มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2562 (ครั้งที่ 78)
วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2562 เวลา09.30 น.
1. โครงสร้างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 10
2. การให้ความช่วยเหลือราคาขายปลีก NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะ
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(นายศิริ จิระพงษ์พันธ์)
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท)
เรื่องที่ 1 โครงสร้างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 10
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัจจุบันกระทรวงพลังงานจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ 2 ชนิด คือ (1) น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาซึ่งมีสัดส่วนผสมไบโอดีเซลร้อยละ 7 สามารถใช้ได้กับรถดีเซลทุกประเภท และ (2) น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 สามารถใช้กับรถบรรทุกขนาดใหญ่ ซึ่งในอนาคตกระทรวงพลังงานมีแผนจะใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 ทดแทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (บี7) โดยกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้ดำเนินการหารือกับ สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่น (Japan Automobile Manufacturers Association, Inc. : JAMA) ซึ่งได้ยืนยันว่า รถยนต์ญี่ปุ่นที่ผลิตตั้งแต่ปี 2011 ถึงปัจจุบันสามารถใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 ได้ แต่ส่วนรถยนต์ก่อนปี 2011 ต้องนำไปปรับสภาพเครื่องยนต์ก่อน สำหรับค่ายยุโรปยังไม่สามารถใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10
2. การกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดีเซล กระทรวงการคลังได้มีประกาศกฎกระทรวง กำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2561 เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2561 ดังนี้ น้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันเกินร้อยละ 0.005 โดยน้ำหนัก และไม่เกินร้อยละ 0.005 โดยน้ำหนัก อยู่ที่ 6.44 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซล
ที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่เกินร้อยละ 7 และไม่น้อยกว่าร้อยละ 19 แต่ไม่เกิน
ร้อยละ 20 อยู่ที่ 5.98 บาทต่อลิตร และ 5.152 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
3.สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 17 เมษายน 2562 น้ำมันดิบดูไบ อยู่ที่ 71.35 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 82.04 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ 84.04 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยน อยู่ที่ 31.9674 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลต่อโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 18 เมษายน 2562 ดังนี้ น้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 เป็นดังนี้
(1) อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อยู่ที่ 8.0800 2.1200 2.1200 -0.7800 -6.3800 0.2000 และ -4.5000 บาทต่อลิตร ตามลำดับ (2) ค่าการตลาด อยู่ที่ 1.8866 1.1940 1.3467 1.5044 3.9529 1.3644 และ 1.1396 บาทต่อลิตร ตามลำดับ และ (3) ราคาขายปลีก อยู่ที่ 36.66 29.25 28.98 26.24 20.84 27.29 และ 22.29 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ประมาณการสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ มีรายรับจากน้ำมันเบนซิน 95 แก๊สโซฮอล 95 แก๊สโซฮอล 91 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และ รายจ่าย LPG อยู่ที่ 1,276 ล้านบาทต่อเดือน สุทธิแล้วกองทุนมีรายรับ 1,667 ล้านบาทต่อเดือน และ วันที่ 14 เมษายน 2562 กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 32,760 ล้านบาท สถานการณ์ไบโอดีเซล ณ วันที่ 15 - 21 เมษายน 2562 ราคาไบโอดีเซล อยู่ที่ 19.62 บาทต่อลิตร CPO อยู่ที่ 15 บาทต่อกิโลกรัม ปาล์มทะลาย อยู่ที่ 2.17 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนปริมาณการใช้ไบโอดีเซล ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2562 อยู่ที่ 4.339 ล้านลิตรต่อเดือน ปริมาณ CPO ที่ผลิตไบโอดีเซล อยู่ที่ 110,879 ตันต่อเดือน ปริมาณคงคลังอยู่ที่ 371,739 ตัน และราคาเอทานอล ณ เดือนเมษายน 2562 ลิตรละ 21.96 บาท 4. ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอโครงสร้างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 ที่มีหลักการคำนวณอ้างอิงราคาดีเซลหมุนเร็วกับไบโอดีเซลเหมือนกับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 แตกต่างกัน
ในสัดส่วนผสมไบโอดีเซล ดังนี้ ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 10 (บาทต่อลิตร) เท่ากับ (1-X) ของราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บวก X ของราคาไบโอดีเซล โดยที่ ค่า X เท่ากับร้อยละโดยปริมาตรไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์อัตราต่ำของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ตามประกาศกรมธุรกิจพลังงาน และราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว คือ (MOPS Gasoil 50 ppm บวกพรีเมียม) ที่ 60 องศาฟาเรนไฮต์คูณด้วยอัตราแลกเปลี่ยนหารด้วย 158.984 และราคาไบโอดีเซล คือ ราคาอ้างอิงไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน ตามหลักเกณฑ์ที่ กบง. เห็นชอบ โดย การกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล บี10 กระทรวงการคลังใช้หลักการตามประกาศกฎกระทรวง กำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2561 ดังนี้ กำหนดภาษีน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (B0) อยู่ที่ 6.44 บาทต่อลิตร และยกเว้นการเก็บภาษีน้ำมันไบโอดีเซล ดังนั้น น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 มีส่วนผสมไบโอดีเซลร้อยละ 10 ภาษีสรรพสามิตตามหลักการดังกล่าวควรอยู่ที่ 5.80 บาทต่อลิตร (คือ 6.44 คูณ 90 เปอร์เซ็นต์) และ เพื่อส่งเสริมให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 เป็นทางเลือกใหม่ให้ผู้บริโภค ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 ถูกกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา 1 บาทต่อลิตร และให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 มีค่าใกล้เคียงน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา โดยกองทุนน้ำมันฯ ชดเชย 0.65 บาทต่อลิตร โดยในช่วงเริ่มต้นคาดว่ากองทุนน้ำมันฯ มีภาระในส่วนนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งมีผลต่อโครงสร้างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 18 เมษายน 2562 ดังนี้ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 เป็น (1) อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อยู่ที่ 0.2000 - 0.6500 และ - 4.5000 บาทต่อลิตร ตามลำดับ (2) ค่าการตลาด อยู่ที่ 1.3644 1.3968และ 1.9936 บาทต่อลิตร ตามลำดับ และ (3) ราคาขายปลีก อยู่ที่ 27.29 26.29 และ 22.29 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
มติของที่ประชุม 1. เห็นชอบโครงสร้างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 ดังนี้
ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 = (1-x) ของราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอ้างอิงราคากลางของตลาดภูมิภาคเอเชีย + x ของราคาไบโอดีเซล
โดยที่
X = ร้อยละโดยปริมาตรไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์อัตราต่ำของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ตามประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
น้ำมันดีเซลหมุนเร็วอ้างอิงราคากลางของตลาดภูมิภาคเอเชีย = (MOPS Gasoil 50 ppm + พรีเมียม) ที่ 600F x อัตราแลกเปลี่ยน/158.984
ไบโอดีเซล = ราคาอ้างอิงไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเห็นชอบ
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานหารือกับกรมสรรพสามิต ให้อัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 ในอัตรา 5.80 บาทต่อลิตร 3. เห็นชอบให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 10 มีราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา 1.00 บาทต่อลิตร โดยกำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 10 ที่ 0.65 บาทต่อลิตร 4. ภายหลังจากกรมสรรพสามิตนำเรื่องอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 เข้าคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบแล้ว มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุน อัตราเงินชดเชย อัตราเงินคืนกองทุน และอัตราเงินกองทุนคืนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง พร้อมกับประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง กำหนดลักษณะ และคุณภาพของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี10 มีผลบังคับใช้ 5. มอบหมายกรมธุรกิจพลังงานดำเนินการผลักดันน้ำมันมาตรฐานยูโร 5 ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป เรื่องที่ 2 การให้ความช่วยเหลือราคาขายปลีก NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะ
สรุปสาระสำคัญ 1. เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2561 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติเห็นชอบแนวทางดำเนินการกับรถโดยสาร NGV สาธารณะ โดยเห็นชอบปรับราคาขายปลีกจาก 10.00 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 10.62 บาทต่อกิโลกรัม มีผลตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2561 และขอความร่วมมือให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) คงราคาขายปลีก NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะที่ 10.62 บาทต่อกิโลกรัม เป็นระยะเวลา
1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2561 และเมื่อครบ 1 ปีแล้ว ให้ปรับราคาขายปลีก NGV ให้สะท้อนต้นทุน ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2561 ปตท. ได้มีหนังสือแจ้งว่าคณะกรรมการ ปตท. ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการให้ส่วนลดราคาขายปลีก NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 – 31 ธันวาคม 2561 ภายในกรอบวงเงิน 2,900 ล้านบาท ซึ่งต่อมาสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้มีหนังสือขอความร่วมมือให้ ปตท. ขยายระยะเวลาการให้ส่วนลดราคาขายปลีก NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะออกไปจนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2562 ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2561
2. เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2561 ปตท. ได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงพลังงาน แจ้งว่าคณะกรรมการ ปตท. ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการให้ส่วนลดราคาขายปลีก NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2562 ภายในกรอบวงเงิน 1,050 ล้านบาท และให้ยุติการสมัครเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป โดย ปตท. ขอให้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกับหน่วยงานของกระทรวงพลังงานและภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือและเร่งกำหนดแนวทางทดแทนการช่วยเหลือรูปแบบเดิม ต่อมาเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2562 กบง. มีมติมอบหมายให้ สนพ. ขอความร่วมมือ ปตท. ขยายระยะเวลาการให้ส่วนลดราคาขายปลีก NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะออกไปจนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2562 และมอบหมายให้ปลัดกระทรวงพลังงานจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือ 3. เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 ปลัดกระทรวงพลังงานได้แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาแนวทาง
การให้ความช่วยเหลือราคาขายปลีก NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะ (คณะทำงานฯ) ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2562 ต่อมาเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2562 คณะทำงานฯ ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการให้ความช่วยเหลือราคาขายปลีก NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะ โดยให้ ปตท. ทยอยปรับราคาขายปลีก NGV ให้สะท้อนต้นทุนในระยะ 6 เดือน ปรับราคาประมาณเดือนละ 1.04 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2562 เป็นต้นไป รวมทั้ง ขอความร่วมมือให้ ปตท. ให้ความช่วยเหลือส่วนต่างราคาปลีก NGV ในระหว่างที่ทยอยปรับราคาขายปลีก NGV ให้สะท้อนต้นทุน และให้ ปตท. /สนพ. ไปหารือคณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมเพื่อหาแนวทางการให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยสำหรับการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2562 ปตท. ได้มีหนังสือแจ้งว่าคณะกรรมการ ปตท. ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการให้ส่วนลดราคาขายปลีก NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 – 15 พฤษภาคม 2562 ภายในกรอบวงเงิน 550 ล้านบาท
4. ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอแนวทางการปรับขึ้นราคาขายปลีก NGV 3 แนวทาง ดังนี้ แนวทางที่ 1 ปรับให้สะท้อนต้นทุนทันทีตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2562 จาก 10.62 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 16.83 บาทต่อกิโลกรัม โดยไม่ต้องมีการช่วยเหลือส่วนต่างราคา แนวทางที่ 2 ทยอยปรับให้สะท้อนต้นทุนในระยะ 6 เดือน โดยปรับราคาประมาณเดือนละ 1.04 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2562 เป็นต้นไป (ตั้งแต่พฤษภาคม – ตุลาคม 2562 ) ตามมติคณะทำงานฯ ใช้งบประมาณช่วยเหลือส่วนต่างราคา 890 ล้านบาท และแนวทางที่ 3 ทยอยปรับให้สะท้อนต้นทุนภายใน 12 เดือน โดยปรับราคาประมาณเดือนละ 0.52 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2562 เป็นต้นไป (ตั้งแต่พฤษภาคม 2562 – เมษายน 2563) ใช้งบประมาณช่วยเหลือส่วนต่างราคา 1,900 ล้านบาท ทั้งนี้ เสนอให้ สนพ. ขอความร่วมมือ ปตท. ให้ความช่วยเหลือส่วนต่างราคาปลีก NGV ในระหว่างที่ทยอยปรับราคาขายปลีก NGV ให้สะท้อนต้นทุน มติของที่ประชุม 1. เห็นชอบให้ปรับราคาขายปลีก NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะ (ในเขต กทม./ปริมณฑล: รถแท็กซี่/ตุ๊กตุ๊ก/รถตู้ ร่วม ขสมก. ในต่างจังหวัด: รถโดยสาร/มินิบัส/สองแถว ร่วม ขสมก. รถโดยสาร/รถตู้ ร่วม บขส. และรถแท็กซี่) เพิ่มขึ้น 3 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 10.62 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13.62 บาทต่อกิโลกรัม โดยให้ทยอยปรับราคาเพิ่มขึ้นครั้งละ 1 บาท ทุก 4 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2562 เป็นต้นไป
2.ขอความร่วมมือ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ให้ความช่วยเหลือส่วนต่างราคาขายปลีก NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะ (ในเขต กทม./ปริมณฑล: รถแท็กซี่/ตุ๊กตุ๊ก/รถตู้ ร่วม ขสมก. ในต่างจังหวัด: รถโดยสาร/มินิบัส/สองแถว ร่วม ขสมก. รถโดยสาร/รถตู้ ร่วม บขส. และรถแท็กซี่) ในระหว่างที่ทยอยปรับขึ้นราคา และช่วยเหลือส่วนต่างราคาขายปลีกเพื่อคงราคาขายปลีกที่ 13.62 บาทต่อกิโลกรัม