้ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เป็นผู้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานอาคารโรงพยาบาลกระบี่ ในวงเงิน 2,248,331 บาท ตามสัญญาเลขที่ 69/2548 ลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2548 แต่ พพ. ไม่ได้รับคู่สัญญาจ้าง จึงได้แจ้งยกเลิกการสนับสนุนฯ ซึ่งเมื่อจังหวัดกระบี่ได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและพบว่า มีการผิดพลาดในการจัดส่งสำเนาสัญญาจ้างให้ พพ. เพราะเจ้าหน้าที่ของจังหวัดได้จัดส่งเรื่องดังกล่าวไปผิดที่ โดยส่งไปที่ สำนักงานโครงการส่งเสริมอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงสาธารณสุข
2.2 กรณีกรมยุทธโยธาทหารบก : พพ. ได้แจ้งให้กรมยุทธโยธาทหารบก ทราบการสนับสนุนการลงทุนอนุรักษ์พลังงาน วงเงินรวม 3,914,238 บาท สำหรับ 2 อาคาร คือ
- มณฑลทหารบกที่ 23 (ค่ายศรีพัชรินทร) จ.ขอนแก่น โดยว่าจ้าง บริษัท อี อี แอนด์ ไอ คอนซัลแตนท์ จำกัด ในวงเงิน 3,189,000 บาท เป็นผู้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน ตามสัญญาเลขที่ อ.14/2547 ลงนาม 14 ม.ค. 2548 ส่งให้ พพ. 18 ม.ค. 2548
- กรมรบพิเศษที่ 1 (ค่ายวชิราลงกรณ์) จ.ลพบุรี โดยว่าจ้าง บริษัท จินตรงค์ จำกัด ในวงเงิน 719,967 บาท เป็นผู้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน ตามสัญญาเลขที่ อ. 25/2547 ลงนาม 24 ม.ค. 2548 ส่งให้ พพ. 10 ก.พ. 2548
แต่ พพ. ไม่ได้รับคู่สัญญาจ้างทั้ง 2 สัญญา จึงได้แจ้งยกเลิกการสนับสนุนฯ
บริษัท อี อี แอนด์ ไอ คอนซัลแตนท์ จำกัด และบริษัท จินตรงค์ จำกัด ได้ร้องเรียนต่อสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา และมีผลสรุปการวินิจฉัยว่า ผู้รับจ้างทั้ง 2 ราย ได้ลงนามในสัญญากับกรมยุทธโยธาฯ ก่อนที่ พพ. จะบอกยกเลิกการสนับสนุน ทำให้เกิดความผูกพันทางนิติกรรมระหว่างคู่สัญญาแล้ว ขณะที่เมื่อกรมยุทธโยธาฯ ขอเปลี่ยนแปลงมาตรการของอาคารมณฑลทหารบกที่ 23 (ค่ายศรีพัชรินทร) เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2548 พพ. มิได้ทักท้วงแต่อย่างใด ประกอบกับงานที่ปรับปรุงได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงไม่เป็นธรรมกับผู้ร้องเรียนทั้งสองซึ่งได้ดำเนินการตามสัญญาครบถ้วนแล้ว จึงเสนอแนะต่อคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ เพื่อเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้กับผู้ร้องเรียนทั้งสองต่อไป
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ พพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้จังหวัดกระบี่ เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารโรงพยาบาลกระบี่ ในวงเงิน 2,248,331 บาท ตามสัญญาเลขที่ 69/2548 ลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2548 โดยใช้งบประมาณที่ได้ผูกพันไว้แล้วต่อไป
2. เห็นชอบให้ พพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กองทัพบก เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารมณฑลทหารบกที่ 23 (ค่ายศรีพัชรินทร) จ.ขอนแก่น ในวงเงิน 3,189,000 บาท ตามสัญญาเลขที่ อ. 11/2547 ลงวันที่ 14 มกราคม 2548 โดยใช้งบประมาณที่ได้ผูกพันไว้แล้วต่อไป
3. เห็นชอบให้ พพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กองทัพบก เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารกรมรบพิเศษที่ 1 (ค่ายวชิราลงกรณ์) จ.ลพบุรี ในวงเงิน 719,967 บาท (เจ็ดแสนหนึ่งหมื่นเก้าพันเก้าร้อยหกสิบเจ็ดบาทถ้วน) ตามสัญญาเลขที่ อ. 25/2547 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2548 โดยใช้งบประมาณที่ได้ผูกพันไว้แล้ว
4. เห็นชอบให้ พพ. ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทุนในการอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนฯ ตามข้อ 1 ถึง ข้อ 3 โดยให้สามารถเบิกจ่ายเงินภายในระยะเวลา 3 เดือน นับจากวันที่ได้รับหนังสือแจ้งมติคณะกรรมการกองทุนฯ ด้วย
5. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำมติของอนุกรรมการฯ ข้อ 1ถึง ข้อ 4 เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
เรื่องที่ 4 เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดว่า การเปลี่ยนแปลงรายการ ระยะเวลาดำเนินการ ไปจากรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนได้อนุมัติไว้แล้ว จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ก่อน จึงจะเปลี่ยนแปลงได้
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 40) เมื่อ 25 สิงหาคม 2548 เห็นชอบระบบการบริหารงานของกองทุนฯ ให้สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยภารกิจในเรื่องที่มีหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ แล้ว หากจะเปลี่ยนแปลงรายการ ระยะเวลาดำเนินการ ไปจากรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนได้เห็นชอบหรืออนุมัติไว้ ให้ดำเนินการโดยการประชุมคณะอนุกรรมการฯ และเสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ
3. มีหน่วยงานต่างๆ ที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้แล้ว รวม 18 โครงการ ดังนี้
3.1 ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 16 โครงการ คือ
โครงการ | เจ้าของโครงการ | |
(1) | โครงการการใช้ก๊าซชีวภาพผลิตไฟฟ้าและทำความเย็นในโรงเลี้ยงสุกร | ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
(2) | โครงการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1 | สนพ. |
(3) | โครงการส่งเสริมการใช้ก๊าซชีวภาพจากระบบจัดการน้ำเสียโรงฆ่าสัตว์ | มูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม |
(4) | โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อเป็นพลังงานทดแทนในโรงงานอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง | ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
(5) | โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพจากน้ำเสียในโรงงานอุตสาหกรรม | พพ. |
(6) | โครงการสาธิตเตาเผาอิฐแบบประหยัดพลังงาน | มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
(7) | โครงการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอนด้านพลังงาน ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา | มูลนิธิสิ่งแวดล้อมไทย |
(8) | โครงการศูนย์เผยแพร่ความรู้ด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ | สนพ. |
(9) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่างประเทศ | สนพ. |
(10) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศ | สนพ. |
(11) | โครงการศึกษาวิศวกรรมแบบบูรณาการเพื่อการอนุรักษ์พลังงานสำหรับพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม | ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
(12) | โครงการวิจัยการนำความร้อนทิ้งกลับมาใช้ในใหม่ใน Heat Processes | มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ |
(13) | โครงการปรับปรุงระบบงานฐานข้อมูลอนุรักษ์พลังงาน | พพ. |
(14) | โครงการปรับปรุงโปรแกรมประยุกต์และฐานข้อมูลการอนุรักษ์พลังงาน | พพ. |
(15) | โครงการ (ร่าง) กฎกระทรวงมาตรฐานการจัดการพลังงาน | พพ. |
(16) | การสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษา | 7 หน่วยงาน |
3.2 ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ รวม 2 โครงการ คือ
โครงการ | เจ้าของโครงการ | |
(1) | โครงการก่อสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร | กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) |
(2) | โครงการเตรียมการจัดตั้งคณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า | สนพ. |
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้โครงการตามข้อ 3.1 และ 3.2 รวม 18 โครงการ ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา ด้วยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
2. ไม่เห็นชอบให้กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนใช้เงินเหลือจ่ายของโครงการก่อสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ไปใช้ในการสร้างอาคารบ้านพัก ตามที่ขอมาในข้อ 3.2 (1) ทั้งนี้เพราะเห็นว่า ตชด. มีบ้านพักเพียงพอรับรองวิทยากรและพนักงานแล้ว