คณะกรรมการและอนุกรรมการ (2532)
Children categories
กพช. ครั้งที่ 60 - วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2539
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 6/2539 (ครั้งที่ 60)
วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2539 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
2.แผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
3.ข้อเสนอปรับปรุงอัตราการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิง
4.การประกวดราคาน้ำมันเตาของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
5.แนวทางในการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก
7.เรื่องการเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP)
นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ในปีงบประมาณ 2539 คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ได้มีมติอนุมัติค่าใช้จ่ายให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ไปแล้ว เป็นจำนวนทั้งสิ้น 145,818,253.28 บาท และสำหรับในปีงบประมาณ 2540 คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานในการประชุมครั้งที่ 4/2539 (ครั้งที่ 21) เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2539 ได้พิจารณาแผนการใช้เงินในปี 2540 ของหน่วยงานต่าง ๆ และได้มีมติอนุมัติ ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในปี 2540 เท่าที่เห็นว่าจำเป็นและจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานยิ่งขึ้น เป็นจำนวน ทั้งสิ้น 180,018,189.22 บาท ดังนี้
กองทัพเรือ 66,834,660.48 บาท
กรมศุลกากร 2,000,000.00 บาท
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง 94,924,237.00 บาท
กรมสรรพสามิต 7,361,080.00 บาท
สพช. 8,898,211.74 บาท
รวมทั้งสิ้น 180,018,189.22 บาท
ค่าใช้จ่ายดังกล่าวยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการติดตั้งมิเตอร์เพิ่มเติมใน คลังน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและคลังน้ำมันเบนซินชายฝั่งรวม 57 คลัง ของกรมสรรพสามิต และค่าใช้จ่ายของกรมทะเบียนการค้าซึ่งยังมีค่าใช้จ่าย บางส่วนไม่ชัดเจนและมีความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงานกับหน่วยงานอื่น ส่วนการจัดซื้อเรือตรวจการณ์ ทางทะเลของกรมศุลกากร จำนวน 2 ลำ ขนาดความยาวไม่น้อยกว่า 80 ฟุต ความเร็วสูงสุดไม่น้อยกว่า 32 น็อต และมีความเร็วสูงสุดต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 30 น็อต สร้างด้วยอลูมิเนียมอัลลอยด์ ราคาลำละ 53 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 106,000,000 บาท เพื่อทดแทนเรือเก่าซึ่งกรมศุลกากรได้ขอใช้งบประมาณในปี 2540 แล้ว แต่ได้ถูกพิจารณาตัดงบประมาณ คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การจัดซื้อครุภัณฑ์ทดแทนครุภัณฑ์เดิมที่กำลังจะหมดอายุการใช้งานนั้น สามารถขอรับการสนับสนุนจากสำนักงบประมาณให้จัดหา ค่าใช้จ่ายสนับสนุนให้ได้ และเห็นควรให้กรมศุลกากรเสนอแผนขอใช้เงินดังกล่าวอีกครั้งในปีงบประมาณ 2541 โดยขอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ มอบหมายให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดหางบประมาณ ในปี 2541 ให้แก่กรมศุลกากรเพื่อจัดซื้อเรือดังกล่าว
2. ผลการจับกุม ตั้งแต่เดือนมกราคม 2539-5 ตุลาคม 2539 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถจับกุมน้ำมันลักลอบหนีภาษีได้เป็นจำนวน 6.9 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 4.2 ล้านลิตร หรือประมาณ 2.6 เท่าของปีก่อน และในช่วงตั้งแต่วันที่8 สิงหาคม 2539-5 ตุลาคม 2539 สามารถจับกุมน้ำมันลักลอบนำเข้าได้ทั้งหมดเป็นจำนวน 736,780 ลิตร โดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางสามารถจับกุมเรือบรรทุกน้ำมัน 3 ลำ คือ สามารถจับกุมเรือ "โมลีวิเชียร" ที่บริเวณจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีปริมาณน้ำมันดีเซล 30,000 ลิตร เรือประมงไม่มีชื่อ ที่บริเวณจังหวัดภูเก็ตมีปริมาณน้ำมันดีเซล 4,000 ลิตร และเรือบรรทุกน้ำมันชื่อ "โกโตมารู" ที่บริเวณจังหวัดภูเก็ต มีปริมาณน้ำมันดีเซล 600,000 ลิตร นอกจากนั้นยังสามารถจับกุมรถบรรทุกน้ำมันได้จำนวน 9 คัน มีปริมาณน้ำมันดีเซล 44,560 ลิตร และร้านค้า สถานีบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน 25 ราย มีปริมาณน้ำมันดีเซลทั้งสิ้นจำนวน 58,220 ลิตร ซึ่งสรุปผลการจับกุมได้ดังนี้
ผลการจับกุมผู้กระทำผิดคดีลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
เปรียบเทียบเดือนมกราคม -5 ตุลาคม2539 กับช่วงเดียวกันของปีก่อน
หน่วยงานที่จับกุม | จำนวนคดี | ปริมาณน้ำมัน (ลิตร) | + เพิ่ม | ||
2538 | 2539 | 2538 | 2539 | - ลด | |
- กองทัพเรือ | 8 | 8 | 613,636 | 790,000 | 176,364 |
- กรมศุลกากร | 5 | 6 | 990,046 | 2,229,324 | 1,239,278 |
- กรมตำรวจ | 67 | 126 | 1,106,462 | 3,975,507 | 2,869,045 |
รวม | 80 | 140 | 2,710,144 | 6,994,831 | 4,284,687 |
3. ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซล ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลทั้งหมดในเดือนสิงหาคม 2539 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,528 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อน และเมื่อไม่รวมการใช้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยแล้วจะมีปริมาณทั้ง สิ้น 1,403 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากเดือนเดียวกันของปีก่อน อัตราเพิ่มขึ้นของการจำหน่ายดังกล่าวนี้สูงกว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ปกติของประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นส่วนของน้ำมันลักลอบนำเข้าได้เข้าสู่ระบบมากขึ้น
มติของที่ประชุม
1.รับทราบรายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
2.ให้กรมศุลกากรเสนอขอใช้เงินงบประมาณปี 2541 จัดซื้อเรือตรวจการณ์ทางทะเลเพื่อใช้ทดแทน เรือเดิมที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 14-20 ปี จำนวน 2 ลำ ขนาดความยาวไม่น้อยกว่า 80 ฟุต ความเร็วสูงสุด ไม่น้อยกว่า 32 น็อต และมีความเร็วสูงสุดต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 30 น็อต สร้างด้วยอลูมิเนียมอัลลอยด์ ราคาลำละ 53 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 106,000,000 บาท (หนึ่งร้อยหกล้านบาทถ้วน)
3.ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดหางบประมาณให้แก่กรมศุลกากร เพื่อจัดซื้อเรือตามข้อ 2 ในปี งบประมาณ 2541 ด้วย
เรื่องที่ 2 แผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ให้ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จัดทำแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติระยะยาวและแผนการ ลงทุนระยะยาวของระบบท่อก๊าซฯ เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เพื่อพิจารณาอนุมัติ โดยแผนการลงทุนและแผนการจัดหาก๊าซฯ ดังกล่าว สมควรมีการปรับปรุงทุกระยะตามความเหมาะสม และให้ ปตท. รายงานผลการดำเนินงานตามแผนการจัดหาก๊าซฯ และแผนการลงทุนต่อสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.)และ กพช. เพื่อทราบทุกปี โดยเมื่อ ปตท. ได้ดำเนินการเจรจาราคาและสัญญาซื้อขายก๊าซฯ จากแหล่งใดจนมีข้อยุติแล้ว ให้นำเสนอ สพช. เพื่อนำเสนอ กพช. อนุมัติต่อไป
2. กระทรวงอุตสาหกรรม ได้เสนอขออนุมัติแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (Pipeline Master Plan) ฉบับที่ 1 ปี พ.ศ. 2540-2548 ของ ปตท. เพื่อให้ สพช. พิจารณานำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา อนุมัติในหลักการ โดยมีสาระสำคัญดังนี้
2.1 ผลการศึกษาเพื่อจัดทำแผนแม่บทระบบท่อ สรุปได้ดังนี้
(1) การศึกษาเปรียบเทียบความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติและแหล่งก๊าซธรรมชาติ ที่จะส่งให้ ปตท. ในปี 2543 พบว่า
ระบบท่อในทะเลไม่เพียงพอในการส่งก๊าซธรรมชาติ
จะต้องมีท่อส่งก๊าซธรรมชาติเชื่อมต่อจากราชบุรีไปวังน้อย
จะต้องมีท่อในทะเลจากชายแดนไทย-มาเลเซีย เพื่อที่จะรับก๊าซฯ จากแหล่งไพลิน และ JDA หรือ NATUNA เข้ามาเชื่อมต่อกับระบบท่อในทะเลปัจจุบัน
(2) การศึกษาทางเลือกในการต่อท่อ พบว่าการต่อท่อจากแหล่งเอราวัณ ของ UNOCAL มาเชื่อมกับท่อบนบกที่มีอยู่ในปัจจุบันจะมี 3 แนวทาง โดยแนวทางเลือก A คือ ต่อท่อจากเอราวัณตรงไปยังระบบท่อที่โรงไฟฟ้าราชบุรี ขึ้นบกที่สมุทรสงครามแล้วไปเชื่อมต่อท่อพม่าที่ราชบุรี จะเป็นแนวทางที่ดีที่สุด เพราะทำให้ระบบการจัดจ่ายก๊าซธรรมชาติมีความคล่องตัวและมั่นคง อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการน้อยที่สุด
(3) แผนแม่บทระบบท่อได้กำหนดแนวท่อเผื่อเลือกไว้ในกรณีที่ความต้องการก๊าซ ธรรมชาติ มีเพิ่มขึ้นจากการประมาณการตามข้อสมมติฐานข้างต้น ดังนี้
ต่อท่อในทะเลจากแหล่งไพลิน ไปยังจังหวัดสงขลา และเชื่อมต่อไปยังชายแดนประเทศมาเลเซีย เพื่อสนองความต้องการบริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมเศรษฐกิจ
ต่อท่อจากขนอมไปยังโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี และโรงไฟฟ้ากระบี่
ต่อท่อเชื่อมในทะเลไปยังบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ต่อท่อเชื่อมจากทะเลไปยังแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี และมาบข่า จังหวัดระยอง
2.2 แผนการลงทุนตามแผนงานโครงการหลัก และโครงการแนวท่อเผื่อเลือก ในช่วงปี 2540-2548 มีวงเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ 78,052 ล้านบาท ซึ่งผลตอบแทนการลงทุนตามโครงการต่างๆ โดยรวมในเบื้องต้น มีความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการลงทุน กล่าวคือ โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากแหล่งพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (JDA)-ราชบุรี และโครงการท่อส่งก๊าซฯ จากราชบุรี-วังน้อย มีผลตอบแทนการลงทุน ร้อยละ 17 และ ร้อยละ 13 โดยมีระยะเวลาคืนทุน 16 และ 24 ปี ตามลำดับ ซึ่งจากการวิเคราะห์สถานะการเงินโดยการประมาณการผลกำไร งบดุล และกระแสเงินสด ตามการลงทุนตามแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติแล้ว พบว่า ปตท. มีสภาพคล่องทางการเงินสามารถลงทุนตามแผนแม่บทได้ โดยไม่กระทบกระเทือนต่อกระแส เงินสดหมุนเวียนและผลกำไรในระยะยาว
3. สพช. พร้อมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอันได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ ปตท. ได้ร่วมกันพิจารณาแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (Pipeline Master Plan) ฉบับที่ 1 ปี พ.ศ. 2540-2548 แล้ว มีความเห็นดังนี้
3.1 การจัดทำแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติของ ปตท. จะต้องมีรายงานผลการติดตาม ตรวจสอบการดำเนินงานให้ทราบทุกระยะ โดยเฉพาะในส่วนของโครงการตามแนวท่อเผื่อเลือก หรือ เมื่อโครงการบางโครงการไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผนที่กำหนด ปตท. จะต้องทบทวนและปรับปรุงแผนแม่บททันทีในลักษณะ Rolling Plan
3.2 ควรให้ ปตท. นำโครงการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วบรรจุไว้ในแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซ ธรรมชาติดังกล่าวด้วย
3.3 ควรให้ กฟผ. พิจารณาปรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนสุราษฎร์ธานี ที่ได้รับอนุมัติให้บรรจุในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง ประเทศไทย (กฟผ.) แล้ว เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมสุราษฎร์ธานี เพื่อใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง
3.4 ในการวางแผนระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงไฟฟ้า ปตท. ควรพิจารณาถึงเงื่อนไขการปฏิบัติการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า ทั้งนี้เพื่อให้ระบบท่อก๊าซธรรมชาติมีความสามารถรองรับความต้องการก๊าซ ธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงตามเงื่อนไขการปฏิบัติการผลิตไฟฟ้าของแต่ละโรงไฟฟ้า ดังกล่าวได้
3.5 เนื่องจากแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยบางแหล่งมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สูง ดังนั้นในการปรับแผนแม่บทครั้งต่อไปควรมีการระบุแนวทางในการใช้ประโยชน์ก๊าซ ธรรมชาติที่มีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงให้ชัดเจน โดยให้ ปตท. ทำการศึกษาว่าสมควรจะแยกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากก๊าซธรรมชาติก่อนที่จะ ดำเนินการส่งก๊าซฯลงท่อ หรือควรมีท่อเฉพาะสำหรับก๊าซธรรมชาติที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูง
3.6 ตามมติคณะรัฐมนตรีได้กำหนดให้ ปตท. จัดทำแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติระยะยาวและ แผนการลงทุนระยะยาวของระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาตินั้น เห็นควรให้ ปตท. จัดทำแผนปฏิบัติการในการจัดหาก๊าซธรรมชาติระยะยาวที่สอดคล้องกับแผนแม่บทฯ ดังกล่าว เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
3.7 เพื่อให้การปฏิบัติงานมีความรวดเร็วและคล่องตัว เมื่อคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการแผนแม่บทฯ แล้ว เห็นควรให้คณะรัฐมนตรีมอบอำนาจให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ เป็นผู้อนุมัติรายละเอียดในแต่ละโครงการย่อยๆ ของแผนแม่บทฯ ดังกล่าว เช่นเดียวกับวิธีการอนุมัติโครงการลงทุนของ กฟผ. และ กฟภ.
3.8 โครงการท่อก๊าซธรรมชาติราชบุรี-วังน้อย และโครงการเอราวัณ-ราชบุรี ในช่วงสมุทรสงคราม-ราชบุรี เป็นโครงการเร่งด่วน ซึ่งต้องใช้เขตทางหลวง จึงควรขอการสนับสนุนจากกรมทางหลวงด้วย
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ฉบับที่ 1 ในช่วงปี พ.ศ. 2540-2548 ตามที่ ปตท. เสนอโดยให้คำนึงถึงความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในข้อ 3 เพื่อใช้เป็นกรอบในการลงทุนทางด้านการ ก่อสร้างระบบท่อและอุปกรณ์ต่างๆ โดยมีโครงการที่จะอนุมัติในช่วงปี 2540-2548 จำนวน 12 โครงการ วงเงินลงทุนทั้งสิ้น 78,052 ล้านบาท
2.ให้ใช้แผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติตามข้อ 1 เป็นกรอบของการพิจารณาในรายละเอียดของโครงการในช่วงปี พ.ศ. 2540-2548 โดยไม่ต้องเสนอขออนุมัติในระดับนโยบายอีก ยกเว้นโครงการที่มีประเด็นนโยบายพิเศษ โดยมีโครงการที่จะขออนุมัติดำเนินการในช่วง พ.ศ. 2540-2548 ดังนี้คือ
โครงการ | ขีดความสามารถ ในการส่ง (ล้าน ลบฟ./วัน) | กำหนดแล้วเสร็จ |
โครงการหลัก | ||
1. โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ จากแหล่งไพลิน | 2,000 | 2541 |
2. โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ จากแหล่งพื้นที่ พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (JDA) ไปยังแหล่งเอราวัณ | 2,000 | 2542 |
3. โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ จากแหล่งเอราวัณ ไปยังจังหวัดราชบุรี | 2,000 | 2543 |
4. โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ จากจังหวัดราชบุรี ไปอำเภอวังน้อย พระนครศรีอยุธยา | 700 | 2542 |
5. โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ จากแหล่งเบญจมาศ เชื่อมท่อส่งก๊าซธรรมชาติ จากแหล่งทานตะวัน | 300 | 2543 |
6. โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ จากท่อราชบุรี-วังน้อย ไปยังโรงจักรพระนครใต้ | 700 | 2548 |
โครงการตามแนวท่อเผื่อเลือก | ||
1. โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ จากแหล่งเอราวัณ - ราชบุรี ไปอำเภอบางสะพาน ประจวบคีรีขันธ์ | 200 | 2545 |
2. โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ จากแหล่งไพลิน ไปยังจังหวัดสงขลา | 400 | 2548 |
3. โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ จากชายแดนไทย - มาเลเซีย(จังหวัดยะลา)ไปยังจังหวัดสงขลา | 675 | 2548 |
4. โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ จากท่อเอราวัณ - ราชบุรี ไปยัง แหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี | 200 | 2545 |
5. โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ จากแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ไปยัง อำเภอมาบข่า จังหวัดระยอง | 200 | 2546 |
6. โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ จากโรงแยกก๊าซขนอม ไปยังโรงไฟฟ้าที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และกระบี่ | 150 | 2544 |
3.ให้มีขั้นตอนการนำเสนอ และขออนุมัติโครงการ ดังนี้
(1) ให้ ปตท. เสนอรายละเอียดของโครงการแต่ละโครงการที่จะดำเนินการในช่วงปี 2540-2548 ดังกล่าวข้างต้น ต่อ สศช. โดยให้ สศช. รับพิจารณาเฉพาะโครงการที่อยู่ในแผนแม่บทตามข้อ 1 เท่านั้น
(2) ให้ ปตท. จัดทำและเสนอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพื่อขอความเห็นชอบไปยังสำนักงาน นโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม (สผ.) ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
(3) ให้ สผ. เสนอความเห็นต่อ สศช.
(4) ให้ สศช. พิจารณาอนุมัติโครงการ โดยคำนึงถึงความเห็นของ สผ.
(5) หากไม่มีประเด็นนโยบายที่สำคัญและเป็นโครงการที่กำหนดให้ ปตท. เป็นผู้ดำเนินการเอง โดยให้ สศช. นำเสนอกระทรวงการคลังเพื่อดำเนินการจัดหาเงินกู้ต่อไป และนำเสนอคณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อทราบ
(6) หากเป็นโครงการที่มีประเด็นนโยบายที่สำคัญให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา โดยผ่านคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
4.ในกรณีที่เป็นโครงการที่ไม่ได้บรรจุอยู่ในแผนแม่บทตามข้อ 1 หรือเป็นโครงการเร่งด่วน เห็นควรให้ ปตท. นำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อบรรจุไว้ในแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติของการปิโตรเลียมแห่งประเทศ ไทย ต่อไป
5.ให้ ปตท. ได้รับการสนับสนุนจากกรมทางหลวงในการใช้เขตทางหลวง เพื่อวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติสำหรับโครงการก่อสร้างท่อที่มีความจำเป็นเร่ง ด่วน คือ โครงการราชบุรี-วังน้อย และโครงการเอราวัณ (ERP2)-ราชบุรี ช่วงสมุทรสงคราม-ราชบุรี เพื่อให้โครงการดังกล่าวแล้วเสร็จทันตามเป้าหมายในการสนองความต้องการใช้ ก๊าซธรรมชาติของประเทศ
เรื่องที่ 3 ข้อเสนอปรับปรุงอัตราการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2536 อนุมัติให้เพิ่มอัตราสำรองของน้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล และน้ำมันเตาในส่วนที่นำเข้าจากต่างประเทศจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 10 ของปริมาณน้ำมันที่นำเข้า โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2540 เป็นต้นไป ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับน้ำมัน ที่กลั่นในประเทศซึ่งต้องสำรองในรูปน้ำมันดิบร้อยละ 5 และน้ำมันสำเร็จรูปร้อยละ 5 รวมเป็นร้อยละ 10 ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2536) เรื่อง กำหนดชนิดและอัตราของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องสำรอง ลงวันที่ 2 กันยายน 2536 เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแล้ว
2. ต่อมาในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2539 ได้มีการพิจารณาข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์ที่ให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีในเรื่อง อัตราการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งกำหนดให้เพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันสำเร็จรูปที่นำเข้าจากอัตราร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 10 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2540 โดยกระทรวงพาณิชย์เห็นควรให้คงการสำรองน้ำมันสำเร็จรูปที่นำเข้าในอัตราร้อย ละ 5 ต่อไป คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วมีมติให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รับไปพิจารณาและนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาต่อไป
3. เหตุผลในการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีใหม่ เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์เห็นว่าการเพิ่มอัตราสำรองดังกล่าวจะส่งผลกระทบทั้ง ด้านเศรษฐกิจและนโยบายการค้าของรัฐ ดังนี้
3.1 ผลกระทบด้านเศรษฐกิจและการลงทุน เนื่องจากผู้ค้าน้ำมันต้องมีภาระต้นทุนในการเก็บรักษาและจัดสร้างถังเก็บ น้ำมันที่ต้องสำรองเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งในที่สุดภาระดังกล่าวจะถูกผลักไปยังประชาชนผู้บริโภค และทำให้สินค้ามีราคาเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นปัจจัยหลักที่ใช้ในกิจการอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และเกษตรกรรม รวมทั้งการขนส่ง นอกจากนี้ จากการประมาณการการใช้ และการผลิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็วภายในประเทศปี พ.ศ. 2540 กระทรวงพาณิชย์คาดว่า ประเทศไทยยังมีความจำเป็นต้องนำเข้าน้ำมันประมาณ 4,804 ล้านลิตร และแนวโน้มการนำเข้าในปี พ.ศ. 2541-2545 จะมีปริมาณรวมถึง 72,362 ล้านลิตร ดังนั้น ภาระต้นทุนสำรองของผู้ค้าน้ำมันจึงสูงขึ้น โดยเฉลี่ย 47 สตางค์/ลิตร คิดเป็นเงินทุนตั้งแต่ปี 2541-2545 ประมาณ 34,010 ล้านบาท ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม
3.2 ผลกระทบต่อนโยบายการค้าของรัฐ การกำหนดอัตราสำรองการนำเข้าเพิ่มขึ้นย่อมทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม เนื่องจากผู้ค้าน้ำมันรายย่อยจะต้องนำเข้าทั้งหมดและจะเสียเปรียบในเชิงการ แข่งขันด้านการตลาด เนื่องจากจะมีต้นทุนสูงจากภาษีอากรขาเข้าและรับภาระในการสำรองที่เพิ่มขึ้น แต่ผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่สามารถเก็บน้ำมันสำรองในโรงกลั่นได้ โดยยังไม่เสียภาษีสรรพสามิตและอากรขาเข้า จึงอาจทำให้ผู้ค้าน้ำมัน รายย่อยไม่สามารถดำเนินกิจการค้าน้ำมันต่อไปได้และต้องเลิกกิจการไป ซึ่งมีผลทำให้กลุ่มผู้ค้าน้ำมันที่เหลือสามารถร่วมกันกำหนดราคาน้ำมันเชื้อ เพลิงได้
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์เห็นว่า อัตราสำรองควรอยู่ในระดับร้อยละ 5 เท่านั้น เนื่องจากแต่เดิม ได้มีการกำหนดอัตราสำรองไว้เพียงร้อยละ 3 และได้มีการเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 5 เพราะสถานการณ์ การสู้รบระหว่างคูเวตกับอิรัค ประกอบกับปัจจุบันประเทศไทยสามารถจัดหาน้ำมันสำเร็จรูปจากประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ได้ในเวลา 1-3 วัน และบรูไน 7 วัน
4. สพช. ได้พิจารณาความเห็นและข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์แล้ว มีความเห็น ดังนี้
4.1 ความเท่าเทียมกันในการแข่งขันทำการค้า ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้เพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันสำเร็จรูปที่นำเข้าจาก อัตราร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 10 มีจุดมุ่งหมายที่จะแก้ไขปัญหาความเสียเปรียบของผู้กลั่นน้ำมันในประเทศต่อ ผู้นำเข้า เพื่อให้สามารถแข่งขันกันจำหน่ายน้ำมันบนพื้นฐานที่เท่าเทียมกันในระบบราคา น้ำมันลอยตัว เพราะน้ำมันที่ผลิตในประเทศต้องสำรองในอัตราร้อยละ 10 ในขณะที่น้ำมันที่นำเข้าสำรองในอัตราเพียงร้อยละ 5 ทำให้น้ำมันที่ผลิตในประเทศมีต้นทุนการสำรองสูงกว่าน้ำมันที่นำเข้า 5 สตางค์/ลิตร ซึ่งในเรื่องนี้ผู้นำเข้าได้ทราบถึงการเพิ่มอัตราสำรองล่วงหน้ามา 3 ปีแล้ว จากประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2536) เรื่อง กำหนดชนิดและอัตราของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องสำรอง ลงวันที่ 2 กันยายน 2536 แต่สาเหตุที่ให้เริ่มบังคับใช้การเพิ่มสำรองในส่วนผู้นำเข้าในปี 2540 ก็เพื่อลดผลกระทบต่อผู้นำเข้า โดยให้มีเวลาเตรียมการในการจัดหาและก่อสร้างสถานที่จัดเก็บน้ำมันสำรองเพิ่ม ขึ้น และเพื่อให้โรงกลั่นน้ำมันของเชลล์และคาลเท็กซ์ ก่อสร้างเสร็จ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปน้อยมาก
4.2 ความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ การที่รัฐกำหนดให้มีการสำรองน้ำมันดิบร้อยละ 5 และน้ำมันสำเร็จรูปร้อยละ 5 ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันที่ผลิตในประเทศหรือนำเข้า ก็เพื่อที่จะให้มีการสำรองโดยรวมร้อยละ 10 ซึ่งเพียงพอใช้ได้ในระดับความต้องการปกติ 36 วัน และเตรียมไว้เป็นมาตรการป้องกันการขาดแคลนน้ำมัน หากประเทศไทยไม่สามารถนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศได้ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอุตสาหกรรมที่ไม่มีแหล่งน้ำมันดิบในประเทศ จะมีระดับการสำรองประมาณ 90 วัน จึงนับว่า การสำรองน้ำมันของไทยซึ่งไม่มีแหล่งพลังงานภายในประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น แม้ประเทศไทยจะยังไม่สามารถมีปริมาณน้ำมันสำรองในระดับดังกล่าวได้ แต่ก็ควรคงระดับการสำรองในปัจจุบันไว้ก่อน โดยไม่ควรมีการปรับอัตราสำรองให้ลดลง
ส่วนการจัดหาน้ำมันจากประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงโดยสามารถนำเข้าได้ใน ระยะเวลาอันสั้น ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้ประเทศไทยลดสำรองลงได้ เพราะการจัดซื้อดังกล่าวไม่ใช่หลักประกันว่าหากเกิดวิกฤตการณ์น้ำมันขาดแคลน ขึ้น ประเทศดังกล่าวจะยังคงจำหน่ายน้ำมันให้กับประเทศไทยตามปกติ และในสภาพการณ์เช่นนั้น หากประเทศไทยจะหันไปเพิ่มปริมาณน้ำมันสำรองของตนเองก็คงไม่ทันการณ์ เพราะจะจัดซื้อน้ำมันจากต่างประเทศได้ยากมาก
4.3 ผลกระทบต่อราคาสินค้า การเพิ่มอัตราสำรองของน้ำมันดังกล่าวจะไม่มีผลกระทบต่อราคาสินค้า เนื่องจากผู้นำเข้าจะไม่สามารถขึ้นราคาจำหน่ายน้ำมันที่นำเข้า เพราะจะต้องแข่งขันราคาจำหน่ายกับผู้จำหน่ายน้ำมันที่ผลิตในประเทศ ซึ่งสำรองน้ำมันในอัตราร้อยละ 10 อยู่แล้วในปัจจุบัน และปริมาณน้ำมันที่นำเข้าในปี 2540 คาดว่าจะมีสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับน้ำมันที่ผลิตในประเทศ และการที่ผู้นำเข้าไม่สามารถขึ้นราคาน้ำมันนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ผู้นำเข้า เพราะเป็นการลดผลกำไรของผู้นำเข้าส่วนที่สูงกว่าผู้ผลิตในประเทศ เนื่องจากมีภาระการสำรองน้ำมันต่ำกว่าลงมาเท่ากับผู้ผลิตในประเทศเท่านั้น จึงไม่น่าเป็นห่วงว่าจะทำให้ผู้นำเข้าไม่สามารถดำเนินการค้าได้จนต้องเลิก กิจการ
4.4 ต้นทุนการสำรองเพิ่มจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 10 ต้นทุนการเพิ่มอัตราสำรองของน้ำมันนำเข้าจะต่ำกว่าที่กระทรวงพาณิชย์ประมาณ การไว้ โดยต้นทุนสำรองน้ำมันในส่วนที่นำเข้าเพิ่มขึ้นจะอยู่ในระดับประมาณ 7 ถึง 11 สตางค์/ลิตร ประกอบด้วยต้นทุนค่าน้ำมันและค่าจัดหาสถานที่เก็บน้ำมันสำรอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับค่าจัดหาสถานที่เก็บน้ำมันสำรองเพิ่มเติม และหากพิจารณาจากปริมาณความต้องการใช้น้ำมันในประเทศ ในปี 2540 เปรียบเทียบกับปริมาณการผลิตในประเทศจะเห็นได้ว่าน้ำมันเบนซินจะมีปริมาณส่ง ออกสุทธิประมาณ 3,000 ล้านลิตร และน้ำมันดีเซลจะมีปริมาณนำเข้าเล็กน้อยประมาณ 400 ล้านลิตร ส่วนน้ำมันเตาจะมีปริมาณนำเข้าสุทธิประมาณ 2,800 ล้านลิตร
นอกจากนี้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น สพช. ได้หารือเรื่องนี้ในที่ประชุมผู้ค้าน้ำมัน ตามมาตรา 6 เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2539 ผลปรากฏว่า ผู้ค้าน้ำมันที่เคยจัดหาโดยการนำเข้ามีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนมาจัดซื้อใน ประเทศ ถ้าราคาจำหน่ายของผู้ผลิตในประเทศจูงใจให้ซื้อ และผู้ผลิตในประเทศเลือกที่จะปรับราคาจำหน่ายให้สามารถจำหน่ายให้กับผู้นำ เข้ามากกว่าที่จะเลือกการส่งออกหรือลดการผลิต ดังนั้นในปี 2540 จึงเป็นช่วงเวลาปรับตัวของตลาดทั้งด้านผู้ผลิตและผู้นำเข้าไปสู่การลดการนำ เข้า และคาดว่าการนำเข้าในปี 2540 น่าจะลดลงมากเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนๆ
4.5 สพช. จึงเห็นว่าควรปฏิบัติให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ในข้อ 1 แต่อย่างไรก็ตามหลักการสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่ความเท่าเทียมกันในการแข่ง ขันทำการค้าระหว่างผู้ผลิตในประเทศกับผู้นำเข้า การเพิ่มอัตราสำรองของผู้นำเข้าเป็นร้อยละ 10 เป็นเพียงทางหนึ่งในการปรับภาระการสำรองของผู้ผลิตในประเทศและผู้นำเข้าให้ เท่าเทียมกัน ดังนั้น หากเห็นว่าแนวทางนี้ไม่เหมาะสมก็อาจดำเนินการโดยแนวทางอื่นได้ ซึ่งอาจดำเนินการได้ 2 แนวทาง กล่าวคือ
(1) ลดปริมาณสำรองของผู้ผลิตในประเทศจากอัตราร้อยละ 10 เป็นร้อยละ5 แต่แนวทางนี้จะกระทบต่อความมั่นคงของประเทศได้
(2) ลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตในประเทศลงโดยเฉลี่ย 5 สตางค์/ลิตร ซึ่งเป็นแนวทางที่น่าจะเหมาะสมที่สุด
5. สพช. ได้จัดให้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วย กระทรวงพาณิชย์ (กรมทะเบียนการค้า) กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง (กรมสรรพสามิต) และการปิโตรเลียม แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2539 ซึ่งผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้
5.1 ผู้แทนของทุกหน่วยงานเห็นด้วยกับข้อเสนอของ สพช. ที่ควรปฏิบัติต่อผู้ค้าน้ำมันทั้ง ผู้ผลิตในประเทศและผู้นำเข้าให้เท่าเทียมกัน
5.2 การเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันของผู้นำเข้าอีกร้อยละ 5 จะมีผลทำให้ต้นทุนของผู้นำเข้า เพิ่มขึ้นอีกประมาณ7-11 สตางค์/ลิตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับต้นทุนในการจัดหาน้ำมันและถังเก็บน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ซึ่งในข้อนี้ ปตท. ได้เสนอให้ใช้ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 10 สตางค์/ลิตร
5.3 ปริมาณการผลิตน้ำมันเบนซินภายในประเทศในปี 2540 จะอยู่ในระดับ 10,564 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ และจะมีส่วนเหลือที่ต้องส่งออกอีก 2,950 ล้านลิตรต่อปี จึงไม่น่า จะมีการนำเข้าจากต่างประเทศ ยกเว้นในกรณีการนำเข้าทางคลังภาคใต้ โดยเฉพาะที่จังหวัดภูเก็ต อาจจะมีการนำเข้าจากสิงคโปร์ที่ใกล้กว่าแทนการซื้อจากโรงกลั่นภายในประเทศ ได้ ส่วนน้ำมันดีเซลนั้น โดยภาพรวมน่าจะ มีการนำเข้าจากต่างประเทศเพียงเล็กน้อย แต่ยังไม่ชัดเจนว่าในปี 2540 ปริมาณการนำเข้าจะลดลงเพียงใดและ ใช้เวลารวดเร็วแค่ไหน และในส่วนของน้ำมันเตามีความชัดเจนว่าโรงกลั่นภายในประเทศยังไม่สามารถผลิต ได้เพียงพอต่อความต้องการใช้ ดังนั้น ยังคงต้องนำเข้าอีกประมาณ 2,818 ล้านลิตรในปี 2540
5.4 ที่ประชุมได้สรุปข้อเสนอเรื่อง อัตราการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงร่วมกันเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ดังนี้
(1) การสำรองน้ำมันดีเซล เนื่องจากในขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าในปี 2540 เป็นต้นไป ปริมาณการนำเข้าน้ำมันดีเซลจะลดลงหรือไม่เพียงใด ดังนั้น จึงไม่สมควรพิจารณาเพิ่มอัตราสำรองของผู้นำเข้าในระยะนี้ แต่ควรเลื่อนกำหนดเวลาบังคับใช้อัตราสำรองร้อยละ 10 ไปอีก 2 ปี โดยให้มีผลบังคับใช้วันที่1 มกราคม 2542 ทั้งนี้ หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าในช่วงเวลาที่เลื่อนไปดังกล่าว การนำเข้าน้ำมันดีเซลลดลงมาก หรือ ไม่มีการนำเข้าเลย ให้ สพช. พิจารณานำเสนอเลื่อนเวลาบังคับใช้ให้เร็วขึ้นได้
(2) การสำรองน้ำมันเตา เนื่องจากในปี 2540 เป็นต้นไป ยังคงต้องนำเข้าน้ำมันเตา โดยตลอด เพราะโรงกลั่นภายในประเทศไม่สามารถผลิตได้เพียงพอกับความต้องการใช้ ดังนั้น จึงเห็นควรเสนอ ให้เลื่อนเวลาเพิ่มอัตราสำรองเป็นร้อยละ 10 โดยใช้หลักการเดียวกันกับน้ำมันดีเซล
(3) การสำรองน้ำมันเบนซินและน้ำมันอื่นๆ เห็นควรให้เพิ่มอัตราสำรองของผู้นำเข้าเป็นอัตราร้อยละ 10 ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ เนื่องจากน้ำมันดังกล่าว จะไม่มีการนำเข้ามาก หรือเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำเป็นต้องสำรองไว้เพื่อใช้ในราชการทหารโดย เฉพาะ
(4) ในระหว่างที่เลื่อนการบังคับใช้อัตราสำรองน้ำมันดีเซล และน้ำมันเตาของผู้นำเข้าเป็นร้อยละ 10 นี้ จะทำให้โรงกลั่นในประเทศมีความเสียเปรียบผู้นำเข้าในเรื่องอัตราสำรองที่แตก ต่างกันอยู่ร้อยละ 5 คิดเป็นต้นทุนเท่ากับ 5 สตางค์/ลิตร จึงเห็นควรแก้ไขข้อเสียเปรียบนี้เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน โดยลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาที่ ผลิตในประเทศ ตามสัดส่วนของราคา ณ โรงกลั่น คือ 6 และ 3 สตางค์/ลิตร ตามลำดับ ซึ่งจะลดภาระเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของโรงกลั่นน้ำมันในประเทศได้เท่ากับ 5 สตางค์/ลิตร โดยเฉลี่ย ทั้งนี้ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานดำเนินการออกประกาศลดอัตราเงิน เรียกเก็บเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวต่อไป
(5) เห็นควรให้มีการศึกษาถึงระดับการสำรองของประเทศที่เหมาะสมในระยะยาว เพื่อเพิ่มความมั่นคงของประเทศด้านพลังงาน และศึกษาความเหมาะสมของการให้รัฐเป็นผู้ดำเนินการจัดเก็บน้ำมันสำรองเองอีก ส่วนหนึ่ง ดังที่มีการปฏิบัติในหลายประเทศซึ่งจะไม่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันและราคา สินค้า ซึ่งในเรื่องนี้ สพช. ขอรับไปดำเนินการศึกษาในรายละเอียดร่วมกับ ปตท. และนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อพิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
1.ให้เลื่อนกำหนดเวลาบังคับใช้การสำรองน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาของผู้นำ เข้าในอัตราร้อยละ 10 ไปอีก 2 ปี โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 ทั้งนี้ หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าในช่วงเวลาที่เลื่อนไปดังกล่าว การนำเข้าน้ำมันดีเซลหรือน้ำมันเตาลดลงมากหรือไม่มีการนำเข้าเลย ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) พิจารณานำเสนอเลื่อนเวลาบังคับใช้ให้เร็วขึ้น
2.ให้เพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเบนซินและน้ำมันอื่นๆ ของผู้นำเข้าเป็นอัตราร้อยละ 10 ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงพาณิชย์ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2540
3.ในระหว่างที่เลื่อนการบังคับใช้อัตราสำรองน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาของ ผู้นำเข้าเป็นร้อยละ 10 ให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานดำเนินการออกประกาศลดอัตราเงินเรียกเก็บ เข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาที่ผลิตในประเทศลงใน อัตรา 6 สตางค์/ลิตร และ 3 สตางค์/ลิตร ตามลำดับ
4.ให้มีการศึกษาถึงระดับการสำรองของประเทศที่เหมาะสมในระยะยาว เพื่อเพิ่มความมั่นคงของประเทศด้านพลังงาน และศึกษาความเหมาะสมของการให้รัฐเป็นผู้ดำเนินการจัดเก็บน้ำมันสำรองเองอีก ส่วนหนึ่ง ดังที่มีการปฏิบัติในหลายประเทศซึ่งจะไม่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันและราคา สินค้า โดยให้ สพช. รับไปดำเนินการศึกษาในรายละเอียดร่วมกับ ปตท. และนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 4 การประกวดราคาน้ำมันเตาของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 5/2539 (ครั้งที่ 59) เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2539 ได้พิจารณาเรื่อง การประกวดราคาน้ำมันเตาของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยได้พิจารณาข้อเสนอของกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร (นายสุชน ชามพูนท) และมีมติมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับไปดำเนินการหาข้อสรุปในเรื่อง เงื่อนไขในการประกวดราคาซื้อขายน้ำมันเตาในส่วนร้อยละ 20 และให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งต่อไป
2. สพช. ร่วมกับ ปตท. และ กฟผ. ได้พิจารณาข้อเสนอของกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร (นายสุชน ชามพูนท) แล้ว เห็นควรแก้ไขปรับปรุงเงื่อนไขและคุณสมบัติของผู้เข้าประกวดราคาสำหรับปริมาณ การซื้อขายในระดับร้อยละ 20 ของความต้องการใช้น้ำมันเตาทั้งหมดในแต่ละปีของ กฟผ. เป็นดังนี้
2.1 เห็นควรนำปริมาณร้อยละ 50 ของน้ำมันเตาที่จะใช้กับโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ที่จังหวัดราชบุรีและกระบี่ มาจัดซื้อโดยการประกวดราคา โดยอีกร้อยละ 50 ที่เหลือให้ซื้อจาก ปตท. ส่วนปริมาณการซื้อขายเดิมได้แก่ ร้อยละ 20 ของความต้องการใช้น้ำมันเตาในโรงไฟฟ้าแห่งอื่นๆ ของ กฟผ. เห็นควรให้คงไว้ตามเดิมเนื่องจากถ้าเปลี่ยนแปลงจะมีผลกระทบคือ ต้องมีการแก้ไขสัญญาระหว่าง กฟผ. กับ ปตท. ในส่วนร้อยละ 80 ซึ่งจัดทำไว้เรียบร้อยแล้ว และยังไม่หมดอายุสัญญา (จะหมดอายุสัญญา 30 กันยายน 2544)
2.2 เห็นควรเปลี่ยนแปลงระยะเวลาการรับซื้อน้ำมันเตาโดยการประกวดราคา โดยในส่วนของร้อยละ 20 จากเดิม 3 ปี (ปีงบประมาณ 2540-2542) เป็น 4 ปี (ปีงบประมาณ 2541-2544) ซึ่งจะสิ้นสุดพร้อมกับสัญญาซื้อขายน้ำมันเตาระหว่าง กฟผ. กับ ปตท. ในส่วนร้อยละ 80 แต่ในส่วนเพิ่มเติมร้อยละ 50 ของโรงไฟฟ้าราชบุรีและกระบี่ให้กำหนดระยะเวลารับซื้อตามที่ กฟผ. เห็นว่าเหมาะสม
2.3 สำหรับคุณสมบัติของผู้เข้าประกวดราคา เห็นควรแก้ไขตามข้อเสนอของกรรมาธิการฯ บางส่วนเป็นดังนี้
(1) ต้องเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 และมีทุนเรือนหุ้นไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท
(2) มีเครดิตไลน์จากธนาคารและสถาบันการเงินรวมกันแล้วไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท
(3) ต้องเป็นผู้มีประสบการณ์ในการค้าน้ำมันเตามาแล้วไม่น้อยกว่า 200 ล้านลิตร โดยถือตามปริมาณที่ปรากฏในรายงานผลการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งผู้เข้าประกวดราคาได้นำส่งไว้กับกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ ตามพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521
2.4 การแก้ไขคุณสมบัติของผู้ประกวดราคาได้ตัดข้อเสนอของกรรมาธิการฯ ในส่วนที่ให้เพิ่มเติม คุณสมบัติของผู้เข้าประกวดราคาต้องเป็นบริษัทไทยและเป็นบริษัทมหาชนที่จด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากเห็นว่าคุณสมบัติดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการค้า น้ำมันเตา และจะทำให้มีผู้เข้าประกวดราคาได้น้อยรายจนไม่ก่อให้เกิดการแข่งขันกันอย่าง เพียงพอ และขัดกับเจตนารมณ์ของ WTO (World Trade Organization) นอกจากนั้น ได้ตัดคำว่าเงินทุนหมุนเวียนออก คงเหลือแต่เครดิตไลน์ เพราะเห็นว่าคำว่าเงินทุนหมุนเวียนเป็นเพียงตัวเลขทางบัญชี และเครดิตไลน์ในระดับ 500 ล้านบาท น่าจะเพียงพอแล้วจึงไม่ควรเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาท
2.5 เงื่อนไขและคุณสมบัติของผู้เข้าประกวดราคาตามที่กำหนด เมื่อเปรียบเทียบกับเงื่อนไขและคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้โดยมติคณะรัฐมนตรีใน ปัจจุบันและที่กรรมาธิการฯ เสนอมีความแตกต่างกัน ดังนี้
ปริมาณน้ำมันเตาที่จะจัดซื้อโดยประกวดราคา
เงื่อนไข | ปริมาณ |
1. ตามมติ ครม. ในปัจจุบัน | |
ปริมาณร้อยละ 20 ของความต้องการใช้น้ำมันเตาของ กฟผ. ในปี 2540-2542 รวม 3 ปี |
3,908 ล้านลิตร |
2. ตามข้อเสนอของกรรมาธิการฯ | |
ปริมาณร้อยละ 30 ของความต้องการใช้น้ำมันเตาทั้งหมด ของ กฟผ. ในปี 2540-2544 รวม 5 ปี |
7,804 ล้านลิตร |
3. ตามผลการประชุมหารือระหว่าง ปตท. กฟผ. และ สพช. | |
- ปริมาณร้อยละ 20 ของความต้องการใช้น้ำมันเตาทั้งหมดของ กฟผ. ในปี 2541-2544 รวม 4 ปี |
2,760 |
- ปริมาณร้อยละ 50 ของความต้องการใช้น้ำมันเตาทั้งหมด ของโรงไฟฟ้าราชบุรี และโรงไฟฟ้ากระบี่ ตามระยะเวลาที่ กฟผ. เห็นว่าเหมาะสม |
1,830** |
หมายเหตุ
* ตัวเลขดังกล่าวอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากพิจารณาจาก PDP 95-01 ซึ่งขณะนี้ กฟผ. กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงเป็น PDP 96-01
** ตัวอย่างกรณีที่ กฟผ. ทำสัญญา 3 ปี (ปีงบประมาณ 2542-2544)
มติของที่ประชุม
-เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จัดซื้อน้ำมันเตาโดยการประกวดราคาในปริมาณร้อยละ 50 ของน้ำมันเตาที่จะใช้กับโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ที่จังหวัดราชบุรีและกระบี่ และอีกร้อยละ 50 ที่เหลือให้ซื้อจาก ปตท. ส่วนปริมาณการซื้อขายเดิมในอัตราร้อยละ 20 ของความต้องการใช้น้ำมันเตาในโรงไฟฟ้าแห่งอื่นๆ ของ กฟผ. เห็นควรให้คงไว้ตามเดิม เนื่องจากถ้าเปลี่ยนแปลงจะมีผลกระทบคือ ต้องมีการแก้ไขสัญญาระหว่าง กฟผ. กับ ปตท. ในส่วนร้อยละ 80 ซึ่งจัดทำไว้เรียบร้อยแล้ว และยังไม่หมดอายุสัญญา โดยจะหมดอายุสัญญาในวันที่ 30 กันยายน 2544
-เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงระยะเวลาการรับซื้อน้ำมันเตาโดยการประกวดราคา โดยในส่วนร้อยละ 20 จากเดิม 3 ปี (ปีงบประมาณ 2540-2542) เป็น 4 ปี (ปีงบประมาณ 2541-2544) ซึ่งจะสิ้นสุดพร้อมกับสัญญาซื้อขายน้ำมันเตาระหว่าง กฟผ. กับ ปตท. ในส่วนร้อยละ 80 แต่ในส่วนเพิ่มเติมร้อยละ 50 ของโรงไฟฟ้าราชบุรีและกระบี่ให้กำหนดระยะเวลารับซื้อตามที่ กฟผ. เห็นว่าเหมาะสม
-เห็นชอบให้กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเข้าประกวดราคา ดังนี้
(1) ต้องเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 และ มีทุนเรือนหุ้นไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท
(2) มีเครดิตไลน์จากธนาคารและสถาบันการเงินรวมกันแล้วไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท
(3) ต้องเป็นผู้มีประสบการณ์ในการค้าน้ำมันเตามาแล้วไม่น้อยกว่า 200 ล้านลิตร โดยถือตามปริมาณที่ปรากฏในรายงานผลการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งผู้เข้าประกวดราคาได้นำส่งไว้กับกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ ตามพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521
เรื่องที่ 5 แนวทางในการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2539 ได้รับทราบผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหาการส่งออก ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นผู้เสนอ ซึ่งในส่วนของแนวทางการลดต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ได้มีมติให้ผู้บริหารระดับสูงจากภาคเอกชนหารือกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ (สพช.) เรื่องค่าไฟฟ้าและการยกเว้นระบบ TOD สำหรับโรงงานที่ต้องการทำงาน 24 ชั่วโมง ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2539 เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ในเรื่องการแก้ไขปัญหาของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยมอบหมายให้ สพช. รับไปพิจารณาในประเด็นต่อไปนี้
1.1 การยกเลิกการเก็บ Demand Charge สำหรับอุตสาหกรรมทุกประเภทที่จำเป็นต้องทำการผลิตตลอด 24 ชั่วโมง
1.2 การศึกษาความเป็นไปได้ในการเพิ่มประเภทผู้ใช้ไฟฟ้า โดยให้มีประเภทอุตสาหกรรม ขนาดใหญ่ที่ใช้ไฟฟ้ามากกว่าประเภทที่กำหนดอยู่ในปัจจุบันและกำหนดให้มีอัตรา ค่ากระแสไฟฟ้าลดลงอีก
2. บริษัท เอ็น.ที.เอส.สตีลกรุ๊ป จำกัด และบริษัทสยามสติลซินดิเกต จำกัด ได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์) ขอให้ทบทวนและปรับปรุงอัตราค่าไฟฟ้า โดยขอให้ยกเลิกหรือลดอัตราค่าความต้องการไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ความต้องการ ไฟฟ้าสูงสุด หรือช่วงเวลา 18.30 น. ถึง 21.30 น. เนื่องจากปัจจุบันความต้องการไฟฟ้าสูงสุด ของระบบเปลี่ยนแปลงไปอยู่ในช่วง 13.30 ถึง 16.30 น. ทั้งนี้ เพื่อให้อุตสาหกรรมบางชนิดที่จำเป็น จะต้องผลิตอย่างต่อเนื่องสามารถรับภาระค่ากระแสไฟฟ้าได้
3. สพช. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ร่วมหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม2539 สามารถสรุปประเด็นปัญหาและแนวทางในการทบทวนและปรับปรุงอัตราค่าไฟฟ้า ดังนี้
3.1 การขอลด Demand Charge ในช่วง Peak
3.1.1 ที่ประชุมยอมรับว่ายังมีความจำเป็นที่จะต้องมีอัตราค่าไฟฟ้าในลักษณะ TOD เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป แต่ทั้งนี้ควรปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าให้มีความสอดคล้องกับ Load Curve ที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ การคิดค่าไฟฟ้าสูงในช่วง Peak โดยผ่าน Demand Charge เพียงอย่างเดียว หากผู้ใช้ไฟฟ้าปฏิบัติการควบคุมการใช้ไฟฟ้าในช่วง Peak ผิดพลาดเกิน 15 นาที จะเพิ่มภาระค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟเป็นจำนวนมาก จึงควรมีการพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว
3.1.2 แนวทางการแก้ไข ควรปรับปรุงโครงสร้าง TOD Rate ในปัจจุบัน ดังนี้
(1) ควรกำหนดช่วงเวลาให้สอดคล้องกับลักษณะการใช้ไฟฟ้า (Load Curve) ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยการกำหนดให้ช่วงเวลา 22.00-9.00 น. และวันอาทิตย์ เป็นช่วง Off-Peak
(2) ลดหรือยกเลิกค่า Demand Charge ในช่วง Peak และกำหนดให้ Energy Charge หรือค่าพลังงานไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลามากขึ้น
โครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่นี้จะเรียกว่า Time of Use Rate (TOU) เพราะค่าไฟฟ้าแตกต่างกันตามช่วงเวลาของวัน และตามวันของสัปดาห์
3.2 การลดค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ใช้ไฟฟ้ามาก จะสามารถพิจารณาดำเนินการแยกประเภทผู้ใช้ไฟฟ้าตามระดับแรงดันไฟฟ้า (Voltage) ได้ เนื่องจากในการจำหน่ายไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าในระดับแรงดันสูง การไฟฟ้าสามารถประหยัดการลงทุนและสามารถลดการสูญเสียในระบบลงได้ โดยแนวทางแก้ไข ควรเพิ่มประเภทอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าในระดับแรงดันมากกว่าหรือเท่า กับ 115 เควี ซึ่งเดิมกำหนดให้มีอัตราสำหรับแรงดันสูงสุดคือ 69 เควีเท่านั้น
3.3 ค่า Ft มีความไม่ชัดเจนและเปลี่ยนแปลงบ่อย ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นว่า ยังคงมีความจำเป็นที่ จะต้องมีค่า Ft ดัง กล่าว ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกันกับที่หลายประเทศใช้อยู่ แต่ควรปรับปรุงให้มีความชัดเจน โปร่งใสและให้มีความผันผวนน้อยลงโดยมีแนวทางแก้ไขดังนี้
(1) กำหนดให้ค่า Ft มีความชัดเจนและโปร่งใสมากขึ้น โดยแยก ภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งปัจจุบันการไฟฟ้าได้บวกภาระสุทธิจากภาษีมูลค่าเพิ่มรวมอยู่ในค่า Ft จำนวน 7.32 สตางค์/หน่วย ออกจากโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
(2) ปรับปรุงให้ค่า Ft มีการเปลี่ยนแปลงน้อยลง และมีระยะเวลาการเปลี่ยนแปลงที่แน่นอนมากขึ้น เพื่อทำให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนทางด้านการผลิตและการตลาดได้ง่ายขึ้น
4. สพช. ร่วมกับการไฟฟ้าทั้ง 3 ได้พิจารณาผลการประชุมร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และศึกษาลักษณะความต้องการไฟฟ้า (Load Curve) ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งต้นทุนของระบบไฟฟ้าแล้ว ได้เสนอแนวทางในการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ดังนี้
4.1 กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าประเภทที่แตกต่างกันตามช่วงเวลาของการใช้ (Time-of-Use : TOU) ให้เป็นอัตราเลือกสำหรับผู้ใช้ไฟประเภท TOD ในปัจจุบัน เพื่อให้โครงสร้างค่าไฟฟ้าสะท้อนต้นทุนและลักษณะการใช้ไฟฟ้า (Load Curve) ของระบบที่เปลี่ยนแปลงไป โดยอัตราTOU ใหม่ จะมีข้อแตกต่างจาก TOD เดิม ดังนี้
(1) TOU ใหม่ จะเพิ่มประเภทอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟในระดับแรงดัน 115 เควี ขึ้นไป ซึ่งจะเป็นอัตราค่าไฟฟ้าที่ลดลงจากระดับ 69 เควี เดิม
(2) TOU ใหม่ แบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา คือ
Peak : 9.00 น.-22.00 น. วันจันทร์-เสาร์
Off-Peak : 22.00-9.00 น. วันจันทร์-เสาร์ และวันอาทิตย์ทั้งวัน
(3) TOU ใหม่ จะกำหนดให้ค่าพลังงานไฟฟ้า (Energy Charge) เปลี่ยนแปลง ตามระดับแรงดันและตามช่วงเวลา
(4) TOU ใหม่ จะกำหนดให้ค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (Demand Charge) เป็นศูนย์ ในช่วง Off-Peak และค่าพลังไฟฟ้าในช่วง On-Peak จะลดลงจากระดับเดิม หรือกำหนดให้เท่ากับศูนย์
สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการเฉพาะอย่าง (โรงแรม) ในปัจจุบันไม่ได้ใช้ TOD Rate แต่มีอัตรา TOD Rate เป็นอัตราที่สามารถเลือกได้ ซึ่งเห็นควรให้ใช้อัตรา TOU Rate ใหม่ แทน TOD Rate เดิม
4.2 แยกภาษีมูลค่าเพิ่มออกจากค่าไฟฟ้าให้ชัดเจน เพื่อให้โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและสูตร การปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ Ft มีความชัดเจนและโปร่งใส
4.3 ปรับปรุงสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ให้มีการเปลี่ยนแปลงน้อยลงเพื่อให้ ผู้ประกอบการ สามารถวางแผนการผลิตและการตลาดได้ง่ายขึ้น เช่น การกำหนดค่า Ft ให้เปลี่ยนแปลงทุก 4 เดือน
5. เพื่อให้โครงสร้างราคาขายส่งไฟฟ้าระหว่าง 3 การไฟฟ้า หรือ Bulk Supply Tariff : BST มีความสอดคล้องกับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในระดับขายปลีกในข้อ 4 สพช. ร่วมกับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จึงเสนอแนวทางการปรับโครงสร้างราคาขายส่งไฟฟ้า BST จากเดิมที่เป็นอัตราคงที่ต่อหน่วย (Flat Rate) ให้มีการสะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงคือ ให้มีลักษณะแตกต่างกันตามช่วงเวลาของการใช้ TOU แต่ทั้งนี้จะยังคงรักษาระดับราคาขายส่งเฉลี่ยในระดับเดิม กล่าวคือ ราคาขายส่งเฉลี่ยที่ กฟผ. จำหน่ายให้ กฟน. และ กฟภ. มีอัตราเฉลี่ยคงเดิม คือ เท่ากับ 1.4865 บาท/หน่วย และ 1.0910 บาท/หน่วย ตามลำดับ โดยมีแนวทางในการปรับโครงสร้างราคาขายส่งไฟฟ้าระหว่าง 3 การไฟฟ้า สรุปได้ดังนี้
5.1 BST จะแตกต่างกันตามระดับแรงดัน 230 เควี 115 เควี 69 เควี 33 เควี และ 22 เควี
5.2 BST จะเป็น 2 ช่วงเวลา คือ
- Peak 9.00 น.-22.00 น. วันจันทร์-เสาร์
- Off-Peak 22.00 น.-9.00 น. วันจันทร์-เสาร์ และวันอาทิตย์ทั้งวัน
5.3 BST จะกำหนดให้มีค่าพลังงานไฟฟ้า (Energy Charge) สูงในช่วง Peak และต่ำในช่วง Off-Peak
5.4 กำหนดการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า โดยการคำนวณการชดเชยจาก กฟน. ไป กฟภ. เพื่อให้ราคาขายส่งเฉลี่ยที่ กฟน. และ กฟภ. ซื้อจาก กฟผ. คงเดิม
6. ผลกระทบของโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีกสำหรับผู้ใช้ไฟรายใหญ่และการไฟฟ้า มีดังนี้
6.1 การปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก TOU ตามข้อเสนอ จะมีผลทำให้ผู้ใช้ไฟรายใหญ่ ที่ใช้ไฟในระดับแรงดัน 115 เควีขึ้นไป ส่วนใหญ่ชำระค่าไฟฟ้าน้อยลง
6.2 ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ใช้ไฟต่อเนื่องแต่ไม่สม่ำเสมอ ค่าไฟฟ้าจะลดลงในบางกรณี
6.3 ผู้ใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ค่าไฟฟ้าไม่เปลี่ยนแปลง เพราะหากค่าไฟฟ้าสูงขึ้นตามอัตรา TOU ใหม่ ก็ควรเลือกใช้อัตราเดิมต่อไป
6.4 โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าที่แตกต่างกันตามช่วงเวลาการใช้ (TOU) จะไม่มีผลกระทบต่อฐานะการเงินของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง เนื่องจากยังคงมีระบบการชดเชยรายได้จาก กฟน. ไปยัง กฟภ. อย่างไรก็ตาม การไฟฟ้า จะสามารถประหยัดการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าและระบบสายส่งระบบจำหน่ายไฟฟ้า หากผู้ใช้ไฟสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ไฟ ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าของระบบมีความสม่ำเสมอมากขึ้น
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแนวทางในการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก ดังนี้
1.1 ให้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าประเภทที่แตกต่างกันตามช่วงเวลาการใช้ (Time-of-Use : TOU) ให้เป็นอัตราเลือกสำหรับผู้ใช้ไฟประเภท Time of Day Rate (TOD) ในปัจจุบัน
1.2 ให้แยกภาษีมูลค่าเพิ่มออกจากค่าไฟฟ้าให้ชัดเจน
1.3 ให้ปรับปรุงสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติให้มีการเปลี่ยนแปลงน้อยลง
2.เห็นชอบแนวทางการปรับโครงสร้างราคาขายส่งไฟฟ้าระหว่าง 3 การไฟฟ้า ดังนี้
2.1 โครงสร้างราคาขายส่งไฟฟ้า ให้แตกต่างกันตามระดับแรงดัน
2.2 โครงสร้างราคาขายส่งไฟฟ้า ให้มีอัตราแตกต่างกันตามช่วงเวลาของวัน โดยแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา ดังนี้
Peak 9.00 น. - 22.00 น. วันจันทร์-เสาร์
Off-Peak 22.00 น. - 9.00 น. วันจันทร์-เสาร์และอาทิตย์ทั้งวัน
2.3 โครงสร้างราคาขายส่งไฟฟ้า กำหนดให้มีค่าพลังงานไฟฟ้า (Energy Charge) สูงในช่วง Peak และต่ำในช่วง Off - Peak
2.4 กำหนดการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า โดยกำหนดการชดเชยจากการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เพื่อให้ราคาขายส่งเฉลี่ยที่ กฟน. และ กฟภ. ซื้อจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยคงเดิม
3.มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ร่วมกับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ศึกษาและจัดทำรายละเอียดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก และ โครงสร้างราคาขายส่งไฟฟ้าระหว่าง 3 การไฟฟ้าดังกล่าว เพื่อนำเสนอคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานอนุมัติและประกาศใช้ต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ให้ดูแลกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เพื่อให้สามารถนำดอกผลอันเกิดจากเงินกองทุนฯ จำนวน 350 ล้านบาท ที่ได้รับจากบริษัทเอสโซ่-แสตนดาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด ตามสัญญาโรงกลั่นน้ำมันมาใช้ประโยชน์ในการส่งเสริมและสนับสนุนงานด้าน พลังงานและปิโตรเลียม โดยมีระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ว่าด้วยการบริหารกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 เป็นกรอบในการบริหารงานกองทุนฯ ทั้งนี้ โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมทำ หน้าที่พิจารณา จัดระเบียบ วางแนวทางและพิจารณาจัดสรรเงินกองทุน ซึ่งตามระเบียบในข้อ 10 และข้อ13 กำหนดให้คณะกรรมการกองทุนฯ ดำเนินการดังนี้
1.1 จัดทำแผนการใช้จ่ายเงินเป็นรายปีงบประมาณในช่วงสามปีข้างหน้า เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ให้ความเห็นชอบ เพื่อใช้เป็นกรอบในการพิจารณาคำขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนฯและให้มีการ ทบทวนแผนการใช้จ่ายดังกล่าวอย่างน้อยทุกปี หรือตามความจำเป็น
1.2 จัดทำงบแสดงผลการรับจ่ายเงินในระหว่างปีงบประมาณ และงบแสดงฐานะการเงินของกองทุนฯ ณ วันสิ้นปีงบประมาณ เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อทราบภายในสามสิบวัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ได้จัดทำรายงานผลการดำเนินงานของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญา โรงกลั่นปิโตรเลียม ในรอบปีงบประมาณ 2539 ซึ่งเป็นปีที่สี่ของการดำเนินงานกองทุนฯ เพื่อรายงานต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อทราบ และเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนการจัดสรรเงิน ในปีงบประมาณ 2540-2542 ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว โดยมีสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้
2.1 ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการกองทุนฯ ในรอบปีงบประมาณ 2539
คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2538 อนุมัติฯ แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2539 จำนวนเงินทั้งสิ้น 55.3 ล้านบาท และคณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาอนุมัติการใช้จ่ายเงินรวมทั้งสิ้น 55.2 ล้านบาท ดังนี้
หมวดรายจ่าย | วงเงินตามแผน | ปรับปรุงแผน | วงเงินอนุมัติ |
1.การค้นคว้า ศึกษา วิจัย | 15.00 | 22.20 | 22.20 |
2.ทุนการศึกษาและฝึกอบรม | 10.00 | 11.57 | 11.57 |
3.การประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูล | 15.00 | 2.39 | 2.37 |
4.การดูงาน ประชุม และการจัดประชุม สัมมนา | 10.00 | 13.07 | 12.99 |
5.การจัดหาเครื่องมือ และอุปกรณ์ | 5.00 | 5.77 | 5.77 |
6.ค่าใช้จ่ายการบริหารงาน | 0.30 | 0.30 | 0.30 |
รวม | 55.30 | 55.30 | 55.20 |
2.2 รายงานสถานะการเงินกองทุน ณ วันที่ 30 กันยายน 2539
กองทุนฯ มีสินทรัพย์รวม 430.47 ล้านบาท แบ่งเป็น เงินฝากกระแสรายวัน 1.41 ล้านบาท เงินฝากออมทรัพย์ 3.48 ล้านบาท เงินฝากประจำ 423.65 ล้านบาท และลูกหนี้เงินยืม 1.93 ล้านบาท ในส่วนของหนี้สินและทุน ประกอบด้วย หนี้สิน 0.23 ล้านบาท ทุน 350 ล้านบาท และรายรับมากกว่ารายจ่ายทั้งสิ้น 80.24 ล้านบาท
2.3 แผนการใช้จ่ายเงินดอกผลของกองทุนปีงบประมาณ 2540-2542
ตามข้อกำหนดในระเบียบว่าด้วยการบริหารกองทุนฯ กำหนดให้มีการทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินดอกผลของกองทุนฯ อย่างน้อยทุกปี หรือตามความจำเป็น ดังนั้น จึงเห็นสมควรให้มีการปรับแผนการใช้จ่ายเงิน สำหรับปีงบประมาณ 2540-2542 สรุปได้ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
หมวดรายจ่าย | ปีงบประมาณ | รวม | ||
2540 | 2541 | 2542 | ||
1.การค้นคว้า วิจัย ศึกษา | 17.00 | 17.00 | 17.00 | 51.00 |
2.ทุนการศึกษาและฝึกอบรม | 12.00 | 12.00 | 12.00 | 36.00 |
3.การประชาสัมพันธ์ และเผยแพร่ข้อมูล | 10.00 | 10.00 | 10.00 | 30.00 |
หมวดรายจ่าย | 2540 | 2541 | 2542 | รวม |
4.การดูงาน ประชุม และการจัดประชุมสัมมนา | 10.00 | 10.00 | 10.00 | 30.00 |
5.การจัดหาเครื่องมือ และอุปกรณ์ | 5.50 | 5.50 | 5.50 | 16.50 |
6. ค่าใช้จ่ายการบริหารงาน | 0.50 | 0.50 | 0.50 | 1.50 |
รวม | 55.00 | 55.00 | 55.00 | 165.00 |
3. เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และมีความยืดหยุ่นในการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ตลอดระยะเวลา 3 ปี คือ ปีงบประมาณ 2540-2542 เห็นควรให้คณะกรรมการกองทุนฯ จัดสรรเงินกองทุนสำหรับแผนงานและโครงการ ในปีงบประมาณ 2540-2542 ตามแผนการใช้จ่ายเงินข้างต้น วงเงินรวม 165 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้ โดยสอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุน การจัดลำดับความสำคัญ ตลอดจนรายได้ของกองทุนด้วย
มติของที่ประชุม
1.รับทราบผลการดำเนินงานของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ประจำปี งบประมาณ 2539
2.เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินดอกผลของกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ 2540-2542 และมาตรการการบริหารเงินกองทุนฯ ตามที่คณะกรรมการกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมเสนอ
เรื่องที่ 7 เรื่องการเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP)
ประธานฯ ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ขณะนี้มีผู้ร้องเรียนเกี่ยวกับโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP) ว่าการพิจารณาข้อเสนอมีความล่าช้ามากโดยใช้เวลาประมาณ 1 ปี 6 เดือน แต่ผลการพิจารณา ก็ยังไม่แล้วเสร็จ ประกอบกับมีปัญหาว่าเมื่อมีการเปิดซองประกวดราคาแล้ว ได้มีบางบริษัทเสนอที่จะขายไฟฟ้า ในปริมาณที่เพิ่มขึ้นจากข้อเสนอเดิม โดยเสนอราคาที่ถูกลง และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจะใช้ราคา ที่ถูกลงนี้ เพื่อไปต่อรองกับบริษัทอื่นๆ ดังนั้น จึงอยากทราบว่าข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เป็นอย่างไร
มติของที่ประชุม
1.มอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เร่งดำเนินการเจรจากับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP) ที่ได้รับการคัดเลือกให้แล้วเสร็จ เพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนได้ ภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2539
2.มอบหมายให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เร่งดำเนินการเจรจากับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP) สำหรับโครงการที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง เรื่อง สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2539
3.มอบหมายให้ สพช. รับไปเร่งรัดและติดตามเพื่อให้มีการดำเนินการตามข้อ 1 และข้อ 2
กพช. ครั้งที่ 59 - วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2539
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 5/2539 (ครั้งที่ 59)
วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2539 เวลา 9.30 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
2.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
4.ข้อตกลงความร่วมมือด้านพลังงานของกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิค (APEC)
5.การประกวดราคาน้ำมันเตาของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
6.การเพิ่มอัตราสำรองของน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร
นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. การให้เอกชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบน้ำมัน กรมทะเบียนการค้าได้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับประกาศกระทรวง พาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 114) พ.ศ. 2539 และประกาศกรมทะเบียนการค้า เรื่อง กำหนดชนิดน้ำมันที่ต้องจัดให้มีผู้ตรวจวัดอิสระ คุณสมบัติของผู้ตรวจวัดอิสระ และแบบรายงานผลการตรวจสอบน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเดิมกรมทะเบียนการค้าได้ผ่อนผันการนำเข้าให้ระยะหนึ่ง เพื่อให้ผู้ตรวจวัดอิสระได้มาขึ้นทะเบียนแล้ว จึงจะบังคับใช้ตามกฎหมายต่อไป จนถึงขณะนี้มีผู้ตรวจวัดอิสระมาขึ้นทะเบียนต่อกรมฯ แล้วรวม 3 ราย และมีผู้ค้าน้ำมันที่จัดให้มีผู้ตรวจวัดอิสระและได้รายงานผลการตรวจสอบให้ กรมทะเบียนการค้าทราบแล้ว จำนวน 9 ราย
2. การปรับปรุงใบกำกับการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง กรมทะเบียนการค้า และ สพช. ได้ดำเนินการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขใบกำกับการขนส่งตามมติคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติแล้ว และกรมทะเบียนการค้าได้ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2539) เรื่อง กำหนดวิธีการและเงื่อนไขในการขนส่งน้ำมัน เชื้อเพลิง ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2539 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2539 เป็นต้นไป ส่วนการดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น กรมทะเบียนการค้าและสพช. จะได้ดำเนินการในลำดับต่อไป
3. การเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ตำรวจ กรมทะเบียนการค้า ได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2539) เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2539 และขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้แก่เจ้า หน้าที่ตำรวจ นอกจากนี้กรมโยธาธิการ ได้ดำเนินการตามมติของคณะกรรมการฯ แล้วเช่นกัน และขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมภาพถ่ายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อมอบหมายอำนาจให้ต่อไป
4. การควบคุมผลิตภัณฑ์เคมีปิโตรเลียมและสารละลาย
4.1 กรมสรรพสามิตได้รายงานว่า กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณากำหนดแนวทางที่เหมาะสมในการนำสารละลาย (Solvent) เข้าอยู่ในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตเพื่อจัดเก็บภาษี และพิจารณายกเว้นภาษีให้ หากมีการนำไปใช้ในการผลิตสินค้า โดยจะได้จัดทำร่างกฎหมายและประกาศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเสนอกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
4.2 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางได้ร่วมกับกรมทะเบียนการค้าดำเนินการจัดรถตรวจ สอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงเคลื่อนที่ตรวจสอบสถานีบริการ โดยได้เริ่มตรวจสอบสถานีบริการ จำนวน 96 แห่ง ในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือในเดือนสิงหาคม 2539 และพบสถานีบริการที่จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพต่ำ รวม 3 แห่ง
5. การควบคุมน้ำมันที่ส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว)
5.1 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้สั่งการให้มีการดำเนินการตรวจสอบการขนส่งน้ำมัน ที่ส่งออกไปยัง สปป.ลาว ในเดือนสิงหาคม 2539 โดยได้ประสานกับกรมศุลกากรแล้ว ปรากฎว่ายังไม่พบการกระทำความผิดแต่อย่างใด
5.2 กรมศุลกากร ได้เตรียมการจะจัดส่งคณะผู้แทนศุลกากรไทยไปหารือกับศุลกากรของ สปป.ลาว เพื่อหามาตรการป้องกันมิให้มีการลักลอบนำกลับเข้ามาใช้ในประเทศไทย และขอความร่วมมือให้มีการขนส่งน้ำมันผ่านแดนไปโดยเร็ว
5.3 กรมสรรพสามิต ในฐานะที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบหลักฐานเพื่อคืนภาษีน้ำมันในกรณีดังกล่าว ได้เสนอมาตรการเสริมในการป้องกันปัญหา โดยเสนอให้ผู้ขอคืนภาษีน้ำมันต้องแสดงหลักฐานที่ผ่านการรับรองจากเจ้า หน้าที่ของ สปป.ลาว ว่าได้มีการรับน้ำมันจำนวนดังกล่าวจากประเทศไทยแล้ว
6. การดำเนินการของศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจปราบปรามทางทะเล ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจปราบปรามทางทะเล ได้รายงานผลการดำเนินการในช่วงเดือนกรกฎาคม 2539-ปัจจุบัน ว่าได้มีการจัดประชุมศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจปราบปรามทางทะเลร่วมกับกอง บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบังคับการตำรวจน้ำ กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต กรมเจ้าท่า และ สพช. เพื่อประชุมหารือในการประสานการปฏิบัติและรับทราบปัญหาอุปสรรค ไปแล้วเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2539 และได้มีการจัดทำเอกสารข้อมูลพื้นฐานข่าวกรองการลักลอบนำเข้าให้แก่หน่วย ราชการที่เกี่ยวข้องทราบแล้ว
ผลการจับกุมทางทะเลในช่วงเดือนกรกฎาคม 2539-ปัจจุบัน สามารถจับกุมเรือลักลอบนำเข้าได้ รวม 4 ครั้ง ดังนี้
(1) กองทัพเรือ
- เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2539 จับกุมเรือประมงดัดแปลงชื่อ ขุนโชคชัย พบน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ปริมาณ 60,000 ลิตร
- เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2539 จับกุมเรือประมงดัดแปลง ชื่อ ป.ปราบสมุทร พบน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปริมาณ 170,000 ลิตร
(2) กองบังคับการตำรวจน้ำ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
- เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2539 จับกุมเรือประมงดัดแปลงได้ 3 ลำ บริเวณห่างฝั่งจังหวัดนครศรีธรรมราชออกไป 20 ไมล์ คือ
- เรือนางพญาตานี 1 พบน้ำมันดีเซล ปริมาณ 450,000 ลิตร
- เรือนางพญาตานี 2 พบน้ำมันดีเซล ปริมาณ 240,000 ลิตร
- เรือไวกิ้ง 1 พบน้ำมันดีเซล ปริมาณ 350,000 ลิตร
- เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2539 จับกุมเรือประมงดัดแปลง ชื่อลิ้มชุลีพร 2 บริเวณแม่น้ำตรัง แพปลาภมร อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง พบน้ำมันดีเซลปริมาณ 5,000 ลิตร
7. การดำเนินงานของ สพช.
สพช. ในฐานะศูนย์รวมการประสานงานฯ ได้ดำเนินการจัดสัมมนาความรู้เกี่ยวกับการปราบปรามน้ำมันเถื่อนทางบก เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2539 ให้แก่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ รวม 200 คน โดยได้เชิญวิทยากรจาก กองทัพเรือ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต กรมโยธาธิการ กรมทะเบียนการค้า บรรยายความรู้ในการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงานให้แก่ผู้เข้าอบรม
นอกจากนี้ สพช. ได้ทำการศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีจากป้ายวงกลมรถยนต์ดีเซล ปรากฎว่าการลดภาษีสรรพสามิตลง 1.00 บาท และมีน้ำมันเข้าสู่ระบบปริมาณ 2,000 ล้านลิตรต่อปี จะทำให้มีผู้ใช้รถดีเซลซึ่งจะเป็นผู้เสียประโยชน์จากการรับภาระภาษีแทนผู้ ใช้น้ำมันดีเซลกลุ่มอื่นๆ มากกว่าผู้ได้รับประโยชน์ ซึ่ง สพช. เห็นว่า ไม่สมควรดำเนินการลดภาษีสรรพสามิตและจัดเก็บภาษีจากป้ายวงกลมรถยนต์ดีเซลแทน โดยเฉพาะการลดภาษีลง ในระดับ 1.00 บาท นั้น ไม่น่าจะลดแรงจูงใจในการลักลอบนำเข้าลงได้
8. การตรวจสอบเรือประมงดัดแปลง กรมเจ้าท่าได้ดำเนินการตรวจสอบเรือประมงดัดแปลงตั้งแต่เดือนมีนาคม 2538 เป็นต้นมา ปรากฎว่า ไม่พบการดัดแปลงเรือประมงแต่อย่างใด
9. การเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ในเขตต่อเนื่อง สพช. ได้รายงานความคืบหน้าในเรื่องนี้ว่าขณะนี้ พระราชบัญญัติที่เพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ในเขตต่อเนื่องทั้ง 2 ฉบับ คือ ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. .... ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการแปรญัตติสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และจะนำเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2 ในการประชุมในสมัยต่อไป
10. การติดตั้งมิเตอร์เพิ่มเติม กรมสรรพสามิตได้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการ ดังนี้
10.1 กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการติดตั้งมิเตอร์ในคลังที่กรมสรรพากรแจ้งมาจำนวน 4 คลัง แล้ว 1 คลัง คือ คลังน้ำมัน บริษัท ท่าทองปิโตรเลียม จำกัด จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยดำเนินการติดตั้งในคราวเดียวกับ 37 คลังแรก สำหรับคลังน้ำมันส่วนที่เหลืออีก 3 คลัง กรมสรรพสามิตจะดำเนินการติดตั้งในระยะต่อไปพร้อมกับคลังน้ำมันชายฝั่งทะเล แห่งอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ติดตั้งมิเตอร์รวมทั้งหมด 18 คลัง ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นเพื่อจัดทำโครงการติดตั้ง มิเตอร์
10.2 กรมสรรพสามิตได้ตรวจสอบคลังน้ำมันเบนซินที่ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเล มีจำนวน 39 คลังแล้วปรากฎว่า คลังน้ำมันเหล่านี้ทั้งหมดเป็นคลังที่เก็บน้ำมันดีเซลหมุนเร็วด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ได้มีการติดตั้งมิเตอร์สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วแล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสำรวจและตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น เพื่อพิจารณาจัดทำโครงการติดตั้งมิเตอร์ในระยะต่อไป
10.3 การติดตั้งมิเตอร์ที่คลังสินค้าทัณฑ์บน อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ขณะนี้อยู่ในระหว่างการติดต่อประสานงานกับกรมศุลกากร เพื่อร่วมกันพิจารณาจัดทำโครงการติดตั้งมิเตอร์ที่คลังสินค้าทัณฑ์บนดัง กล่าว
11. การเติมสาร Marker ในน้ำมันที่เสียภาษีแล้ว
กรมสรรพสามิตกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาคัดเลือกสาร Marker ที่เหมาะสมสำหรับใช้เติมในน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว คุณสมบัติของสาร Marker แต่ละชนิด วิธีการใช้ วิธีการตรวจสอบ ข้อดีและข้อเสีย โดยศึกษาข้อมูลจากบริษัทผู้ค้า Marker ที่เสนอมา จำนวน 2 ราย ซึ่งเมื่อสามารถคัดเลือกสาร Marker ที่เหมาะสมได้แล้ว กรมสรรพสามิตจะได้พิจารณากำหนดวิธีการควบคุมการเติมสาร Marker ให้รัดกุมต่อไป
นอกจากนี้ สพช. ได้พิจารณาเสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานเพื่ออนุมัติ ค่าใช้จ่ายในการนำกรมสรรพสามิตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานไปดูงาน การเติมสาร Marker ในต่างประเทศ เป็นวงเงิน 4.2 ล้านบาท
12. การให้การสนับสนุนงบประมาณ สำนักงบประมาณได้รายงานผลการพิจารณาให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายแก่กองทัพเรือ จำนวนเงิน 240 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ในการตรวจการณ์ในเวลากลางคืน และ กรมเจ้าท่า จำนวนเงิน 450 ล้านบาท เพื่อใช้จัดซื้อเรือตรวจการณ์ขนาด 130 ฟุต จำนวน 3 ลำ ว่าสำนักงบประมาณได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว เห็นว่ามาตรการเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง นั้น เป็นมาตรการและนโยบายที่สำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล โดยสำนักงบประมาณได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องข้างต้นทั้งกองทัพ เรือและกรมเจ้าท่าในการปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือเจียดจ่ายงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2540 เพื่อเป็นค่าจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ในการตรวจการณ์ในเวลากลางคืนและ เรือตรวจการณ์ขนาด 130 ฟุต จำนวน 3 ลำ แล้ว ไม่สามารถดำเนินการปรับแผนหรือเจียดจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2540 ทั้ง 2 หน่วยงาน ดังกล่าวได้ แต่เพื่อเป็นการสนองนโยบายรัฐบาลและเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี จึงเห็นควรสนับสนุนให้กองทัพเรือและกรมเจ้าท่าใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2540 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าจัดหาครุภัณฑ์ดังกล่าว ทั้งนี้ โดยให้ทั้ง 2 หน่วยงานขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนและรายละเอียดต่อไป
13. ปริมาณการจำหน่าย ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในเดือนกรกฎาคม 2539 มีปริมาณ 1,558 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 268 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 และหากไม่รวมปริมาณการใช้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยแล้ว ปริมาณการจำหน่ายมีปริมาณ 1,420 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 213 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราเพิ่มร้อยละ 18
14. สรุปผลการจับกุม ในเดือนมกราคม -7 สิงหาคม 2539 สามารถจับกุมน้ำมันลักลอบหนีภาษีได้เป็นจำนวน 6.3 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากในช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 3.7 ล้านลิตร หรือประมาณ 2.5 เท่าของปีก่อน
ผลการจับกุมผู้กระทำผิดคดีลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
เปรียบเทียบเดือนมกราคม - 7 สิงหาคม 2539 กับช่วงเดียวกันของปีก่อน
หน่วยงานที่จับกุม | จำนวนคดี | ปริมาณน้ำมัน (ลิตร) | + เพิ่ม | ||
2538 | 2539 | 2538 | 2539 | - ลด | |
- กองทัพเรือ | 7 | 8 | 532,136 | 790,000 | 257,864 |
- กรมศุลกากร | 5 | 6 | 990,046 | 2,229,324 | 1,239,278 |
- กรมตำรวจ | 26 | 89 | 1,020,469 | 3,238,277 | 2,217,808 |
รวม | 38 | 103 | 2,542,651 | 6,257,601 | 3,714,950 |
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบ ในเดือนกรกฎาคมราคาน้ำมันดิบได้สูงขึ้นจากเดือนมิถุนายนมาอยู่ในระดับ $ 17.8-20.7 ต่อบาเรล โดยน้ำมันดิบปริมาณกำมะถันสูง สูงขึ้น $ 0.5-0.8 ต่อบาเรล และน้ำมันดิบชนิดเบาซึ่งมีปริมาณกำมะถันต่ำ สูงขึ้นมากกว่า $ 1 ต่อบาเรล สาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น เนื่องมาจากความต้องการน้ำมันดิบเข้ากลั่นของโรงกลั่นใหม่และความต้องการ ผลิตภัณฑ์น้ำมันที่สูงขึ้น ต่อมาในเดือนสิงหาคม ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้นอีก $ 0.9 ต่อบาเรล ขึ้นมาอยู่ในระดับ $ 18.6-21.9 ต่อบาเรล ทั้งนี้ เนื่องจากปริมาณสำรองน้ำมันดิบของทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ และจากการที่ความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันประเภท Middle Distillate (น้ำมันก๊าดและดีเซล) ได้เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ปริมาณสำรองของน้ำมันเหล่านั้นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระดับของปีที่ ผ่านมา ในช่วงต้นเดือนกันยายนราคาน้ำมันดิบได้ถีบตัวสูงขึ้นมาอีกประมาณ $1.5-2.0 ต่อบาเรล และทรงตัวอยู่ในระดับ $ 20.2-22.4 ต่อบาเรล เนื่องจากสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และความต้องการผลิตภัณฑ์ประเภท Middle Distillate
2. ราคาผลิตภัณฑ์ในตลาดจรสิงคโปร์ จากการที่โรงกลั่นในสิงคโปร์ (เอสโซ่ โมบิล และเชลล์) ได้ลดกำลังกลั่นลง ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์น้ำมันในตลาดสิงคโปร์ค่อนข้างตึงตัว ในขณะที่ความต้องการของน้ำมันก๊าด ดีเซล และเตาอยู่ในระดับสูง จึงมีผลทำให้ช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมราคาในตลาดจรของน้ำมันก๊าดสูงขึ้น $ 4.3 ต่อบาเรล และน้ำมันดีเซลและเตาสูงขึ้น $ 1 ต่อบาเรล แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าสิงคโปร์จะลดกำลังกลั่นลงแล้ว แต่ปริมาณน้ำมันเบนซินในตลาดเอเซียยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าความต้องการ จึงทำให้ราคาน้ำมันเบนซินได้เคลื่อนไหวในทางตรงกันข้าม โดยน้ำมันเบนซินพิเศษและธรรมดาลดลง $ 0.5-1.6 ต่อบาเรลตามลำดับ ต่อมา ในช่วงต้นเดือนกันยายน เหตุการณ์ในตะวันออกกลางได้ส่งผลกระทบทำให้ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันปรับตัวสูง ขึ้นไปอีก $ 0.5-2.4 ต่อบาเรล ตามชนิดผลิตภัณฑ์
3. สถานการณ์ราคาขายปลีกของไทย
- น้ำมันเบนซินพิเศษ ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมได้มีการปรับราคาขายปลีกลงมาทั้งสิ้น 28 สตางค์/ลิตร เปรียบเทียบกับราคาน้ำมันเบนซินพิเศษในตลาดจรสิงคโปร์ปรับลง $ 2.2 ต่อบาเรลหรือ 30 สตางค์/ลิตร และในเดือนกันยายนราคาน้ำมันเบนซินพิเศษได้ปรับขึ้นสุทธิ 5 สตางค์/ลิตร ในขณะที่ราคาในตลาดโลกที่ปรับขึ้น $ 0.5 ต่อบาเรล หรือ 10 สตางค์/ลิตร
- น้ำมันเบนซินธรรมดา ในเดือนกรกฏาคมและสิงหาคมมีการปรับราคาขายปลีกลงมาทั้งสิ้น 18 สตางค์/ลิตร เปรียบเทียบกับราคาน้ำมันเบนซินธรรมดาในตลาดจรสิงคโปร์ปรับลง $ 1.2 ต่อบาเรล หรือ 18 สตางค์/ลิตร และในเดือนกันยายนได้มีการปรับราคาขึ้นทั้งสิ้น 10 สตางค์/ลิตร ในขณะที่ราคาในตลาดโลกปรับขึ้นถึง $ 1.6 ต่อบาเรลหรือ 25 สตางค์/ลิตร
- น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในเดือนกรกฏาคมถึงกลางเดือนกันยายนได้มีการปรับราคาขายปลีกขึ้นทั้งสิ้น 40 สตางค์/ลิตร ซึ่งการปรับขึ้นทั้งหมดเป็นการปรับราคาขึ้นตามราคาในตลาดโลก ซึ่งสูงขึ้นถึง $ 2.4 ต่อบาเรล หรือ 40 สตางค์/ลิตร
- ค่าการตลาด ค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์ของประเทศในเดือนกรกฎาคม และสิงหาคม ที่ผ่านมาอยู่ในระดับ 1.09 บาท/ลิตร ซึ่งเป็นระดับปกติของค่าการตลาด แต่ในเดือนกันยายนค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันได้ลดลงมาอยู่ในระดับเพียง 00.090 บาท/ลิตร ซึ่งต่ำกว่าระดับปกติถึง 0.19 บาท/ลิตร สาเหตุที่ทำให้ค่าการตลาดลดลง เนื่องจากการปรับราคาขายปลีกขึ้นของไทยเป็นการปรับในลักษณะทยอยปรับทำให้ไม่ ทันกับราคาในตลาดโลกที่ปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2539 เรื่องการเพิ่มปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP) และเห็นชอบให้ สพช. และกระทรวงการคลังรับไปพิจารณาถึงความเหมาะสม ในการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยให้คำนึงถึงผลกระทบที่จะมีต่อเศรษฐกิจโดยส่วนรวม และให้รายงานผลต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
2. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2539 ได้รับทราบผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหาการส่งออก ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เสนอ และมีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามมติที่ประชุมเชิง ปฏิบัติการดังกล่าว ซึ่งในส่วนของแนวทางการลด ต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ได้มีมติให้ผู้บริหารระดับสูงจากภาคเอกชนหารือกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ (สพช.) เรื่องค่าไฟฟ้าและการยกเว้นระบบ TOD สำหรับโรงงานที่ต้องทำงาน 24 ชั่วโมง
3. การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2539 สพช. ได้หารือร่วมกับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และอยู่ระหว่างการหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับค่าไฟฟ้าและการยกเว้นระบบ TOD สำหรับโรงงานที่ต้องทำงาน 24 ชั่วโมง เมื่อได้ข้อสรุป จะนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
4. การศึกษาผลกระทบของการลดภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซล ที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า พบว่าการผลิตไฟฟ้าจากการใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ในปี 2538 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 29.8 ของปริมาณการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด โดยแยกเป็นน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซล ร้อยละ 26.99 และ 2.81 ตามลำดับ รายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากน้ำมันเชื้อเพลิง ในปี 2537-2538 เท่ากับ 46,969 และ 54,838 ล้านบาท ซึ่งรายได้จากภาษีน้ำมันที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า (น้ำมันเตาและน้ำมันดีเซล) จะอยู่ระหว่างร้อยละ 6.93-8.18 หรือประมาณ 3,254-4,487 ล้านบาท
หากรัฐบาลมีนโยบายยกเว้นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากน้ำมันที่ใช้ในการ ผลิตกระแสไฟฟ้า จะมีผลทำให้ภาษีเพื่อมหาดไทยและภาษีมูลค่าเพิ่มลดลงด้วยส่วนหนึ่ง และมีผลทำให้ราคาน้ำมันเตาลดลงประมาณ 0.67 บาท/ลิตร ราคาน้ำมันดีเซลลดลงประมาณ 2.35 บาท/ลิตร การยกเว้นการจัดเก็บภาษีดังกล่าว จะมีผลทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 5,282 ล้านบาท ซึ่งจะมีผลทำให้ค่าไฟฟ้าลดลงประมาณ 7.4 สตางค์/หน่วย
5. การศึกษาผลกระทบของการยกเว้นการนำรายได้ส่งรัฐ พบว่า หากรัฐบาลมีนโยบายให้ยกเว้นการนำเงินส่งรัฐของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จะมีผลทำให้รายได้ของรัฐลดลงประมาณ 8,496 ล้านบาท/ปี ซึ่งจะมีผลให้ค่าไฟฟ้าลดลงประมาณ 12 สตางค์/หน่วย
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
1. รัฐบาลออสเตรเลียได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มเอเปค (First Meeting of APEC Energy Ministers) ขึ้นเป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่ 28-29 สิงหาคม 2539 ณ นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย โดยเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านพลังงานของประเทศไทย และทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีพลังงานจากประเทศไทย และเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เดินทางไปร่วมประชุมรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มประเทศเอเปคในครั้งนี้
2. ผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค
2.1 หลักการนโยบาย ที่ประชุมรัฐมนตรีได้ให้การรับรอง "หลักการนโยบายพลังงานที่ไม่ผูกพัน 14 ประการ (14 NON-BINDING ENERGY POLICY PRINCIPLES)" และเห็นชอบให้ผนวกหลักการ นโยบายนี้เข้าไว้ในนโยบายเปิดเสรีทางด้านพลังงานของแต่ละประเทศ พร้อมทั้งให้ดำเนินการอย่างจริงจัง โดยยืดหยุ่นได้ตามที่เหมาะสม ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
(1) การพิจารณาประเด็นทางด้านพลังงาน จะต้องประสานสอดคล้องกับปัจจัยทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ ความมั่นคง และสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
(2) ดำเนินนโยบายเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการผลิต การจำหน่าย และการใช้พลังงาน
(3) ดำเนินนโยบายการเปิดตลาดทางด้านพลังงาน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางด้านการใช้พลังงานอย่างเหมาะสม ความมั่นคงทางด้านพลังงาน และสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งเสนอแนะการดำเนินการใดที่เหมาะสมในกลุ่มเอเปคเพื่อขจัดอุปสรรค ต่างๆ ที่อาจมี
(4) ให้มีมาตรการรองรับเพื่อให้มีการใช้พลังงานอย่างเหมาะสม โดยอาจเป็นการผสมผสานระหว่างนโยบายตลาดเสรีและการควบคุม ทั้งนี้ตามความเหมาะสมของแต่ละประเทศ
(5) พิจารณาลดการอุดหนุนต่างๆ ในสาขาพลังงานลงเป็นลำดับ พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีการดำเนินการทางด้านราคา เพื่อให้สะท้อนต้นทุนทางเศรษฐกิจในการจัดหาและการใช้พลังงานอย่างครบวงจร โดยคำนึงถึงต้นทุนทางด้านสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย
(6) แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันอย่างสม่ำเสมอ ในนโยบายพลังงานด้านต่างๆ ที่แต่ละประเทศได้ดำเนินการให้มีการใช้พลังงานอย่างเหมาะสมไปแล้ว
(7) ใช้หลักการต้นทุนต่ำสุด (least cost approach) ในการจัดหาบริการทางด้านพลังงาน
(8) ส่งเสริมให้มีการกำหนดนโยบายที่จะอำนวยความสะดวกในการถ่ายทอดเทคโนโลยีทาง ด้านพลังงานที่มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมได้ในเชิงพาณิชย์และโดยไม่มีข้อกีดกันใดๆ
(9) สนับสนุนให้มีการพัฒนาฝีมือทรัพยากรมนุษย์ในด้านการประยุกต์ใช้ และดำเนินการตามเทคโนโลยีที่ปรับปรุงแล้ว
(10) ยกระดับแผนงานด้านข้อมูลข่าวสารและการจัดการทางด้านพลังงาน เพื่อช่วยในการตัดสินใจในสาขาพลังงานให้เป็นไปอย่างเหมาะสม
(11) สนับสนุนการวิจัย การพัฒนา และการสาธิตทางด้านพลังงาน เพื่อนำไปสู่การประยุกต์ใช้อย่างคุ้มทุนของเทคโนโลยีด้านพลังงานที่ใหม่ มีประสิทธิภาพสูงกว่า และมีความเหมาะสมกับสภาวะแวดล้อม
(12) ส่งเสริมให้มีการไหลเวียนของเงินทุน โดยลดอุปสรรคต่างๆ ที่จะมีผลต่อการถ่ายทอดและการกำหนดให้ใช้เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานทางด้านพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า และเหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมมากกว่า
(13) ส่งเสริมมาตรการทางด้านประสิทธิผลของต้นทุน เพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ให้สามารถลดก๊าซเรือนกระจกลง เพื่อสนองตอบการเรียกร้องของภูมิภาคให้ลดภาวะก๊าซเรือนกระจกลง
(14) ร่วมมือกันตามระดับความจำเป็นในการพัฒนาของแต่ละประเทศ ในการร่วมกันดำเนินโครงการเพื่อลดมลพิษก๊าซเรือนกระจก โดยสอดคล้องกับอนุสัญญาการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (Climate Change Convention)
2.2 ศูนย์วิจัยพลังงานเอเซียแปซิฟิค (APERC) ที่ประชุมรัฐมนตรีได้ให้การสนับสนุนโครงการวิจัยต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศสมาชิกเกิดความเข้าใจในประเด็นด้านพลังงานและแนวโน้ม สถานการณ์พลังงานในอนาคต รวมทั้งผลจากนโยบายด้านพลังงานของประเทศสมาชิกอีกด้วย
2.3 การระดมทุนเพื่อพัฒนาบริการพื้นฐานด้านไฟฟ้า ที่ประชุมรัฐมนตรีได้เห็นชอบแผนงาน ที่เสนอแนะโดย "กลุ่มธุรกิจเฉพาะกิจ (AD HOC BUSINESS FORUM)" และ "กลุ่มผู้กำกับดูแลด้านไฟฟ้า (ELECTRICITY REGULATORS' FORUM)" เพื่ออำนวยความสะดวกการลงทุนของภาคธุรกิจในสาขาไฟฟ้า
2.4 การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการผลิตและการใช้พลังงาน ที่ ประชุมรัฐมนตรีเห็นชอบให้ใช้วิธีการเชิงกลยุทธ และให้ประสมประสานการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อมเข้าไว้ในขบวนการวางแผนและ ประเมินผลโครงการพื้นฐานด้านไฟฟ้าด้วย
2.5 การลดต้นทุนด้วยความร่วมมือทางด้านมาตรฐานพลังงาน ที่ประชุม รัฐมนตรีเห็นชอบให้จัดทำหลักพื้นฐาน เพื่อให้มีการรับรองร่วมกันสำหรับสถาบันทดสอบต่างๆ ที่ผ่านการรับรองแล้ว และผลการทดสอบมาตรฐานที่ได้จากสถาบันเหล่านี้ เพื่อให้ลดต้นทุนและอำนวยความสะดวกด้านการค้าระหว่างประเทศสมาชิก พร้อมทั้งจัดทำหลักพื้นฐานสำหรับการเปรียบเทียบกันได้โดยตรง ระหว่างผลการทดสอบตามมาตรฐานที่แตกต่างกัน เพื่อลดหรือเลิกการทดสอบที่ซ้ำซ้อนกันเสีย
2.6 ในการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งแรก ณ นครซิดนีย์ นี้ ได้มีปฏิญญา (DECLARATION) ร่วมกัน โดยมีสาระสำคัญให้การรับรองหลักการนโยบายด้านพลังงานของเอเปคที่ไม่ผูกพัน 14 ประการ ซึ่งจะได้นำเสนอผู้นำเอเปคเพื่อพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป ณ อ่าวซูบิค ประเทศฟิลิปปินส์ ในเดือนพฤศจิกายน 2539
3. ความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับหลักการนโยบายที่ไม่ผูกพัน 14 ประการ
3.1 หลักการนโยบายที่ไม่ผูกพันทั้ง 14 ประการนี้ เป็นแนวทางที่ประเทศไทยควรให้การรับรอง เพราะสอดคล้องกับแนวนโยบายและการปฏิบัติที่ประเทศไทยได้ดำเนินการไปแล้วเป็น ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะตลาดพลังงานของไทยที่ค่อนข้างเสรี ดังนั้นการให้การรับรองหลักการนโยบายในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อไทยมากขึ้น เพราะจะช่วยเปิดตลาดพลังงานในประเทศสมาชิกอื่นที่ยังไม่ได้เปิดเสรีและเป็น อุปสรรคต่อผู้ลงทุนของไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศอยู่ในขณะนี้
3.2 สำหรับเรื่องที่อยู่เกินขอบเขตของพลังงาน ซึ่งได้แก่ เรื่องมาตรฐานพลังงาน และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะภาวะก๊าซเรือนกระจกนั้น สพช. ได้ขอความเห็นจากส่วนราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งได้แก่ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน และสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม ปรากฏว่าไม่มีส่วนราชการใดขัดข้อง
มติของที่ประชุม
1.ที่ประชุมรับทราบสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปคครั้งแรก ณ นครซิดนีย์
2.อนุมัติให้ดำเนินการและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับไปดำเนินการตามหลักการนโยบายพลังงานที่ไม่ผูกพัน 14 ประการ ซึ่งที่ประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปคได้ให้ความเห็นชอบ และกำหนดให้ทุกประเทศสมาชิกดำเนินการ เพื่อเปิดตลาดพลังงานอย่างเสรีต่อไป
เรื่องที่ 5 การประกวดราคาน้ำมันเตาของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535 ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ อนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สามารถซื้อน้ำมันเตาจากผู้ค้าน้ำมันอื่นๆ ได้ โดยไม่ต้องซื้อจากการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เพียงรายเดียว และในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2535 ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่องสัญญาซื้อขายน้ำมันเตาระหว่าง กฟผ. กับ ปตท. และวิธีการดำเนินการในการให้ กฟผ. ซื้อน้ำมันเตาจากผู้ค้าน้ำมันอื่นๆ โดยได้กำหนดรายละเอียดของคุณสมบัติของผู้เข้าประกวดราคาและเงื่อนไขการ ประกวดราคาสำหรับปริมาณการซื้อขายในระดับร้อยละ 20 ของความต้องการใช้น้ำมันเตาทั้งหมดในแต่ละปีของ กฟผ.
2. เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2539 กฟผ. ได้ดำเนินการเรียกประกวดราคาน้ำมันเตาในส่วนของปริมาณการซื้อขายในระดับร้อย ละ 20 ของความต้องการใช้น้ำมันเตาทั้งหมดในแต่ละปีของ กฟผ. ในปริมาณทั้งสิ้นประมาณ 3,908 ล้านลิตร เป็นเวลา 3 ปี (ปีงบประมาณ 2540-2542) ตามประกวดราคาเลขที่ กฟผ. (ฟ)-ซ 14/2539 โดยกำหนดให้มีการเปิดซองประกวดราคาในวันที่ 27 สิงหาคม 2539
3. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้พิจารณาประกาศประกวดราคาน้ำมันเตาดังกล่าวแล้วเห็นว่า ประกาศประกวดราคาน้ำมันเตาได้กำหนดคุณสมบัติของผู้ประสงค์จะยื่นซองประกวด ราคาให้ "เป็นผู้มีประสบการณ์ในการค้าน้ำมัน...."นั้น เป็นข้อความที่ไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดให้ผู้ประกวดราคา "เป็นผู้มีประสบการณ์ในการค้าน้ำมันเตา....." จึงได้มีหนังสือแจ้งให้ กฟผ. พิจารณาดำเนินการแก้ไขประกาศดังกล่าวให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี
4. กฟผ. จึงได้ดำเนินการออกประกาศแก้ไขประกาศประกวดราคาดังกล่าวแล้ว และได้ทำการเลื่อนกำหนดวันยื่นและเปิดซองจากเดิม วันที่ 27 สิงหาคม 2539 ไปเป็นวันที่ 11 กันยายน 2539 แต่ต่อมา เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2539 กฟผ. ได้ดำเนินการประกาศยกเลิกการประกวดราคาน้ำมันเตาเนื่องจากมีความจำเป็นจะ ต้องปรับปรุงสาระสำคัญในเอกสารประกวดราคาบางส่วนเพื่อความสมบูรณ์ ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการดำเนินการอีกระยะหนึ่ง
5. กรรมาธิการการพลังงานสภาผู้แทนราษฎร (นายสุชน ชามพูนท) ได้มีหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาเรื่อง ประกาศประกวดราคาซื้อน้ำมันเตา โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
(1) ประกาศประกวดราคาซื้อน้ำมันเตาดังกล่าว ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้ประกวดราคาแตกต่างจากข้อกำหนดคุณสมบัติตามมติคณะ รัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2535 ดังนี้
- ประกาศเดิม : "เป็นผู้มีประสบการณ์ในการค้าน้ำมันเตา......"
- ประกาศใหม่ : "เป็นผู้มีประสบการณ์ในการค้าน้ำมัน..........."
(2) การประกวดราคาครั้งใหม่ ควรจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดที่ประชาชนจะได้รับ โดยน่าจะกำหนดเงื่อนไขดังต่อไปนี้
- ควรเพิ่มปริมาณน้ำมันเตาที่จะเรียกประมูลจากเดิม เป็นร้อยละ 30 ของน้ำมันเตาทั้งหมดที่ กฟผ. ใช้ และขยายเวลาเป็น 5 ปี
- ต้องเป็นบริษัทไทยที่เป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง และเป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ยกเว้น ปตท. มีสิทธิตามเดิมที่จะเข้าประกวดราคาได้
- มีเงินทุนหมุนเวียน และเครดิตไลน์จากธนาคารและสถาบันการเงิน รวมกันแล้ว ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท
- ต้องเป็นผู้มีประสบการณ์ค้าน้ำมันเตามาแล้วไม่น้อยกว่า 200 ล้านลิตร
6. สพช. ได้พิจารณาข้อเสนอของกำหนดเงื่อนไขของกรรมาธิการการพลังงานแล้ว มีความเห็น ดังนี้
(1) การกำหนดคุณสมบัติของผู้ประสงค์จะยื่นซองประกวดราคาให้เป็นผู้ที่มี ประสบการณ์ในการค้าน้ำมันเตาตามมติคณะรัฐมนตรีในปัจจุบัน นั้น เป็นการกำหนดขอบเขตที่รัดกุมโดยจำกัดคุณสมบัติให้อยู่ในวงแคบเพื่อประโยชน์ สำหรับ กฟผ. อยู่พอสมควรแล้ว หากจะมีการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมตามข้อเสนอของกรรมาธิการการพลังงาน แม้จะมีข้อดีคือเป็นการสงวนผลประโยชน์จากการจำหน่ายให้ตกอยู่กับบริษัทไทย แต่ก็อาจมีผลเสียคือ เป็นการจำกัดขอบเขตให้แคบลงยิ่งขึ้นโดยจะทำให้จำนวนของผู้เข้าร่วมประมูลมี น้อยลงจนไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการที่จะส่งเสริมการแข่งขัน อย่างเสรีในวงกว้าง
(2) การขยายเวลาเป็น 5 ปี ซึ่งจะรวมไปถึงปีงบประมาณ 2543-2544 จะขัดกับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2539 ซึ่งได้กำหนดให้หน่วยงานต่างๆ ของรัฐ รวมทั้ง กฟผ. จัดซื้อเชื้อเพลิงได้อย่างเสรีตั้งแต่เดือนตุลาคม 2541 เป็นต้นไป ยกเว้นว่าจะมีสัญญาระยะยาวกับ ปตท. ดังนั้น หากจะให้มีการดำเนินการกำหนดเงื่อนไขการประมูลตามข้อเสนอของกรรมาธิการการ พลังงานดังกล่าวแล้ว จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจาก ปตท. ในการแก้ไขสัญญาระยะยาวระหว่าง กฟผ. กับ ปตท.
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย รับไปดำเนินการหาข้อสรุปในเรื่องเงื่อนไขในการประกวดราคาซื้อขายน้ำมันเตาใน ส่วนร้อยละ 20 ตามผลการพิจารณาของที่ประชุม และให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 6 การเพิ่มอัตราสำรองของน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร
1. รองนายกรัฐมนตรี (นายสมัคร สุนทรเวช) ขอให้ที่ประชุมพิจารณา เรื่อง การเพิ่มอัตราสำรองของน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 10 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2540 เป็นต้นไป โดยขอทราบเหตุผลของการที่ต้องเพิ่มอัตราดังกล่าว และผลกระทบต่อผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
2. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายมนตรี ด่านไพบูลย์) ได้เรียนชี้แจงต่อที่ประชุมเกี่ยวกับความเป็นมาของการแก้ไขปรับปรุงอัตราการ สำรอง ซึ่งจะมีผลกระทบทำให้น้ำมันที่นำเข้ามีต้นทุนเพิ่มขึ้น 47 สตางค์/ลิตร และจะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น เนื่องจากน้ำมันเป็นปัจจัยการผลิตสินค้า กระทรวงพาณิชย์จึงเห็นว่าไม่ควรเพิ่มอัตราสำรองดังกล่าว และอัตราสำรองเดิมร้อยละ 5 น่าจะเพียงพอโดยไม่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของประเทศ และหากเกิดวิกฤติการณ์น้ำมันก็สามารถเพิ่มอัตราสำรองขึ้นภายหลังได้
3. เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมว่า การเพิ่มอัตราสำรองของน้ำมันที่นำเข้าดังกล่าวมีความมุ่งหมายที่จะแก้ไขความ เสียเปรียบของผู้ผลิตน้ำมันในประเทศต่อผู้นำเข้า เพราะในปัจจุบันผู้ผลิตในประเทศต้องสำรองร้อยละ 10 ประกอบด้วยการสำรองน้ำมันดิบร้อยละ 5 และน้ำมันสำเร็จรูปร้อยละ 5 ผู้นำเข้าจึงควรสำรองในอัตราร้อยละ 10 เช่นกัน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันในการแข่งขันภายใต้ระบบราคาน้ำมันลอยตัว ผลกระทบต่อต้นทุนการสำรองน้ำมันของประเทศจะเกิดขึ้นน้อยมาก เพราะในปี 2540 คาดว่าจะมีการนำเข้าน้อยมาก เนื่องจากประเทศไทยสามารถผลิตน้ำมันเบนซินและดีเซลใช้ได้อย่างเพียงพอ และผู้นำเข้าจะไม่สามารถขึ้นราคาจำหน่ายน้ำมันที่นำเข้าเพราะต้องแข่งขัน ราคากับผู้ผลิตในประเทศ ซึ่งจะไม่ขึ้นราคาเพราะสำรองในอัตราร้อยละ 10 อยู่แล้วในปัจจุบัน ดังนั้น ปัญหาราคาสินค้าสูงขึ้น เพราะราคาน้ำมันจะไม่เกิดขึ้น
4. นอกจากนั้นเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมว่า สาเหตุที่ไม่ได้นำเรื่องนี้มานำเสนอในที่ประชุม เพราะทางกระทรวงพาณิชย์ไม่ได้ส่งเรื่องมาให้ แต่ได้เสนอไปยังคณะรัฐมนตรี
5. ที่ประชุมได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์เสนอเรื่องนี้ไปยังคณะรัฐมนตรี จึงไม่ควรพิจารณากันในที่ประชุมนี้ แต่ควรไปพิจารณากันในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
กพช. ครั้งที่ 58 - วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2539
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 4/2539 (ครั้งที่ 58)
วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.ความคืบหน้าในการเจรจาซื้อไฟฟ้าจาก สปป. ลาว
2.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3.มาตรการเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
4.การเพิ่มปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP)
6.นโยบายราคาก๊าซธรรมชาติและการกำกับดูแล
นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ความคืบหน้าในการเจรจาซื้อไฟฟ้าจาก สปป. ลาว
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2539 เห็นชอบใน หลักการของร่างบันทึกความเข้าใจร่วมเรื่อง ความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว เพื่อให้ใช้แทนบันทึกความเข้าใจฉบับวันที่ 4 มิถุนายน 2536 โดยมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รับไปเจรจาในรายละเอียดเพื่อให้เป็นไปตามหลักการที่ได้รับอนุมัติ โดยให้ กฟผ. ดำเนินการเจรจาเพื่อให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่อง ความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว บันทึกความเข้าใจร่วมของโครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสา และสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน-หินบุน หากมีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเรื่อง การยอมรับบังคับคดีตามผลการตัดสินของอนุญาโตตุลาการของสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โครงการ น้ำเทิน-หินบุน จนเป็นที่พอใจแล้ว และให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดการลงนามในบันทึกความเข้าใจและสัญญา ต่าง ๆ ในโอกาสที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เยือน สปป.ลาว ในระหว่างวันที่ 19-20 มิถุนายน 2539
2. กฟผ. กระทรวงการต่างประเทศ และ สพช. ได้ดำเนินการตามมติที่ได้รับมอบหมาย ดังกล่าวข้างต้น โดยมีผลการดำเนินงานสรุปได้ดังนี้
2.1 ได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับ รัฐบาล สปป. ลาว เรื่องความร่วมมือด้านการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว เพื่อขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจาก 1,500 เมกะวัตต์ เพิ่มเป็น 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2549 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศไทย (นายอำนวย วีรวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของ สปป.ลาว (นายสมสะหวาด เล่งสะหวัด) โดยมี ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีของทั้ง 2 ประเทศ ร่วมเป็นสักขีพยาน ซึ่งบันทึกดังกล่าวมีสาระสำคัญที่แตกต่างจาก ฉบับเดิม ดังนี้
(1) การขยายปริมาณรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 1,500 เมกะวัตต์ เพิ่มเป็น 3,000 เมกะวัตต์
(2) ขยายระยะเวลาสิ้นสุดการรับซื้อไฟฟ้าจากปี 2543 ไปจนถึงปี 2549
(3) ยินดีจะพิจารณาการก่อสร้างระบบสายส่งไฟฟ้าผ่านดินแดนของกันและกันเพื่อขนส่งไฟฟ้าไปยังประเทศที่สาม
(4) ให้มีการยอมรับผลการตัดสินของอนุญาโตตุลาการ
(5) บันทึกความตกลงครั้งนี้ ลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
2.2 ได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน-หินบุน โดยผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กับ ผู้แทนกลุ่มผู้พัฒนาโครงการน้ำเทิน-หินบุน
2.3 กระทรวงการต่างประเทศ สปป.ลาว ได้มีหนังสือที่ 1742/AE.TD ลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สปป.ลาว เพื่อยืนยันว่า รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายคำไซ สุภานุวง) ได้รับมอบอำนาจจากรัฐบาล สปป.ลาว ให้เป็นผู้ลงนามในหนังสือที่ 804/PMO ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2538 ในนามของรัฐบาล สปป.ลาว ซึ่งเป็นหนังสือแสดงการยอมรับบังคับคดีตามผลการตัดสินของอนุญาโตตุลาการ ดังกล่าว
3. สำหรับบันทึกความเข้าใจร่วมของโครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสานั้น ไม่ได้มีการลงนามเนื่องจาก รัฐบาล สปป.ลาว ต้องการแก้ไขสัญญากับผู้ลงทุน เพื่อให้รัฐบาล สปป.ลาว เข้าร่วมถือหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าด้วย ขณะนี้ผู้ลงทุนกำลังรอความเห็นชอบจากรัฐบาล สปป.ลาว ให้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับ กฟผ. ได้
4. สปป.ลาว มีโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนาเพื่อผลิตไฟฟ้าที่สำคัญ 11 โครงการ รวมกำลังผลิตประมาณ 4,800 เมกะวัตต์ คิดเป็นเงินลงทุนโครงการโดยประมาณ 7,308 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 182,700 ล้านบาท การเจรจาซื้อขายไฟฟ้าในปัจจุบันมีความคืบหน้าโดยมีโครงการที่สามารถ ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว 1 โครงการ (โครงการน้ำเทิน-หินบุน) โครงการที่ตกลงอัตราค่าไฟฟ้า และอยู่ระหว่างการเจรจาจัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 3 โครงการ (โครงการน้ำเทิน 2 โครงการห้วยเฮาะ และโครงการลิกไนต์หงสา) รวมกำลังการผลิต1,625 เมกะวัตต์ จึงยังเหลือปริมาณพลังไฟฟ้าที่จะรับซื้ออีกประมาณ 1,400 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเลือกซื้อจากโครงการที่เหลือ โดยมีรายละเอียดการรับซื้อไฟฟ้าของโครงการใน สปป.ลาวดังนี้
4.1 โครงการใหม่ที่จะดำเนินการเจรจาภายใต้บันทึกความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาล สปป. ลาว ฉบับใหม่ ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2539
(1) โครงการน้ำงึม 3 มีกำลังผลิตติดตั้ง 400 เมกะวัตต์ กลุ่มผู้พัฒนาโครงการประกอบด้วย รัฐบาล สปป. ลาว และบริษัท เอ็ม ดี เอ็กซ์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ประเทศไทย และขณะนี้กลุ่ม ผู้พัฒนาโครงการเสนออัตราค่าไฟฟ้า (ปี 2537) เท่ากับ 4.51 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง โดยให้ ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มได้ร้อยละ 3 ต่อปี จนถึงวันเดินเครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้า และนับจากวันเดินเครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้าให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 ต่อปี ตามอัตราการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯและไทย ในสัดส่วนที่เท่ากัน
(2) โครงการน้ำงึม 2 มีกำลังผลิตติดตั้ง 465 เมกะวัตต์ กลุ่มผู้พัฒนาโครงการประกอบด้วย Shlapak Development Company, Bilfinger & Berger, J.M. Voith GmbH, Noell GmbH, Siemens AG, บริษัท ช. การช่าง จำกัด, และบริษัทศรีอู่ทอง จำกัด และขณะนี้กลุ่มผู้พัฒนาโครงการได้เสนออัตราค่าไฟฟ้าเท่ากับ 5.47 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง โดยให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มได้ร้อยละ 3 ต่อปี ในระหว่างก่อสร้าง และนับจากวันเดินเครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้าให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.75 ต่อปี
(3) โครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสาระยะที่ 2 เป็นโครงการผลิตไฟฟ้าขนาด 600 เมกะวัตต์ โดยมีบริษัท ไทยลาวลิกไนท์ จำกัด เป็นผู้พัฒนาโครงการ ขณะนี้ กฟผ. ได้เจรจากับกลุ่ม ผู้พัฒนาโครงการแล้ว เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2539 และสามารถตกลงราคาไฟฟ้าที่จะรับซื้อเฉลี่ยตลอดโครงการในช่วงเวลา 25 ปี (Levelized) ที่อัตรา 5.60 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง
(4) โครงการเซเปียน-เซน้ำน้อย กำลังผลิตติดตั้ง 395 เมกะวัตต์ หรือ 465 เมกะวัตต์ กลุ่ม ผู้พัฒนาโครงการประกอบด้วย รัฐบาล สปป. ลาว Dong Ah Construction Industrial Company/เกาหลีใต้ และ Electrowatt Engineering Services Ltd./สวิสเซอร์แลนด์ ขณะนี้กลุ่มผู้พัฒนาโครงการได้เสนออัตรา ค่าไฟฟ้าโดยแบ่งเป็น 2 กรณี คือ
กรณีที่ 1 กำลังผลิตติดตั้ง 395 เมกะวัตต์ อัตราค่าไฟฟ้า Firm Energy เท่ากับ 5.02 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และอัตราค่าไฟฟ้า Secondary Energy เท่ากับ 2.27 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มได้ร้อยละ 3 ต่อปี ในระหว่างก่อสร้างแต่ไม่เกิน 6 ปี และนับจากวันเดินเครื่องจำหน่ายกระแสไฟฟ้า ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มได้ร้อยละ 1 ต่อปีกรณีที่ 2 กำลังผลิตติดตั้ง 465 เมกะวัตต์ อัตราค่าไฟฟ้า Firm Energy เท่ากับ 5.21 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และอัตราค่าไฟฟ้า Secondary Energy เท่ากับ 2.27 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มได้ร้อยละ 3 ต่อปี ในระหว่างก่อสร้าง แต่ไม่เกิน 6 ปี และนับจากวันเดินเครื่องจำหน่ายกระแสไฟฟ้าแล้วให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มได้ ร้อยละ 1 ต่อปี
(5) โครงการน้ำเทิน 3 กำลังผลิตติดตั้ง 190 เมกะวัตต์ โดยมีบริษัท Heard Energy Corporation/สหรัฐอเมริกา เป็นผู้พัฒนาโครงการ ขณะนี้ผู้พัฒนาโครงการได้ศึกษาความเหมาะสมแล้วเสร็จ
4.2 โครงการอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ สปป. ลาว แต่มิได้นำเสนอมาเป็นทางการ
(1) โครงการเซคามาน 1 มีกำลังผลิตติดตั้ง 468 เมกะวัตต์ กลุ่มผู้พัฒนาโครงการ ประกอบด้วย รัฐบาล สปป. ลาว บริษัท Hydro Electric Commission Enterprises Corporation/ออสเตรเลีย และบริษัท ศรีอู่ทอง จำกัด และขณะนี้กลุ่มผู้พัฒนาโครงการได้เสนออัตราค่าไฟฟ้า (ปี 2537) เท่ากับ 4.99 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มร้อยละ 3 ต่อปี ในระหว่างก่อสร้าง และ นับจากวันเดินเครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้าแล้วให้ปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อย ละ 1.5 ต่อปี
(2) โครงการน้ำเทิน 1 มีกำลังผลิตติดตั้ง 540 เมกะวัตต์ กลุ่มผู้พัฒนาโครงการ ประกอบด้วย รัฐบาล สปป. ลาว และบริษัท สยามสหบริการ จำกัด (SUSCO) ขณะนี้กลุ่มผู้พัฒนาโครงการได้เสนอร่างรายงานการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2538 และนำเสนออัตราค่าไฟฟ้าในราคา 4.69 เซนต์สหรัฐฯต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง
5. คณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว (คปฟ.-ลาว) และคณะกรรมการพลังงานและไฟฟ้าแห่ง สปป.ลาว ได้มีการประชุมปรึกษาหารือ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2539 เพื่อพิจารณา ความพร้อมของระบบสายส่งของ กฟผ. ที่จะรับไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ณ ที่ระบบเชื่อมโยงของสถานีไฟฟ้าย่อยของ กฟผ. ที่จุดส่งมอบ 3 จุด ดังนี้
มุกดาหาร 2 โดยจะรับจากโครงการน้ำเทิน 1, น้ำเทิน 2, น้ำเทิน 3 เซคามาน 1, เซเปียน-เซน้ำน้อย, และโครงการอื่นๆ จากตอนกลางของ สปป.ลาว คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จภายในปี 2544หนองคาย 2 โดยจะรับจากโครงการน้ำงึม 3, น้ำงึม 2, และโครงการอื่นๆ จากทางตอนเหนือของ สปป.ลาว คาดว่าการก่อสร้าง จะแล้วเสร็จภายในปี 2545แม่เมาะ จะรับจากโครงการโรงไฟฟ้าลิกไนต์หงสา ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จภายในปี 2544
ส่วนระบบเชื่อมโยงสายส่งของโครงการห้วยเฮาะ ซึ่งได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจไปแล้ว เมื่อเดือนมกราคม 2538 คาดว่าระบบเชื่อมโยงสายส่งจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2541
6. ความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว เพื่อจำหน่ายให้แก่ประเทศไทย นอกจากจะเป็นการจัดหาพลังงานไฟฟ้าเพื่อสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศที่ เพิ่มขึ้นสูงในปริมาณเฉลี่ย 1,950 เมกะวัตต์ต่อปี ซึ่งโครงการต่างๆจะเริ่มก่อสร้างเสร็จและส่งไฟฟ้าขายให้ประเทศไทยได้ตั้งแต่ ปี 2541 เป็นต้นไปแล้ว ความร่วมมือดังกล่าวยังมีผลให้ สปป.ลาว มีรายได้เป็นเงินตรา ต่างประเทศเพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศต่อไป :กล่าวคือ จะทำให้ สปป. ลาว มีรายได้สูงถึง ปีละ 627 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 16,000 ล้านบาทต่อปี จากโครงการซื้อขายไฟฟ้า 4 โครงการแรกในปริมาณรับซื้อไฟฟ้า 1,625 เมกะวัตต์ และหากมีการขยายปริมาณการรับซื้อเพิ่มเป็น 3,000 เมกะวัตต์ จะทำให้ สปป.ลาว มีรายได้เพิ่มเป็น 1,050 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี หรือประมาณ 27,000 ล้านบาทต่อปี เทียบเท่ากับร้อยละ 40 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (Gross Domestic Product) ของลาว ในปี 2545 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
1.ที่ประชุมรับทราบ
2.มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำรายงานความคืบหน้าในการเจรจาซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว เพื่อให้คณะกรรมการฯ ทราบในการประชุมทุกครั้ง
เรื่องที่ 2 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนถึง กลางเดือนกรกฎาคม มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ราคาน้ำมันดิบในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมมีการเปลี่ยนแปลงทั้งขึ้นและลง โดยใน ช่วงครึ่งแรกของเดือนมิถุนายนราคาน้ำมันดิบได้ลดลงจากเดือนก่อนประมาณ 1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งมีสาเหตุมาจากปริมาณการผลิตสูงกว่าปริมาณความต้องการ ต่อมาในช่วงครึ่งหลังของเดือนมิถุนายนราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 0.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็นผลจากความต้องการใช้น้ำมันดิบ ของโรงกลั่นต่างๆ โดยเฉพาะแถบทวีปเอเชีย ซึ่งได้มีการเปิดดำเนินการของโรงกลั่นใหม่และโรงกลั่นที่ ปิดซ่อมแซมประจำปีกลับมาดำเนินการตามปกติ นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ที่อิรัคไม่อนุญาตให้ผู้แทนจากองค์การสหประชาชาติตรวจค้นคลัง อาวุธและการลอบวางระเบิดในค่ายทหารสหรัฐอเมริกาในซาอุดิอารเบีย ทำให้ราคาน้ำมันดิบขึ้นมาอยู่ในระดับ 17.45-20.45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ต่อมาสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นสมาชิกในสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ได้ใช้สิทธิยับยั้งแผนปฏิบัติการส่งออกน้ำมันที่อิรัคเสนอต่อสภา ความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทำให้ราคาน้ำมันดิบในครึ่งแรกของเดือนกรกฎาคม ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 0.9 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ขึ้นมาอยู่ในระดับ 17.94 -21.36 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. ในเดือนมิถุนายนราคาของผลิตภัณฑ์น้ำมันทุกประเภทในตลาดจรสิงคโปร์ได้ปรับตัว ลดลง เนื่องจากในย่านเอเซียตะวันออกไกลกำลังกลั่นได้เพิ่มสูงขึ้น จากโรงกลั่นใหม่ที่เกิดขึ้นในไทย จีน และเกาหลี รวมทั้งโรงกลั่นในเกาหลีและญี่ปุ่นที่ปิดซ่อมแซมประจำปีได้กลับมาทำการกลั่น ตามปกติ โดยมีราคาของผลิตภัณฑ์น้ำมันประเภทต่างๆ ดังนี้
น้ำมันเบนซิน ในเดือนมิถุนายนได้ปรับตัวลดลง 2.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และในครึ่งแรกของเดือนกรกฎาคม ราคาน้ำมันเบนซินได้ลดลงอีก 1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลงมาอยู่ในระดับ 23.8 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลน้ำมันก๊าด ราคาในเดือนมิถุนายนได้อ่อนตัวลง 2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ต่อมาในเดือนกรกฎาคมราคาได้สูงขึ้นมา 0.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ขึ้นมาอยู่ในระดับ 24.3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ราคาในเดือนมิถุนายนได้ปรับตัวลดลง 2 เหรียญสหรัฐฯต่อ บาร์เรล และในเดือนกรกฎาคมในช่วงแรกได้ปรับตัวสูงขึ้น 1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ขึ้นมาอยู่ในระดับ 25.4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลน้ำมันเตา ราคาในเดือนมิถุนายนและครึ่งแรกของเดือนกรกฎาคมได้ปรับตัวลดลง 1.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลงมาอยู่ในระดับ 14.1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
3. สถานการณ์ราคาขายปลีกน้ำมันของประเทศ มีดังนี้
น้ำมันเบนซิน ในเดือนมิถุนายนได้มีการปรับราคาขายปลีกลง 4 ครั้ง และใน ครึ่งแรกของเดือนกรกฎาคมได้ปรับตัวลงอีก 0.10 บาท/ลิตร ลดลงรวมทั้งสิ้น 0.47 บาท/ลิตร ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่วและเบนซินธรรมดาไร้สารตะกั่ว ณ กลางเดือนกรกฎาคม อยู่ในระดับ 9.24 และ 8.69 บาท/ลิตร ตามลำดับ
น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในเดือนมิถุนายนได้ปรับราคาขายปลีกลง 4 ครั้ง ลดลงรวม 0.22 บาท/ลิตร ต่อมาในช่วงปลายเดือนมิถุนายนราคาน้ำมันดีเซลในตลาดจรได้ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ราคาขายปลีกของประเทศในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมปรับตัวสูงขึ้นอีก 0.10 บาท/ลิตร ขึ้นมาอยู่ในระดับ 8.36 บาท/ลิตร
ค่าการตลาด ในเดือนมิถุนายนอยู่ในระดับ 1.1222 บาท/ลิตร สูงกว่าระดับค่าการตลาดของเดือนพฤษภาคมเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในระดับปกติ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 มาตรการเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ความคืบหน้าในการดำเนินการ สรุปได้ดังนี้
1.1 การให้เอกชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบน้ำมัน กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้า มาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 114) พ.ศ. 2539 เพื่อให้ มีผู้ตรวจวัดอิสระในการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้ กรมทะเบียนการค้า ได้ออกประกาศกรมทะเบียน การค้า เรื่อง กำหนดชนิดน้ำมันที่ต้องจัดให้มีผู้ตรวจวัดอิสระ คุณสมบัติของผู้ตรวจวัดอิสระและแบบรายงานผลการตรวจสอบน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อกำหนดรายละเอียดให้การนำเข้าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วต้องมี การตรวจวัดโดยผู้ตรวจวัดอิสระ ทั้งนี้ ประกาศกระทรวงพาณิชย์และประกาศกรมทะเบียนการค้า ดังกล่าว ได้มีผลใช้บังคับแล้ว แต่เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีผู้ตรวจวัดอิสระรายใดแจ้งขอขึ้นทะเบียนต่อกรม ทะเบียน การค้า ดังนั้น เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อผู้นำเข้าโดยสุจริต อธิบดีกรมทะเบียนการค้าจะผ่อนผันการนำเข้าให้ ระยะหนึ่ง และเมื่อผู้ตรวจวัดอิสระได้มาขึ้นทะเบียนแล้ว ทางกรมทะเบียนการค้าจะบังคับใช้กฎหมายและรายงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่ง ชาติทราบในการประชุมครั้งต่อไป
1.2 การติดตั้งมิเตอร์ดีเซลหมุนเร็ว กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการติดตั้งมิเตอร์ในคลังน้ำมันดีเซลหมุนเร็วซึ่งแต่ เดิมมีทั้งหมด 38 คลัง แต่เนื่องจากมีคลังน้ำมันเลิกดำเนินกิจการ 1 คลัง จึงคงเหลือ คลังที่ต้องดำเนินการติดตั้งมิเตอร์จำนวน 37 คลัง ซึ่งขณะนี้คลังน้ำมันจำนวน 30 คลัง ได้ก่อสร้าง เสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังคงเหลืออีก 7 คลัง ที่ดำเนินการไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากมีการแก้ไขเพิ่มเติมแบบก่อสร้าง และเหตุอื่นๆ โดยคลังที่เหลือจำนวน 6 คลัง กรมสรรพสามิตจะสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม 2539 และคาดว่าคลังสุดท้ายจะแล้วเสร็จในราวเดือนกันยายน 2539 นี้
1.3 ปริมาณการจำหน่ายและผลการจับกุม มีดังนี้
(1) ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในเดือนพฤษภาคม 2539 มีปริมาณ 1,538 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 122 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 และหากไม่รวมปริมาณการใช้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยแล้ว ปริมาณการจำหน่ายมีปริมาณ 1,441 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 87 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 6
(2) ผลการจับกุมของหน่วยงานปราบปราม ในเดือนมิถุนายน 2539 - วันที่ 13 กรกฎาคม 2539 สามารถจับกุมน้ำมันลักลอบนำเข้าได้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 1.8 ล้านลิตร โดยกองทัพเรือ สามารถจับกุมเรือที่ดำเนินการลักลอบนำเข้าน้ำมันดีเซลได้บริเวณจังหวัด ชลบุรี จำนวน 26,000 ลิตร กรมศุลกากรสามารถจับกุมเรือบริเวณจังหวัดตราดและรถบรรทุกน้ำมันที่ดำเนินการ ลักลอบนำเข้า น้ำมันดีเซลจำนวน 23,053 ลิตร และ 8,000 ลิตร ตามลำดับ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สามารถจับกุมรถบรรทุกน้ำมันและเรือบริเวณจังหวัดนราธิวาสที่ดำเนินการลักลอบ นำเข้าน้ำมันดีเซลได้ จำนวน 1,782,263 ลิตร รวมผลการจับกุมในปี 2539 ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงวันที่ 13 กรกฎาคม 2539 เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 5.9 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากในช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 3.9 ล้านลิตร หรือประมาณ 3 เท่า
2. ข้อเสนอการยกเลิกมาตรการที่ซ้ำซ้อน
กรมศุลกากร ได้เสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณายกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2535 ซึ่งกำหนดให้มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบ การลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยกรมศุลกากรเป็นเจ้าของเรื่อง เนื่องจากในปัจจุบันคณะรัฐมนตรีได้กำหนดมาตรการต่างๆ เพิ่มเติมหลายประการ ประกอบกับได้มีมติให้กองทัพเรือเป็นศูนย์กลางใน การปราบปราม และให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ทำหน้าที่ศูนย์รวมการประสานงานทั้งหน่วยปราบปรามทางบกและทางทะเลแล้ว
3. ข้อเสนอมาตรการเพิ่มเติม
จากการประชุมศูนย์รวมการประสานงานปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อ เพลิง เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2539 ที่ประชุมฯ ได้มีการพิจารณาและเสนอมาตรการเพิ่มเติม เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงมีความ รัดกุมยิ่งขึ้น ดังนี้
3.1 มาตรการเร่งรัดให้ติดตั้งมิเตอร์ในคลังเพิ่มเติม ให้กรมสรรพสามิตเร่งดำเนินการติดตั้งมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงเข้า-ออกจาก คลัง และมาตรวัดน้ำมันคงเหลือแบบ Automatic Leveling Gauge ในคลังน้ำมัน 4 แห่ง ที่ยินยอมติดตั้งมาตรวัดของกรมสรรพสามิตแล้วโดยเร็ว คือ คลังของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศรีวรา ที่จังหวัดสมุทรปราการ คลังของบริษัท แสตนดาร์ดออยล์ (1990) จำกัด ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช คลังของบริษัท ท่าทองปิโตรเลียม จำกัด ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และคลังของบริษัท คอสโมออยล์ จำกัด ที่จังหวัดสมุทรปราการ
3.2 มาตรการติดตั้งมิเตอร์ในคลังน้ำมันเบนซิน เนื่องจากพระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474 มีช่องโหว่ที่ผู้ลักลอบค้าน้ำมันเชื้อเพลิง อาจนำน้ำมันชนิดธรรมดา (น้ำมันก๊าดและน้ำมันเครื่องบิน) และน้ำมันชนิดที่ไม่น่ากลัวอันตราย (น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว) ไปเก็บไว้ในคลังของน้ำมันชนิดน่ากลัวอันตราย (น้ำมันเบนซิน) ดังนั้น จึงมีข้อเสนอมาตรการเพื่อปิดช่องโหว่ ดังนี้
(1) มอบหมายให้กรมสรรพสามิตรับไปดำเนินการพิจารณาติดตั้งมาตรวัดปริมาณน้ำมัน เชื้อเพลิงเข้า-ออกจากคลัง และมาตรวัดน้ำมันคงเหลือแบบ Automatic Leveling Gauge ในคลังน้ำมันเบนซินชายฝั่งทุกแห่ง
(2) มอบหมายให้กรมโยธาธิการ ดำเนินการตรวจสอบคลังน้ำมันชายฝั่งทุกแห่งว่ามี การเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ถูกต้องตามชนิดที่แจ้งไว้แก่กรมโยธาธิการหรือไม่
3.3 มาตรการติดตั้งมิเตอร์ในคลังสินค้าทัณฑ์บน ตามประกาศกรมศุลกากรที่ 12/2539 เรื่อง ระเบียบเกี่ยวกับคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับเก็บน้ำมัน ลงวันที่ 7 มีนาคม 2539 เพื่อส่งเสริมการค้าน้ำมันและผ่อนคลายภาระการชำระภาษีของผู้นำเข้า รวมทั้ง สนับสนุนการสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคงของประเทศนั้น ปัจจุบันกรมศุลกากรได้อนุมัติให้มีคลังสินค้าทัณฑ์บนได้ 1 แห่ง คือ บริษัท ไทยพับลิคพอร์ต จำกัด ตั้งอยู่บนเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ทั้งนี้ คลังสินค้าทัณฑ์บนจะใช้เก็บน้ำมันเพื่อการนำเข้าหรือส่งออกได้รวม 6 ชนิด คือ น้ำมันดิบ น้ำมันเตา น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันเบนซิน น้ำมันเครื่อง หรือน้ำมันอื่นๆ ตามที่อธิบดี อนุญาต และสามารถเก็บไว้ได้ไม่เกิน 6 เดือน นับแต่วันนำเข้า โดยไม่ต้องชำระภาษีหรืออาจส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศได้ด้วย ดังนั้น คลังสินค้าทัณฑ์บนดังกล่าว อาจถูกผู้ลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงใช้เป็นสถานที่ลักลอบนำเข้าน้ำมัน เชื้อเพลิงได้ จึงมีข้อเสนอให้กำหนดมาตรการ ดังนี้
(1) ให้กรมศุลกากรประสานงานกับกรมสรรพสามิตพิจารณาติดตั้งมิเตอร์ ทั้งขาเข้า และออกจากคลัง รวมทั้งอุปกรณ์วัดน้ำมันคงเหลือแบบ Automatic Leveling Gauge และนำผลการรายงานปริมาณน้ำมันเข้า-ออกจากคลัง และคงเหลือในถังตรวจเช็คกับใบขนสินค้าทุกครั้ง
(2) ให้กรมศุลกากรระงับการอนุญาตให้จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับเก็บ น้ำมันเชื้อเพลิงไว้ก่อน จนกว่าปัญหาความเสี่ยงภัยในการเกิดการลักลอบจะได้รับการแก้ไขเสร็จเรียบร้อย
(3) ให้หน่วยงานปราบปรามเฝ้าระวังการขนส่งน้ำมันของคลังสินค้าทัณฑ์บนเป็นพิเศษ
3.4 การควบคุมผลิตภัณฑ์เคมีปิโตรเลียมและสารละลาย ตามที่กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการปรับปรุงการควบคุมการนำผลิตภัณฑ์เคมี ปิโตรเลียมและสารละลายที่ได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิตที่ ออกจากโรงอุตสาหกรรมให้รัดกุมยิ่งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 แล้ว ปรากฏว่าในเดือนมิถุนายน 2539 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกเข้าจับกุมแหล่งปลอมปนน้ำมัน ซึ่งใช้ผลิตภัณฑ์สารละลาย (Solvent) เพื่อปลอมปนในน้ำมันเบนซินได้ 1 แห่ง และจากผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงพบว่า ได้มีการนำผลิตภัณฑ์สารละลายมาผสมและจำหน่ายในสถานีบริการบริเวณภาคตะวันออก เฉียงเหนือเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงควรกำหนดมาตรการ ดังนี้
(1) มอบหมายให้กรมสรรพสามิต กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและสารละลายที่ ใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรม เป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในพิกัดของภาษีสรรพสามิตและให้มีการชำระ ภาษีเมื่อออกจากโรงอุตสาหกรรมก่อน และขอคืนภาษีได้ในภายหลังหากนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้า
(2) มอบหมายให้กรมตำรวจและกรมทะเบียนการค้าร่วมกันตรวจสอบคุณภาพน้ำมัน เชื้อเพลิงโดยจัดรถตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเคลื่อนที่ออกตรวจคุณภาพน้ำมันเชื้อ เพลิงที่สถานีบริการ ทั่วราชอาณาจักร หากพบผิดให้ดำเนินคดีทุกราย
3.5 การเติมสาร Marker ในน้ำมันที่เสียภาษีแล้ว ในการตรวจสอบน้ำมันลักลอบในสถานี บริการและรถบรรทุกน้ำมัน เจ้าหน้าที่ตำรวจประสบปัญหาไม่สามารถพิสูจน์ได้ในทันทีว่าน้ำมันที่ จับได้นั้นเป็นน้ำมันลักลอบหรือไม่ ทำให้ต้องตั้งฟ้องในความผิดอื่น เช่น ไม่มีใบอนุญาตจำหน่ายน้ำมัน ไม่มีใบกำกับการขนส่งน้ำมัน ฯลฯ ดังนั้น จึงควรพิจารณานำมาตรการเติมสาร Marker ที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2538 ให้ชะลอการเติมสารดังกล่าวไว้ก่อนกลับ นำมาใช้ โดยมีมาตรการดังนี้
(1) ให้กรมสรรพสามิตเร่งพิจารณาเติมสาร Marker ในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ชำระภาษีสรรพสามิตแล้ว ทั้งน้ำมันที่ผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ พร้อมทั้งพิจารณาจัดหาอุปกรณ์ การตรวจสอบสาร Marker ให้แก่หน่วยปราบปรามอย่างเพียงพอ
(2) มอบหมายให้กรมสรรพสามิตเป็นศูนย์รวมการเติมสาร Marker เพื่อให้สามารถ ควบคุมการเก็บรักษาและการเติมสาร Marker ได้อย่างรัดกุม
(3) ให้กรมสรรพสามิตจัดอบรมให้คำแนะนำวิธีการตรวจสอบแก่หน่วยงานปราบปราม เช่น กรมตำรวจ กรมศุลกากร และกองทัพเรือ
3.6 การปรับปรุงใบกำกับการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง การดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2538 ที่กำหนดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบรถบรรทุกน้ำมันว่ามีเอกสารใบกำกับการขน ส่งของกรมทะเบียนการค้าหรือไม่นั้น ปรากฏว่าประสบปัญหาในการ ตรวจสอบ เนื่องจากรูปแบบใบกำกับการขนส่งแตกต่างกัน และไม่มีการจัดทำสำเนาเอกสารไว้ให้ชัดเจน ทำให้รถบรรทุกบางคันใช้ภาพถ่ายสำเนาใบกำกับการขนส่งมาแสดงแก่เจ้าหน้าที่ ดังนั้น จึงได้มีการกำหนดแนวทางแก้ไข ดังนี้
(1) ควรมอบหมายให้กรมทะเบียนการค้าและ สพช. รับไปพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2535) เรื่อง กำหนดวิธีการและเงื่อนไขในการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง โดยกำหนดแบบใบกำกับการขนส่งเพิ่มเติมขึ้นอีกฉบับหนึ่ง เพื่อใช้สำหรับการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งต้องมีลักษณะเข้าใจได้ง่ายและเป็นรูปแบบเดียวกัน เพื่อไม่ให้กระทบต่อใบกำกับการขนส่งเดิมที่ผู้ค้าใช้อยู่ในปัจจุบัน
(2) เมื่อได้ปรับปรุงแก้ไขประกาศกระทรวงพาณิชย์แล้ว มอบหมายให้กรมทะเบียน การค้าและ สพช. รับไปชี้แจงทำความเข้าใจการตรวจสอบแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย
3.7 การเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมทะเบียนการค้า) แก้ไข กฎกระทรวงพาณิชย์ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2526) และให้กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการ) แก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 6 แต่งตั้งให้นายตำรวจ ซึ่งได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานเป็นหัวหน้าชุดศูนย์ป้องกันและปราบปรามการนำ เข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (ศปนม.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กรมตำรวจ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 และตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474
3.8 มาตรการส่งเสริมการปราบปรามและจัดเก็บภาษี เนื่องจากกรมสรรพากรขาดรายละเอียดที่ จำเป็น เพื่อใช้เป็นฐานในการประเมินภาษีเงินได้ของเจ้าของเรือประมงดัดแปลงที่ ลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและผู้เช่าเรือดังกล่าวที่ถูกจับกุมได้ ซึ่งเป็นมาตรการเสริมในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้น จึงมีข้อเสนอเพิ่มเติม ดังนี้
(1) มอบหมายให้หน่วยงานปราบปรามทุกหน่วยส่งบันทึกการจับกุมเรือหรือรายงานการจับ กุมเรือให้แก่กรมสรรพากรทุกครั้งและทันทีที่จับกุมเรือได้ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบประเมินภาษีต่อไป
(2) มอบหมายให้หน่วยงานปราบปรามทุกหน่วยส่งบันทึกการจับกุมหรือรายงาน การจับกุมให้แก่กรมเจ้าท่าทุกครั้งและทันทีที่จับกุมเรือลักลอบนำเข้า สัญชาติไทยได้ และให้กรม เจ้าท่าพิจารณาว่าเรือดังกล่าวได้ดัดแปลงเรือในลักษณะที่ผิดกฎหมายหรือไม่ และการดัดแปลงนั้นเกิดขึ้นเมื่อใด ก่อนหรือหลังการให้เช่า และแจ้งผลการตรวจสอบให้หน่วยปราบปรามที่จับกุมได้ทราบ รวมทั้งกรมสรรพากรด้วย
3.9 การเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ในเขตต่อเนื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มี พระบรมราชานุญาตประกาศเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรไทย เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2538 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เสนอร่างพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. .... เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว เพื่อพิจารณาเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ศุลกากรให้สามารถปฏิบัติงานในเขต "ต่อเนื่อง" ระหว่าง 12-24 ไมล์ทะเลได้ สพช. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าถึงแม้ประเทศไทยจะได้ประกาศเขตต่อเนื่อง ในช่วง 12-24 ไมล์ทะเลแล้ว แต่หากร่างพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับ ยังไม่ผ่านการพิจารณาของสภา จะทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่มีอำนาจกระทำการในเขตต่อเนื่องได้ และความมุ่งหมายในการขยายพื้นที่การปราบปรามในทะเลจะไม่บรรลุผล จึงเห็นควรเสนอให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมเร่งรัดให้มีการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับ ดังกล่าว เพื่อให้ประกาศใช้ได้โดยเร็ว
3.10 แนวทางการเก็บภาษี ณ จุดปลายทางหรือลดภาษี คณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2539 มอบหมายให้ สพช. รับไปดำเนินการศึกษาและพิจารณา แนวทางร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดเก็บภาษี ณ จุดปลายทาง หรือลดภาษีเพื่อลดแรงจูงใจในการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจากผลการศึกษาได้ข้อสรุป ดังนี้
(1) ยังไม่ควรเปลี่ยนไปจัดเก็บภาษี ณ จุดปลายทางโดยใช้วิธีเก็บจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ สถานีบริการแทน จนกว่ากรมสรรพากรจะสามารถดำเนินการให้สถานีบริการทุกแห่งภายในประเทศเข้า สู่ระบบเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อใช้เป็นฐานในการจัดเก็บภาษีในระดับค้าปลีกทั้งหมดต่อไป
(2) ไม่ควรจัดเก็บภาษีจากปลายท่อหรือคลังน้ำมัน เนื่องจากยังมีการขายน้ำมัน บางส่วน โดยไม่ผ่านท่อขนส่งหรือคลังน้ำมัน จึงช่วยลดแรงจูงใจได้ไม่มาก
(3) มอบหมายให้ สพช. รับไปศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีจากป้ายวงกลมรถยนต์ดีเซลแทนและให้เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณา
3.11 การควบคุมน้ำมันที่ส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ให้กรมตำรวจและกรมศุลกากรร่วมกันควบคุมและตรวจสอบการขนส่งน้ำมันไปยัง สปป.ลาว อย่างเข้มงวด เนื่องจากพบว่า ได้มีการนำน้ำมันที่ส่งออกไปยัง สปป.ลาว กลับมาใช้ในประเทศไทย และใช้หลักฐาน การส่งออกนั้นมาขอคืนภาษีจากรัฐบาลในภายหลัง
3.12 การนำเรือน้ำมันออกไปลอยลำจำหน่ายกลางทะเล คณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2539 มอบหมายให้ สพช. รับไปศึกษาและพิจารณาแนวทางในการนำเรือน้ำมันออกไปลอยลำจำหน่ายให้แก่เรือ ประมงกลางทะเล โดยให้หน่วยงานของรัฐเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งจากผลการศึกษาได้ข้อสรุปว่า มาตรการนำเรือน้ำมันออกไปลอยลำจำหน่ายกลางทะเลยังไม่ควรดำเนินการ ในชั้นนี้ เนื่องจากการซื้อขายมีลักษณะที่ไม่มีการทำสัญญาระหว่างกัน จึงอาจเป็นปัญหาต่อ ปตท. ในการเสี่ยงต่อภาวะหนี้สูญ และสมาคมประมงยังไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ความช่วยเหลือในเรื่องนี้ได้
3.13 กองทัพเรือขอรับการสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ ด้วย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้ เดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจปราบปรามทางทะเล (ศอปล.) เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2539 และสั่งการให้จัดหาระบบตรวจการณ์กลางคืนติดตั้งกับเรือและอากาศยาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อ เพลิงในเวลากลางคืน กองทัพเรือจึงได้เสนอแผนการจัดซื้อและขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดหา อุปกรณ์ตรวจการณ์ กลางคืน เพื่อติดตั้งกับเครื่องบินของกองทัพเรือ จำนวน 6 เครื่อง และกล้องตรวจการณ์กลางคืนในเรือ จำนวน 20 กล้อง เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 240 ล้านบาท
3.14 กรมเจ้าท่าขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่าย กรมเจ้าท่า ได้ขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2540 ในโครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ทางทะเลขนาด 130 ฟุต จำนวน 3 ลำ ในวงเงิน 450 ล้านบาท เนื่องจากกรมเจ้าท่ามีพื้นที่ในความรับผิดชอบกว้างขวางมาก แต่มีเรือตรวจการณ์ทางทะเลเป็นเรือขนาดเล็กเพียง 4 ลำ จึงทำให้การตรวจการณ์ทางทะเลไม่สามารถตรวจตราได้ครอบคลุมพื้นที่รับผิดชอบ ทั้งในเขตทะเลอาณาเขตและทะเลต่อเนื่องได้ ซึ่งโครงการจัดซื้อเรือตรวจการณ์ขนาดใหญ่นี้กรมเจ้าท่าได้ขอแปรญัตติเพื่อ จัดหาแล้วและกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา และหากกรมเจ้าท่าไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณตามที่ได้ขอแปรญัตติไปแล้ว กรมเจ้าท่าจึงขอเสนอให้ช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายจำนวน 450 ล้านบาท ในปี 2541 ด้วย
มติของที่ประชุม
1.รับทราบรายงานผลความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงของหน่วยงานต่างๆ
2.ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2535 ซึ่งอนุมัติให้จัดตั้งคณะทำงานโดยมี กรมศุลกากรเป็นเจ้าของเรื่อง เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจาก เป็นมาตรการที่ซ้ำซ้อนกัน
3.เห็นชอบกับมาตรการเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
3.1 มาตรการเร่งรัดให้ติดตั้งมิเตอร์ในคลังเพิ่มเติม
ให้กรมสรรพสามิตเร่งดำเนินการติดตั้งมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงเข้า-ออก จากคลังและมาตรวัดน้ำมันคงเหลือแบบ Automatic Leveling Gauge ในคลังทั้ง 4 แห่ง ที่กรมสรรพากรจูงใจให้ยินยอมติดตั้งมิเตอร์แล้วโดยเร็ว โดยให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ รับไปพิจารณาดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในการติดตั้งมิเตอร์ดังกล่าวด้วย
3.2 มาตรการติดตั้งมิเตอร์ในคลังน้ำมันเบนซิน
(1) ให้กรมสรรพสามิตรับไปดำเนินการพิจารณาติดตั้งมาตรวัดปริมาณน้ำมัน เชื้อเพลิงเข้า-ออกจากคลัง และมาตรวัดน้ำมันคงเหลือแบบ Automatic Leveling Gauge ในคลังน้ำมันเบนซินชายฝั่งทุกแห่ง และนำผลการพิจารณาเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมคราว ต่อไป
(2) ให้กรมโยธาธิการดำเนินการตรวจคลังน้ำมันชายฝั่งทุกแห่งว่ามีการเก็บ น้ำมันเชื้อเพลิงไว้ถูกต้องตามชนิดที่แจ้งไว้แก่กรมโยธาธิการหรือไม่ และให้รายงานผลการตรวจสอบให้ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติทราบในการประชุมคราวต่อไป
3.3 มาตรการติดตั้งมิเตอร์ในคลังสินค้าทัณฑ์บน
(1) ให้กรมศุลกากรประสานงานกับกรมสรรพสามิตพิจารณาติดตั้งมิเตอร์ทั้งขาเข้า และออกจากคลัง รวมทั้งอุปกรณ์วัดน้ำมันคงเหลือแบบ Automatic Leveling Gauge และนำผลการรายงานปริมาณน้ำมันเข้า-ออกจากคลัง และปริมาณคงเหลือในถังตรวจเช็คกับใบขนสินค้าทุกครั้ง
(2) ให้กรมศุลกากรระงับการอนุญาตให้จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับ เก็บน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ก่อน จนกว่าปัญหาความเสี่ยงภัยในการเกิดการลักลอบจะได้รับการแก้ไขเสร็จเรียบร้อย แล้ว
(3) ให้หน่วยงานปราบปรามทุกหน่วยเฝ้าระวังการขนส่งน้ำมันเข้า-ออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไปเป็นพิเศษ
3.4 การควบคุมผลิตภัณฑ์เคมีปิโตรเลียมและสารละลาย
(1) ให้กรมสรรพสามิตพิจารณากำหนดให้ผลิตภัณฑ์เคมีปิโตรเลียมและสารละลายที่ใช้ เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในพิกัดของภาษีสรรพสามิต และให้มีการชำระภาษีเมื่อออกจากโรงอุตสาหกรรมก่อนและขอคืนภาษีได้ในภายหลัง หากนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้า
(2) ให้กรมตำรวจและกรมทะเบียนการค้าร่วมกันตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง โดยจัด รถตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเคลื่อนที่ออกตรวจคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงที่สถานี บริการทั่วราชอาณาจักร หากพบการกระทำผิดให้ดำเนินคดีทุกราย
3.5 การเติมสาร Marker ในน้ำมันที่เสียภาษีแล้ว
(1) ให้กรมสรรพสามิตเร่งพิจารณาเติมสาร Marker ในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ชำระภาษีสรรพสามิตแล้ว ทั้งน้ำมันที่ผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ พร้อมทั้งพิจารณาจัดหาอุปกรณ์ การตรวจสอบสาร Marker ให้แก่หน่วยปราบปรามอย่างเพียงพอ
(2) ให้กรมสรรพสามิตเป็นศูนย์รวมการเติมสาร Marker เพื่อให้สามารถควบคุม การเก็บรักษาและเติมสาร Marker ได้อย่างรัดกุม
(3) ให้กรมสรรพสามิตจัดอบรมให้คำแนะนำวิธีการตรวจสอบแก่หน่วยปราบปราม เช่น กรมตำรวจ กรมศุลกากร และกองทัพเรือ
3.6 การปรับปรุงใบกำกับการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง
(1) ให้กรมทะเบียนการค้าและ สพช. รับไปพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมประกาศ กระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2535) เรื่อง กำหนดวิธีการและเงื่อนไขในการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง โดยกำหนดแบบใบกำกับการขนส่งเพิ่มเติมขึ้นอีกฉบับหนึ่งเพื่อใช้สำหรับการตรวจ สอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งต้องมีลักษณะเข้าใจได้ง่ายและเป็นรูปแบบเดียวกัน เพื่อไม่ให้กระทบต่อใบกำกับการขนส่งเดิมที่ผู้ค้าใช้อยู่ในปัจจุบัน
(2) เมื่อได้ปรับปรุงแก้ไขประกาศกระทรวงพาณิชย์แล้ว ให้กรมทะเบียนการค้าและ สพช. รับไปชี้แจงทำความเข้าใจการตรวจสอบแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย
3.7 การเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ตำรวจ
(1) ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมทะเบียนการค้า) แก้ไขกฎกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2526) แต่งตั้งให้นายตำรวจซึ่งได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานเป็นหัวหน้าชุดในศูนย์ ป้องกันและปราบปรามการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (ศปนม.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กรมตำรวจ เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521
(2) ให้อธิบดีกรมโยธาธิการและผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องมอบอำนาจให้นาย ตำรวจ ซึ่งได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการเป็นหัวหน้าชุดในศูนย์ดังกล่าว มีอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474
3.8 มาตรการส่งเสริมการปราบปรามและจัดเก็บภาษี
(1) ให้หน่วยงานปราบปรามทุกหน่วยส่งบันทึกการจับกุมเรือหรือรายงานการจับกุมเรือให้แก่กรมสรรพากรทุกครั้งและทันทีที่จับกุมเรือได้
(2) ให้หน่วยงานปราบปรามทุกหน่วยส่งบันทึกการจับกุมหรือรายงานการจับกุมให้แก่ กรมเจ้าท่าทุกครั้ง และทันทีที่จับกุมเรือลักลอบนำเข้าสัญชาติไทยได้ และให้กรมเจ้าท่าพิจารณาว่าเรือ ดังกล่าวได้ดัดแปลงเรือในลักษณะที่ผิดกฎหมายหรือไม่ และการดัดแปลงนั้นเกิดขึ้นเมื่อใดก่อนหรือหลังการให้เช่า และแจ้งผลการตรวจสอบให้หน่วยปราบปรามที่จับกุมได้ทราบ รวมทั้งกรมสรรพากรด้วย
3.9 การเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ในเขตต่อเนื่อง
ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมเร่งรัดให้มีการพิจารณาร่างพระราช บัญญัติศุลกากร พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. .... เพื่อให้ประกาศใช้ได้โดยเร็ว
3.10 แนวทางการเก็บภาษี ณ จุดปลายทางหรือลดภาษี
(1) ให้ชะลอการจัดเก็บภาษี ณ จุดปลายทางโดยใช้วิธีเก็บจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ สถานีบริการ จนกว่ากรมสรรพากรจะสามารถดำเนินการให้สถานีบริการทุกแห่งภายในประเทศเข้าสู่ ระบบเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้ทั้งหมด และให้ชะลอการจัดเก็บภาษีจากปลายท่อหรือคลังน้ำมันไว้ด้วย
(2) ให้สพช. รับไปศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีจากป้ายวงกลมรถยนต์ดีเซลแทน และนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาต่อไป
3.11 การควบคุมน้ำมันที่ส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ให้กรมตำรวจและกรมศุลกากรร่วมกันควบคุมและตรวจสอบการขนส่งน้ำมันไปยัง ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อไม่ให้มีการแจ้งส่งออกแต่ไม่ส่งไปจริง
3.12 การนำเรือน้ำมันออกไปลอยลำจำหน่ายกลางทะเล
ให้ระงับมาตรการนำเรือน้ำมันออกไปลอยลำจำหน่ายกลางทะเลไว้ก่อนในชั้นนี้
3.13 การสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์และค่าใช้จ่าย
(1) ให้สำนักงบประมาณพิจารณาดำเนินการให้กองทัพเรือได้รับเงิน งบประมาณ จำนวน 240 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ในการตรวจการณ์ในเวลากลางคืน
(2) ให้สำนักงบประมาณพิจารณาดำเนินการให้กรมเจ้าท่าได้รับเงินงบประมาณ จำนวน 450 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อเรือตรวจการณ์ขนาด 130 ฟุต จำนวน 3 ลำ
4.ให้ สพช. ติดตามการดำเนินการตามมาตรการในข้อ 3 และรายงานผลให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติทราบในครั้งต่อไป
เรื่องที่ 4 การเพิ่มปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP)
สรุปสาระสำคัญ
1. การพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าชุดเดือนเมษายน 2539 ซึ่งเป็นชุดล่าสุด คาดว่าความต้องการไฟฟ้าจะสูงขึ้นมากกว่าการพยากรณ์ชุดเดือนมิถุนายน 2537 ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ใช้เป็นฐานในการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (พ.ศ. 2538-2554) หรือ PDP 95-01 กล่าวคือ คาดการณ์ว่าความต้องการพลังไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 1,640 เมกะวัตต์ ในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 (ปี 2540-2544) และจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นเฉลี่ยปีละ 1,847 เมกะวัตต์ ในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 (ปี 2545-2549) ดังนั้น คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ จึงได้มีมติเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2539 มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางการขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้า เอกชน (IPP) เพื่อสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
2. การดำเนินการในการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน IPP สรุปได้ดังนี้
2.1 กฟผ. ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (รอบแรก) จำนวน 3,800 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2537 และกำหนดยื่นข้อเสนอในวันที่ 30 มิถุนายน 2538 แยกเป็น
ระยะที่ 1 จำนวน 1,000 เมกะวัตต์ กำหนดแล้วเสร็จปี 2539-2543ระยะที่ 2 จำนวน 2,800 เมกะวัตต์ กำหนดแล้วเสร็จปี 2544 และ 2545
ต่อมาเมื่อเดือนเมษายน 2538 กฟผ. ได้ประกาศรับซื้อเพิ่มอีกประมาณ 10% รวมกำลังผลิตที่ต้องการซื้อทั้งสิ้นประมาณ 4,200 เมกะวัตต์
2.2 เมื่อถึงวันกำหนดยื่นข้อเสนอในวันที่ 30 มิถุนายน 2538 มีผู้ยื่นข้อเสนอ 32 ราย รวม 50 โครงการ ซึ่งประกอบด้วยข้อเสนอทั้งสิ้น 88 ทางเลือก รวมกำลังผลิตทั้งสิ้น 37,500 เมกะวัตต์ หรือประมาณ 9 เท่าของกำลังผลิตที่ต้องการ โดยใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติ 37 ราย ถ่านหิน 12 ราย และออริมัลชั่น 1 ราย
2.3 การประเมินและคัดเลือกข้อเสนอจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ได้ดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอ จากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน โดยพิจารณาจากปัจจัย ด้านราคา (Price Factor) 60% ปัจจัยด้านอื่นๆ นอกเหนือจากราคา (Non-Price Factors) 40% ซึ่งพิจารณาแต่ละโครงการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ ผลิตไฟฟ้าเอกชน
2.4 โครงการที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรก รวมทั้งสิ้น 21 โครงการ แยกเป็นระยะที่ 1 จำนวน 13 โครงการ กำลังการผลิตรวม 6,184 เมกะวัตต์ ระยะที่ 2 จำนวน 8 โครงการ กำลังการผลิตรวม 8,250 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย โครงการที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง 16 โครงการ ใช้ถ่านหิน 4 โครงการ และใช้ออริมัลชั่น 1 โครงการ
2.5 ขณะนี้ กฟผ. อยู่ระหว่างการเจรจาในรายละเอียดเพื่อคัดเลือกโครงการที่เหมาะสมให้ได้ตาม ปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการ IPP จำนวน 4,200 เมกะวัตต์
3. สพช. และ กฟผ. ได้พิจารณาทางเลือกในการจัดหาไฟฟ้าเพื่อสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ตามผลการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าชุดเดือนเมษายน 2539 โดยพิจารณาความเป็นไปได้ของทางเลือกต่างๆ และได้นำเสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2539 เพื่อให้ความเห็นชอบ 2 ทางเลือก คือ
3.1 เห็นชอบให้มีการพิจารณาขยายปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (SPP) ในช่วงปี 2539-2543 จาก 1,444 เมกะวัตต์ เพิ่มเป็น 3,200 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการรับซื้อไฟฟ้า
3.2 เห็นชอบให้มีการพิจารณาเพิ่มปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป. ลาว จาก 1,500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2543 เป็น 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2549 ซึ่งได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่อง ความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2539 ณ นครเวียงจันทน์ ในคราวที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เดินทางไปเยือน สปป. ลาว
4. สพช. และ กฟผ. ได้พิจารณาเพิ่มปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน IPP เพื่อสนองความต้องการไฟฟ้าชุดเดือนเมษายน 2539 โดยคำนึงถึงการขยายปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก และการเพิ่มปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป. ลาว รวมทั้งความคืบหน้าของโครงการที่ กฟผ. ดำเนินการเองตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. (พ.ศ. 2539-2554) หรือ PDP 95-01 สรุปผลการพิจารณาได้ ดังนี้
4.1 การขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP สำหรับในช่วงเวลาปัจจุบันถึงปี 2546 ให้ดำเนินการคัดเลือกจากข้อเสนอที่ได้ยื่นต่อ กฟผ. ไปแล้วตามประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ในรอบแรก ทั้งนี้เพราะ ระยะเวลาในการดำเนินการค่อนข้างสั้น หากจะออกประกาศการรับซื้อไฟฟ้า รอบใหม่จะไม่สามารถดำเนินการได้ทันตามกำหนดเวลา โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการประเมินและ คัดเลือกข้อเสนอจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรับไปดำเนินการ ดังนี้
ปี 2543 : ให้เพิ่มการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP อีก 300 เมกะวัตต์ จากโครงการที่ยื่น ข้อเสนอมาในระยะที่ 1 ที่มีความสอดคล้องกับความสามารถของระบบสายส่งในช่วงเวลาดังกล่าว
ปี 2545 : ให้เพิ่มการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP อีก 700 เมกะวัตต์ จากโครงการที่ได้ยื่น ข้อเสนอมาในระยะที่ 2 (ปี 2544-2545) เนื่องจากคาดว่า โครงการ IPP ในระยะที่ 2 ขนาด 2,800 เมกะวัตต์ จะรับซื้อได้ในปี 2544 ทั้งหมด
ปี 2546 : ให้เพิ่มการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP อีก 600 เมกะวัตต์ ในปี 2546 จากโครงการที่ได้ยื่นข้อเสนอมาในระยะที่ 2 เพื่อสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
สรุปปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP
หน่วย: เมกะวัตต์
เดิม | เพิ่ม | รวม | |
ปี 2542-2543 (ค.ศ. 1999-2000) | 1,400 | 300 | 1,700 |
ปี 2544 (ค.ศ. 2001) | 2,800 | 0 | 2,800 |
ปี 2545 (ค.ศ. 2002) | 0 | 700 | 700 |
ปี 2546 (ค.ศ. 2003) | 0 | 600 | 600 |
รวม | 4,200 | 1,600 | 5,800 |
4.2 สำหรับการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นไป ในขณะนี้ยังมีเวลาเพียงพอ ในการออกประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP รอบใหม่ จึงสมควรมอบหมายให้ กฟผ. และ สพช. ร่วมกันพิจารณาความเหมาะสมของปริมาณรับซื้อไฟฟ้าและแนวทางการรับซื้อไฟฟ้า รวมทั้งจัดทำประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในรูปของ IPP ในรอบที่ 2 สำหรับการรับซื้อไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นไป แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้ความเห็นชอบ เพื่อให้สามารถดำเนินการออกประกาศรับซื้อไฟฟ้ารอบใหม่ได้ในกลางปี 2540
5. การรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มจาก IPP อีก 1,600 เมกะวัตต์ จะทำให้ประเทศไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพียงพอต่อการตอบสนองความต้องการโดยมี ปริมาณสำรองในระดับที่เหมาะสม กล่าวคือ กำลังผลิต ติดตั้งของระบบไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 34,109 เมกะวัตต์ ในเดือนกันยายน 2546 เพียงพอกับความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด 25,506 เมกะวัตต์ ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยมีกำลังผลิตสำรองประมาณร้อยละ 27
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบในหลักการให้มีการเพิ่มการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP) ในช่วงปี 2543 ถึงปี 2546 จำนวน 1,600 เมกะวัตต์ โดยคัดเลือกจากโครงการที่ได้ยื่นข้อเสนอต่อ กฟผ. แล้ว ตามประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP ในรอบแรก โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ ผลิตไฟฟ้าเอกชนรับไปดำเนินการต่อไป
2.ให้ กฟผ. และ สพช. ร่วมกันพิจารณาความเหมาะสมของปริมาณรับซื้อไฟฟ้า และแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP) รวมทั้งจัดทำประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในรูปของ IPP ในรอบที่ 2 สำหรับการรับซื้อตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นไป แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้ความเห็นชอบเพื่อให้สามารถ ดำเนินการออกประกาศการรับซื้อไฟฟ้ารอบใหม่ได้ ในกลางปี 2540
3.ให้ สพช. และกระทรวงการคลังรับไปพิจารณาถึงความเหมาะสมในการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตา และน้ำมันดีเซลที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยให้คำนึงถึงผลกระทบที่จะมีต่อเศรษฐกิจโดยส่วนรวมด้วยและให้รายงานผลการ พิจารณาต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีหนังสือขออนุมัติให้ ปตท. ลงนามใน Heads of Agreement กับบริษัท Oman LNG L.L.C. (OLNG) เพื่อนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวในปี 2546 ถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เพื่อพิจารณานำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาอนุมัติในหลักการการจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas : LNG) จากบริษัท OLNG และอนุมัติให้ ปตท. ลงนามใน Heads of Agreement กับบริษัท OLNG เพื่อนำเข้า LNG ในปริมาณ 1.7 ถึง 2.2 ล้านตันต่อปี เป็นเวลา 25 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2546 รวมทั้งขอให้กำหนด แนวนโยบายสนับสนุนโครงการดังกล่าว
2. ปตท. ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี โดยศึกษาการนำเข้า LNG มาใช้ในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบผลการศึกษาเบื้องต้นดังกล่าวแล้ว จากนั้น ปตท. ได้ศึกษาโครงการการนำเข้า LNG ในรายละเอียด พร้อมทั้งดำเนินการเจรจากับผู้ผลิต ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2538 เห็นชอบให้ ปตท. เข้าร่วมทุนเพื่อจัดตั้งบริษัทก๊าซธรรมชาติเหลว โดย ปตท. ได้ดำเนินการจดทะเบียน จัดตั้งบริษัท ไทยแอลเอ็นจีพาวเวอร์ จำกัด ขึ้น พร้อมทั้งได้ดำเนินการเจรจากับ้ผู้ผลิต 3 ราย คือ บริษัท Oman LNG L.L.C. (OLNG) ประเทศโอมาน บริษัท Ras Laffan Liquefied Natural Gas CO. Ltd. (RLLNG) ประเทศกาตาร์ และบริษัท Malaysia LNG Tiga SDN. BHD (MLNG Tiga) ประเทศมาเลเซีย
3. จากการเปรียบเทียบข้อตกลงเบื้องต้นทั้งในด้านเงื่อนไขและราคาของผู้ผลิตทั้ง 3 รายจะเห็นได้ว่าข้อเสนอของ OLNG มีความได้เปรียบกว่าข้อเสนอของ RLLNG และ MLNG Tiga ดังนี้
เงื่อนไข | OLNG | RLLNG | MLNG Tiga |
· ปริมาณ (ล้านตัน/ปี) | 1.7-2.2 | 2.0-2.5 | ประมาณ 1 |
· ปีที่เริ่มซื้อขาย | 2546 | 2546-48 | MLNG ต้องการ 2544 |
· อายุสัญญา (ปี) | 25 | 25 | 20 |
· ราคา (TOP) | ราคาผูกกับน้ำมันดิบ ถ่านหิน และ USCPIราคาเริ่มต้นปี 2538 = 3.10 $US/MMBTU | ราคาผูกกับน้ำมันดิบ และ USCPIราคาเริ่มต้นปี 2538 = 3.56 $US/MMBTU | ราคาผูกกับน้ำมันดิบ และ USCPIราคาเริ่มต้นปี 2538 = 3.87$US/MMBTU |
4. ในการประเมินความต้องการใช้ก๊าซฯ และการจัดหาก๊าซฯ พบว่าตั้งแต่ปลายปี 2546 เป็นต้นไปการจัดหาจะไม่เพียงพอกับความต้องการ อย่างไรก็ตามหากมีการนำเข้า LNG ตามผลการเจรจาระหว่าง ปตท. กับบริษัท OLNG ในปี 2546 ก็จะทำให้การจัดหาก๊าซฯ สามารถรองรับกับความต้องการได้ อย่างเพียงพอ
5. สาระสำคัญของข้อตกลงเบื้องต้น (Heads of Agreement : HOA) ระหว่าง ปตท. และ บริษัท OLNG มีดังนี้คือ
5.1 ปตท. และ OLNG ตกลงที่จะเจรจาเพื่อจัดทำสัญญาซื้อขาย (Sale and Purchase Agreement : SPA) ตามแนวทางที่กำหนดไว้ใน HOA โดย SPA จะต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลก่อน การลงนาม และมีกำหนดส่งมอบ LNG ตั้งแต่ปี 2546 โดยมีระยะเวลาสัญญา 25 ปี
5.2 ปริมาณ LNG ตามสัญญาซื้อขายในแต่ละปี มีดังนี้ คือ
ปี 2546 1.0 ล้านตัน (ประมาณ 140 ล้าน ลบ.ฟ./วัน)
ปี 2547 1.5-2.0 ล้านตัน (ประมาณ 210-280 ล้าน ลบ.ฟ./วัน)
ปี 2548 เป็นต้นไป 1.7-2.2 ล้านตัน (ประมาณ 238-308 ล้าน ลบ.ฟ./วัน)
5.3 ราคา LNG ตั้งต้นในปี 2538 เท่ากับ 3.10 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียู โดยราคาจะ อิงกับดัชนีผู้บริโภคสหรัฐอเมริกา ราคาน้ำมันดิบและราคาถ่านหิน
6. กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินโครงการ LNG จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาวและควรจะได้รับการพิจารณาเป็นโครงการ ยุทธศาสตร์ เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงาน โดย สพช. พิจารณาแล้วเห็นด้วยกับข้อเสนอและความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมดังกล่าว
มติของที่ประชุม
อนุมัติในหลักการการจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas : LNG) จากบริษัท OLNG และอนุมัติให้ ปตท. ลงนามใน Heads of Agreement กับบริษัท OLNG เพื่อนำเข้า LNG ในปริมาณ 1.7 ถึง 2.2 ล้านตันต่อปี เป็นเวลา 25 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2546
เรื่องที่ 6 นโยบายราคาก๊าซธรรมชาติและการกำกับดูแล
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัจจุบันการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เป็นผู้จัดซื้อ ผู้ขายและผู้ขนส่งก๊าซธรรมชาติ รวมทั้ง เป็นผู้กำหนดราคาก๊าซธรรมชาติและอัตราค่าผ่านท่อแต่ผู้เดียว โดยที่คณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติ ยังไม่เคยเข้าไปกำกับดูแลการดำเนินการดังกล่าว ดังนั้น รัฐบาลจึงจำเป็นต้องมีการพิจารณากำหนดนโยบายราคาก๊าซธรรมชาติให้ชัดเจน ทั้งโครงสร้างราคา เงื่อนไขการจำหน่ายก๊าซฯ อัตราค่าผ่านท่อ วิธีการและกลไกในการกำกับดูแล รวมทั้งแนวทางในการปรับปรุงโครงสร้างของ ปตท. โดยกำหนดรูปแบบกิจการขนส่งก๊าซฯ ทางท่อของ ปตท. ให้เป็นระบบที่สามารถให้บริการสำหรับผู้ซื้อขายก๊าซฯ รายอื่นได้ อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว
2. หลักการของการกำหนดนโยบายราคาก๊าซธรรมชาติ สรุปได้ดังนี้คือ
2.1 ให้มีการแยกบทบาทของ ปตท. ให้ชัดเจนเป็น 2 ส่วน คือ บทบาทในฐานะของ ผู้ดำเนินกิจการขนส่งก๊าซฯ และบทบาทในฐานะของผู้ดำเนินกิจการจัดหาและจำหน่ายก๊าซฯ ซึ่งจะทำให้โครงสร้างราคาก๊าซฯ เป็นดังนี้ คือ
ราคาก๊าซฯ = ราคารับซื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจากผู้รับสัมปทาน/นำเข้า + ค่าจัดหาและ จำหน่าย + ค่าผ่านท่อ
2.2 ราคาเฉลี่ยของเนื้อก๊าซฯ แยกออกเป็น 4 กลุ่ม (POOL)
POOL 1 : เป็นก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงแยกก๊าซ
POOL 2 : เป็นก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมในปัจจุบัน (จนถึงโรงไฟฟ้าวังน้อย) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
POOL 3 : เป็นก๊าซธรรมชาติ สำหรับผู้ใช้ก๊าซฯ รายอื่นๆ (อุตสาหกรรม SPP รวมทั้ง IPP ในปัจจุบันและอนาคต)
POOL 4 : ก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ที่จังหวัดราชบุรี
2.3 ค่าผ่านท่อแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ Demand Charge (ค่าใช้จ่ายคงที่ตามปริมาณที่ตกลงกันไว้) และ Commodity Charge (ค่าใช้จ่ายผันแปรตามปริมาณก๊าซที่มีการรับส่งจริง)
3. ผลการดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งความเห็นของ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) มีดังนี้
3.1 การซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ กฟผ. : คณะอนุกรรมการพิจารณาราคาก๊าซธรรมชาติได้ดำเนินการจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซ ธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ กฟผ. แล้ว ทั้งนี้ราคาก๊าซฯ จะประกอบด้วย ราคาเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก POOL 2 (ไม่รวม LNG) ค่าจัดหาและจำหน่าย (1.75%) และ ค่าผ่านท่อ โดย สพช. พิจารณาแล้วเห็นว่า สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติดังกล่าว เป็นสัญญาที่มีเงื่อนไขสัญญาสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี
3.2 การซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP): เงื่อนไขหลักๆ ของสัญญามีลักษณะคล้ายกับสัญญาระหว่าง ปตท. กับ กฟผ. ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาระหว่าง ปตท. กับ IPP ที่ได้รับการคัดเลือกจาก กฟผ. ทั้งนี้ โครงสร้างราคาก๊าซฯ ที่จะจัดหาให้แก่ IPP ประกอบด้วย ราคาเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก POOL 3 ค่าตอบแทนในการจัดหาและจำหน่าย (5%) และค่าผ่านท่อโดย สพช. พิจารณาแล้วเห็นว่าค่าผ่านท่อดังกล่าว ควรมีการปรับปรุงภายใต้การกำกับดูแลโดย กพช. และ สพช. เช่นเดียวกันกับ ราคาก๊าซฯ ที่จำหน่ายให้แก่ กฟผ. ส่วนค่าเก็บรักษา LNG และ ค่า Regasification ของ LNG ควรอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กพช. และ สพช. ทั้งนี้เพราะเป็นส่วนหนึ่งของราคา LNG ที่ป้อนเข้าสู่ระบบท่อ นอกจากนั้นค่าการตลาด (ค่าจัดหาและจำหน่าย) กำหนดไว้ในระดับร้อยละ 5 ซึ่งสูงกว่าค่าการตลาดสำหรับก๊าซฯ ที่จำหน่ายให้ กฟผ. เพราะ ปตท. มีภาระความรับผิดชอบและข้อผูกพันตามเงื่อนไขการขายก๊าซฯ ให้ IPP มากกว่า
3.3 การซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท.กับ ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) : เงื่อนไข ของสัญญามีลักษณะแตกต่างกัน โดยมีโครงสร้างราคา ประกอบด้วย ราคาก๊าซฯ ที่ขายให้แก่ กฟผ. (บางปะกง) บวกกับส่วนเพิ่มซึ่งกำหนดให้ขึ้นอยู่กับปริมาณซื้อก๊าซฯ โดย สพช. พิจารณาแล้วเห็นควรให้มีการปรับปรุง ดังนี้
(1) สูตรราคา SPP/Cogen กำหนดให้เท่ากับราคาก๊าซฯ ที่ขายให้กับ กฟผ. บางปะกง (ไม่รวม LNG) + X · Wy/Wo บาทต่อล้านบีทียู ยังไม่แยกการจัดหาและจำหน่ายออกจากการขนส่ง นอกจากนี้ค่า X เป็นค่าการตลาดที่ ปตท. กำหนดขึ้นซึ่งไม่ทราบว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ และควรจะสะท้อนถึงภาระความรับผิดชอบและข้อผูกพันของ ปตท. กับ SPP ด้วย
(2) SPP จะรับก๊าซฯ จาก POOL 3 ที่มี LNG ผสมด้วย เพราะก๊าซฯ จากแหล่งใน อ่าวไทยมีปริมาณไม่เพียงพอ ฉะนั้นราคาก๊าซฯ ที่ SPP ซื้อจึงไม่ควรขึ้นอยู่กับราคาที่ขายให้แก่ กฟผ. แต่ควรกำหนดจากราคาของ POOL 3
(3) ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ในปัจจุบัน กฟผ. มีสิทธิขอให้ SPP สามารถลดการจ่ายไฟฟ้าในช่วง OFF PEAK ลงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 ของปริมาณตามสัญญา ซึ่งหมายถึง SPP จะ ต้องลดปริมาณการซื้อก๊าซฯ จาก ปตท. ด้วย และสัญญาซื้อขายก๊าซฯ ระหว่าง SPP กับ ปตท. อาจต้องมี การแก้ไขให้สอดคล้องกัน
3.4 การซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับภาคอุตสาหกรรม : ข้อ ตกลงการซื้อขายมีหลักการสำคัญๆ ที่ประกอบด้วยราคา 2 ประเภท คือ ราคาทดแทน LPG และราคาทดแทนน้ำมันเตา โดย สพช. พิจารณาแล้วเห็นว่า โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงสามารถเปลี่ยนไปใช้เชื้อ เพลิงชนิดอื่นได้โดยไม่ยากนัก อีกทั้งราคาที่ ปตท. กำหนดก็มีความสอดคล้องกับราคาเชื้อเพลิงชนิดอื่นที่ทดแทนกันได้ ดังนั้น จึงเป็นราคาที่มีความเหมาะสมแล้ว
3.5 การซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ กฟผ. แหล่งยาดานา : ใน ขณะนี้ยังไม่ได้เริ่มเจรจาเพื่อทำสัญญาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2537 สพช. พิจารณาแล้วเห็นว่าในระยะแรกสัญญาซื้อขายก๊าซฯ ระหว่าง ปตท. กับ กฟผ. จะเป็นสัญญาอีกฉบับแยกจากการซื้อขายก๊าซฯ จากระบบท่อหลักโดยใช้หลักการเหมือนกัน แต่ดำเนินการให้มีความสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ปตท. มีแผนที่จะเชื่อมโยงระบบท่อหลักเข้ากับท่อก๊าซฯ จากสหภาพพม่า ซึ่งจะเพิ่มความมั่นคงในการจัดหาก๊าซฯ ให้แก่โรงไฟฟ้าราชบุรีในอนาคต ดังนั้น จึงควรพิจารณาสัญญาซื้อขายก๊าซฯ ระบบท่อหลักโดยรวมก๊าซธรรมชาติจาก POOL 4 (แหล่งยาดานา) กับก๊าซฯ จาก POOL 2 เข้าด้วยกัน
3.6 การปรับปรุงโครงสร้างของ ปตท.: สมควรดำเนินการแยกบทบาทของธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ออกเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วย ธุรกิจการจัดหาและการจำหน่าย และธุรกิจการขนส่ง เพื่อให้สอดคล้อง กับนโยบายราคาก๊าซธรรมชาติ ดังนี้คือ
ราคาก๊าซฯ = ราคารับซื้อก๊าซฯ เฉลี่ย + ค่าจัดหาและจำหน่าย (ให้เป็นบทบาทของ ธุรกิจการจัดหาและการจำหน่าย) + ค่าผ่านท่อ (ธุรกิจการขนส่ง)
4. คณะอนุกรรมการพิจารณาราคาก๊าซธรรมชาติ ได้ดำเนินการจัดทำอัตราค่าผ่านท่อและกลไกในการปรับอัตราค่าผ่านท่อระหว่าง ปตท. กับ กฟผ. แล้วเสร็จ โดยเห็นควรให้มีการใช้อัตราค่าผ่านท่อดังกล่าวในการกำหนดราคาก๊าซฯ IPP และ SPP ด้วย ซึ่งมีอัตราค่าผ่านท่อ ประกอบด้วย Demand Charge และ Commodity Charge ในระดับที่ทำให้การลงทุนในระบบท่อมีผลตอบแทนการลงทุน (IRR on Equity) ร้อยละ 18 ของค่าผ่านท่อแยกเป็น 3 พื้นที่ รวมทั้งการปรับอัตราค่าผ่านท่อเป็นระยะๆ และปรับตามดัชนี ให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลและดำเนินการของ สพช.
5. เนื่องจากในขั้นนี้ ปตท. ยังคงเป็นผู้จัดซื้อ ผู้ขาย และผู้ขนส่งก๊าซธรรมชาติแต่ผู้เดียวต่อไปอีก ระยะหนึ่ง ทำให้การทำหน้าที่ของ ปตท. โดยเฉพาะในกิจกรรมการจัดซื้อก๊าซธรรมชาติและก๊าซธรรมชาติเหลว ซึ่งในการพิจารณาคัดเลือกและกำหนดแหล่ง ปริมาณ และราคา รวมทั้งกิจกรรมการขนส่งก๊าซธรรมชาติไปสู่ ผู้ใช้ โดยการพิจารณาลงทุนในโครงข่ายระบบท่อจะมีผลกระทบต่อระดับราคาเนื้อก๊าซฯ และอัตราค่าผ่านท่อ ที่จะส่งผ่านไปเป็นต้นทุนของผู้บริโภคโดยตรง ดังนั้น จึงจำเป็นที่รัฐจะต้องกำหนดให้มีการกำกับดูแลเพื่อให้ระบบการกำหนดราคาและ ค่าผ่านท่อมีความเป็นธรรม ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ผลิตและผู้ใช้ รวมทั้งภาคเอกชนที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในกิจการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อใน อนาคต ทั้งนี้ การกำกับดูแลจะต้องเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ดำเนินกิจการขนส่งก๊าซฯ ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานอีกด้วย สพช. จึงเห็นควรกำหนดให้มีการกำกับดูแลการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติและอัตราค่าผ่าน ท่อโดย กพช. และ สพช. ดังนี้คือ
5.1 ให้ ปตท. จัดทำแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติระยะยาว และแผนการลงทุนระยะยาวของระบบท่อก๊าซฯ และนำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาอนุมัติ เมื่อได้รับการอนุมัติแล้วให้ ปตท. จัดทำอัตราค่าผ่านท่อตามหลักการที่ กพช. กำหนด แล้วนำเสนอ กพช. เพื่อให้ความเห็นชอบก่อนการประกาศใช้ ทั้งนี้แผนการลงทุนและแผนการจัดหาก๊าซฯ ดังกล่าวสมควรมีการปรับปรุงทุกระยะตามความเหมาะสม
5.2 ให้ ปตท. รายงานผลการดำเนินการตามแผนการจัดหาก๊าซฯ และแผนการลงทุนต่อ สพช. และ กพช. เพื่อทราบทุกปี
5.3 ในการดำเนินการตามแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติในข้อ 5.1 เมื่อ ปตท.ได้ดำเนินการเจรจาราคาและสัญญาซื้อขายก๊าซฯ จากแหล่งใดจนมีข้อยุติแล้ว ให้นำเสนอ สพช. เพื่อนำเสนอ กพช. อนุมัติ (ราคาก๊าซฯ หมายถึง ราคาก๊าซฯ ที่จะป้อนเข้าระบบท่อ ดังนั้น จึงรวมค่าเก็บรักษาและค่า Regasification ของ LNG ด้วย)
5.4 การเปลี่ยนแปลงหลักการของนโยบายการกำหนดราคาก๊าซฯ ในข้อ 2 หลักการในการกำหนดอัตราค่าผ่านท่อ และค่าการตลาด (ค่าการจัดหาและค่าการจำหน่าย) ให้นำเสนอ กพช. อนุมัติ ส่วนการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดที่ไม่ใช่สาระสำคัญให้ สพช. เป็นผู้พิจารณาอนุมัติ
5.5 ให้ สพช. เป็นผู้กำกับดูแลการปรับอัตราค่าผ่านท่อ โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นไป โดยให้มีการปรับเปลี่ยนเป็นระยะ (Periodic Adjustment) และการปรับเปลี่ยนตามดัชนี (Index Adjustment)
มติของที่ประชุม
1.รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับหลักการของการกำหนดนโยบายราคาก๊าซธรรมชาติ การซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ กฟผ. , ปตท. กับ IPP, ปตท. กับ SPP และ ปตท. กับ อุตสาหกรรม และการกำหนดอัตราค่าผ่านท่อ ดังรายละเอียดในข้อ 2, ข้อ 3, และข้อ 4
2.เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานตามความเห็นของ สพช. ในข้อ 3 โดยมอบหมายให้ สพช. ปตท. และ กฟผ. รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
3.เห็นชอบแนวทางในการกำกับดูแลการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติ และอัตราค่าผ่านท่อ ตามข้อ 5
4.ให้ สพช. รับไปศึกษาความเหมาะสมของราคาอีเทนและโพรเทน ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเพื่อให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของ ไทยสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ และให้รายงานผลต่อ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ