มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2560 (ครั้งที่ 38)
เมื่อวันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม 2560 เวลา 14.00 น.
1. สถานการณ์พลังงานโลกและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
5. การใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบริหารจัดการราคาน้ำมัน
6. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนพฤษภาคม 2560
7. รายงานความก้าวหน้าร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
8. หลักการรับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบ FiT สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP)
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์)
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายทวารัฐ สูตะบุตร)
เรื่องที่ 1 สถานการณ์พลังงานโลกและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
สรุปสาระสำคัญ
ทีม Prism บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้รายงานเรื่องอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกให้ทราบว่ากองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ประมาณการว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2560 จะอยู่ที่ ร้อยละ 3.5 จากที่เคยประมาณการไว้ว่าอยู่ที่ร้อยละ 3.4 โดยปัจจัยสำคัญมาจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ของเศรษฐกิจประเทศจีน และอินเดีย สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกได้รายงานให้ ที่ประชุมทราบ ดังนี้ (1) ราคาน้ำมันดิบในเดือนเมษายน 2560 โดยเฉลี่ยมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ ในประเทศสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และประมาณการว่าในเดือนพฤษภาคม 2560 ราคาน้ำมันดิบยังคงมีทิศทางปรับตัวลดลง สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 มีปัจจัยที่จะส่งผลต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบว่าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง ได้แก่ ผลการประชุมของกลุ่มโอเปคที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 – 25 พฤษภาคม 2560 ความต้องการใช้พลังงาน ที่เพิ่มขึ้นของประเทศสหรัฐฯ ท่าทีที่จะไม่ลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบของประเทศรัสเซีย ระดับความรุนแรงของความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี และนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศฝรั่งเศสที่จะเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 2560 อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 ราคาน้ำมันดิบจะเฉลี่ยอยู่ที่ 50 – 55 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (2) ราคาก๊าซ LPG ในเดือนพฤษภาคม 2560 ราคา CP (Contract Price) อยู่ที่ 387.50 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า จำนวน 72.5 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน เนื่องจากในภูมิภาคเอเชีย มีการปิดซ่อมบำรุงอุตสาหกรรมปิโตรเคมีบางส่วน ทำให้ความต้องการใช้ก๊าซ LPG ในภาคปิโตรเลียมลดลง และหลายประเทศหมดช่วงฤดูหนาว (3) ราคา LNG ในเดือนเมษายน 2560 มีการปรับตัวลดลง โดยราคาเฉลี่ย ในภูมิภาคเอเชียอยู่ที่ 5.5 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียู เนื่องจากประเทศแองโกลา และสหรัฐอเมริกา ผลิต LNG เพิ่มขึ้น และอียิปต์นำเข้า LNG ลดลง สำหรับราคา LNG ในเดือนพฤษภาคม 2560 คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 6 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียู และ (4) ราคาถ่านหิน ช่วงปลายเดือนเมษายน 2560 มีการปรับตัวลดลงโดยอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 80 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน เนื่องจากประเทศรัสเซีย โคลัมเบีย มีการส่งออกเพิ่มขึ้น และคาดการณ์ว่าราคา ถ่านหินในเดือนพฤษภาคม 2560 ยังคงมีแนวโน้มที่จะลดลง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผน PDP 2015 ไตรมาสที่ 1 ปี 2560 สรุปได้ดังนี้ (1) การจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2560 สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ร้อยละ 62 มากกว่าแผนฯ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 60 ส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอยู่ที่ร้อยละ 8 ต่ำกว่าแผนฯ ที่ตั้งไว้ที่ร้อยละ 11 (2) การรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยโครงการเซเปียนและโครงการน้ำเงี๊ยบ 1 มีการดำเนินการเร็วกว่า แผน การเจรจาความร่วมมือด้านพลังงานกับ สปป.ลาว เป็นไปตามแผน ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเกาะกง ประเทศกัมพูชา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ประชุมกับผู้ร่วมพัฒนาทั้ง 2 ราย เพื่อชี้แจงแนวทางการจัดทำข้อเสนอขายไฟฟ้า (3) โครงการระบบสายส่งไฟฟ้า ส่วนใหญ่เป็นไปตามแผนงาน มีบางโครงการที่ล่าช้า ได้แก่ โครงการขยายระบบส่งไฟฟ้าระยะที่ 12 มีการคัดค้านจากชุมชน โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันตกและภาคใต้เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า งานก่อสร้างสายส่ง 500 เควี สุราษฎร์ธานี 2 – ภูเก็ต 3 อยู่ระหว่างการกำหนดราคาค่าทดแทนที่ดินและทรัพย์สิน และต้องใช้ระยะเวลาในการขออนุญาตใช้พื้นที่ (4) แผนการสื่อสารและสร้างความรู้ความเข้าใจ โดยนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 ให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สร้างการรับรู้ความเข้าใจแก่สาธารณชนเกี่ยวกับเรื่องพลังงานในภาพรวมของประเทศ สถานการณ์พลังงานโลก และการบริหารจัดการพลังงานของต่างประเทศ โดยจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ในพื้นที่ที่เหมาะสมหรือในแต่ละกลุ่มจังหวัด เพื่อให้สามารถร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการพลังงานที่สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่และสร้างความมั่นคง ด้านพลังงาน
2. เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2560 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้แต่งตั้งคณะกรรมการการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และรับทราบความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์พลังงานไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และรับทราบความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์พลังงานไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้ เสริมสร้างความมั่นคง ด้านพลังงานไฟฟ้า ซึ่งคณะกรรมการฯ โดย คสช. และกองทัพภาคที่ 4 ได้จัดกิจกรรมในวันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2560 ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสงขลา จังหวัดกระบี่ และจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีผู้เข้าร่วมสัมมนาทั้งสิ้น 3,485 คน บรรยากาศแต่ละเวทีเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีเหตุการณ์การก่อความไม่สงบ มีเพียงเวทีจังหวัดสงขลา ที่กลุ่มผู้คัดค้านโครงการต่างๆ ในภาคใต้ไม่เข้าร่วมการสัมมนา ทั้งนี้ ผู้แสดงความคิดเห็นมีความเห็นส่วนใหญ่ตรงกันว่าภาคใต้จำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าเพื่อมารองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น สำหรับแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ในพื้นที่ภาคใต้ ฝ่ายที่เห็นด้วยมีความเห็นว่าโรงไฟฟ้าจะช่วยทำให้คุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ดีขึ้น ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมีความเห็นว่าโครงการจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม รวมถึงประชาชนในพื้นที่ยังไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นเท่าที่ควร ต่อมาเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2560 คสช. ได้จัดทำสรุปผลการจัดกิจกรรมเสนอนายกรัฐมนตรี และจะจัดทำรายงานผลการดำเนินงานฉบับสมบูรณ์พร้อมข้อเสนอแนะเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาแก่รัฐบาลต่อไป
3. การดำเนินการตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและปลัดกระทรวงพลังงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้า โดยมีผลการดำเนินการในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม 2560 ดังนี้ (1) กฟผ. ได้ปรับปรุงกระบวนการวางแผนการผลิตและวิเคราะห์ระบบไฟฟ้าเพื่อลดการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าประเภทจำเป็น (Must Run) ในเขตนครหลวง โดยสามารถลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลงได้ประมาณ 265 ล้านบาท และ (2) การลดการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี โดยเดินเครื่องโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมอื่นๆ ทดแทน เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมมีความสามารถในการเปลี่ยนเชื้อเพลิงสูงถึงร้อยละ 73 ช่วยลดผลกระทบจากการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากแหล่งก๊าซฯ ในฝั่งตะวันตก โดยสามารถลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 314 ล้านบาท (3) การปรับปรุงระบบการคำนวณความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak) ใหม่ โดยใช้ระบบของ 3 การไฟฟ้าที่รวมการผลิตไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) ด้วย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2558 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2558 – 2579 (EEP 2015) พร้อมมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาและให้การสนับสนุนการดำเนินงานของแผน EEP 2015 โดยมีเป้าหมายลดความเข้มการใช้พลังงาน (Energy Intensity; EI) ลงร้อยละ 30 ในปี 2579 เมื่อเทียบกับปี 2553 โดยต้องลดค่าความเข้มการใช้พลังงานจากปีฐาน (ปี 2553) ซึ่งมีค่า 8.54 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อพันล้านบาท ลดลงให้เหลือ 5.98 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อพันล้านบาท ในปี 2579 และในการประชุม COP20 ประเทศไทยได้เสนอเป้าหมาย NAMAs ในปี 2563 จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคขนส่งและภาคพลังงานให้ได้ร้อยละ 7-20 จากปริมาณที่ปล่อยในปี 2548 ในภาวะปกติ (สำหรับกรณีที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากชาติอื่น) โดยมียุทธศาสตร์และมาตรการในการขับเคลื่อนการอนุรักษ์พลังงานของประเทศ เป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น 1 - 2 ปี ระยะกลาง 5 ปี และระยะยาว 22 ปี แบ่งกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่มเศรษฐกิจ ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรม ภาคอาคารธุรกิจ อาคารของรัฐ ภาคบ้านอยู่อาศัย และภาคขนส่ง โดยมี 3 กลยุทธ์ (10 มาตรการ) ได้แก่ กลยุทธ์ภาคบังคับ (Compulsory Program) เป็นการกำกับดูแลโดยใช้กฎหมาย กลยุทธ์ ความร่วมมือ (Voluntary Program) เป็นการสนับสนุนด้านการเงิน การอนุรักษ์พลังงานภาคขนส่งและการศึกษาวิจัย และกลยุทธ์สนับสนุน (Complementary Program) เป็นการพัฒนาบุคลากรและการสร้างจิตสำนึกการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
2. เป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานจากทุกมาตรการในปี 2560 กำหนดไว้ที่ 1,270 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ (ktoe) แบ่งเป็นเป้าหมายที่ไม่รวมมาตรการภาคขนส่ง จำนวน 703 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และเป้าหมายเฉพาะมาตรการในภาคขนส่ง จำนวน 567 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ โดยในปี 2560 ในส่วนของมาตรการที่ไม่รวมมาตรการภาคขนส่ง (การจัดการโรงงานและอาคารควบคุม การใช้เกณฑ์มาตรฐานอาคาร การใช้เกณฑ์มาตรฐานและติดฉลากอุปกรณ์ การสนับสนุนด้านการเงิน และการส่งเสริมการใช้หลอด LED) มีเป้าหมายผลประหยัดตามแผนและผลประหยัดที่คาดว่าจะได้รับอยู่ที่ 703 และ 787 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ตามลำดับ และหากรวมมาตรการในภาคขนส่ง จะมีเป้าหมายผลประหยัดตามแผนและผลประหยัดที่คาดว่าจะได้รับอยู่ที่ 1,270 และ 1,303 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ตามลำดับ ทั้งนี้ ความคืบหน้าในภาคขนส่ง ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2560มีการติดฉลากแสดงประสิทธิภาพยานยนต์ (Eco-sticker) แล้วจำนวน 86,047 ฉบับ คิดเป็นผลประหยัด 49 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) อยู่ระหว่างจัดทำแผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงานภาคขนส่งระยะ 4 ปี (Action Plan 2561 - 2564) และได้เตรียมจัดประชุมคณะกรรมการบูรณาการนโยบายด้านการอนุรักษ์พลังงานในภาคขนส่ง ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2560
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
เป้าหมายการใช้พลังงานทดแทนในปี 2560 ตามแผน AEDP 2015 แบ่งเป็น 3 ด้าน ดังนี้ (1) การใช้พลังงานทดแทนผลิตไฟฟ้า โดยมีการติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนรายเทคโนโลยี ได้แก่ ขยะชุมชน ขยะอุตสาหกรรม พลังงานน้ำขนาดเล็ก ก๊าซชีวภาพ (น้ำเสีย/ของเสีย) ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ (พืชพลังงาน) พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังน้ำขนาดใหญ่ มีเป้าหมายสะสมถึงสิ้นปี 2560 อยู่ที่ 9,327.15 เมกะวัตต์ คิดเป็นพลังงานไฟฟ้า 33,580.65 ล้านหน่วย และ ณ เดือนมกราคม 2560 มีการติดตั้งสะสม 10,111.77 เมกะวัตต์ คิดเป็นพลังงานไฟฟ้า 2,581.85 ล้านหน่วย และมีแผนจ่ายไฟเข้าระบบ 1,192.70เมกะวัตต์ ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า ณ สิ้นปี 2560 จะมีการกำลังติดตั้งสะสมรวม 11,304.48 เมกะวัตต์ คิดเป็นพลังงานไฟฟ้า 32,545.86 ล้านหน่วย (2) การใช้ความร้อนจากพลังงานทดแทน ได้แก่ ขยะ ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานความร้อนทางเลือกอื่น (เช่น พลังงานจากใต้พิภพ น้ำมันจากยางรถยนต์ที่ใช้แล้ว) จำนวน 7,115.10 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ คิดเป็นร้อยละ 8.70 ของการใช้ความร้อนจากพลังงานทดแทนต่อการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย โดย ณ เดือนมกราคม 2560 มีการใช้ความร้อนจากพลังงานทดแทน จำนวน 631.76 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ คิดเป็นร้อยละ 9.43 ของการใช้ความร้อนจากพลังงานทดแทนต่อการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย และ (3) การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในภาคขนส่ง มีเป้าหมายอยู่ที่ 1,869.51 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ได้แก่ เอทานอล 3.84 ล้านลิตรต่อวัน (คิดเป็น 714.82 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ) และไบโอดีเซล 3.67 ล้านลิตรต่อวัน (คิดเป็น 1,154.69 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ) ในเดือนมกราคม 2560มีการใช้เอทานอล 3.73 ล้านลิตรต่อวัน (คิดเป็น 58.97 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ) และไบโอดีเซล 3.17 ล้านลิตรต่อวัน (คิดเป็น 84.71 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ) โดยสรุปในปี 2560 มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนตามแผน AEDP 2015 อยู่ที่ร้อยละ 14.48 ในเดือนมกราคม 2560 ดำเนินการได้อยู่ที่ร้อยละ 14.86 และคาดว่า ณ สิ้นปี 2560 จะสามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนได้อยู่ที่ร้อยละ 14.50
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 การใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบริหารจัดการราคาน้ำมัน
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2560 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติรับทราบ และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จัดทำข้อเสนอการใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบริหารจัดการราคาน้ำมันกรณีราคาน้ำมันตลาดโลกในช่วงขาลง และให้นำเสนอในการประชุม กบง. ครั้งต่อไป
2. สถานการณ์ราคาตลาดโลก ณ วันที่ 27 เมษายน 2560 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 50.52 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 65.51 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 63.20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 26 เมษายน 2560 อยู่ที่ 34.5930 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ โดยกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 23 เมษายน 2560 มีฐานะสุทธิ 40,091 ล้านบาท โดยแยกเป็นของน้ำมัน 33,647 ล้านบาท และก๊าซ LPG 6,444 ล้านบาท
3. หลักการการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการบริหารจัดการราคาน้ำมัน มีดังนี้ (1) กองทุนน้ำมันฯ ช่วยครึ่งหนึ่งและราคาขายปลีกรับภาระฝ่ายละกึ่งหนึ่ง (Half – Half Concept) โดยเมื่อราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้นจนกระทั่งแตะราคาเริ่มต้น (Trigger Point) ที่ 60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล กองทุนน้ำมันฯ จะเริ่มเข้าไปบริหารจัดการ ดังนี้ ครั้งที่ 1 กองทุนน้ำมันฯ จะเริ่มเข้าไปช่วยที่ 0.40 – 0.60 บาทต่อลิตร ครั้งที่ 2 ถ้าราคาน้ำมันดิบดูไบยังคงปรับเพิ่มขึ้น ราคาขายปลีกปรับขึ้นที่ 0.40 – 0.60 บาทต่อลิตร เพื่อให้กลไกตลาดเสรีทำงาน และครั้งที่ 3 กรณีราคาน้ำมันดิบดูไบยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาขายปลีกจะขยับขึ้นและกองทุนน้ำมันฯ จะเข้าช่วยสลับกันเช่นนี้ไปเรื่อยๆ (2) กองทุนน้ำมันฯ จะช่วยเหลือน้ำมันดีเซลและน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 สูงสุดที่ไม่เกิน 3 บาทต่อลิตร ขณะที่น้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลชนิดอื่น ให้กองทุนน้ำมันฯ รักษาระดับราคาขายปลีกเพื่อส่งเสริมการใช้เอทานอลต่อไป (3) กำหนดเพดานราคาขายปลีกน้ำมัน เพื่อให้ภาคขนส่ง รถโดยสารสาธารณะ ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงประชาชนมีเวลาเตรียมพร้อมรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเมื่อราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น โดยมีหลักการ คือ กำหนดเพดานราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่ 29.99 บาทต่อลิตร เนื่องจากหากราคาขายปลีกสูงกว่านี้อาจส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน แต่หากราคาน้ำมันดิบดูไบยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ จะต้องมีการปรับเพดานราคาทุกๆ 3 เดือน แต่ทั้งนี้จะไม่กำหนดเพดานราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล เนื่องจากไม่ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน อีกทั้งผู้บริโภคมีทางเลือกและศักยภาพที่สามารถจ่ายได้ (4) กรอบวงเงินการช่วยเหลือ ตามร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ... กำหนดให้กองทุนน้ำมันฯ มีเงินได้ไม่เกิน 40,000 ล้านบาท และกู้เงินได้ไม่เกิน 20,000 ล้านบาท ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าวมีไว้สำหรับแก้ไขวิกฤตราคาน้ำมันเชื้อเพลิง รักษาเสถียรภาพราคา ส่งเสริมพลังงานทดแทน และช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาพลังงาน ดังนั้น การใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาเสถียรภาพราคาจึงควรกำหนดกรอบวงเงินไว้ไม่เกิน 15,000 ล้านบาท แบ่งเป็น กรอบวงเงินการช่วยเหลือกลุ่มน้ำมันดีเซลที่ 10,000 ล้านบาท และกรอบวงเงินการช่วยเหลือกลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ 5,000 ล้านบาท (5) การปรับอัตราภาษีสรรพสามิต โดยใช้การลดอัตราภาษีสรรพสามิต เมื่อกองทุนน้ำมันฯ ช่วยเหลือจนถึง 3 บาทต่อลิตร หรือระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลแตะ 29.99 บาทต่อลิตร หรือช่วยเหลือจนเต็มกรอบวงเงินตามที่กำหนด และ (6) การถอนกองทุนน้ำมันฯ (Exit Strategy) โดยจะเริ่มทยอยลดการช่วยเหลือเมื่อ กรณีที่ 1 หากราคาน้ำมันดิบดูไบทรงตัวอยู่ในระดับสูงหรือปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกองทุนน้ำมันฯ ช่วยเหลือจนถึง 3 บาทต่อลิตร หรือเต็มกรอบวงเงิน รวมทั้งลดอัตราภาษีสรรพสามิตแล้ว จะปรับราคาขายปลีกขึ้นพร้อมกับปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จนกระทั่งการช่วยเหลือเป็นศูนย์ โดยจะต้องมีวงเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมอีกประมาณ 15,000 ล้านบาท เพื่อให้การถอนกองทุนน้ำมันฯ เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และกรณีที่ 2 หากราคาน้ำมันดิบดูไบเริ่มปรับตัวลดลง กองทุนน้ำมันฯ จะใช้หลักการ Half – Half Concept โดยให้ตัวที่ปรับล่าสุดเริ่มปรับลงก่อน และหากราคาน้ำมันดิบดูไบยังคงปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง จะทยอยถอนการช่วยเหลือเช่นนี้สลับกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งการช่วยเหลือเป็นศูนย์
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ยกตัวอย่างการใช้กองทุนน้ำมันฯ บริหารจัดการราคาน้ำมันดีเซล เมื่อราคาน้ำมันดูไบแตะ Trigger Point ที่ 60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามสมมติฐาน ดังนี้ (1) ราคาน้ำมันดิบดูไบเปลี่ยนแปลง 1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเปลี่ยนแปลง 0.20 บาทต่อลิตร (2) ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 (ม.7) ปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลครั้งละประมาณ 0.30 - 0.60 บาทต่อลิตร (3) ณ วันที่ 24 เมษายน 2560 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 51.30 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 5.85 บาทต่อลิตร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 0.01 บาทต่อลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 25.49 บาทต่อลิตร และ (4) ถ้าราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 57.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลจะอยู่ที่ 26.73 บาทต่อลิตร ซึ่งการใช้กองทุนน้ำมันฯ บริหารจัดการราคาน้ำมัน มีดังนี้ (1) หากราคาน้ำมันดิบดูไบแตะ Trigger Point (60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล) จะต้องปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ลง 0.50 บาทต่อลิตร (ทำให้กองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 0.49 บาทต่อลิตร) เพื่อคงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไว้ที่ 26.73 บาทต่อลิตร (2) หากราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวขึ้นจนแตะ 62.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ราคาขายปลีกจะปรับเพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร ทำให้ราคาขายปลีกเป็น 27.23 บาทต่อลิตร (3) หากราคาน้ำมันดิบดูไบยังคงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในทุกๆ 2.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จะปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ 0.50 บาทต่อลิตร และปรับเพิ่มราคาขายปลีก 0.50 บาทต่อลิตร และทำเช่นนี้สลับกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกองทุนน้ำมันฯ ช่วยเหลือถึง 3 บาทต่อลิตร หรือเต็มกรอบวงเงินที่ 10,000 ล้านบาทแล้ว มีความจำเป็นต้องปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตเพื่อคงราคาขายปลีกไม่ให้เกิน 29.99 บาทต่อลิตร (4) หากราคาน้ำมันดิบดูไบเริ่มปรับตัวลดลง ให้ปรับเพิ่มอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ หรือปรับลดราคา ขายปลีกลง โดยขึ้นกับการช่วยเหลือครั้งสุดท้ายในช่วงราคาน้ำมันขาขึ้นว่าเป็นวิธีใดให้ใช้วิธีนั้นเริ่มต้นถอนการช่วยเหลือ และ (5) หากราคาน้ำมันดิบดูไบยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ในทุกๆ 2.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จะปรับเพิ่มอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ 0.50 บาทต่อลิตร และปรับลดราคาขายปลีก 0.50 บาทต่อลิตร โดยทำเช่นนี้สลับกันไปเรื่อยๆ ตามหลักการ Half – Half Concept จนอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ กลับมาเท่ากับก่อนการช่วยเหลือ ที่ 0.10 บาทต่อลิตร
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 6 โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนพฤษภาคม 2560
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2559 กบง. ได้มีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางการเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG ทั้งระบบ โดยมีขั้นตอนการดำเนินการ ระยะที่ 1 ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านก่อนจะเปิดเสรีทั้งระบบ โดยเปิดเสรีเฉพาะส่วนการนำเข้า แต่ยังคงควบคุมราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันและราคาโรงแยกก๊าซธรรมชาติ โดยยกเลิกการชดเชยส่วนต่างราคาจากการนำเข้า รวมถึงยกเลิกระบบโควตาการนำเข้าของประเทศ และสามารถส่งออกเนื้อก๊าซ LPG ภายใต้การควบคุมของกรมธุรกิจพลังงาน ในระยะที่ 2 การเปิดเสรีทั้งระบบ โดยยกเลิกการควบคุมราคาและปริมาณของ ทุกแหล่งผลิตและจัดหา เปิดเสรีการนำเข้าและส่งออกโดยสมบูรณ์ รวมถึงยกเลิกการประกาศราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นและราคาขายส่ง ณ คลังก๊าซ โดยจะเริ่มดำเนินการเมื่อตลาดมีความพร้อมด้านการแข่งขันที่เพียงพอทั้งในส่วนการผลิตและจัดหา ไม่เกิดการสมยอมในการตั้งราคา ภายใต้การพิจารณาของกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ในส่วนของการเปิดเสรีเฉพาะส่วนการนำเข้าในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านก่อนจะเปิดเสรีทั้งระบบ เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียดของการดำเนินการ ดังนี้ (1) ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น (ราคาซื้อตั้งต้น) ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านก่อนจะเปิดเสรีทั้งระบบ กำหนดราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นเป็นสองส่วน คือ ส่วนที่ 1 ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นสำหรับจำหน่ายภาคปิโตรเคมีซึ่งมีสัญญาซื้อ - ขายก่อนวันที่ 2 ธันวาคม 2559 ยังคงใช้ระบบราคาต้นทุนเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเช่นเดิม ส่วนที่ 2 ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นสำหรับจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิงหรือจำหน่ายภาคปิโตรเคมีซึ่งไม่มีสัญญาซื้อ-ขายก่อนวันที่ 2 ธันวาคม 2559 เปลี่ยนจากหลักเกณฑ์เดิมที่กำหนดด้วยระบบราคาต้นทุนเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหา เป็นการกำหนดด้วยราคานำเข้า (CP+X) ซึ่งมีหลักเกณฑ์การคำนวณ โดยให้ ราคานำเข้า = CP + ค่าขนส่ง +ค่าประกันภัย + ค่าการสูญเสีย + ค่าใช้จ่ายในการนำเข้าอื่นๆ ทั้งนี้ เมื่อพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีผลบังคับใช้ ให้ปรับหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นและโครงสร้างราคาของก๊าซ LPG อีกครั้ง ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติฯ และ (2) อัตราเงินชดเชยหรือส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของส่วนผลิตและจัดหา โดยยกเลิกการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรือชดเชยสำหรับก๊าซนำเข้า หรือก๊าซที่ทำในราชอาณาจักรซึ่งผลิตจากก๊าซที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรือชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรของโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น และราคาโรงแยกก๊าซธรรมชาติ สำหรับการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรือชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรโดยโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก เท่ากับส่วนต่างระหว่างราคา ก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น และราคาโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก
2. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG พฤษภาคม 2560 สรุปได้ดังนี้ (1) โรงแยกก๊าซธรรมชาติ เดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม 2560 เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ – เดือนเมษายน 2560 ที่ 0.0551 บาทต่อกิโลกรัม จาก 13.3815 บาทต่อกิโลกรัมเป็น 13.4366 บาทต่อกิโลกรัม (2) โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก ต้นทุนอ้างอิงราคาตลาดโลกที่สูตรราคา CP โดยต้นทุนราคาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันในเดือนพฤษภาคม 2560 เท่ากับ 387.50 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน (3) การนำเข้า ต้นทุนเดือนพฤษภาคม 2560 อยู่ที่ 436.3049 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน (15.1018 บาทต่อกิโลกรัม) และ (4) บริษัท ปตท.สผ. สยาม จำกัด ต้นทุนเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม 2560 เพิ่มขึ้น 0.10 บาทต่อกิโลกรัม จาก 15.20 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 15.10 บาทต่อกิโลกรัม โดยสถานการณ์ราคาก๊าซ LPG เดือนพฤษภาคม 2560 ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) อยู่ที่ 387.50 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนเมษายน 2560 อยู่ที่ 34.6130 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่นที่อ้างอิงราคานำเข้า ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (Import Parity) ปรับลดลง 2.5630 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 17.6648 บาท ต่อกิโลกรัม (503.7363 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) เป็น 15.1018 บาทต่อกิโลกรัม (436.3049 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) และราคา ณ โรงกลั่นของก๊าซ LPG ที่ใช้ในภาคปิโตรเคมีที่อ้างอิงราคาเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก (Weighted Average) ปรับลดลง 0.9637 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 14.5042 บาทต่อกิโลกรัม (413.6065 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) เป็น 13.5405 บาทต่อกิโลกรัม (391.1977 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน)
3. จากมติ กบง. เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2559 เห็นชอบแนวทางการเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG ทั้งระบบและราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก อัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ/ชดเชย ในส่วนการผลิตและจัดหา (กองทุน#1) ณ เดือนพฤษภาคม 2560 เป็นดังนี้ ก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซฯที่ขายภาคปิโตรเคมี ต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ 0.1039 บาทต่อกิโลกรัม ก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซฯที่ขายเป็นเชื้อเพลิง ต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ 1.6652 บาทต่อกิโลกรัม ก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันขายภาคปิโตรเคมี ต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ 0.1280 บาทต่อกิโลกรัม ก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันขายเป็นเชื้อเพลิง ต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ 1.6893 บาทต่อกิโลกรัม ก๊าซ LPG ที่ผลิตจากปตท.สผ.สยามฯ ต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ 1.2321 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจากอัตราเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าวส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ในส่วนการผลิตและจัดหา (กองทุนน้ำมัน#1) มีรายรับ 552 ล้านบาท ต่อเดือน ดังนั้น เพื่อเป็นการลดภาระการชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ และเตรียมการในการเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG ในอนาคต ประกอบกับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก๊าซ LPG ณ วันที่ 30 เมษายน 2560 มีฐานะกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของก๊าซ LPG 6,422 ล้านบาท ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอการปรับเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน 3 แนวทาง ดังนี้ แนวทางที่ 1 คงราคาขายปลีกไว้ที่ 20.96 บาทต่อกิโลกรัม โดยกองทุนน้ำมันฯ ปรับลดอัตราเงินชดเชย 2.5630 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมชดเชยที่ 3.7197 บาทต่อกิโลกรัม เป็นชดเชย 1.1567 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับ 153 ล้านบาทต่อเดือน แนวทางที่ 2 ปรับลดราคาขายปลีกลดลง 7 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม โดยกองทุนน้ำมันฯ ปรับลดอัตราเงินชดเชย 2.1201 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมชดเชยที่ 3.7197 บาทต่อกิโลกรัม เป็นชดเชย 1.5996 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง 0.47 บาทต่อกิโลกรัม จาก 20.96 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 20.49 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 7 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม) ส่งผลให้รายรับและรายจ่ายกองทุนฯ เมื่อหักลบกันแล้วเกือบเป็นศูนย์ แนวทางที่ 3 ปรับลดราคาขายปลีกลดลง 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม โดยกองทุนน้ำมันฯ ปรับลดอัตราเงินชดเชย 1.9369 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมชดเชยที่ 3.7197 บาทต่อกิโลกรัม เป็นชดเชย 1.7828 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง 0.67 บาทต่อกิโลกรัม จาก 20.96 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 20.29 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม) ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 63 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการกำหนดราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา ประจำเดือน พฤษภาคม 2560 ดังนี้
(1) กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ณ ระดับราคา 13.4366 บาทต่อกิโลกรัม
(2) กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันและโรงอะโรเมติก ณ ระดับราคา 13.4125 บาทต่อกิโลกรัม
(3) กำหนดราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า ณ ระดับราคา 15.1018 บาทต่อกิโลกรัม
(4) กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร ณ ระดับราคา 15.1000 บาทต่อกิโลกรัม
2. เห็นชอบตามที่ฝ่ายเลขานุการฯเสนอใน แนวทางที่ 2 กำหนดอัตราเงินชดเชยของกองทุนฯ สำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 1.5996 บาท
3. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ฉบับที่ 12 พ.ศ. 2560 เรื่อง การกำหนดราคา อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรหรือนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซ อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินคืนกองทุนสำหรับก๊าซที่ส่งออกนอกราชอาณาจักร
ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2560 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 7 รายงานความก้าวหน้าร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2559 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้นำข้อคิดเห็นของกระทรวงต่างๆ ไปปรับปรุงในขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ต่อมาในวันที่ 4 เมษายน 2560 ครม. ได้เห็นชอบแนวทางการจัดทำและการเสนอร่างกฎหมายตามบทบัญญัติมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำขึ้น พร้อมหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติ (Checklist) เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการจัดทำและการเสนอร่างกฎหมายตามบทบัญญัติมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมติ ครม. เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2559 เรื่อง นโยบายการปฏิรูปกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับฝ่ายบริหาร โดยให้เป็นหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติท้ายระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 และให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดต่อไป โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) ได้มีการชี้แจงรายละเอียดร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ต่อคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 5) ซึ่งได้มีการพิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2560
2. ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... มี 7 หมวด (มาตรา 1-45) และบทเฉพาะกาล (มาตรา 46-55) จำนวนทั้งหมด 55 มาตรา สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ (1) วัตถุประสงค์ของกองทุน (มาตรา 5) ให้จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่ง เรียกว่า “กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง” ในสำนักงานกองทุนน้ำมันฯ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) รักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 2) สนับสนุนเชื้อเพลิงชีวภาพให้มีส่วนต่างราคาที่สามารถแข่งขันกับน้ำมันเชื้อเพลิงได้ 3) บรรเทาผลกระทบจากการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับผู้มีรายได้น้อยและผู้ด้อยโอกาส 4) สนับสนุนการลงทุนการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ เพื่อป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง และเพื่อประโยชน์ความมั่นคงทางด้านพลังงาน และ 5) สนับสนุนการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อประโยชน์แก่ ความมั่นคงทางด้านพลังงาน ทั้งนี้ การดำเนินการตามวัตถุประสงค์ตามวรรคหนึ่ง ให้อยู่ภายใต้กรอบนโยบายที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) กำหนด (2) คณะกรรมการ (มาตรา 9) ให้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันฯ มีองค์ประกอบคณะกรรมการทั้งหมด 15 คน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน และมีผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นกรรมการและเลขานุการ (3) อำนาจหน้าที่คณะกรรมการ (มาตรา 14) อาทิ เสนอแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง และแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันฯ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการส่งเงินเข้ากองทุนหรือได้รับเงินชดเชย และกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุน หรืออัตราเงินชดเชย อัตราเงินที่ส่งเข้ากองทุนคืนจากกองทุน และอัตราเงินชดเชยคืนกองทุน เป็นต้น (4) สถานะสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (มาตรา 18) ให้มีสำนักงานกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่เป็นนิติบุคคล และไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน หรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณหรือกฎหมายอื่น และให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (5) อำนาจหน้าที่สำนักงาน (มาตรา 19) ได้แก่ จัดทำแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง และแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันฯ รวมทั้งรายงานผลการประเมินการปฏิบัติงานและการเสนอแนะมาตรการแก้ไขปัญหาอุปสรรคการปฏิบัติการตามแผนดังกล่าว เสนอต่อคณะกรรมการ และกู้ยืมเงินโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการและโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรี เพื่อดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของกองทุนตามมาตรา 5 (1) (2) หรือ (3) ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหน (6) การดำเนินงานของกองทุน (มาตรา 26) กองทุนต้องมีจำนวนเงินเพียงพอเพื่อใช้ในการบริหารจัดการกองทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเมื่อรวมกับเงินกู้ตามวรรคสองแล้วต้องไม่เกินจำนวนสี่หมื่นล้านบาท เมื่อกองทุนมีจำนวนเงินไม่เพียงพอเพื่อดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของกองทุนตามมาตรา 5 (1) (2) หรือ (3) ให้สำนักงานโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการและโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจกู้ยืมเงินตามมาตรา 19 (3) เป็นจำนวนไม่เกินสองหมื่นล้านบาท ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงกรอบวงเงินที่กองทุนต้องมีตามวรรคหนึ่ง และกรอบวงเงินกู้ตามวรรคสองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจให้กระทำได้โดยการตราพระราชกฤษฎีกา และ (7) บทกำหนดโทษ (หมวด 7 มาตรา 40 - 45) เพื่อให้การบังคับใช้พระราชบัญญัติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีการกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ไม่ส่งเงินเข้ากองทุน ผู้ส่งเงินเข้าไม่ครบถ้วนตามจำนวน ผู้ไม่ให้ถ้อยคำหรือไม่ส่งเอกสารหรือหลักฐาน ผู้แจ้งความเท็จหรือให้ถ้อยคำเท็จ
3. เพื่อให้ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. …. มีการดำเนินการตามแนวทางการจัดทำและการเสนอร่างกฎหมาย กระทรวงพลังงานจึงต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และแนวทางดังต่อไปนี้ (1) หน่วยงานเจ้าของเรื่อง (ในกรณีนี้คือ สนพ. และ สบพน.) จะต้องจัดทำความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติ (Checklist) เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการจัดทำและการเสนอร่างกฎหมายตามบทบัญญัติมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยโดยเฉพาะขั้นตอนในการจัดรับฟังความคิดเห็นและจัดทำรายละเอียดการวิเคราะห์ผลกระทบ ที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment : RIA) และจัดส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาตรวจสอบ และ (2) คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาตรวจสอบความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติ (Checklist) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะนำเสนอ ครม. และ สนช. ต่อไป โดยการดำเนินการในระยะต่อไป ได้แก่ (1) จัดทำรายละเอียดการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment : RIA) ตามหลักเกณฑ์การตรวจสอบความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติ (Checklist) ที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาปรับปรุงขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการจัดทำและเสนอร่างกฎหมายตามบทบัญญัติมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (2) จัดการรับฟังความคิดเห็นตามหลักเกณฑ์ในข้อ 10 ของ Checklist โดยนำร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 5) ไปรับฟังความคิดเห็น (3) จัดทำกฎหมายลำดับรองตามหลักเกณฑ์ในข้อ 9 ของ Checklist และ (4) การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ กบง. เพื่อแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547
มติของที่ประชุม
1. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ประสานการเตรียมการกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และสถาบันบริหารกองทุนพลังงานเตรียมการดำเนินงาน ดังนี้
(1) จัดทำรายละเอียดการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment : RIA) ตามหลักเกณฑ์การตรวจสอบความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติ (Checklist) ที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาปรับปรุงขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการจัดทำและเสนอร่างกฎหมายตามบทบัญญัติมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
(2) จัดการรับฟังความคิดเห็นตามหลักเกณฑ์ในข้อ 10 ของ Checklist โดยนำร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 5) ไปรับฟังความคิดเห็น ดังนี้
1) รับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานและสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน หรือผ่านเว็บไซต์ www.lawamendment.go.th ทั้งนี้ระยะเวลาการรับฟังความคิดเห็นต้องไม่น้อยกว่า 15 วัน
2) จัดสัมมนารับฟังความคิดเห็น ในวันที่ 1 มิถุนายน 2560 โดยมีจำนวนผู้เข้าร่วมสัมมนารับฟังความคิดเห็นไม่น้อยกว่า 200 คน และเผยแพร่ผลการรับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานและสถาบันบริหารกองทุนพลังงานต่อไป
(3) จัดทำกฎหมายลำดับรองตามหลักเกณฑ์ในข้อ 9 ของ Checklist
3. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เตรียมการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ กบง. เพื่อแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547
เรื่องที่ 8 หลักการรับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบ FiT สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบหลักการและอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP Hybrid Firm) เพื่อให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนต้องช่วยสร้างความมั่นคงให้แก่ระบบไฟฟ้า ต่อมา องค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี (อบจ.นนทบุรี) ได้มีหนังสือมายังกระทรวงพลังงาน (พน.) แจ้งว่า อบจ. นนทบุรีได้ดำเนินโครงการให้เอกชนลงทุนก่อสร้างและบริหารจัดการระบบขยะมูลฝอย โดยจัดเป็นโครงการนำร่องระยะเร่งด่วนตามแผน Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2557 รวมทั้งเป็นโครงการในกิจการพัฒนาระบบจัดการขยะมูลฝอยที่รัฐส่งเสริมให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุนภายใต้แผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2558-2562 ลักษณะโครงการจะให้สิทธิเอกชนลงทุนก่อสร้าง บริหารจัดการ และบำรุงรักษาระบบกำจัดขยะมูลฝอย โดยพลังงานความร้อนที่เกิดขึ้นจากกระบวนการกำจัดขยะมูลฝอยจะนำไปใช้ผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายในการกำจัดขยะมูลฝอยไม่ต่ำกว่า 1,000 ตันต่อวัน และผลิตไฟฟ้าขนาด 20 เมกะวัตต์
2. เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2559 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการให้เอกชนลงทุนก่อสร้างและบริหารจัดการระบบกำจัดขยะมูลฝอยโดยให้ อบจ.นนทบุรี ดำเนินโครงการตามขั้นตอนแห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 (พระราชบัญญัติฯ) อบจ.นนทบุรี จึงได้มีหนังสือขอให้กระทรวงพลังงานกำหนดนโยบายอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรายเล็ก (SPP) สำหรับพลังงานประเภทขยะมูลฝอยชุมชน โดย สนพ. วิเคราะห์แล้วว่า โครงการของ อบจ.นนทบุรี มีความสอดคล้องและเป็นโครงการนำร่องระยะเร่งด่วนตามแผน Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ซึ่งได้รับความเห็นชอบ จาก คสช. นอกจากนี้ อาจยังมีโครงการในลักษณะเดียวกันที่มีศักยภาพในอนาคตที่สามารถดำเนินการได้ตาม Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย เช่น ในเทศบาลขนาดใหญ่ที่มีปริมาณขยะหรือกลุ่มเทศบาลที่มีการรวบรวมขยะได้มากกว่า 500 ตันต่อวัน ดังนั้น หากจะมีการส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการขยะ ประเภท SPP เป็นการทั่วไป เห็นสมควรที่จะนำเสนอ ให้ กบง. พิจารณาเห็นชอบในหลักการส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ FiT สำหรับ SPP จากเชื้อเพลิงขยะชุมชนต่อไป
3. ข้อเสนอหลักในการรับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบ FiT สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) มีดังนี้ (1) ขนาดโครงการ SPP จากเชื้อเพลิงขยะชุมชน กำลังผลิตติดตั้งไม่เกิน 50 เมกะวัตต์ (2) ส่งเสริม ในลักษณะ Non-firm เนื่องจากฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าปัญหาเรื่องการจัดหาเชื้อเพลิงขยะที่ไม่แน่นอน อาจส่งผลให้ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างสม่ำเสมอในรูปแบบ Firm (3) อัตรา FiT สำหรับ SPP จากเชื้อเพลิงขยะชุมชน ไม่ควรสูงไปกว่าเพดานของอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการประเภท SPP Hybrid Firm (ในปัจจุบันคือ 3.66 บาท ต่อหน่วย ตามมติ กพช. ครั้งที่ 1/2560 (ครั้งที่ 11) เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560) เพื่อไม่ให้เป็นการเพิ่มภาระต่อผู้ใช้ไฟฟ้า โดยผู้พัฒนาโครงการอาจสามารถเสนอให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาแนวทางการสนับสนุนให้หน่วยงานท้องถิ่นจัดเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย (Tipping Fee) ตามพระราชบัญญัติ รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 เพื่อให้สามารถสนับสนุน ค่า Tipping Fee ให้สอดคล้องกับกรอบอัตรา FiT สำหรับ SPP จากเชื้อเพลิงขยะชุมชนที่เสนอให้ กพช. พิจารณากำหนดต่อไป (4) การรับซื้อไฟฟ้าไม่ต้องผ่านกระบวนการแข่งขันด้านราคา (Competitive Bidding) สอดคล้องตามมติ กพช. ในการประชุมครั้งที่ 5/2558 (ครั้งที่ 5) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 โดยจะต้องเป็นโครงการที่สอดคล้องกับ Roadmap หรือแผนแม่บทระดับชาติของรัฐบาล และ (5) กำหนดให้มีการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบภายในปี 2563 เช่นเดียวกับการรับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ SPP Hybrid Firm
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการในการรับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบ FiT สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ หารือกับกระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับการจัดทำอัตรา FiT สำหรับ SPP จากเชื้อเพลิงขยะชุมชน เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาเห็นชอบต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ร่วมกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) สามารถพิจารณาปรับปรุงแนวทางการพิจารณารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ตามความเหมาะสม ยกเว้นเฉพาะเรื่องอัตรารับซื้อไฟฟ้า (FiT) ที่หากจะมีการเปลี่ยนแปลงจะต้องนำเสนอ กพช. ทั้งนี้ การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตามกรอบเป้าหมายที่ กพช. ได้เห็นชอบไว้แล้ว อาจมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าในบางส่วน เพื่อให้สอคล้องกับสถานการณ์และเป็นไปตามเป้าหมายที่ กพช. ได้มีมติเห็นชอบไว้ อีกทั้งการเปิดรับซื้อไฟฟ้าในแต่ละรอบอาจจะไม่สามารถรับซื้อได้ครบตามเป้าหมายที่กำหนด รวมถึงขั้นตอนในการปฏิบัติตามกฎหมายของหน่วยงานต่างๆ ที่ทำให้การเปิดรับซื้ออาจไม่เป็นไปตามกรอบเวลาที่ กพช. กำหนด ดังนั้น เพื่อลดภาระงานของ กพช. ให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินการตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 จึงเห็นควรเสนอให้ กพช. มอบอำนาจให้ กบง. สามารถพิจารณาปรับปรุงแนวทางการพิจารณารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้
2. ต่อมา ที่ปรึกษา รมว.พน. (ณัฐติพล กนกโชติ) มีหนังสือถึง สนพ. แจ้งว่า ไม่ควรนำเสนอเรื่องดังกล่าว เข้าที่ประชุม กพช. ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2560 แต่สมควรพิจารณาตัดข้อความในวงเล็บท้ายข้อ 3 ออก เพื่อมอบอำนาจการปรับปรุงแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยรวมพลังงานแสงอาทิตย์เข้าไปในมติ กพช. เมื่อวันที่ 21 ธธันวาคม 2558 (ข้อ 3) เพื่อให้ กบง. สามารถพิจารณาโครงการพลังงานหมุนเวียนได้ทุกเชื้อเพลิง โดยยกเว้นเฉพาะเรื่องอัตรา FiT ที่ต้องนำเข้า กพช. ดังนั้น เพื่อให้ กบง. สามารถพิจารณาปรับปรุงแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน จากเดิมที่ กพช. ได้มีมติเห็นชอบการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอให้มีการเปิดรับซื้อไฟฟ้าโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพิ่มเติมจนครบเป้าหมายตามที่ กพช. กำหนดได้ และให้ กบง. สามารถพิจารณากำหนดปริมาณรับซื้อโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรายพื้นที่ ภายใต้กรอบเป้าหมายที่ กพช. กำหนด
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน สามารถพิจารณาปรับปรุงแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน จากเดิมที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเห็นชอบการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ ดังนี้
1. ให้ความเห็นชอบเปิดรับซื้อไฟฟ้าโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพิ่มเติมจนครบเป้าหมายตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติกำหนดได้
2. สามารถพิจารณากำหนดปริมาณรับซื้อโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรายพื้นที่ ภายใต้กรอบเป้าหมายที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติกำหนด
3. มอบให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน สามารถพิจารณาปรับปรุงแนวทางการรับซื้อไฟฟ้า จากพลังงานหมุนเวียน จากเดิมที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเห็นชอบการรับซื้อไฟฟ้า จากพลังงานหมุนเวียนได้เฉพาะในกรณีที่โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้า หรือมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว แต่ไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ตามกำหนดในกรอบระยะเวลาที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กำหนด เนื่องจากเหตุสุดวิสัย โดยให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน สามารถพิจารณาเลื่อนกำหนด SCOD ใหม่ได้ โดยให้กรอบการขยายระยะเวลา SCOD เท่ากับระยะเวลาที่เกิดเหตุสุดวิสัยจริง และจะต้องรายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ทราบเป็นระยะๆ