มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 4/2543 (ครั้งที่ 74)
วันพุธที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2543 เวลา 10.00 น.
ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล
1.ความก้าวหน้าในการเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐประชาชนจีน
2.รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
3.สถานการณ์ราคาและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
4.การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันราคาสูง
5.การแก้ไขปัญหาภาคการขนส่งทางถนนเนื่องจากปัญหาราคาน้ำมัน
6.การคืนหลักค้ำประกันของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP)
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
รายงานความก้าวหน้าในการเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากับสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว (สปป.ลาว) และสาธารณรัฐประชาชนจีน สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. การรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว มีความก้าวหน้าสรุปได้ดังนี้
1.1 การเจรจาค่าไฟฟ้าของโครงการน้ำงึม 1 และน้ำลึกระหว่างคณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าของทั้ง 2 ประเทศ ได้ข้อยุติแล้ว โดย กฟผ.จะรับซื้อไฟฟ้าในช่วง Off-Peak ที่ราคา 1.14 บาทต่อหน่วย ส่วนในช่วง Peak จะรับซื้อไฟฟ้าที่ราคา 1.22 บาทต่อหน่วย ทั้งนี้อัตราค่าไฟฟ้าตามที่ตกลงดังกล่าวจะใช้ซื้อขายเป็นระยะเวลา 4 ปี โดยจะเริ่มใช้ย้อนหลังตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2542 เป็นต้นมาจนถึง 30 กันยายน 2546 และจะชำระเงินค่าไฟฟ้าด้วยสกุลดอลล่าร์สหรัฐทั้งหมด นอกจากนี้ฝ่ายไทยยินดีรับในหลักการว่า หากฝ่ายลาวสามารถดำเนินการผลิตไฟฟ้า โครงการน้ำงึม 1 และน้ำลึก แบบ Firm Basis ได้ ทั้ง 2 ฝ่ายจะร่วมกันพิจารณาทบทวนอัตราค่าไฟฟ้าใหม่อีก ครั้งหนึ่ง
1.2 โครงการที่คณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว (คปฟ-ล.) พิจารณารับซื้อภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทย และ สปป. ลาว จำนวน 3,000 เมกะวัตต์ มีโครงการที่ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการน้ำเทิน- หินบุน ขนาด 187 เมกะวัตต์ และโครงการห้วยเฮาะ ขนาด 126 เมกะวัตต์ ทั้ง 2 โครงการได้จ่ายกระแสไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์เข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง ประเทศไทย ( กฟผ.) แล้ว ส่วนโครงการที่ยังไม่มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า จำนวน 6 โครงการ ซึ่งรัฐบาล สปป. ลาว ได้จัดลำดับความสำคัญที่จะส่งมอบไฟฟ้าแล้ว แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ประกอบด้วย
(1) โครงการที่จะส่งมอบไฟฟ้าในเดือนธันวาคม 2549 จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ น้ำเทิน 2 โครงการน้ำงึม 2 และโครงการน้ำงึม 3 ในส่วนของโครงการน้ำเทิน 2 ซึ่งมีกำลังผลิต ณ จุดส่งมอบ 920 เมกะวัตต์ ปัจจุบันการเจรจาราคาค่าไฟฟ้าได้คืบหน้ามาโดยลำดับจนได้ข้อยุติแล้ว โดยราคาที่ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องและตกลงที่จะมีการซื้อขายกันอยู่ที่ระดับ 4.219 เซ็นต์/กิโลวัตต์ชั่วโมง โดยฝ่ายไทยตกลงที่จะประกันการรับซื้อ ไฟฟ้าไม่เกินร้อยละ 95 ของปริมาณการรับซื้อทั้งหมด ซึ่งข้อยุติของการเจรจาราคาไฟฟ้าดังกล่าว จะนำไปสู่การจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) และสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ของโครงการน้ำเทิน 2 ต่อไป
(2) โครงการที่จะส่งมอบไฟฟ้าในเดือนมีนาคม 2551 จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการลิกไนต์หงสา โครงการเซเปียน -เซน้ำน้อย และโครงการเซคามาน 1 ในส่วนของโครงการลิกไนต์หงสา ซึ่งมี กำลังผลิต ณ จุดส่งมอบ 608 เมกะวัตต์ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี สปป. ลาว ( พลเอกสีสะหวาด แก้วบูนพัน) ได้ร้องขอมายัง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (นายชวน หลีกภัย) ขอให้ไทยพิจารณารับซื้อไฟฟ้าโครงการนี้เร็วขึ้นจากเดิม ที่กำหนดจะส่งมอบในเดือนมีนาคม 2551 เป็นในเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งฝ่ายไทยยินดีรับโครงการนี้ไว้พิจารณาเป็นกรณีพิเศษ โดยคณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าของทั้ง 2 ประเทศ จะดำเนินการเจรจาโครงการนี้ควบคู่ไปกับโครงการน้ำเทิน 2 น้ำงึม 3 และน้ำงึม 2 ทั้งนี้ หากโครงการใดสามารถเจรจาและตกลงจนได้ข้อยุติก่อน ก็ให้ ส่งมอบไฟฟ้าก่อนโครงการอื่น แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลงเดิม ซึ่งได้รับความเห็นชอบแล้วจากรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศแล้ว กล่าวคือ ในเดือนธันวาคม 2549 ฝ่ายไทยจะรับซื้อไฟฟ้ารวมกันจาก สปป.ลาวได้เพียง 1,600 เมะวัตต์ เท่านั้น
2. การรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน มีความก้าวหน้าสรุปได้ดังนี้
2.1 นับตั้งแต่มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจรับซื้อไฟฟ้า เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2541 จนถึงปัจจุบัน ทั้งฝ่ายไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการและคณะทำ งานเพื่อดำเนินการเจรจาในรายละเอียดของการรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชน จีนเรียบร้อยแล้ว
2.2 คณะผู้แทนบริษัทไฟฟ้าแห่งรัฐ และการไฟฟ้ายูนนานของสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มาเยือนไทย เพื่อหารือในรายละเอียดของการรับซื้อไฟฟ้ากับ กฟผ. และ สพช. เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2543 ซึ่งทั้ง 2 ฝ่าย ได้ ข้อสรุปของผลการหารือที่สำคัญคือ โครงการผลิตไฟฟ้าจิงหงจะเป็นโครงการแรก ขนาด 1,500 เมกะวัตต์ ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน จะส่งมอบไฟฟ้าให้ไทยในปี 2556 ในส่วนโครงการอื่นๆ อีก 1,500 เมกะวัตต์ สาธารณรัฐประชาชนจีนจะส่งมอบไฟฟ้าให้ไทยในปี 2557 โดย กฟผ. จะบรรจุโครงการผลิตไฟฟ้าจิงหงและโครงการอื่นๆ ไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าในระยะยาวฉบับใหม่ ซึ่งคาดว่าจะจัดทำแล้วเสร็จภายในปี 2543
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
รายงานผลการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ สรุปได้ดังนี้
1. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการดำเนินงานสรุปได้ดังนี้
1.1 ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง (ศปนม.) ได้จัดชุดปฏิบัติการทางทะเล 3 ชุด เพื่อดำเนินการตามแผนป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงทาง ทะเล คือ ชุดสืบสวนและปราบปรามฝั่งอ่าวไทย ชุดสืบสวนและปราบปรามฝั่งอันดามัน และชุดสืบสวนพิเศษทางทะเล ตรวจเฝ้ามิให้มีการลักลอบกระทำผิดในทะเลทั้งสองฝั่ง ทำการตรวจสอบปริมาณน้ำมันในเรือประมง ตรวจสอบการขนถ่ายน้ำมันนำเข้าจากเรือบรรทุกน้ำมัน และจัดทำประวัติกลุ่มเรือประมงที่มีพฤติการณ์ลักลอบนำเข้าน้ำมันโดยหลีก เลี่ยงภาษี
1.2 ศปนม. ได้จัดชุดปฏิบัติการทางบกเพื่อดำเนินการตามแผนการปฏิบัติการป้องกันและปราบ ปรามการส่งออกทางบกอันเป็นเท็จโดยเน้นพื้นที่ที่มีด่านศุลกากร และมียอดการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงสูงกว่า 1 ล้านลิตรต่อเดือน โดยดำเนินการเฝ้าด่านเป้าหมายสำคัญ เพื่อควบคุมให้มีการส่งออกจริง
1.3 ศปนม. ได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำสารโซลเว้นท์ไป ปลอมปนในน้ำมันเชื้อเพลิง โดยตรวจสอบติดตามโรงงาน ตัวแทนหน่าย ผู้ขนส่งและการขนส่ง ผู้ใช้ปลายทาง สถานีบริการน้ำมัน และเฝ้าคลังโรงกลั่นเป้าหมาย รวมทั้ง ยังมีมาตรการทางด้านการข่าว สืบหาเบาะแสข้อมูลในทางลับ
1.4 ในช่วงที่ผ่านมา ศปนม. สามารถจับกุมผู้กระทำผิดคดีลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้จำนวนทั้งสิ้น 53 ราย มีผู้ต้องหาจำนวน 91 คน มีปริมาณน้ำมันที่จับกุมได้ทั้งสิ้น จำนวน 635,591 ลิตร แยกเป็นน้ำมันเบนซิน 142,369 ลิตร น้ำมันดีเซล 399,222 ลิตร สารโซลเว้นท์ 71,000 ลิตร และน้ำมันเตา 23,000 ลิตร ตามลำดับ รวมมูลค่าของกลางทุกชนิดที่จับกุมได้เป็นเงินประมาณ 113 ล้านบาท
2. กรมศุลกากรได้ดำเนินการออกคำสั่งกรมศุลกากรที่ 44/2542 เพื่อรองรับกับความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางถนนระหว่างไทยและลาว เป็นผลให้สินค้าผ่านแดนทุกชนิด รวมถึงน้ำมันผ่านแดนของลาวที่ ตกค้างอยู่ในไทยครบ 90 วัน นับแต่วันนำเข้าเป็นของตกค้าง เพื่อให้ฝ่ายไทยสามารถดำเนินการกับสินค้า ดังกล่าวได้ และในช่วงที่ผ่านมากรมศุลกากรสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ จำนวน 8 ราย ผู้ต้องหา 24 คน ปริมาณน้ำมันดีเซลที่จับกุมได้ จำนวนทั้งสิ้น 370,142 ลิตร คิดเป็นมูลค่าน้ำมันและเรือของกลางที่จับกุมได้ ประมาณ 24 ล้านบาท
3. กรมสรรพสามิต ได้มีการดำเนินงานสรุปได้ดังนี้
3.1 โครงการการติดตั้งมิเตอร์เพิ่มเติมพร้อมเชื่อมโยงเครือข่ายระบบข้อมูล จะดำเนินการติดตั้งและทดสอบระบบทั้งหมดภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2543 โดยคลังเป้าหมาย 4 คลังแรก เดิมจะติดตั้งเสร็จภายในวันที่ 20 ตุลาคม 2542 แต่บริษัทฯ ได้ขอขยายเวลาติดตั้งงวดแรกออกไปอีก 90 วัน
3.2 โครงการเติมสาร Marker ในน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ขณะนี้กรมสรรพสามิตได้รับมอบสาร Marker และเครื่องมือตรวจสอบแล้วจำนวนหนึ่ง สำหรับอุปกรณ์เติมสาร ได้มอบให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมเป็นผู้ออกแบบ เครื่องฉีดสาร โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ ส่วนระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในการเติมสารนั้น กรมสรรพสามิตได้ส่งร่างระเบียบดังกล่าวให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจร่าง ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2543
3.3 โครงการควบคุมการใช้สารละลายประเภทไฮโดรคาร์บอน (Solvent) มิให้นำไปปลอมปนในน้ำมันเชื้อเพลิง กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการตรวจสอบโรงงานผู้ใช้สาร และได้มีการเพิกถอนใบอนุญาตไปแล้ว 50 ราย อยู่ระหว่างการส่งดำเนินคดี เตรียมส่งฟ้องศาล และรวบรวมหลักฐานอีก 46 ราย สำหรับการตรวจสอบการสั่งซื้อสารละลายจากโรงงานอุตสาหกรรมพบว่ามีบางรายกระทำ ผิดจริงจึงระงับการอนุญาตผลิตและจากการตรวจสอบบัญชีเอกสารโรงงานผู้ผลิต ตัวแทน ผู้ใช้ กรณีไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ค่าปรับเป็นจำนวน 1.9 ล้านบาท นอกจากนี้ได้มีการจัดการฝึกอบรมให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่สรรพ สามิตที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง จัดชุดปฏิบัติการตรวจของจังหวัด สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ 10 คดี มีปริมาณสารละลายที่จับกุมได้จำนวน 200,400 ลิตร คิดเป็นเงินค่าปรับ 1.8 ล้านบาท นอกจากนั้นได้ปรับปรุงแก้ประกาศราคาที่ใช้เป็นฐานในการเก็บภาษีโซลเว้นท์จาก 7.50 บาท/ลิตร เป็น 12 บาท/ลิตร เพื่อลดแรงจูงใจในการปลอมปนน้ำมัน ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2542
4. กรมทะเบียนการค้า ได้ส่งหน่วยตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเคลื่อนที่ตามแผนปฏิบัติการประจำปี ตรวจสอบใน 12 จังหวัด จำนวน 668 ราย พบผิด 26 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 3.9 และจากจำนวนตัวอย่าง 1,834 ตัวอย่าง พบผิด 35 ตัวอย่าง หรือคิดเป็นร้อยละ 1.9 นอกจากนี้ ได้ออกตรวจสอบคุณภาพน้ำมันภายใต้โครงการธงเชียว ร่วมกับ ศปนม. เพื่อกระตุ้นและประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการค้าน้ำมันจำหน่ายน้ำมันเชื้อ เพลิงที่มี คุณภาพ รวมทั้ง ได้ทำการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำร้องเรียนของผู้บริโภค ตรวจสอบแหล่งต้องสงสัย ร่วมกับ ศปนม.สืบหาเบาะแสแหล่งปลอมปนน้ำมันเชื้อเพลิง และดำเนินคดีสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ที่มีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 สถานการณ์ราคาและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ผลการประชุมรัฐมนตรีน้ำมันโอเปค ณ กรุงเวียนนา ได้ข้อตกลงที่ไม่เป็นเอกฉันท์ โดยกลุ่มโอเปคไม่รวมอิหร่านจะเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน 1.45 ล้านบาร์เรล/วัน หรือร้อยละ 7 ของเพดานการผลิตเดิม ตั้งแต่เดือนเมษายน 2543 เป็นต้นไป แต่ต่อมาอิหร่านได้ออกมาแสดงท่าทีว่าจะเพิ่มการผลิตในระดับ 264,000 บาร์เรล/วัน ตามโควต้าที่ได้รับ ทำให้เพดานการผลิตของโอเปครวมเพิ่มขึ้น 1.716 ล้านบาร์เรล/วัน นอกจากนี้ เม็กซิโกและนอร์เวย์ ได้ประกาศเพิ่มปริมาณการผลิต 150,000 และ 100,000 บาร์เรล/วัน ตามลำดับ เป็นผลให้ราคาน้ำมันดิบลดลง 0.5-1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แล้วทรงตัวอยู่ในระดับ 23.7 - 26.6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากปริมาณน้ำมันสำรองยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งการเพิ่มปริมาณการผลิตที่จะทำให้ตลาดอยู่ในภาวะสมดุลจะต้องเพิ่มในระดับ 2.0 - 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ดังนั้น การเพิ่มปริมาณการผลิตดังกล่าวจึงไม่มีผลให้ราคาลดลงอย่างรวดเร็ว จนกว่าปริมาณน้ำมันสำรองจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับปกติ แต่อย่างไรก็ตาม ในการประชุมของโอเปคที่ผ่านมา ที่ประชุมได้เห็นชอบสูตรการปรับลดปริมาณการผลิตอัตโนมัติ เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันดิบ ( เบรนท์) ให้อยู่ในช่วง 22-28 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ของเดือนมีนาคม 2543 ได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากการปรับตัวตามราคาน้ำมันดิบส่วนหนึ่ง และจากการลดกำลังกลั่นและปัญหาการปิดซ่อมแซมของโรงกลั่นหลายแห่ง ส่งผลให้ตลาดตึงตัวมากขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบ โดยราคาน้ำมันเบนซิน ดีเซล และเตา ปรับตัวสูงขึ้น 1.9, 3.8 และ 4.1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ และ ณ วันที่ 30 มีนาคม 2543 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ดีเซล และเตา อยู่ในระดับ 28.3, 27.2, 29.1 และ 26.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกในเดือนมีนาคม น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ปรับขึ้น 3 ครั้ง รวม 0.90 บาท/ ลิตร ปรับลง 6 ครั้ง รวม 1.5 บาท/ ลิตร เบนซินออกเทน 87 และ 91 ปรับขึ้น 3 ครั้ง รวม 0.90 บาท/ลิตร ปรับลง 6 ครั้ง รวม 1.8 บาท/ลิตร ส่วนดีเซลหมุนเร็วปรับขึ้น 3 ครั้ง รวม 1.0 บาท/ลิตร และปรับลง 4 ครั้ง รวม 1.00 บาท/ลิตร โดยในวันที่ 1 เมษายน 2543 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95,91,87 และดีเซลหมุนเร็วมีราคาอยู่ที่ระดับ 14.39, 13.39 , 12.97 และ 11.87 บาท/ ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดเฉลี่ยในช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม อยู่ในระดับต่ำที่ 0.84-0.98 บาท/ ลิตร จากการปรับราคาขึ้นในระดับที่ต่ำและช้ากว่าราคาน้ำมันในตลาดโลก เป็นผลจากตลาดน้ำมันมีการแข่งขันสูงและต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปกติแล้วค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์ของประเทศ อยู่ในระดับ 1.2- 1.3 บาท/ ลิตร แต่ในต้นเดือนเมษายน ค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับ 0.90 บาท/ลิตร ส่วนค่าการกลั่นในเดือนมีนาคม ได้เพิ่มขึ้นมากเนื่องจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่เพิ่มมากกว่าราคาน้ำมันดิบ โดยอยู่ในระดับ 1.37 บาท/ลิตร ในขณะที่ค่าการกลั่นของปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับเพียง 0.49 บาท/ลิตร
5. เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ค่าการกลั่นได้ปรับตัวสูงขึ้นผิดปกติ ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อ มวลชน และมีการเรียกร้องให้รัฐหาทางลดราคา ณ โรงกลั่น เพื่อมิให้โรงกลั่นน้ำมันมีกำไรสูงเกินไป เช่น การให้ไปอิงตลาดอื่นแทนสิงคโปร์ หรือ การกำหนดราคาตามต้นทุนน้ำมันดิบ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานสรุปความเป็นมา ข้อเท็จจริง และความเห็นดังนี้
5.1 โรงกลั่นน้ำมันประกาศราคาโดยกำหนดให้ราคาน้ำมันที่ผลิตในประเทศเท่ากับราคา นำเข้า (Import Parity Basis) โดยใช้ราคาสิงคโปร์เป็นเกณฑ์ เนื่องจากต้องแข่งขันกับการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจาก สิงคโปร์ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่และอยู่ใกล้ที่สุด แต่เมื่อกำลังการกลั่นในประเทศเกินความต้องการและต้องมีการส่งออก ราคาส่งออกมักจะถูกกว่าราคานำเข้า โรงกลั่นจึงพยายามจำหน่ายน้ำมันภายในประเทศก่อนส่งออกโดยให้ส่วนลดราคา ณ โรงกลั่นในบางช่วง
5.2 ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ มีการเคลื่อนไหวในทิศทางและระดับที่ใกล้เคียงกับตลาดอื่นๆ มีบางช่วงที่ราคาเปลี่ยนแปลงในทิศทางหรือระดับที่แตกต่างกับตลาดอื่น เป็นเพราะปริมาณน้ำมัน ในตลาดไม่มีความสมดุล แต่จะมีน้ำมันไหลเข้า/หรือออกจากตลาดอื่น จนทำให้ระดับราคาปรับตัวสมดุลกับตลาดอื่น นอกจากนี้ ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์มีความผันผวนน้อยกว่าตลาดอื่นๆ และจากข้อเท็จจริงที่โรงกลั่นไทยยังต้องแข่งขันกับการนำเข้าจากสิงคโปร์ ดังนั้น การกำหนดราคาของโรงกลั่นโดยอ้างอิงราคาในตลาดจรสิงคโปร์ จึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในปัจจุบัน
5.3 การกำหนดราคา ณ โรงกลั่น โดยใช้หลักการ Cost-plus Basis ซึ่งกำหนดจากต้นทุนราคา น้ำมันดิบบวกด้วยค่าใช้จ่ายของโรงกลั่นคงที่ไม่มีความเหมาะสม เพราะราคาน้ำมันดิบมีความผันผวนเช่นเดียวกับราคาน้ำมันสำเร็จรูป และต้นทุนการกลั่นของไทยแพงกว่าสิงคโปร์ ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันภายในประเทศแพงขึ้น และทำให้สภาพการแข่งขันในตลาดน้ำมันถูกบิดเบือน เนื่องจากต้นทุนไม่สะท้อนถึงสภาพการแข่งขันที่แท้จริง
5.4 ในช่วงวันที่ 14-21 มีนาคมที่ผ่านมา โรงกลั่นน้ำมันได้ลดราคาลง 1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (0.25 บาท/ ลิตร) เป็นเวลา 7 วัน ซึ่งเป็นช่วงที่ค่าการกลั่นของโรงกลั่นสูงผิดปกติ ส่วนแนวทางในการลดราคา ณ โรงกลั่นอย่างถาวรนั้น เนื่องจากประเทศไทยมีการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปบางส่วนในราคาต่ำกว่าราคาที่ จำหน่ายในประเทศ ดังนั้น ประชาชนในประเทศควรได้รับประโยชน์จากราคาส่งออกที่ถูกกว่าราคาจำหน่ายใน ประเทศ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2542 มอบหมายให้ ปตท. รับไปเจรจากับโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อปรับลดราคา ณ โรงกลั่นให้ลงมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับราคาส่งออก
6. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในตลาดโลก เดือนเมษายน 2543 ได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับ 302 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ทำให้ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศ อยู่ในระดับ 11.45 บาท/ กก. มีอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 6.79 บาท/กก. ฐานะกองทุนฯ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2543 อยู่ในระดับ 3,361 ล้านบาท มีรายรับจากน้ำมันชนิดอื่นในระดับ 129 ล้านบาท/เดือน และรายจ่ายเพื่อชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว 884 ล้านบาท/เดือน โดยมีเงินไหลออกจากกองทุนฯ สุทธิ 756 ล้านบาท/เดือน คาดว่า กองทุนฯ จะสามารถตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มได้ประมาณ 4 เดือน
มติของที่ประชุม
1.ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์ราคาและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และมอบหมายให้ สพช. รับไปดำเนินการจัดเตรียมมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ต่อไป
2.มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ( นายสาวิตต์ โพธิวิหค ) ออกแถลงการณ์สนับสนุนการเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปค
เรื่องที่ 4 การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันราคาสูง
สรุปสาระสำคัญความก้าวหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2542 และเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2543 เกี่ยวกับมาตรการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีความก้าวหน้าเพิ่มเติมในแต่ละมาตรการ สรุปได้ดังนี้
1. การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน มีความก้าวหน้าสรุปได้ดังนี้
1.1 การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม รวมทั้งอาคารของรัฐ
กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และมีหน้าที่กำกับดูแลการอนุรักษ์พลังงานในโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบ คุม รวมทั้ง อาคารของรัฐ ได้อนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการว่าจ้าง ตัวแทนดำเนินการเพื่อบริหารงานตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานในอาคารของรัฐ จำนวน 200 แห่ง และเพื่อบริหารการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ จำนวน 160 แห่ง รวมทั้ง การว่าจ้างตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานในอาคารของรัฐ จำนวน 170 แห่ง รวมเป็นเงินประมาณ 32.896 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นในอาคาร ควบคุมที่กำลัง ใช้งานรวม 97 แห่ง และโรงงานควบคุมที่กำลังใช้งาน 169 แห่ง และการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียดในอาคารควบคุมที่กำลังใช้ งานรวม 84 แห่ง รวมเป็นเงินประมาณ 158.643 ล้านบาท ตลอดจนอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง และวิทยาเขตสุราษฏร์ธานี เพื่อดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง รวมวงเงินประมาณ 2.87 ล้านบาท
1.2 การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง สพช. ได้จัดให้มีการสัมมนาโครงการทางเดียวกันไปด้วยกัน (Car Pool) เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2543 เพื่อรับทราบแง่คิด มุมมอง และข้อเสนอแนะจากนักวิชาการ ผู้นำความคิด และผู้เกี่ยวข้องด้านการจราจร เพื่อนำไปใช้ในการกำหนดแนวทางการบริหารและจัดกิจกรรม Car Pool ในอนาคต ซึ่งผลจากการสัมมนาสรุปได้ว่า กิจกรรม Car Pool จะประสบความสำเร็จได้เมื่อเป็น ส่วนหนึ่งในกิจกรรมที่เป็นภาพรวมของกิจกรรมเพื่อลดมลพิษ การประหยัดพลังงาน และการแก้ไขปัญหาการจราจร ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและต้องดำเนิน การติดต่อกันเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเพียงพอจึงจะเห็นผล
2. การเลือกใช้พลังงานให้เหมาะสม มีความก้าวหน้าในเรื่องของการส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซิน ให้ถูกชนิด โดย สพช. ได้นำเสนอ "โครงการประชาสัมพันธ์รณรงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ออกเทนของเบนซิน ที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์" ต่อคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2543 เพื่อขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ในการดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ และกิจกรรมรณรงค์เพื่อให้มีการใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ จะเริ่มออกสู่สายตาประชาชน ในวันที่ 1 เมษายน 2543 นี้ ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมการเผยแพร่ภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ทางโทรทัศน์ การซื้อเนื้อที่ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ การเผยแพร่สปอตประชาสัมพันธ์ทางวิทยุ และกิจกรรมรณรงค์พิเศษ ได้แก่ การจัดสัมมนาสื่อมวลชน กิจกรรมรณรงค์กับสถานีบริการน้ำมันและศูนย์บริการอิสระ กิจกรรมรณรงค์กับรถจักรยานยนต์ รับจ้าง และกิจกรรมรณรงค์สอบถามข้อมูลทางโทรศัพท์อัตโนมัติ "สายด่วนออกเทน" เป็นต้น
3. การตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ได้ใช้ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะสามารถตรึงราคาต่อไปได้จนถึงเดือนกรกฎาคม 2543 และหากราคาก๊าซฯ ยังคงปรับตัวสูงขึ้น จะใช้มาตรการการปรับหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคา ณ โรงกลั่น/ราคานำเข้า ก่อนดำเนินการปรับเพิ่มราคาขายส่งและราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
4. การเจรจาปรับลดราคา ณ โรงกลั่น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้เจรจาให้โรงกลั่นปรับลดราคาหน้าโรงกลั่นลง 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2543 ทำให้ ปตท. สามารถลดราคาขายปลีกให้กับผู้บริโภคได้ ดังนี้ เบนซิน 95 อัตรา 25 สตางค์/ลิตร , เบนซิน 91 อัตรา 45 สตางค์/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว อัตรา 25 สตางค์/ลิตร
5. มาตรการลดราคาน้ำมัน มีความก้าวหน้าสรุปได้ดังนี้
5.1 กลุ่มเกษตรกร
ปตท. จะลดราคาเบนซินและดีเซลจาก 0.15 บาท/ลิตร ในปัจจุบัน เป็น 0.25 บาท/ลิตร เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2543 - 30 มิถุนายน 2543 เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวและเพาะปลูกใหม่ อีกทั้งต้องการจูงใจให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้น และในเดือนกุมภาพันธ์ 2543 ปตท. ได้มีการจำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่เกษตรกรผ่านสถานีบริการรวม 274 แห่ง คิดเป็นปริมาณ 3.6 ล้านลิตร นอกจากนี้ ปตท. พร้อมที่จะขยายการดำเนินงานให้ครอบคลุมสถานีบริการทั่วประเทศ 1,500 แห่ง
5.2 กลุ่มประมง
คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ( คชก.) ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2543 และได้มีมติอนุมัติให้ปรับอัตราชดเชยการขาดทุนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วตาม โครงการช่วยเหลือลดราคาน้ำมันให้ชาวประมง เฉพาะเรือขนาดเล็กที่มีความยาวต่ำกว่า 18 เมตร โดยให้คำนวณจากส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วตามประกาศของการ ปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 1 ของทุกเดือน เทียบกับราคา ณ วันที่ 7 กันยายน 2541 (ราคาลิตรละ 7.95 บาท) แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินลิตรละ 3.00 บาท โดยใช้เงินจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในวงเงินจ่ายขาดคงเหลือจากที่ ได้รับอนุมัติ และภายในระยะเวลาโครงการฯ ที่อนุมัติไว้เดิม นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2543 ปตท. ได้จำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ชาวประมงผ่านจุดจ่าย 100 แห่ง ให้แก่กลุ่มประมง 80 ราย โดยมีปริมาณการจำหน่ายจำนวน 9 ล้านลิตร
5.3 กลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม
ขณะนี้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมกำลังเร่งสำรวจจำนวนผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ขนาดกลางและย่อมที่อยู่ในข่ายได้รับความช่วยเหลือจาก ปตท. คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2543 ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 100,000 ราย อย่างไรก็ตาม ปตท. จะเริ่มจำหน่ายน้ำมันให้ผู้ประกอบการฯ ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2543 จนถึง 15 มิถุนายน 2543 โดยให้ส่วนลดน้ำมันดีเซล 0.15 บาท/ลิตร และน้ำมันเตา 0.07 บาท/ ลิตร
6. มาตรการปรับเปลี่ยนพลังงาน มีความก้าวหน้าสรุปได้ดังนี้
6.1 ภาคการผลิตไฟฟ้า
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ( กฟผ.) ได้รายงานว่าการจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซ ธรรมชาติสำหรับโรงไฟฟ้าราชบุรี คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2543 นี้ และในระหว่างที่การจัดทำสัญญาฯ ยังไม่แล้วเสร็จ กฟผ. และ ปตท. มีบันทึกข้อตกลงร่วมกันเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2541 เพื่อใช้ประกอบการซื้อขายก๊าซธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ปตท. ได้รายงานว่าการลงนามในสัญญาซื้อขายฯ ดังกล่าว ต้องล่าช้าออกไป เนื่องจากการเจรจายกร่างยังไม่สามารถหาข้อยุติที่เป็นเงื่อนไขสำคัญหลักๆ ได้ ในส่วนความก้าวหน้า ของการก่อสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรีนั้นคาดว่าโรงไฟฟ้าพลังความร้อนเครื่องที่ 1 และ 2 จะสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้า เชิงพาณิชย์ได้ในเดือนมิถุนายน 2543 และพฤศจิกายน 2543 ตามลำดับ สำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันก๊าซที่อยู่ระหว่างก่อสร้างยังคงประสบปัญหา ที่สำคัญ คือ บริษัทผู้ผลิตจะจัดส่งอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าล่าช้ากว่ากำหนด 1 - 3 เดือน ซึ่งจะส่งผลต่อกำหนดการก่อสร้างโรงไฟฟ้า แต่ กฟผ. ก็ได้ เร่งรัดบริษัทผู้ผลิตอย่างต่อเนื่อง
6.2 ภาคอุตสาหกรรม
ปตท. อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการระบบท่อจำหน่ายก๊าซฯ รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล (Bangkok Ring Gas Pipeline Project) รวมทั้ง จัดทำการออกแบบเบื้องต้นทางด้านวิศวกรรม และการประเมินผลสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Initial Environment Evaluation) โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2543 เพื่อขอความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ภายในเดือนมิถุนายน 2543 ส่วนการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environment Impact Assessment) คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2543 และการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2545 และสามารถดำเนินการได้ราวต้นปี 2546
6.3 ภาคคมนาคมขนส่ง
ปตท. อยู่ระหว่างการประสานงานกับ ขสมก. และ กทม. ในการจัดทำข้อเสนอแผนงาน โครงการเพื่อรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และจะพิจารณาให้มีการสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ 6 สถานีแรกในปี 2543 โดย 3 สถานีจะสร้างรองรับรถโดยสารของ ขสมก. และรถ เก็บขยะ กทม. ขณะนี้อยู่ระหว่างหาสถานที่ และอีก 3 สถานีจะสร้างที่ ปตท. สำนักงานใหญ่ , ศูนย์ปฏิบัติการชลบุรี และโรงแยกก๊าซฯ จังหวัดระยอง ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาข้อมูลเพื่อประกอบการจัดจ้าง พร้อมกันนี้ ปตท. ได้จัดทำแผนงานเบื้องต้นในการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ จำนวน 30 สถานี ( รวม 6 สถานีแรก ) ภายในปี 2543 - 2547 เพื่อให้บริการรถโดยสาร ขสมก. รถเก็บขยะ กทม. และรถเอกชนที่จะดัดแปลงเพิ่มในอนาคต
6.4 การทบทวนแผนแม่บทการลงทุนขยายโครงข่ายท่อก๊าซธรรมชาติหลักของ ปตท.
ขณะนี้ ปตท. กำลังจัดทำแผนวิสาหกิจ ปตท. ประจำปี 2544 - 2548 โดยจะขออนุมัติต่อ ที่ประชุมคณะกรรมการ ปตท. ในวันที่ 26 เมษายน 2543 และจะนำเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติโดยเร็ว ที่สุดต่อไป นอกจากนี้ ได้มีการทบทวนแผนแม่บทการลงทุนขยายโครงข่ายท่อก๊าซธรรมชาติหลัก เพื่อรองรับการขยายตัวของความต้องการใช้ก๊าซฯ ในภาคการผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่ง
6.5 การจัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐ
ปตท. ได้ดำเนินการจัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐในปี 2543 เพิ่มขึ้นจากปี 2542 ซึ่งมีปริมาณ 106.3 พันบาร์เรลต่อวัน เพิ่มเป็น 124.3 พันบาร์เรลต่อวัน ในปี 2543 หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2542 ร้อยละ 17 โดยมีแหล่งจากประเทศในกลุ่มยูเออี คูเวต โอมาน อิหร่าน กาตาร์ และมาเลเซีย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 การแก้ไขปัญหาภาคการขนส่งทางถนนเนื่องจากปัญหาราคาน้ำมัน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2543 เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงคมนาคมช่วยเหลือชดเชยค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ ผู้ประกอบการขนส่งที่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้จัดทำแผนปฏิบัติการโครงการช่วยเหลือชดเชยค่าน้ำมัน เชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการขนส่ง เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2543 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้นำเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาในคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติก่อน แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
2. เนื่องจากสภาวะของราคาน้ำมันยังไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจน หากแก้ไขปัญหาโดยการปรับเพิ่มอัตราค่าขนส่งแล้ว เมื่อราคาน้ำมันปรับลดลง การลดอัตราค่าขนส่งอาจดำเนินการได้ยากในทางปฏิบัติ กระทรวงคมนาคม จึงได้เสนอมาตรการชั่วคราวตามแผนปฏิบัติการโครงการช่วยเหลือชดเชยค่าน้ำมัน เชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการขนส่ง โดยรัฐจะรับภาระกึ่งหนึ่งของส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันดีเซลในท้องตลาดกับ ประมาณการราคาน้ำมันดีเซลที่กรมการขนส่งทางบกใช้ในการวิเคราะห์ต้นทุนอัตรา ค่าโดยสาร ซึ่งเท่ากับ 10.82 บาท โดยใช้เงินจากงบกลางจำนวน 500 ล้านบาท
3. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีความเห็นว่าโครงการดังกล่าว จะช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ประกอบการขนส่งและลดผลกระทบที่จะมีต่อประชาชนผู้ใช้ บริการ แต่ควรเป็นมาตรการชั่วคราว โดยควรกำหนดเวลาช่วยเหลือให้ชัดเจนและกำหนดเพดานสูงสุดของราคาน้ำมันดีเซล ที่รัฐจะให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้อัตราค่าขนส่งสามารถปรับขึ้นได้ตามภาวะของราคาน้ำมัน ซึ่งจะทำให้การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในภาคการขนส่งเป็นไปอย่างประหยัดและมี ประสิทธิภาพ
4. สำนักงบประมาณ มีความเห็นว่าโครงการดังกล่าวเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและเฉพาะกลุ่มเป็น การชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งอาจสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบแก่ผู้ประกอบการขนส่งด้านอื่นๆ และส่งผลให้เกิดการสร้างกระแสเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงควรให้ค่าขนส่งขึ้นลงตามกลไกตลาด โดยเสนอให้มีการปรับค่าขนส่งและค่าโดยสารเพิ่มขึ้นในอัตราที่ทำให้ผู้ประกอบ การขนส่งมีรายได้เพิ่มขึ้นเท่ากับจำนวนที่จะได้รับการชดเชยค่าน้ำมันเชื้อ เพลิงจากรัฐบาล แต่หากคณะรัฐมนตรีเห็นว่าจำเป็นต้องดำเนินโครงการฯ ก็ให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ฝ่ายเลขานุการฯได้รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซล การเปรียบเทียบกำไรขาดทุนของผู้ประกอบการขนส่ง และฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สรุปได้ดังนี้
5.1 ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในเดือนมีนาคม ได้ขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดที่ 12.82 บาท/ลิตร และได้อ่อนตัวลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลกมาอยู่ในระดับ 11.87 บาท/ลิตร ณ วันที่ 1 เมษายน 2543 และในเดือนเมษายน ราคาน้ำมันดีเซลมีแนวโน้มจะอ่อนตัวลงอีกตามการอ่อนตัวของราคาน้ำมันดิบและ จากความต้องการที่ลดลงตามฤดูกาล
5.2 ในปี 2541-2542 กระทรวงคมนาคมใช้ฐานราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่ ลิตรละ 10.61 บาท และ 10.72 บาท ตามลำดับ แต่ราคาขายปลีกจริงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า ทำให้ผู้ประกอบการได้ประโยชน์คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,566 ล้านบาท/ปี และ 3,178 ล้านบาท/ปี ตามลำดับ ส่วน ในช่วงต้นปี 2543 ราคาขายปลีกสูงกว่าราคาฐานซึ่งเท่ากับ 10.82 บาท/ลิตร ทำให้ผู้ประกอบการประสบปัญหาขาดทุนคิดเป็นมูลค่าประมาณ 409 ล้านบาท แต่ยังเป็นระดับที่ต่ำกว่าการได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา
5.3 ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2543 อยู่ในระดับ 3,361 ล้านบาท โดยมีรายรับจากน้ำมันชนิดอื่น 129 ล้านบาท/เดือน และรายจ่ายเพื่อชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว 884 ล้านบาท/เดือน ทำให้มีเงินไหลออกจากกองทุนฯ สุทธิ 756 ล้านบาท/เดือน จึงคาดว่ากองทุนฯ จะสามารถตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มได้ประมาณ 4 เดือน
6. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่าการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งควรคำนึงถึงผล ประโยชน์ที่ผู้ประกอบการได้รับในอดีตจากราคาน้ำมันที่ต่ำกว่าราคาฐานในการ คำนวณอัตราค่าโดยสาร โดยควรพิจารณาให้ความช่วยเหลือเมื่อผู้ประกอบการมีปัญหาการขาดทุนนานพอสมควร จนใกล้เคียงกับผลประโยชน์ ที่เคยได้รับ ประกอบกับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในเดือนเมษายน มีแนวโน้มที่จะลดลงไปอีก ดังนั้น น่าจะรอดูแนวโน้มของราคาน้ำมันต่อไปอีกระยะหนึ่งก่อน หากในอนาคตจำเป็นต้องมีมาตรการเพื่อช่วยเหลือการขาดทุนจากราคาน้ำมัน ก็ควรใช้เป็นมาตรการชั่วคราวระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น โดยรัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้เนื่องจากฐานะของกองทุนน้ำมันฯ ในปัจจุบัน ไม่สามารถสนับสนุนได้ แต่อย่างไรก็ตาม หากการขาดทุนจากราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจะเกิดขึ้นเป็นระยะยาว ก็ควรปรับอัตราค่าโดยสารและค่าขนส่งให้ตามความเหมาะสม เพื่อให้สะท้อนถึงต้นทุนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่แท้จริง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้มีการชะลอการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการโครงการช่วยเหลือชดเชย ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการขนส่ง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอออกไปก่อน โดยให้มีการติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วง 1-2 เดือนนี้ หากราคาน้ำมันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นให้นำแผนปฏิบัติการโครงการช่วยเหลือชด เชยค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการขนส่ง กลับมาพิจารณาทบทวนอีกครั้ง
เรื่องที่ 6 การคืนหลักค้ำประกันของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP)
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535 ได้ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ( กฟผ.) ได้ประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (Small Power Producers: SPP) งวดที่ 1 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2535 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ กฟผ. สามารถรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ กากหรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง และการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration อันเป็นการใช้พลังงานนอกรูปแบบและต้นพลังงานพลอยได้ในประเทศให้เกิดประโยชน์ มากยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระทางด้านการลงทุนของรัฐในระบบการผลิตและระบบ จำหน่ายไฟฟ้า
2. ภายหลังการเปลี่ยนแปลงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอย ตัว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 รัฐบาลได้เห็นชอบแนวทางการลดผลกระทบจากระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่องมาตรการการแก้ไขปัญหาของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก ซึ่งประกอบด้วย การแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับ SPP ให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง SPP กับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ( ปตท.) การปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว และการเลื่อนวันเริ่มต้นจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบ (Commercial Operation Date : COD) โดย กฟผ. และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) จะพิจารณาเลื่อนวันเริ่มต้นจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบเป็นรายๆ ไปตามความเหมาะสม
3. อย่างไรก็ตาม ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจได้เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้ผู้ดำเนินโครงการ SPP ประสบกับปัญหาการจัดหาเงินกู้ล่าช้า และลูกค้าตรงของ SPP ไม่สามารถดำเนินโครงการได้ตามกำหนด ทำให้ SPP หลายรายขอเลื่อนวันเริ่มต้นจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบ นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซายังมีผล ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศลดลงอย่างมาก และระดับกำลังการผลิตสำรอง (Reserve Margin) ในปี 2543-2547 คาดว่าจะอยู่ในระดับสูง ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวและเพื่อให้เป็นไปตามมติ คณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้น สพช. และ กฟผ. จึงได้ร่วมกันหารือกับ SPP โดยขอให้โครงการต่างๆ ชี้แจงความคืบหน้าของโครงการ ปัญหาและอุปสรรค ตลอดจนความจำเป็นที่ต้องเลื่อนวันเริ่มต้นจำหน่ายกระแสไฟฟ้า เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาของ SPP ให้สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ และในขณะเดียวกัน กฟผ. ก็สามารถลดภาระการชำระค่าไฟฟ้าให้โครงการ SPP ได้ด้วย
4. ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 มอบหมายให้ กฟผ. และ สพช. ติดตามความคืบหน้าของโครงการ IPP และ SPP อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกำหนดการจ่ายไฟฟ้าตามสัญญา และให้ กฟผ. และ สพช. ร่วมกันพิจารณาเลื่อนวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้เป็นรายๆ ไปตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ที่ประชุมมีข้อสังเกตว่าการผ่อนผันการเลื่อนกำหนดการจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบ ไม่ได้ทำให้รัฐหรือการไฟฟ้าเสียประโยชน์ ดังนั้น กฟผ. จึงไม่ควรคิดค่าปรับจากการที่ IPP และ SPP ไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าให้ กฟผ. ได้ตามกำหนด
5. การดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ตั้งแต่ปี 2535 จนถึงปัจจุบัน กฟผ. ได้รับข้อเสนอขายไฟฟ้า รวมทั้งสิ้น 93 ราย แต่มีบางรายที่ถูกปฏิเสธและบางรายที่ขอถอนข้อเสนอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากค่า เงินบาทลอยตัวเมื่อเดือนกรกฎาคม 2540 ในปัจจุบันมี SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้ารวม 51 ราย โดย กฟผ. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วจำนวน 50 ราย และกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจา 1 ราย หากทุกโครงการแล้วเสร็จและสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ จะมีปริมาณรับซื้อไฟฟ้าทั้งสิ้นสูงถึง 2,133 เมกะวัตต์ และ ณ เดือนมีนาคม 2543 มี SPP 41 ราย ที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟผ. แล้ว ปริมาณเสนอขายไฟฟ้ารวม 1,581 เมกะวัตต์
6. ปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการ SPP ตั้งแต่ปี 2539 คิดเป็นปริมาณรวม 14,891 ล้านหน่วย มูลค่าการรับซื้อไฟฟ้า 24,567 ล้านบาท ราคารับซื้อไฟฟ้าเฉลี่ย 1.27-1.78 บาท/หน่วย ซึ่งหากพิจารณาเปรียบเทียบต้นทุนการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าของ กฟผ. โดยใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงกับการรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มจากผู้ผลิตไฟฟ้า เอกชน พบว่าการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนจะมีต้นทุนต่ำกว่า นอกจากนี้ ในสถานการณ์ ที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน จึงควรมีการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่ใช้ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน เป็นเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น เพื่อลดการใช้น้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลในการผลิตไฟฟ้า
7. ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 มี SPP หลายโครงการที่ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วแต่ยังไม่ได้จำหน่ายไฟฟ้าเข้า ระบบ ขอเลื่อนกำหนดวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบออกไปจากเดิม โดย สพช. และ กฟผ. ได้พิจารณาเลื่อนกำหนดวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบ และเงื่อนไข ในการเริ่มต้นจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบใหม่ จำนวน 4 ราย ได้แก่ บริษัท ธัญญพล จำกัด , บริษัท อัลฟา เพาเวอร์ จำกัด, บริษัท สยามเพาเวอร์ เจนเนเรชั่น จำกัด และ บริษัท ทีแอลพี โคเจนเนอเรชั่น จำกัด นอกจากนี้ มีโครงการ SPP ที่ขอยกเลิกโครงการและขอคืนหลักค้ำประกัน จำนวน 3 ราย คือ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด , บริษัท ปัญจพลไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์ จำกัด และบริษัท ปัญจพล พัลพ์ อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน )
8. กฟผ. ได้เสนอว่าในการพิจารณาเลื่อนกำหนดวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้นั้น ควรให้ครอบคลุมถึงการยกเลิกโครงการของ SPP ด้วย ซึ่งการให้ SPP เลื่อนหรือยกเลิกโครงการในช่วงนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศลดลงอย่างมากและปริมาณพลังไฟฟ้าสำรอง (Reserve Margin) อยู่ในระดับสูง และเพื่อให้การยกเลิกโครงการของ SPP ดังกล่าวมี ความเป็นไปได้ จึงเห็นควรคืนหนังสือค้ำประกันฯ ให้กับ SPP ที่ยกเลิกโครงการด้วย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 เป็นต้นมา
มติของที่ประชุม
1.มอบหมายให้ สพช. และ กฟผ. ร่วมกันพิจารณาเลื่อนกำหนดวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้เป็นรายๆ ไปตามความเหมาะสม โดยครอบคลุมถึงการเลื่อนกำหนดวันลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และการยกเลิกโครงการของ SPP ด้วย
2.ให้ กฟผ. คืนหลักค้ำประกันให้กับ SPP ที่ยกเลิกโครงการ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้มีมติเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2538 อนุมัติแผนปฏิบัติการโครงการอาคารของรัฐ ( ปีงบประมาณ 2539-2542) ตามที่กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) เสนอ โดยในช่วงปีงบประมาณ 2539-2541 พพ. ได้ดำเนินการปรับปรุงอุปกรณ์ประหยัดพลังงานในอาคารของรัฐแล้วเสร็จ จำนวน 413 แห่ง การดำเนินการส่วนใหญ่ประกอบด้วย 5 มาตรการหลัก คือ การใช้เครื่องปรับอากาศประสิทธิภาพสูง การใช้เทอร์โมสตัทชนิดอิเลคทรอนิคส์ การใช้หลอดชนิดประหยัดพลังงาน การใช้โคม ไฟฟ้าชนิดสะท้อนแสง และการใช้บัลลาสต์อิเลคทรอนิคส์
2. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ( สพช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกองทุนฯ ได้รับมอบหมายให้ติดตามประเมินผลการอนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ ระยะที่ 1 ของปีงบประมาณ 2539-2540 ซึ่งจากการประเมินผลพบว่าอาคารของรัฐที่ได้รับการเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศ ให้ใหม่เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานของอาคารไปแล้วนั้น มีหลายแห่งที่ได้นำเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกแล้วนำกลับมาใช้งานอีก ซึ่งจะทำให้การลงทุนในการเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศทั้งหมดไม่ได้ผลในการ ประหยัดพลังงานตามเป้าหมายที่วางไว้ ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมาตรการในการห้ามไม่ให้นำเครื่องปรับอากาศที่ ถูกถอดทิ้งแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ และหากจะมีการทำลายเครื่องปรับอากาศที่ถูกถอดออกนั้น ก็ควรคำนึงถึงวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมด้วย โดย พพ. อาจให้มหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาเป็นผู้รับไปดำเนินการให้ถูกต้องตาม หลักวิชาการ
3. ต่อมา คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ปีงบประมาณ 2543-2547 โดยในส่วนของโครงการอาคารของรัฐได้กำหนดให้ พพ. ปรับแผนของโครงการฯ ตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ในเรื่องการห้ามไม่ให้นำเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกแล้วนำกลับมาใช้ ใหม่ในอาคารของรัฐด้วย ซึ่ง พพ. ได้จัดทำมาตรการป้องกันการนำเอาเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกกลับมาใช้ อีก นำเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แล้ว เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2543
4. คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้มีมติเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2543 เห็นชอบให้ พพ. เร่งดำเนินการศึกษาวิธีการทำลายเครื่องปรับอากาศโดยไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวด ล้อม และระหว่างที่ รอผลการศึกษานั้น ให้ สพช. เสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในการห้ามมิให้หน่วยงานที่เข้าร่วม โครงการอาคารของรัฐที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานโดยการใช้มาตรการการปรับ ปรุงเครื่องปรับอากาศนำเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกแล้วกลับมาใช้อีก โดยให้ พพ. เพิ่มข้อความในบันทึกข้อตกลงเพื่อให้ส่วนราชการเจ้าของอาคารยินยอมให้แยกตัว คอมเพรสเซอร์ออกจากชุดระบายความร้อน และเก็บไว้เพื่อรอการทำลายหรือจัดการตามแนวทางที่ได้รับจากผลการศึกษาต่อไป
5. นอกจากนี้ ในเรื่องการบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศซึ่งจะมีผลต่อประสิทธิภาพการใช้ เครื่องปรับอากาศเป็นอย่างมาก แต่ในปัจจุบันงบประมาณสำหรับค่าบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศของหน่วย งานราชการมักจะถูกตัดงบประมาณรายจ่ายอยู่เสมอ คณะกรรมการกองทุนฯ จึงได้มีมติเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2541 เห็นชอบในแนวทางการบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศของส่วนราชการและงบประมาณค่า ใช้จ่ายในการบำรุงรักษาตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐได้ เสนอ โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา เครื่องปรับอากาศที่แต่ละหน่วยงานของรัฐเสนอมา และให้หน่วยงานของรัฐแต่ละแห่งแยกรายการค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่อง ปรับอากาศออกเป็นรายการหนึ่งต่างหากจากหมวดค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ พร้อมทั้งระบุด้วยว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวนั้นเป็นรายการห้ามโอนย้าย และให้ สพช. นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ทั้งนี้ สพช. ได้มีการประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาในเรื่องดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2542 และขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาจากสำนักงบประมาณ
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน เร่งดำเนินการศึกษาวิธีการทำลายเครื่องปรับอากาศเก่าโดยไม่ให้เกิดผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อม และให้ทราบผลภายในเดือนกันยายน พ.ศ. 2543
2.เห็นชอบให้หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจที่เข้าร่วมโครงการอาคารของรัฐ ที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานโดยการใช้มาตรการการปรับปรุงเครื่องปรับ อากาศ ห้ามนำเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกแล้วกลับมาใช้อีก โดยให้แยกตัวคอมเพรสเซอร์ออกจากชุดระบายความร้อนและเก็บไว้เพื่อรอการทำลาย หรือจัดการตามแนวทางที่ได้รับจากผลการศึกษาของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ต่อไป
3.มอบหมายให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ประสานงานกับสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ในเรื่องการไม่ให้หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจที่เข้าร่วมโครงการอาคารของ รัฐที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานโดยการใช้มาตรการการปรับปรุงเครื่องปรับ อากาศ โอนเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกไปให้ส่วนราชการอื่นที่ยังขาดแคลนและมี ความจำเป็นต้องใช้เครื่องปรับอากาศ
4.มอบหมายให้สำนักงบประมาณรับไปติดตามการพิจารณาอนุมัติงบประมาณค่าใช้ จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศที่แต่ละหน่วยงานของรัฐเสนอมา โดยให้หน่วยงานแต่ละแห่งแยกรายการค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องปรับ อากาศออกเป็นรายการหนึ่งต่างหากจากหมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ พร้อมทั้งให้ระบุว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นรายการห้ามโอนย้าย
- กพช. ครั้งที่ 74 - วันพุธที่ 5 เมษายน 2543 (1298 Downloads)