มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 72)
วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 215-216 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา 2 รัฐสภา
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันราคาสูง
3.การประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นและมาตรการบรรเทาผลกระทบ
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในเดือนมกราคมได้ปรับตัวสูงขึ้น มีสาเหตุมาจากแนวโน้มการขยายเวลาการจำกัดการผลิตของกลุ่มโอเปค ประกอบกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นมากในอเมริกาตอนเหนือและแคนาดา ทำให้ความต้องการน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้น พร้อมทั้งข่าวการส่งออกน้ำมันของอิรัคที่จะลดลง มีผลให้น้ำมันดิบ WTI ปรับตัวสูงขึ้น 4.5 เหรียญ สหรัฐฯต่อบาร์เรล ณ วันที่ 21 มกราคม 2543 มาอยู่ในระดับ 29.9 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้น 1.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ 24.7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล แต่ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนราคาน้ำมันดิบได้อ่อนตัวลง 1.0-2.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ 24.0-27.3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์มีการปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน จากการลดกำลังการกลั่นในสิงคโปร์และอินเดีย และการปิดของโรงกลั่นไทยออยล์ ทำให้ปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปเข้าสู่ตลาดน้อยลง ในขณะที่แรงซื้อน้ำมันมีมาก โดยในสัปดาห์ที่สามราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลสูงขึ้น 5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ 31.4-31.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันก๊าดสูงขึ้น 4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ 34.6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ในสัปดาห์สุดท้ายราคาได้อ่อนตัวลง โดย ณ วันที่ 28 มกราคม 2543 ราคาน้ำมันเบนซิน ก๊าด และดีเซลอ่อนตัวลง 1.0 3.7 และ 3.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในะดับ 30.5, 30.7 และ 28.0 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ น้ำมันเตาราคาเฉลี่ยลดลง 0.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ 21.4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
3. ราคาน้ำมันในประเทศในเดือนมกราคม ช่วงต้นเดือนมีการปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล 23 สตางค์/ลิตร จากการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต ซึ่งถูกชดเชยด้วยการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนหนึ่ง และได้มีการปรับราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลขึ้นอีก 2 ครั้ง รวม 60 และ 50 สตางค์/ลิตร ตามลำดับ ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และ 87 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 26 มกราคม 2543 มีราคา 14.39, 13.59, 13.17 และ 11.52 บาท/ลิตร ตามลำดับ ค่าการตลาดและค่าการกลั่นเฉลี่ยอยู่ในระดับ 0.92 และ 0.70 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. สพช. ได้คาดการณ์แนวโน้มของราคาน้ำมันว่า ราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปจะอยู่ในระดับ สูงสุดในเดือนมกราคม หลังจากนั้นสภาพอากาศจะเริ่มอบอุ่นขึ้น ความต้องการใช้น้ำมันจะเริ่มลดลง และค่าการกลั่นดีขึ้น จะทำให้โรงกลั่นเพิ่มการผลิต รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง จะทำให้ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของไตรมาสแรกอยู่ในระดับเดียวกับไตรมาสก่อน โดยน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ในระดับ 22-23 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันสำเร็จรูปจะอ่อนตัวลง ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาขายปลีกของไทย มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงเช่นกัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันราคาสูง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2542 เห็นชอบมาตรการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่ม สูงขึ้น รวมทั้ง เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานปีงบประมาณ 2543-2547 โดยให้มีการปรับปรุงแผนให้สอดคล้องกับมาตรการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่ม สูงขึ้น โดยเน้นเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่อให้การดำเนินงานตามแผน อนุรักษ์พลังงานมีผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น
2. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีของหน่วยงานที่เกี่ยว ข้อง ซึ่งมีความก้าวหน้าในแต่ละมาตรการสรุปได้ดังนี้
2.1 การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน แผนอนุรักษ์พลังงานปีงบประมาณ 2537-2542 ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2542 โดยใช้จ่ายเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เป็นจำนวนทั้งสิ้น 6,237 ล้านบาท ผลการดำเนินงานคาดว่าจะก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานและลดค่าใช้จ่ายด้าน พลังงานสิ้นเปลืองได้ประมาณ 525 ล้านบาท/ปี และสามารถชะลอการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าได้คิดเป็นมูลค่า 2,115 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงประโยชน์ที่ได้รับในส่วนที่ไม่สามารถประเมินเป็นจำนวนเงินได้ ต่อมา สพช. ได้จัดทำแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 2 ปีงบประมาณ 2543-2547 โดยได้มีการปรับปรุงมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้สอดคล้องตามมติ คณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้น เพื่อเร่งรัดการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงานให้มีผลที่ชัดเจนมากขึ้น โดยมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 29,110.61 ล้านบาท คาดว่าจะก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน โดยสามารถทดแทนพลังงานไฟฟ้าและเชื้อเพลิงได้ประมาณ 12,870 ล้านบาท/ปี และสามารถลดเงินลงทุนเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ประมาณ 38,085 ล้านบาท
การดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 2 ในช่วงที่ผ่านมา (ต.ค. 42 - ม.ค. 43) ได้มีการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำ โครงการทางเดียวกันไปด้วยกัน (Car pool) การปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง การส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้า และการประชาสัมพันธ์เพื่อรณรงค์ให้มีการอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเนื่อง
2..2 การเลือกใช้พลังงานให้เหมาะสม ประกอบด้วย การส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินให้ถูกชนิด การลดการใช้น้ำมันเตาและใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ตลอดจนการกระจายแหล่งและชนิดของพลังงาน
2.3 การตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ได้ใช้ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยกองทุนฯ จะสามารถตรึงราคาได้เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 11 เดือน และหากราคาก๊าซฯ ยังคงปรับตัวสูงขึ้น จะใช้มาตรการการปรับหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคา ณ โรงกลั่น/ราคานำเข้า ก่อนดำเนินการปรับเพิ่มราคาขายส่งและราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
2.4 การลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า ได้มีการผ่อนผันให้ กฟผ. สามารถใช้น้ำมันเตากำมะถันไม่เกิน 1.0% และค่าแอสฟัลทีนระดับปกติมาใช้ในโรงไฟฟ้าพระนครเหนือได้ โดยขณะนี้ ปตท. อยู่ระหว่างการเจรจากับโรงกลั่นน้ำมันและ กฟผ. เพื่อหาทางเลือกต่างๆ ที่จะทำให้น้ำมันเตาที่จำหน่ายให้ กฟผ. มีราคาต่ำที่สุด
2.5 การเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง มาตรการเฉพาะเพื่อเร่งรัดการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อ เพลิง เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาสูงที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ประกอบด้วย การปรับบทบาทขององค์กรที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางประสานการปราบปรามการลักลอบ นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง การเพิ่มความเข้มในการตรวจการณ์ทางทะเล การตรวจสอบแพปลาและสถานีบริการริมชายฝั่ง การตรวจสอบอู่ต่อเรือ และการเฝ้าติดตามผู้ผลิต ตัวแทน และผู้ใช้สารโซลเว้นท์มิให้มีการลักลอบ นำไปปลอมปนในน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้ยังได้มีการเพิ่มความเข้มในการตรวจสอบการนำเข้าและส่งออกน้ำมันทาง ทะเล และเร่งรัดให้มีการดำเนินการแก้ไขระเบียบของรัฐที่เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติ งาน
2.6 การส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคคมนาคมขนส่งมากขึ้น ในขณะนี้ ปตท. ได้มีการดำเนินโครงการทดลองก่อนการขยายตลาดของยานยนต์โดยการดัดแปลงเครื่อง ยนต์มาใช้ก๊าซธรรมชาติ รวมทั้ง ได้มีการหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วย กรมทรัพยากรธรณี สพช. กรมการขนส่งทางบก กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อหาแนวทางในการสนับสนุนให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาค ขนส่งมากขึ้น โดยได้มีการหารือในเรื่อง การจัดหาแหล่งเงินทุน การยกเว้นภาษี การส่งเสริมสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายว่าด้วยการลงทุน และการพิจารณาแก้ไขกฎระเบียบเกี่ยวกับการติดตั้งถังก๊าซฯ ไว้บนหลังคารถ เป็นต้น
2.7 การเจรจาปรับลดราคา ณ โรงกลั่น ปตท. ได้รับไปเจรจากับโรงกลั่นน้ำมันเพื่อปรับลดราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันเชื้อเพลิง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทผู้ค้าน้ำมัน
2.8 กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการตรึงราคาค่าโดยสารสำหรับรถโดยสารประจำทางของ ขสมก. รถไฟ และรถโดยสารของบริษัทขนส่ง
2.9 กระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกประกาศปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 0.42 บาท/ลิตร เป็นการชั่วคราว ระยะเวลา 3 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2542 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2543 ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลง 0.50 บาท/ลิตร และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2542 ให้ปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตของยาสูบ เพื่อเป็นการทดแทนรายได้ของภาษีน้ำมันดีเซลที่ขาดหายไป อย่างไรก็ตาม เมื่อครบกำหนดที่จะต้องปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตในวันที่ 5 มกราคม 2543 ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาน้ำมันดีเซลต้องปรับเพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร ตามภาษีที่เพิ่มขึ้นนั้น ได้มีการดำเนินการเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบของราคาขายปลีกที่จะสูงขึ้นในระดับ หนึ่ง โดยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนช้าลดลงจาก 0.25 บาท/ลิตร และ 0.23 บาท/ลิตร ตามลำดับ เป็น 0 บาท/ลิตร ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับสูงขึ้นเพียง 0.23 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 การประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นและมาตรการบรรเทาผลกระทบ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รายงานต่อที่ประชุมสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้มีการวิเคราะห์และประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มสูงขึ้น สรุปได้ดังนี้
1.1 การประเมินผลกระทบมีข้อสมมติฐานแบ่งออกเป็น 4 กรณี คือ กรณีฐานและกรณีที่ 1-3 โดยกรณีฐานราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 19 เหรียญสรอ./บาร์เรล ส่วนกรณีที่ 1 , 2 และ 3 มีสมมุติฐานว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 22 เหรียญสรอ./บาร์เรล 24 เหรียญสรอ./บาร์เรล และ 26 เหรียญสรอ./บาร์เรล ตามลำดับ
1.2 จากข้อสมมติฐานกรณีที่ 1 เมื่อราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 22 เหรียญสรอ./บาร์เรล จะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับร้อยละ 4.18 ลดลงจากกรณีฐานร้อยละ 0.22 (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสรอ. เท่ากับ 38 บาท) หรือ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับร้อยละ 4.13 ลดลงจากกรณีฐาน ร้อยละ 0.27 (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสรอ. เท่ากับ 39 บาท) และในกรณีเลวร้ายที่สุด คือ กรณีที่ 3 เมื่อราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 26 เหรียญสรอ./บาร์เรล จะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับร้อยละ 3.88 ลดลงจากกรณีฐานร้อยละ 0.52 (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสรอ. เท่ากับ 38 บาท) หรือ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับร้อยละ 3.83 ลดลงจากกรณีฐานร้อยละ 0.57 (ณ อัตรา แลกเปลี่ยน 1 เหรียญสรอ. เท่ากับ 39 บาท)
1.3 ผลการวิเคราะห์โดยรวมแล้ว แนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มสูงขึ้นในขณะนี้ยังไม่เป็นอุปสรรคต่อการขยาย ตัวทางเศรษฐกิจโดยรวม แต่อาจมีผลต่อต้นทุนเฉพาะบางสาขา เช่น สาขาประมง และสาขาขนส่ง แต่มีข้อสังเกตว่าจากสถานการณ์ในปี 2542 ซึ่งราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยทั้งปีสูงขึ้นจากปี 2541 ถึงร้อยละ 39.95 แต่ก็ไม่ได้สร้างปัญหาเงินเฟ้อ หรือเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวโดยรวมของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาหามาตรการที่เหมาะสมมาช่วยเหลือเฉพาะบางสาขาที่ได้รับผลกระทบก็ ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดทางด้านงบประมาณของภาครัฐ ซึ่งมีภาระในอนาคตมากอยู่แล้ว และมาตรการประหยัดพลังงานยังเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการต่อไป
2. กระทรวงคมนาคม ได้เชิญหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมที่เกี่ยวข้องมาร่วมประชุมหารือ เพื่อประเมินผลกระทบต่อค่าขนส่งจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2543 สรุปได้ดังนี้
2.1 ด้านการขนส่งทางบก มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กรมการขนส่งทางบก และองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (รสพ.) ในส่วนของ ขสมก. และ รฟท. ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น แต่รัฐยังให้เงินอุดหนุนอยู่ จึงยังไม่มีการปรับราคาค่าโดยสารในขณะนี้ สำหรับ บขส. ได้มีการปรับค่าโดยสารครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนมีนาคม 2541 โดยคิดราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ 10.61-11.03 บาท/ลิตร ซึ่งปัจจุบัน บขส. มีต้นทุนเฉพาะน้ำมันเฉลี่ยที่ 11.03 บาท/ลิตร พอดี จึงสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องปรับค่าโดยสาร ส่วนอัตราค่าโดยสารรถบรรทุก ซึ่งคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางกำหนดราคาไว้ตั้งแต่ปี 2527 ให้รถบรรทุกสิบล้อเหมาคันมีอัตรา 8.3996 บาท/กิโลเมตร และรถบรรทุกหกล้อเหมาคันมีอัตรา 6.5353 บาท/กิโลเมตร ปัจจุบันต้นทุนการขนส่งอยู่ที่อัตรา 12.25 บาท/กิโลเมตร ส่วน รสพ. มีต้นทุนการขนส่งอยู่ที่ 11.87 บาท/กิโลเมตร ซึ่งหากผู้ประกอบการขนส่งและ รสพ. สามารถบริการเที่ยววิ่งขากลับให้มีสินค้าบรรทุก ก็จะช่วยให้มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องปรับค่าขนส่ง
2.2 ด้านการขนส่งทางน้ำ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรมเจ้าท่า (จท.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวี (สพง.) โดยในส่วนของค่าโดยสารเรือประจำทางและเรือข้ามฟากได้มีการปรับอัตราค่า โดยสารครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2542 และได้มีข้อตกลงร่วมกับผู้ประกอบการว่า จะไม่มีการปรับค่าโดยสารอีกเป็นเวลา 5 ปี สำหรับการเดินเรือระหว่างประเทศของไทยมีจำนวนเรือวิ่งน้อย จึงทำให้ไม่มีอำนาจต่อรองมากนัก และทางกลุ่มเดินเรืออาจจะขอปรับราคาขึ้นอีก
2.3 ด้านการขนส่งทางอากาศ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับอนุมัติให้ปรับค่าโดยสารเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.5 ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2542 แต่เนื่องจากมีการแข่งขันสูงและสภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้นยังไม่เอื้ออำนวย บริษัท การบินไทยฯ จึงยังไม่ปรับค่าโดยสารขึ้น และคาดว่าจะยังไม่มีการปรับค่าโดยสารสำหรับเส้นทางการบินภายในประเทศ ในระยะ 3-4 เดือนนี้
3. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขณะนี้อยู่ระหว่างรอกรมประมงเสนอเรื่องขึ้นมา
4. กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมได้มีการประเมินผลกระทบต่อต้นทุนผลิตสินค้าอุตสาหกรรมจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น สรุปได้ดังนี้
4.1 การวิเคราะห์และประเมินผลกระทบใช้เปรียบเทียบราคาน้ำมันของเดือนมิถุนายน 2542 กับราคาน้ำมันวันที่ 26 มกราคม 2543 โดยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจากเดิมลิตรละ 8.30 บาท เพิ่มขึ้นเป็นลิตรละ 11.52 บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.80 น้ำมันเตาจากเดิมลิตรละ 5.99 บาท เพิ่มขึ้นเป็นลิตรละ 7.90 บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.89 และน้ำมันเบนซิน 95 จากเดิมลิตรละ 11.21 บาท เพิ่มขึ้นเป็นลิตรละ 14.39 บาท หรือเพิ่มร้อยละ 28.37 ส่วนค่าไฟฟ้าได้มีการปรับค่า Ft จากเดือนมิถุนายน 2542 ที่อัตรา 32.60 สตางค์/หน่วย มาอยู่ในอัตรา 56.32 สตางค์/หน่วย ในเดือนมกราคม 2543
4.2 ผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นต่อต้นทุนการผลิตพบว่า มีสินค้า 2 รายการที่ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นสูงกว่าร้อยละ 5.00 ขึ้นไป ได้แก่ ปูนซีเมนต์ แป้งแปรรูป เป็นต้น สินค้าที่มีต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นอยู่ในอัตราร้อยละ 3.01-5.00 มี 4 รายการ ได้แก่ กระจกแผ่น ฟอกย้อม กุ้งกุลาดำแช่เยือกแข็ง และเหล็กทรงยาว เป็นต้น สินค้าที่มีต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นอยู่ในอัตราร้อยละ 1.01-3.00 มี 6 รายการ ได้แก่ เส้นใย สายไฟฟ้า ฟอกหนัง เครื่องเรือนไม้ เป็นต้น สินค้าที่มีต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นอยู่ในอัตราร้อยละ 0.50-1.00 มี 5 รายการ ได้แก่ กระเบื้องเซรามิกส์ หลอดภาพโทรทัศน์ แป้งมันสำปะหลัง เป็นต้น และสินค้าที่มีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นน้อยกว่าร้อยละ 0.50 มี 8 รายการ ได้แก่ รถยนต์ จักรยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น ส่วนสินค้าที่ได้รับผลกระทบน้อยมากมี 4 รายการ คือ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ โซเดียมทรีโพลีฟอสเฟต โพลีคาร์บอเนต และ POM
4.3 มาตรการในการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ควรเน้นเรื่องการประชาสัมพันธ์ ในเชิงรุกเพื่อสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนเห็นคุณค่าของพลังงานเพื่อให้มีการ ใช้อย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ สำหรับมาตรการระยะปานกลางควรใช้เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สนับสนุนการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานขนาดกลางและขนาดย่อมให้มากขึ้น รวมทั้ง การพิจารณาให้สิทธิประโยชน์แก่โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้อุปกรณ์และเครื่องจักร การผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง และหรือใช้พลังงานที่ผลิตได้ในประเทศ ส่วนมาตรการระยะยาวควรหาพลังงานทดแทนชนิดอื่นที่ราคามีเสถียรภาพและไม่ต้อง พึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศมากนัก เช่น ก๊าซธรรมชาติ โดยรัฐบาลต้องให้การสนับสนุนในด้านการวางระบบท่อส่งก๊าซและเงินทุนในการปรับ เปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อรองรับการใช้เชื้อเพลิงทดแทนได้
5. กระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายในได้ประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นต่อต้นทุนสินค้าอุตสาหกรรม และมาตรการบรรเทาผลกระทบสรุปได้ดังนี้
5.1 กรมการค้าภายในได้วิเคราะห์ผลกระทบของราคาน้ำมันที่สูงขึ้นต่อต้นทุนสินค้า โดยใช้การเปรียบเทียบราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยในเดือนมิถุนายน 2542 ซึ่งอยู่ในระดับ 8.30 บาท/ลิตร กับราคาดีเซล ในขณะนี้ซึ่งเท่ากับ 11.52 บาท/ลิตร ผลการวิเคราะห์ปรากฏว่ามีสินค้าจำนวน 53 รายการ ได้รับ ผลกระทบทำให้ต้นทุนสูงขึ้นประมาณร้อยละ 0.01-5.30 โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบทำให้ต้นทุนสูงขึ้นในอัตราร้อยละ 1.00-5.30 มีจำนวน 7 รายการ ได้แก่ ปูนซีเมนต์ ตะปูตอกไม้ กระเบื้องคอนกรีตมุงหลังคา ผงชูรส อาหารกึ่งสำเร็จรูปบรรจุภาชนะผนึก น้ำมันหล่อลื่น ยารักษาโรค ส่วนสินค้าที่ได้รับผลกระทบทำให้ต้นทุนสูงขึ้นในอัตราร้อยละ 0.01-0.99 มีจำนวน 46 รายการ สำหรับปูนซีเมนต์ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดนั้นคงจะไม่มีการ ปรับราคาขึ้นไปอีก เนื่องจากได้มีการปรับราคาไปแล้วเมื่อต้นเดือนมกราคม 2543
5.2 มาตรการในการป้องกันมิให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าอย่างไม่เป็น ธรรมแก่ ผู้บริโภค ทางกรมการค้าภายในได้มีหนังสือถึงผู้ประกอบการสินค้าที่มีความจำเป็นแก่การ ครองชีพประมาณ 570 ราย ให้แจ้งการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าให้ทราบล่วงหน้าก่อนการปรับราคาสินค้า 15 วันทำการ เพื่อให้มีเวลาในการศึกษาวิเคราะห์ราคาจำหน่ายที่เหมาะสม หากพบว่ามีการปรับราคาสูงเกินสมควรก็จะขอความ ร่วมมือให้ลดราคาลงให้สอดคล้องกับผลกระทบ นอกจานี้ ยังมีมาตรการติดตามดูแลความเคลื่อนไหวราคา และปริมาณสินค้า โดยมีการจัดเจ้าหน้าที่สายตรวจออกตรวจสอบภาวะราคาสินค้าเป็นประจำทุกวันทำ การ มีการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนทั้งในส่วนกลางและทุกจังหวัด มีการประชาสัมพันธ์ปรามผู้ค้ามิให้ฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า และมีการจัดจำหน่ายสินค้าราคายุติธรรมตามโครงการธงฟ้าราคาประหยัดให้แก่ผู้ บริโภค
5.3 สำหรับสินค้าเกษตรเป็นสินค้าที่ติดตามตรวจสอบได้ยาก เนื่องจากมีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่แตกต่างกันไปตามประเภทสินค้า และส่วนใหญ่ราคาได้ถูกผลักภาระไปยังผู้บริโภคแล้ว สาขาประมงเป็นสาขาที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นต้นทุนหลักของสาขานี้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็ได้ให้ความช่วยเหลือในสาขาประมงแล้ว โดยใช้เงินจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรจ่ายชดเชยราคาน้ำมันให้แก่ชาว ประมง
มติของที่ประชุม
1.รับทราบสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ รวมทั้ง การประเมินผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าและบริการจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
2.ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด
3.มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับไปจัดทำมาตรการเพื่อช่วยเหลือชาวประมงจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น โดยใช้เงินกองทุนช่วยเหลือเกษตรกร และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
4.มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม ติดตามดูแลราคาค่าขนส่งในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างใกล้ชิด
5.มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ ติดตามดูแลราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการมีการปรับราคาสินค้าอย่างไม่เป็นธรรมต่อผู้ บริโภค
6.ให้มีการเร่งรัดการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานอย่าง ต่อเนื่อง เพื่อสร้างจิตสำนึกของประชาชนให้เห็นคุณค่าของการใช้พลังงานอย่างประหยัดและ มีประสิทธิภาพ
7.ให้มีการเร่งรัดการขยายผลการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานขนาดกลางและขนาด เล็กที่ไม่ใช่โรงงานและอาคารควบคุมและมีการใช้พลังงานต่ำกว่า 1 เมกะวัตต์ ให้เข้ามาร่วมดำเนินการมากขึ้น
- กพช. ครั้งที่ 72 - วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2543 (1139 Downloads)