Super User
ประกาศเผยแพร่แผนการจัดซื้อจัดจ้าง ประจำปีงบประมาณ 2561
เปลี่ยนรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า (eTukTuk)
รายงานผลการประชุม กบง. 4 ต.ค. 60
กบง. ครั้งที่ 39 - วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560
มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 6/2560 (ครั้งที่ 39)
เมื่อวันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560 เวลา 14.30 น.
1. สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
2. รายงานความก้าวหน้าโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี
4. รายงานผลการดำเนินงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2559
5. รายงานเบื้องต้นผลการจัดรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
6. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมิถุนายน 2560
7. อัตราการรับซื้อไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์)
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายทวารัฐ สูตะบุตร)
เรื่องที่ 1 สถานการณ์พลังงานโลกและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
สรุปสาระสำคัญ
ทีม Prism บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกให้ที่ประชุมทราบ ดังนี้ (1) ราคาน้ำมันดิบในเดือนพฤษภาคม 2560 โดยเฉลี่ยมีการปรับตัวลดลงเนื่องจากการลดปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปคและการตัดสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศกาตาร์และประเทศกลุ่มสมาชิก GCC (Gulf Copperation Council) ในภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมทั้งการถอนตัวของประเทศสหรัฐอเมริกาออกจากความตกลงปารีส (COP 21) จะส่งผลให้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในประเทศสหรัฐฯเพิ่มขึ้น สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2560 ราคาน้ำมันดิบมีทิศทางปรับตัวลดลงโดยจะอยู่ในช่วง 53 – 57 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และในปี 2561 ราคาจะอยู่ในช่วง 55 – 58 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (2) ราคาก๊าซ LPG ในเดือนมิถุนายน 2560 ราคา CP (Contact Price) อยู่ที่ 387.50 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และราคามีทิศทางปรับตัวลดลง เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนทำให้ความต้องการใช้ในหลายประเทศลดลง (3) ราคาถ่านหินมีทิศทางปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากอากาศที่ร้อนขึ้นทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้ามีมากขึ้น รวมทั้งหากประเทศกาตาร์ไม่สามารถส่งออก LNG ได้จะทำให้ความต้องการใช้ถ่านหินมาทดแทนในการผลิตไฟฟ้ามีมากขึ้น และ (4) ราคา LNG ในช่วงครึ่งเดือนหลังของเดือนพฤษภาคม 2560 ได้ปรับตัวลดลงจาก 5.5 เป็น 5.3 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียู เนื่องจากปริมาณการผลิต LNG ในประเทศออสเตรเลียเพิ่มขึ้นมากและมีการส่งออกมากขึ้น แต่ทั้งนี้ยังมีปัจจัยที่อาจจะส่งผลกระทบต่อราคา LNG คือการตัดสัมพันธ์ทางการทูตของกลุ่ม GCC กับประเทศกาตาร์ และการปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินจำนวน 8 โรงเป็นเวลา 30 วันของประเทศเกาหลีใต้ อย่างไรก็ตามความขัดแย้งในกลุ่ม GCC ยังไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออก LNG ของประเทศกาตาร์
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานความก้าวหน้าโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2558 สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอโครงการปฏิรูปเร็ว (Quick win) เรื่อง โครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2558 ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้เห็นชอบหลักการการดำเนินโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี และเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2559 กบง. ได้มีมติรับทราบแนวทางดำเนินงานโครงการนำร่อง (Pilot Project) การส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี โดยหลักการสำคัญ คือ การผลิตไฟฟ้าใช้เองเท่านั้น โดยให้ พพ. จัดตั้งคณะทำงานกำหนดแนวทางและประสานงาน กำกับติดตามโครงการนำร่องการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี (ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์สำหรับบ้านและอาคาร) ต่อมาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2559 กบง. ได้มีมติรับทราบการจัดตั้งคณะทำงานฯ และรับทราบหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินโครงการนำร่องฯ ซึ่งหลังจากคณะทำงานฯ ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการฯ แล้ว ได้นำส่งให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พิจารณาออกระเบียบและออกประกาศ รวมทั้ง พพ. ได้จัดจ้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินการศึกษาวิเคราะห์ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการนำร่องฯ ต่อมาเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2559 กกพ. ได้ออกประกาศการเข้าร่วมโครงการนำร่องฯ โดยกำหนดปริมาณรวม 100 เมกะวัตต์ ในพื้นที่ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และกำหนดให้ระบบโซลาร์รูฟต้องเชื่อมต่อเข้าระบบจำหน่ายของ กฟน. และ กฟภ. ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มกราคม 2560 และเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560 กบง. รับทราบการขอขยายระยะเวลาเชื่อมต่อโครงข่ายไฟฟ้าจากวันที่ 31 มกราคม 2560 เป็นวันที่ 31 มีนาคม 2560 โดย สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ได้ออกประกาศขยายระยะเวลาการเชื่อมต่อ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2560
2. หลังจาก สำนักงาน กกพ. ประกาศขยายเวลาการเชื่อมต่อระบบโซลาร์รูฟเข้ากับระบบจำหน่าย ของการไฟฟ้าจากเดิม ภายในวันที่ 31 มกราคม 2560 เป็นภายในวันที่ 31 มีนาคม 2560 มีผู้เข้าร่วมโครงการ ยื่นหนังสือไปยัง สำนักงาน กกพ. เพื่อขอเลื่อนขยายระยะเวลาการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าจากวันที่ 31 มีนาคม 2560 ออกไปอีกจำนวน 15 ราย รวมกำลังการผลิต 1,931.36 กิโลวัตต์ คณะทำงานฯ ในการประชุม ครั้งที่ 2/2560 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2560 ได้พิจารณาเรื่อง การขยายระยะเวลาเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าโครงการนำร่อง (Pilot Project) การผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอย่างเสรีโดยได้รับทราบสถานะการเชื่อมต่อไฟฟ้าเข้าระบบการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ณ วันที่ 5 พฤษภาคม 2560 ว่ามีผู้เข้าร่วมโครงการ ที่ได้ขออนุญาตติดตั้งระบบและยื่นขอรับใบอนุญาตเรียบร้อยแล้ว จำนวน 184 ราย กำลังการผลิตรวม 5,673.9 กิโลวัตต์ (5.67 เมกะวัตต์) เชื่อมต่อเข้าระบบโครงข่ายไฟฟ้าแล้ว รวม 75 ราย กำลังการผลิตรวม 3,094.5 กิโลวัตต์ (3.09 เมกะวัตต์) และยังไม่ได้เชื่อมต่อเข้าระบบไฟฟ้ารวม 109 ราย ปริมาณรวม 2,579.4 กิโลวัตต์ (รวม 2.58 เมกะวัตต์) แบ่งเป็น (1) เขตพื้นที่ กฟน. มีผู้ที่ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงาน กกพ. จำนวน 154 ราย กำลังการผลิต 3,967.9 กิโลวัตต์ (3.97 เมกะวัตต์) เชื่อมต่อเข้าระบบแล้ว 48 ราย กำลังการผลิต 1,397.2 กิโลวัตต์ (1.40 เมกะวัตต์) ยังไม่ได้เชื่อมต่อ 106 ราย (รวม 2.57 เมกะวัตต์) และ (2) เขตพื้นที่ กฟภ.มีผู้ที่ได้รับอนุญาตจาก สำนักงาน กกพ. จำนวน 30 ราย กำลังการผลิต 1,706 กิโลวัตต์ (1.71 เมกะวัตต์) เชื่อมต่อเข้าระบบแล้ว 27 ราย กำลังการผลิต 1,697.31 กิโลวัตต์ (1.70 เมกะวัตต์) ยังไม่ได้เชื่อมต่อ 3 ราย (รวม 9 กิโลวัตต์) และคณะทำงานฯ ได้เห็นชอบ ดังนี้ (1) ให้ขยายระยะเวลาการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าโครงการนำร่อง (Pilot Project) การผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอย่างเสรี จากวันที่ 31 มีนาคม 2560 เป็นวันที่ 30 มิถุนายน 2560 โดยขยายระยะเวลาการเชื่อมต่อระบบเฉพาะผู้ที่ได้รับใบแจ้งยกเว้นไม่ต้องขอรับใบอนุญาตแล้ว และ (2) เมื่อสิ้นสุดการขยายระยะเวลาการเชื่อมต่อระบบแล้ว ให้การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคแจ้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเพื่อเพื่อยกเลิกใบแจ้งยกเว้นไม่ต้องขอรับใบอนุญาต สำหรับผู้ที่ไม่ได้ดำเนินการต่อไป ซึ่งปัจจุบัน พพ. อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการศึกษาวิเคราะห์โครงการนำร่องการส่งเสริมติดตั้งโซลาร์รูฟเสรี โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งในการดำเนินโครงการฯ ได้กำหนดจำนวนกลุ่มเป้าหมายตรวจวัดข้อมูลติดตามผล 300 ราย แต่จากผลการดำเนินโครงการฯ มีผู้เข้าร่วมไม่เป็นไปตามจำนวนที่กำหนด ดังนั้น คณะทำงานฯ จึงเห็นชอบให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตรวจวัดข้อมูลจากโครงการโซลาร์รูฟฯ กลุ่มที่ได้รับ Feed-in Tariff และกลุ่มที่ขนานเครื่อง เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบในการวิเคราะห์โครงการนำร่องการส่งเสริมติดตั้งโซลาร์รูฟเสรี
มติของที่ประชุม
1. รับทราบการขยายระยะเวลาการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าโครงการนำร่อง (Pilot Project) การผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอย่างเสรี จากวันที่ 31 มีนาคม 2560 เป็นวันที่ 30 มิถุนายน 2560 โดยขยายระยะเวลาการเชื่อมต่อระบบเฉพาะผู้ที่ได้รับใบแจ้งยกเว้นไม่ต้องขอรับใบอนุญาต โดยเมื่อสิ้นสุดการขยายระยะเวลาการเชื่อมระบบโครงข่ายไฟฟ้าแล้วให้การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคแจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเพื่อยกเลิกใบแจ้งยกเว้นไม่ต้องขอรับใบอนุญาตสำหรับผู้ที่ไม่ได้ดำเนินการต่อไป
2. รับทราบการมอบหมายให้จุฬากรณ์มหาวิทยาลัยตรวจวัดข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากโครงการโซลาร์รูฟ โดยเพิ่มกลุ่มที่ได้รับ Feed-in Tariff และกลุ่มที่ขนานเครื่อง เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบวิเคราะห์โครงการนำร่องฯ เพื่อเสนอแนวทางการส่งเสริมโซลาร์รูฟเสรีในระยะต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
การดำเนินงานตามแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2558 – 2579 (Oil Plan 2015) ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 สรุปได้ดังนี้ ส่วนที่มีความก้าวหน้า ได้แก่ มาตรการที่ 5 สนับสนุนการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันเชื้อเพลิง ได้แก่การสนับสนุนระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพโดยการพัฒนาระบบขนส่งน้ำมันทางท่อมีความคืบหน้าดังนี้ (1) โครงการระบบท่อขนส่งน้ำมันสายเหนือ คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) ได้พิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้วเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 และมีมติไม่ให้ความเห็นชอบและมอบหมายบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด (FPT) นำกลับไปแก้ไขเพิ่มเติมตามรายละเอียดที่ คชก. กำหนด ซึ่งบริษัทฯ ได้แก้ไขรายงานเสร็จแล้วและอยู่ระหว่างตรวจสอบความสมบูรณ์ครบถ้วน ในส่วนของการก่อสร้างคลังน้ำมันในจังหวัดพิจิตรมีความก้าวหน้าอยู่ที่ร้อยละ 20 (2) โครงการระบบท่อขนส่งน้ำมันสายตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อเดือนมกราคม 2560 กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) และบริษัท ไทย ไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (TPN) ได้มีการชี้แจงรายละเอียดโครงการเบื้องต้นต่อผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 5 จังหวัด (จังหวัดสระบุรี จังหวัดลพบุรี จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดขอนแก่น) คาดว่าจะดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 1 ในช่วงเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2560 รวมทั้ง ได้ดำเนินการออกแบบระบบท่อขนส่งน้ำมันและคลังน้ำมันเบื้องต้นแล้วเสร็จ และเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2560 ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การเชื่อมต่อและการดำเนินงานส่วนขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อระหว่างบริษัท ไทยไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (TPN) และบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (THAPPLINE) ทั้งนี้ การดำเนินงานอาจล่าช้ากว่าแผนงานเดิมที่กำหนดไว้ เนื่องจากพื้นที่เดิมที่ได้มีการวางแผนไว้ว่าจะสร้างคลังน้ำมันจังหวัดขอนแก่นติดข้อกำหนด ผังเมือง โดยจะส่งผลต่อการเปิดใช้งานคลังน้ำมันจากแผนเดิมที่วางไว้ในปลายปี 2563 เป็นภายในปี 2564 ส่วนมาตรการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ ธพ. ได้ยกเลิกการคัดเลือกที่ปรึกษา เนื่องจากมูลนิธิเพื่อสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาที่ผ่านการคัดเลือกให้เหลือน้อยราย จำนวน 1 ราย ไม่สามารถดำเนินการศึกษาตามที่ TOR กำหนด ซึ่ง ธพ. ได้มีการปรับ TOR และจะเสนอให้คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงพิจารณาอีกครั้ง และมาตรการที่ 2 การบริหารจัดการชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสม ได้แก่ การบริหารจัดการชนิดของเชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้ใช้ต่างๆ กรณี NGV ซึ่งที่ผ่านมามีการเปิดให้สถานีบริการก๊าซธรรมชาติเฉพาะตามแนวท่อก๊าซฯ จำนวน 1 สถานี และได้ดำเนินการก่อสร้างศูนย์พักรถขนส่งสินค้าพร้อมสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ (NGV Terminal Hub) เฟสแรกแล้วเสร็จและเปิดบริการแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้างวางท่อเพื่อเปลี่ยนเป็นสถานีแนวท่อ จำนวน 1 สถานี ส่วนที่สถานะความก้าวหน้าการดำเนินงานยังคงเดิม ได้แก่ มาตรการที่ 2 การบริหารจัดการชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสม ธพ. ได้บริหารจัดการชนิดของเชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้ใช้ต่างๆ (NGV) สนับสนุนให้มีสถานีบริการก๊าซธรรมชาติเฉพาะตามแนวท่อก๊าซ โดยเปิดให้บริการสถานีบริการก๊าซธรรมชาติเฉพาะตามแนวท่อก๊าซ จำนวน 1 สถานี ส่วนการลดชนิดน้ำมันเชื้อเพลิง ธพ. ได้ชะลอการยกเลิกน้ำมันแก๊สโซออล 91 เนื่องจากสถานการณ์ปริมาณเอทานอลเริ่มไม่คงที่จึงต้องรอความชัดเจนของนโยบาย และการกำหนดมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงภูมิภาคอาเซียน ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับข้อเสนอการจัดทำร่างมาตรฐานน้ำมันอาเซียน ของประเทศสมาชิกอาเซียนจากสำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ นอกจากนี้ในส่วนของมาตรการที่ 4 ผลักดัน การใช้เชื้อเพลิงเอทานอลและไบโอดีเซล ตามแผน AEDP 2015 ได้แก่ ศึกษาการกำหนดมาตรฐานน้ำมันดีเซล ที่ผสมไบโอดีเซลในสัดส่วนร้อยละ 10 ซึ่งปัจจุบัน ธพ. อยู่ระหว่างการศึกษารวบรวมและติดตามข้อมูล
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 รายงานผลการดำเนินงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2559
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 เห็นชอบให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีเงิน นอกงบประมาณถือปฏิบัติตามมาตรการกำกับดูแลเงินนอกงบประมาณตามที่กระทรวงการคลังเสนออย่างเคร่งครัด ซึ่งรวมถึงการนำระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนที่เป็นมาตรฐานสากล และมีการกำหนดตัวชี้วัดการดำเนินงาน (KPI) มาใช้เพื่อวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนด้วย ซึ่งกรมบัญชีกลางได้พิจารณาเห็นชอบให้ทุนหมุนเวียนที่อยู่ในกำกับของกระทรวงพลังงาน คือ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี 2551 เป็นต้นไป ทั้งนี้ การกำกับดูแลและประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนจะดำเนินการโดยคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน โดยมีการกำหนดกรอบหลักเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน 4 ด้าน คือ ด้านการเงิน ด้านการสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ด้านการปฏิบัติการ และด้านการบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน รวมทั้งกำหนดเกณฑ์การให้คะแนนผลการดำเนินงาน 3 ระดับ คือ (1) ไม่ผ่านเกณฑ์ปกติ (ต่ำกว่า 3.0000 คะแนน) (2) ระดับปกติ – ดี (3.0000 – 3.9999 คะแนน) และ (3) ระดับดี – ดีมาก (4.0000 – 5.0000 คะแนน)
2. การกำหนดเกณฑ์การประเมินผลกองทุนน้ำมันฯ กรมบัญชีกลางและที่ปรึกษา (ในปี 2559 คือ บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด) ได้มีการหารือร่วมกับสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) เพื่อกำหนดเกณฑ์ชี้วัดการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ ภายใต้กรอบ 4 ด้าน จากนั้นกรมบัญชีกลางจะนำเกณฑ์ชี้วัดดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน พิจารณาให้ความเห็นชอบและประเมินผลการดำเนินงานเมื่อสิ้นปีงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ ระหว่างปี 2552 – 2559 กองทุนน้ำมันฯ มีผลการดำเนินงานสรุปผลได้ ดังนี้ ปี 2555 อยู่ที่ระดับ 3.5989 ปี 2556 อยู่ที่ระดับ 3.8245 ปี 2557 อยู่ที่ระดับ 3.8346 และปี 2558 อยู่ที่ระดับ 3.7130
3. เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2560 กรมบัญชีกลาง ได้มีหนังสือถึง สนพ. แจ้งว่า คณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้พิจารณาและให้ความเห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีบัญชี 2559 โดยอยู่ที่ระดับ 4.5791 คะแนน ซึ่งอยู่ในระดับดี – ดีมาก (4.0000 – 5.0000 คะแนน) ซึ่งดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีบัญชี 2558 ที่มีคะแนน 3.7130 อยู่ในระดับปกติ – ดี (3.0000 – 3.9999 คะแนน) เนื่องจากกองทุนฯ สามารถดำเนินการตามเกณฑ์วัดผลการดำเนินงานได้ดีขึ้นในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านการปฏิบัติการ ได้คะแนนเต็ม ประกอบด้วย ด้านการเบิกจ่ายเงินสามารถดำเนินการได้ตามที่ได้รับอนุมัติ สามารถส่งรายงานการรับจ่ายและการใช้จ่ายเงินให้กับกรมบัญชีกลางภายใน 60 วันนับจากวันสิ้นปีงบประมาณ และสามารถรักษามาตรฐานระยะเวลาเบิกจ่ายเงินให้หน่วยงานที่เบิกภายในกำหนด 5 วัน หลังจากได้รับเอกสาร เบิกจ่ายเงินครบถ้วนสมบูรณ์ รวมทั้งสามารถดำเนินการได้จริงตามแผนประชาสัมพันธ์และสร้างภาพลักษณ์ ของกองทุนน้ำมันฯ และแผนปรับปรุงพัฒนาการดำเนินงานกองทุนน้ำมันฯ และไม่มีข้อสังเกตจากคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนต่อการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2560 ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) นำร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ฉบับที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 5) ไปจัดทำรายละเอียดการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย ตามหลักเกณฑ์ การตรวจสอบความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติ (Checklist) พร้อมทั้งจัดให้มีการรับฟัง ความคิดเห็นต่อร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... และเผยแพร่ผลการรับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ของ สนพ. และ สบพน. เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการจัดทำและการเสนอร่างกฎหมายตามบทบัญญัติมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป
2. สนพ. ได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และแนวทางการรับฟังความคิดเห็นประกอบการจัดทำร่างกฎหมาย โดย สนพ. ได้มีประกาศสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเรื่อง การรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ตามบทบัญญัติมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยมีวิธีการรับฟังความคิดเห็น 3 ช่องทาง คือ 1) ผ่านเว็บไซต์ www.eppo.go.th ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2560 และ www.lawamendment.go.th ตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2560 2) การแสดงความคิดเห็นเป็นเอกสารไปรษณีย์/อีเมล์ ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2560 ส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนมาที่ สนพ. หรือ โทรสาร 0 2612 1391 และ 3) การจัดสัมมนารับฟังความคิดเห็น เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2560 โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาจากหน่วยงานภาครัฐ ผู้ค้าน้ำมัน โรงกลั่นน้ำมัน สมาคม มูลนิธิ ภาควิชาการ รวมถึงประชาชนทั่วไป ซึ่งสรุปจำนวนผู้เกี่ยวข้องที่แสดงความคิดเห็น ทั้งหมด จำนวน 336 คน โดยผ่านทาง www.eppo.go.th จำนวน 29 คน เอกสารไปรษณีย์/อีเมล์ จำนวน 5 คน เข้าร่วมการสัมมนารับฟังความคิดเห็นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2560 จำนวน 302 คน
3. จากการเปิดรับฟังความเห็นต่อร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... จากช่องทางดังกล่าว ส่วนใหญ่มีความเห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว แต่ยังมีผู้มีความเห็นแย้ง ซึ่งสรุปประเด็นหลักๆ ได้ดังนี้ (1) ความจำเป็นของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยร้อยละ 97 ของผู้เข้าร่วมสัมมนามีความเห็นว่ากองทุนน้ำมันฯ ยังมีความจำเป็น เพื่อเป็นกลไกในการช่วยป้องกันและบรรเทาภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงและรักษาระดับราคา ขายปลีกน้ำมันในประเทศจากความผันผวนของตลาดโลก ช่วยลดผลกระทบต่อประชาชน และระบบเศรษฐกิจ ของประเทศ ส่วนร้อยละ 3 มีความเห็นว่ากองทุนน้ำมันฯ ไม่มีความจำเป็นเนื่องจากขัดมาตรา 77 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชนในการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุน ประกอบกับไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ในตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลง (2) วัตถุประสงค์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มาตรา 5 โดยร้อยละ 75 เห็นด้วยในหลักการของวัตถุประสงค์ คือ (1) รักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ในกรณีที่เกิดวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงไป (2) สนับสนุนราคาเชื้อเพลิงชีวภาพให้มีส่วนต่างราคาที่สามารถแข่งขันกับน้ำมันเชื้อเพลิงได้ และ (3) บรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับผู้มีรายได้น้อยและผู้ด้อยโอกาส ส่วนร้อยละ 25 ให้กระทรวงพลังงานทบทวนความจำเป็นของวัตถุประสงค์ข้อ (4) และ (5) เนื่องจากได้กำหนดให้กองทุนน้ำมันฯ มีจำนวนเงินไม่เกิน 40,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินที่ไม่เพียงพอ หากจะเรียกเก็บเพิ่มจะเป็นการสร้างภาระให้กับประชาชน (3) คณะกรรมการ โดยร้อยละ 100 เห็นด้วยในหลักการให้มีการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แต่องค์ประกอบในมาตรา 9(4) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่รัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในด้านการเงิน และด้านธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิง อย่างน้อยด้านละหนึ่งคน เสนอให้เพิ่มด้านสังคมและคุ้มครองผู้บริโภคอีก 1 คน (4) วงเงินกองทุน โดยร้อยละ 100 เห็นด้วยในหลักการ ในการกำหนดวงเงินสูงสุดของกองทุนพื่อใช้ในการบริหารจัดการกองทุนอย่างมีประสิทธิภาพไม่เกิน 40,000 ล้านบาท เพราะไม่สร้างภาระให้กับประชาชนมากเกินไป และ (5) บทกำหนดโทษโดย ร้อยละ 80 ไม่เห็นด้วยกับการให้มีการกำหนดโทษจำคุก ซึ่งเป็นคดีอาญา เนื่องจาก มีการกำหนดเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 และร้อยละ 3 แล้ว แต่หากกระทรวงพลังงานพิจารณาแล้วเห็นว่า ยังเป็นเรื่องที่จำเป็น ขอเสนอเพิ่มถ้อยคำว่า “จะต้องมีเจตนา” ในส่วนของการดำเนินงานในระยะต่อไป สนพ. กำลังจัดทำรายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็น และจะมีการเปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นต่อประชาชนบนเว็บไซต์ของ สนพ. www.eppo.go.th และ www.lawamendment.go.th ต่อไป เพื่อประกอบการจัดทำคำชี้แจงตามหลักเกณฑ์การตรวจสอบความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติ (Checklist) โดยเมื่อดำเนินการดังกล่าวแล้วเสร็จจะนำเสนอต่อคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะรัฐมนตรี และสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 6 โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมิถุนายน 2560
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2559 กบง. ได้มีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางการเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG ทั้งระบบ โดยมีขั้นตอนการดำเนินการ ระยะที่ 1 ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านก่อนจะเปิดเสรีทั้งระบบ โดยเปิดเสรีเฉพาะส่วนการนำเข้า แต่ยังคงควบคุมราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันและราคาโรงแยกก๊าซธรรมชาติ โดยยกเลิกการชดเชยส่วนต่างราคาจากการนำเข้า รวมถึงยกเลิกระบบโควตาการนำเข้าของประเทศ และสามารถส่งออกเนื้อก๊าซ LPG ภายใต้การควบคุมของกรมธุรกิจพลังงาน ในระยะที่ 2 การเปิดเสรีทั้งระบบ โดยยกเลิกการควบคุมราคาและปริมาณของ ทุกแหล่งผลิตและจัดหา เปิดเสรีการนำเข้าและส่งออกโดยสมบูรณ์ รวมถึงยกเลิกการประกาศราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นและราคาขายส่ง ณ คลังก๊าซ โดยจะเริ่มดำเนินการเมื่อตลาดมีความพร้อมด้านการแข่งขันที่เพียงพอ ทั้งในส่วนการผลิตและจัดหา ไม่เกิดการสมยอมในการตั้งราคา ภายใต้การพิจารณาของกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ในส่วนของการเปิดเสรีเฉพาะส่วนการนำเข้าในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านก่อนจะเปิดเสรีทั้งระบบ เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียดของการดำเนินการ ดังนี้ (1) ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น (ราคาซื้อตั้งต้น) ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านก่อนจะเปิดเสรีทั้งระบบ กำหนดราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นเป็นสองส่วน คือ ส่วนที่ 1 ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นสำหรับจำหน่ายภาคปิโตรเคมีซึ่งมีสัญญาซื้อ - ขายก่อนวันที่ 2 ธันวาคม 2559 ยังคงใช้ระบบราคาต้นทุนเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเช่นเดิม ส่วนที่ 2 ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นสำหรับจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิงหรือจำหน่ายภาคปิโตรเคมีซึ่งไม่มีสัญญาซื้อ-ขายก่อนวันที่ 2 ธันวาคม 2559 เปลี่ยนจากหลักเกณฑ์เดิมที่กำหนดด้วยระบบราคาต้นทุนเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหา เป็นการกำหนดด้วยราคานำเข้า (CP+X) ซึ่งมีหลักเกณฑ์การคำนวณ โดยให้ ราคานำเข้า = CP + ค่าขนส่ง +ค่าประกันภัย + ค่าการสูญเสีย + ค่าใช้จ่ายในการนำเข้าอื่นๆ ทั้งนี้ เมื่อพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีผลบังคับใช้ ให้ปรับหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นและโครงสร้างราคาของก๊าซ LPG อีกครั้ง ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติฯ และ (2) อัตราเงินชดเชยหรือส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของส่วนผลิตและจัดหา โดยยกเลิกการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรือชดเชยสำหรับก๊าซนำเข้า หรือก๊าซที่ทำในราชอาณาจักรซึ่งผลิตจากก๊าซที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรือชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรของโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น และราคาโรงแยกก๊าซธรรมชาติ สำหรับการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรือชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรโดยโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก เท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น และราคาโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก
2. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมิถุนายน 2560 สรุปได้ดังนี้ (1) โรงแยกก๊าซธรรมชาติ เดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม 2560 เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ – เดือนเมษายน 2560 ที่ 0.0551 บาทต่อกิโลกรัม จาก 13.3815 บาทต่อกิโลกรัมเป็น 13.4366 บาทต่อกิโลกรัม (2) โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก ต้นทุนอ้างอิงราคาตลาดโลกที่สูตรราคา CP โดยต้นทุนราคาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันในเดือนมิถุนายน 2560 เท่ากับ 387.50 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน (3) การนำเข้า ต้นทุนเดือนมิถุนายน 2560 อยู่ที่ 434.6940 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และ (4) บริษัท ปตท. สผ. สยาม จำกัด ต้นทุนเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม 2560 ลดลง 0.10 บาทต่อกิโลกรัม จาก 15.20 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 15.10 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เพิกถอนระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เรื่องการให้ความยินยอมในการนำทรัพยากรธรรมชาติในเขตปฏิรูปที่ดินไปใช้ประโยชน์ตามกฎหมายอื่น พ.ศ. 2541 ซึ่งเดิมเป็นระเบียบปฏิบัติที่ผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมดำเนินการขออนุญาตเพื่อเข้าดำเนินกิจกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินฯ ทำให้การอนุญาตใช้ประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามระเบียบพิพาทเป็นโมฆะ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2560 กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้มีหนังสือแจ้งบริษัท ปตท. สผ. สยาม จำกัด ให้หยุดการผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จนกว่าจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวได้ เพื่อมิให้ขัดต่อข้อกฎหมายและคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ส่งผลให้ปริมาณก๊าซ LPG ที่ผลิตจากบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด ลดลงเหลือร้อยละ 60 ของปริมาณการผลิตเดิม โดยสถานการณ์ราคาก๊าซ LPG เดือนมิถุนายน 2560 ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) อยู่ที่ 387.50 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนพฤษภาคม 2560 อยู่ที่ 34.6199 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่นที่อ้างอิงราคานำเข้า ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (Import Parity) ปรับลดลง 0.0527 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 15.1018 บาทต่อกิโลกรัม (436.3049 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) เป็น 15.0491 บาทต่อกิโลกรัม (434.6940 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) และราคา ณ โรงกลั่นของก๊าซ LPG ที่ใช้ในภาคปิโตรเคมีที่อ้างอิงราคาเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก (Weighted Average) ปรับเพิ่มขึ้น 0.0031 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 13.5405 บาทต่อกิโลกรัม (391.1977 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) เป็น 13.5436 บาทต่อกิโลกรัม (391.2074 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน)
3. จากมติ กบง. เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2559 เห็นชอบแนวทางการเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG ทั้งระบบและราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก อัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ/ชดเชย ในส่วนการผลิตและจัดหา (กองทุน#1) ณ เดือนมิถุนายน 2560 เป็นดังนี้ ก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ที่ขายภาคปิโตรเคมี ต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ 0.1070 บาทต่อกิโลกรัม ก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ที่ขายเป็นเชื้อเพลิง ต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ 1.6125 บาทต่อกิโลกรัม ก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันขายภาคปิโตรเคมี ต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ 0.1284 บาทต่อกิโลกรัม ก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันขายเป็นเชื้อเพลิง ต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ 1.6339 บาทต่อกิโลกรัม ก๊าซ LPG ที่ผลิตจาก ปตท. สผ. สยามฯ ต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ 0.7892 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจากอัตราเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าวส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ในส่วนการผลิตและจัดหา (กองทุนน้ำมัน#1) มีรายรับ 520 ล้านบาท ต่อเดือน ดังนั้น เพื่อเป็นการลดภาระการชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ และเตรียมการในการเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG ในอนาคต ประกอบกับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก๊าซ LPG ณ วันที่ 4 มิถุนายน 2560 มีฐานะกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของก๊าซ LPG จำนวน 6,430 ล้านบาท ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เสนอให้คงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ไว้ที่ 20.49 บาทต่อกิโลกรัม โดยกองทุนน้ำมันฯ ปรับลดการชดเชยกองทุนน้ำมันฯ ลง 0.0527 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 1.5996 บาทต่อกิโลกรัม เป็นกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 1.5469 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเท่ากับรายจ่าย
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการกำหนดราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา ประจำเดือน มิถุนายน 2560 ดังนี้
(1) ราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ณ ระดับราคา 13.4366 บาทต่อกิโลกรัม
(2) ราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันและโรงอะโรเมติก ณ ระดับราคา 13.4152 บาทต่อกิโลกรัม
(3) ราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า ณ ระดับราคา 15.0491 บาทต่อกิโลกรัม
(4) ราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร ณ ระดับราคา 15.1000 บาทต่อกิโลกรัม
2. เห็นชอบกำหนดอัตราเงินชดเชยของกองทุนสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 1.5469 บาท
3. เห็นชอบประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ฉบับที่ 14 พ.ศ. 2560 เรื่อง การกำหนดราคา อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรหรือนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซ อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินคืนกองทุนสำหรับก๊าซที่ส่งออกนอกราชอาณาจักร
ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2560 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 7 อัตราการรับซื้อไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้พิจารณาเรื่องแนวนโยบาย “โรงไฟฟ้า-ประชารัฐ” สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้มีมติดังนี้ (1) เห็นชอบในหลักการให้ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์ เนชั่นแนล จำกัด ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐสำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (โครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ) ในส่วนของการผลิตไฟฟ้าชีวมวล โดยมีปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าไม่เกิน 12 เมกะวัตต์ โดยร่วมกับบริษัทชุมชนประชารัฐ/วิสาหกิจชุมชน ทั้งนี้ให้รายงานผลการดำเนินงานต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) และมอบให้ กบง. พิจารณาในการดำเนินการในส่วนของการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ (พืชพลังงาน) โดยมีปริมาณการรับซื้อไม่เกิน 30 เมกะวัตต์ (2) มอบหมายให้กระทรวงพลังงานและคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) โดยความเห็นชอบของ กบง. กำหนดอัตราราคารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ โดยคำนึงถึงความเป็นธรรมและเพียงพอในการรองรับวัตถุประสงค์ของแนวนโยบาย “โรงไฟฟ้า-ประชารัฐ”(3) มอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริหารต้นทุนการผลิตไฟฟ้าเพื่อให้สามารถรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ โดยให้มีผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าน้อยที่สุด ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป
2. กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้จัดทำอัตรารับซื้อไฟฟ้าสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยมีหลักการ ดังนี้ (1) อัตรารับซื้อไฟฟ้าต้องเป็นธรรมและเพียงพอที่จะทำให้โครงการสามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืน และทำให้บริษัทชุมชนประชารัฐ/วิสาหกิจชุมชน มีรายได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นธรรมกับผู้ประกอบการในพื้นที่ใกล้เคียง (2) สร้างรายได้ในส่วนของการจัดหาเชื้อเพลิงอย่างมั่นคง เพื่อให้เกิดการสร้างงาน เพิ่มรายได้ของชุมชน (3) สอดคล้องกับแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2558-2579 (AEDP 2015) ที่มีเป้าหมายจะผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนให้ได้ร้อยละ 20 ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด และในการจัดทำอัตรารับซื้อไฟฟ้าสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ มีขั้นตอน ดังนี้ (1) การทบทวนสมมติฐานต้นทุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลสำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ Feed-in Tariff ของชีวมวล โดยพิจารณาการเปลี่ยนแปลงต้นทุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าโดยใช้ค่า k ตามวิธีการคิดของสำนักงบประมาณ พบว่า ต้นทุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล ณ เดือนพฤษภาคม 2560 เทียบกับเดือนธันวาคม 2557 จะลดลงร้อยละ 0.3 และตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2548 ได้กำหนดว่าราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้คำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามหลักเกณฑ์ปกติแล้วบวกเพิ่มเป็นค่าตอบแทนพิเศษเพื่อจูงใจในการปฏิบัติงาน จำนวนร้อยละ 5 ของราคากลางที่คำนวณได้เป็นราคากลางงานก่อสร้าง โดยสามารถสรุปเงินลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล ที่จะใช้ในการคำนวณอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากชีวมวลในรูปแบบ Feed-in Tariff สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ ได้เท่ากับ 78.513 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ (2) การกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้า ได้พิจารณาจากแนวทางการจัดทำอัตรารับซื้อไฟฟ้าตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ดังนี้
2.1 การพิจารณาอัตรารับซื้อในส่วนคงที่ (FiTF) เป็นอัตรารับซื้อส่วนที่สะท้อนเงินลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลสำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีผลตอบแทนโครงการตามนโยบายที่กำหนด มีแนวทางพิจารณาตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 โดยกำหนดผลตอบแทนโครงการ (Project IRR ร้อยละ 10) ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่อยู่ในระดับที่เพียงพอ และผู้ลงทุนยังมีความสามารถในการจัดหาสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการได้ และทำการวิเคราะห์ผลตอบแทนส่วนเพิ่มของโครงการประชารัฐ/วิสาหกิจชุมชน พบว่า โครงการในระดับชุมชนจะมีศักยภาพในการจัดหาเงินทุนต่ำ (สัดส่วนอัตราหนี้สินต่อทุนประมาณ 50:50) และมีต้นทุนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูง (มากกว่าโครงการที่พัฒนาโดยภาคเอกชนทั่วไปอีกประมาณร้อยละ 0.5 -1.0) ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยของกิจการ (Weighted Average Cost of Capital: WACC) เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 1.0 ดังนั้น โครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐควรกำหนดผลตอบแทนโครงการส่วนเพิ่มเพื่อชดเชยต้นทุนทางการเงินอีกร้อยละ 1.0 เพื่อรักษาระดับผลตอบแทนส่วนทุน (Equity IRR) ให้เท่ากับโครงการทั่วไป นอกจากนี้ จากการประสานสถาบันการเงินให้แนวทางว่า ควรกำหนดผลตอบแทนเพื่อรองรับความเสี่ยงสำหรับโครงการขนาดเล็กมาก (น้อยกว่า 3 เมกะวัตต์) อีกร้อยละ 1.0 เพื่อรองรับการพิจารณาผลตอบแทนส่วนเพิ่ม รองรับความเสี่ยงในการดำเนินโครงการในระยะยาวที่สูงกว่าปกติ (Risk Premium) ในการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงิน จากแนวทางดังกล่าวสรุปผลตอบแทนโครงการที่เหมาะสมในการจัดทำอัตรารับซื้อไฟฟ้าสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ดังนี้ โรงไฟฟ้ากำลังผลิตติดตั้งน้อยกว่าหรือเท่ากับ 3 เมกะวัตต์ Project IRR อยู่ที่ร้อยละ 12 และโรงไฟฟ้ากำลังผลิตติดตั้งมากกว่า 3 เมกะวัตต์ อยู่ที่ร้อยละ 11
2.2 การพิจารณาอัตรารับซื้อในส่วนแปรผัน (FiTV) ซึ่งสะท้อนราคารับซื้อเชื้อเพลิง พพ. ได้กำหนดอัตราเท่ากับ อัตรารับซื้อไฟฟ้าพื้นฐาน (FiTV) ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ซึ่งเป็น อัตรา FiTV เดียวกันกับอัตรารับซื้อ FiTV VSPP Semi-Firm ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 ซึ่งเมื่อนำสมมติฐานเงินลงทุนและแนวทางการกำหนดผลตอบแทนโครงการที่กล่าวมาข้างต้นมาประเมินร่วมกับแบบจำลองทางการเงินที่ใช้สำหรับการกำหนด FiT จะสามารถสรุปข้อเสนออัตรารับซื้อไฟฟ้าจากชีวมวลสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ดังนี้ กำลังผลิตติดตั้งน้อยกว่าหรือเท่ากับ 3 เมกะวัตต์ FiT อยู่ที่ 5.14 บาทต่อหน่วย และกำลังผลิตติดตั้งมากกว่า 3 เมกะวัตต์ FiTอยู่ที่ 4.45 บาทต่อหน่วย โดยมีระยะเวลาสนับสนุน 20 ปี ทั้งนี้ อัตรา FiT จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามอัตราเงินเฟ้อขั้นพื้นฐาน (Core Inflation) ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557
2.3 การพิจารณาเรื่องความเป็นธรรมของอัตรารับซื้อกับผู้ประกอบการในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อให้เป็นไปตามหลักการในการจัดทำอัตรารับซื้อไฟฟ้า ควรกำหนดหลักเกณฑ์ในการเดินเครื่องโดยต้องมี Plant factor ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 จึงจะได้รับอัตรารับซื้อไฟฟ้าดังกล่าว หากไม่สามารถทำได้ควรได้อัตราเท่ากับค่าเฉลี่ยที่ผู้ประกอบการในพื้นที่เดียวกันที่ประมูลมาครั้งล่าสุด ทั้งนี้ สรุปข้อเสนออัตรารับซื้อไฟฟ้ารูปแบบ FiT สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ดังนี้
3. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่า (1) อัตรารับซื้อไฟฟ้ารูปแบบ FiT สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตามที่เสนอในข้อ 2.3 มีอัตรารับซื้อที่สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ชนะการแข่งขันทางด้านราคาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ผ่านมา ซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดการร้องเรียนหรือการฟ้องร้องเรื่องความไม่เป็นธรรมได้ (2) ควรกำหนดพื้นที่ตั้งโครงการโดยพิจารณาจากความเหมาะสมศักยภาพระบบไฟฟ้า ความต้องการใช้ไฟฟ้า และศักยภาพเชื้อเพลิงชีวมวลในพื้นที่ที่เพียงพอ และจะต้องส่งผลกระทบต่อการรับซื้อเชื้อเพลิงโครงการพลังงานหมุนเวียนที่อยู่ระหว่างดำเนินการอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงน้อยที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการฟ้องร้องเรื่องความไม่เป็นธรรมในอนาคต (3) ควรมีการส่งเสริมการพัฒนาเชื้อเพลิงชีวมวลภายในบริเวณโครงการและกลุ่มแนวร่วมของชุมชนในพื้นที่ เพื่อเป็นการสร้างรายได้ในส่วนของการจัดหาเชื้อเพลิงที่จะป้อนเข้าสู่โรงไฟฟ้า รองรับการจัดตั้ง โครงการพาคนกลับบ้าน ของ กอ.รมน.ภาค 4 สน. และโครงการรองรับมวลชน หมู่บ้านสันติสุข เพื่อให้เกิดการสร้างงาน เพิ่มรายได้ ส่งเสริมระบบป้องกันตนเองจากมวลชนในพื้นที่ตน ตามวัตถุประสงค์ของโครงการที่ กพช. มีมติเห็นชอบไว้ (4) ควรมีแนวทางการกำหนดผลตอบแทนที่กลับคืนสู่ชุมชนในพื้นที่ที่แน่นอน เช่น การรับประกันการจัดสรรผลตอบแทนขั้นต่ำกลับคืนสู่ชุมชนในพื้นที่ไม่ต่ำกว่าข้อเสนอต่อ กพช. (ร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิในแต่ละปี) การรับประกันราคาและปริมาณรับซื้อเชื้อเพลิงจากชุมชนในพื้นที่ที่กำหนด เป็นต้น และ (5) ควรให้ บริษัท พีอีเอ เอ็นคอมฯ นำเสนอแผนการดำเนินงานในการเชิญชวนให้บริษัทชุมชนประชารัฐ/วิสาหกิจชุมชนเข้าร่วมลงทุนให้ครบตามสัดส่วนที่ได้เสนอในหลักการต่อ กพช. ไว้ เพื่อให้ทันตามระยะเวลาการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ ทั้งนี้ ควรให้ กฟภ. จัดกระบวนการคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการอย่างเป็นธรรมและโปร่งใส ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากชีวมวลในรูปแบบ Feed - in Tariff (FiT) ของโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนี้
ทั้งนี้ การคำนวณอัตรา Plant Factor (PF) ประจำเดือนจะไม่รวมในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยจากระบบส่งไฟฟ้า
2. มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กำหนดจุดพัฒนาโครงการให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ และอยู่ในพื้นที่ที่มีศักยภาพชีวมวลที่เหมาะสม โดยพื้นที่ตั้งโครงการจะต้องเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงพิเศษ หรือพื้นที่เพื่อความมั่นคงพิเศษที่ผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นผู้กำหนด
3. มอบหมายให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด รับความเห็น และข้อสังเกตของที่ประชุมไปดำเนินการและรายงานให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อทราบต่อไป
4. มอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานดำเนินการออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องรับซื้อไม้ในพื้นที่เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเป็นลำดับแรก และต้องเป็นไม้ที่ไม่ได้มาจากการตัดไม้ทำลายป่า
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2557 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบให้รับซื้อไฟฟ้าจากโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ ภาคการเกษตร (โครงการฯ) โดยมีขนาดติดตั้งไม่เกิน 5 เมกะวัตต์ต่อแห่ง รวม 800 เมกะวัตต์ ในอัตรา FiT 5.66 บาทต่อหน่วย โดยมีระยะเวลาสนับสนุน 25 ปี กำหนดการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2558 และมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารมาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งแต่งตั้งโดย กพช. รับไปกำหนดหลักเกณฑ์ ระเบียบการคัดเลือกโครงการ และพิจารณารับซื้อไฟฟ้าโดยคำนึงถึงประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และความสามารถรองรับของระบบสายส่ง ต่อมาเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2559 กพช. เห็นชอบให้เลื่อนวัน SCOD ของโครงการฯ สำหรับการรับซื้อไฟฟ้าในระยะที่ 1 ออกไป เป็นภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2559 ทั้งนี้ ในส่วนของการรับซื้อไฟฟ้าส่วนที่เหลือ (ระยะที่ 2) ยังคงเป็นไปตามกำหนดระยะเวลาเดิม คือ ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2561 และต่อมาเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2560 กพช. เห็นชอบการมอบอำนาจให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาขยายระยะเวลา SCOD ของโครงการฯ พร้อมบทกำหนดโทษปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าในรูปแบบ FiT ลดลงไม่เกินร้อยละ 5 จาก 5.66 บาทต่อหน่วย และหักระยะเวลาการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบตามข้อเท็จจริงแห่งเหตุอุทธรณ์ ทั้งนี้อายุสัญญายังคงสิ้นสุดในวันที่ 30 ธันวาคม 2584 เช่นเดียวกับโครงการอื่น โดยระเบียบ กกพ. ว่าด้วยการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการฯ กำหนดเงื่อนไขการพิจารณาอุทธรณ์ตามสัญญาว่า ในกรณีคู่สัญญามีปัญหาปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าหรือระเบียบการรับซื้อไฟฟ้า ให้เป็นอำนาจของ กกพ. วินิจฉัยหาข้อยุติ โดยให้ถือว่าคำวินิจฉัยของ กกพ. เป็นที่สุด และหากผู้ผลิตไฟฟ้าไม่พอใจในคำวินิจฉัยของ กกพ. ให้ฟ้องคดีต่อศาลไทย
2. จากการดำเนินงานมีสหกรณ์ภาคการเกษตรผ่านการพิจารณาคัดเลือกรวม 67 ราย กำลังผลิตติดตั้ง 281.32 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ สามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ตามกำหนดจำนวน 55 ราย กำลังผลิตติดตั้ง 232.87 เมกะวัตต์ แต่เนื่องจากระยะเวลานับจากวันลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) มีกำหนดประมาณปลายเดือนสิงหาคม 2559 จึงเหลือระยะเวลาดำเนินโครงการเพื่อ COD เพียง 4 เดือน ส่งผลให้บางโครงการไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าได้ภายในกำหนด การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (กฟน. หรือ กฟภ. ซึ่งเป็นคู่สัญญา) ได้มีหนังสือถึงบริษัทฯ แจ้งยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โดยหนังสือดังกล่าวมีการแจ้งสิทธิในการยื่นคำอุทธรณ์ต่อ กกพ. ภายใน 30 วันนับจากวันที่บริษัทฯ ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าและบริษัทฯ ได้ยื่นอุทธรณ์จำนวน 11 ราย กำลังผลิตติดตั้ง 43.45 เมกะวัตต์ และ มี 1 โครงการที่ปฏิเสธการตอบรับซื้อ กำลังผลิตติดตั้ง 5 เมกะวัตต์ โดยโครงการที่ยังไม่ได้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบและยื่นอุทธรณ์ต่อ กกพ. จำนวน 11 โครงการ 3 รายแรกอยู่ระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์ และอีก 8 ราย การไฟฟ้า ฝ่ายจำหน่ายได้บอกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้าซึ่งบริษัทฯ ได้มีหนังสืออุทธรณ์การยกเลิกสัญญาซื้อไฟฟ้าของ กฟน. และ กฟภ. ต่อ กกพ. ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - เดือนมีนาคม 2560 โดยมีประเด็นอุทธรณ์ ดังนี้ (1) พื้นที่ตั้งโครงการประสบปัญหาเกี่ยวกับสภาพอากาศ โดยมีฝนตกหนักระหว่างเดือนกันยายน – เดือนตุลาคม 2559 ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาโครงการ (2) ระยะเวลาในการก่อสร้างนับจากวันลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าถึงกำหนดวัน SCOD ไม่เพียงพอ (3) บริษัทฯ ต้องจัดทำรายงานเกี่ยวกับการศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย (ESA) ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฯ เมื่อเดือนกันยายน 2559 ซึ่งเป็นขั้นตอนที่กำหนดเพิ่มเติมภายหลังจากการประกาศรับซื้อไฟฟ้าในโครงการดังกล่าว ทำให้กระบวนการในการขออนุญาตต้องใช้ระยะเวลาเพิ่มมากขึ้น จึงไม่สามารถก่อสร้างโรงงานได้ตามกำหนด และ (4) สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากำหนดให้คู่สัญญาสามารถพิจารณาเลื่อนกำหนดวัน SCOD ได้ หากมีเหตุอันสมควร
3. เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2560 กกพ. ได้พิจารณาอุทธรณ์ของบริษัทฯ จำนวน 8 ราย และเห็นว่าอุทธรณ์ของบริษัทฯ ฟังขึ้นโดยมีเหตุผลประกอบ ดังนี้ (1) บริษัทฯ จะต้องดำเนินการยื่นขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงาน และใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้า โดยมีระยะเวลาในการขอรับใบอนุญาตประเภทต่างๆ อ้างอิงตามคู่มือสำหรับประชาชนตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 (2) เนื่องจากระเบียบ กกพ. ว่าด้วยการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน สำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร กำหนดให้แบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้าให้เป็นไปตามที่ กกพ. กำหนด โดยเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2559 กกพ. ได้มีมติเห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ได้ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงาน กกพ. ได้จัดส่งร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าวให้กับการไฟฟ้าเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2559 จากข้อเท็จจริงการไฟฟ้าและบริษัทฯ ได้เข้าทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2559 บริษัทฯ จึงมีระยะเวลาดำเนินการประมาณ 4 เดือน นับจากวันลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าถึงกำหนดวัน SCOD (วันที่ 30 ธันวาคม 2559)
4. เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงแล้วเห็นได้ว่าระยะเวลาที่ได้มีการเลื่อนจากกำหนดเดิมตามประกาศ กกพ. กำหนดการจับสลากเดือนธันวาคม 2558 ได้ถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากปัญหาการอุทธรณ์ร้องเรียนประกอบกับตามคำสั่ง คสช. ที่ 4/2559 ทำให้ระยะเวลาจับสลากเลื่อนไป 4 เดือน ถึงเดือนเมษายน 2559 ประกอบกับกำหนดระยะเวลาลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายใน 120 วัน ทำให้เมื่อลงนามแล้วระยะเวลาก่อสร้างเข้าสู่ช่วงฤดูฝนและระยะเวลาก่อสร้างโรงไฟฟ้าเหลือเพียง 4 เดือน ถึงกำหนดวัน SCOD ในวันที่ 30 ธันวาคม 2559 ทำให้มีระยะเวลาในการก่อสร้างมีอุปสรรคและไม่เพียงพอ ประกอบกับบริษัทฯ ไม่สามารถดำเนินการขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงาน และใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องได้ภายในกำหนดวัน SCOD (วันที่ 30 ธันวาคม 2559) บริษัทฯ ทั้ง 8 โครงการได้อุทธรณ์กรณีที่การไฟฟ้าใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเนื่องจากระยะเวลาได้ล่วงเลยกำหนดวัน SCOD ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว ในประเด็นดังกล่าว กกพ. พิจารณาแล้วเห็นว่าจากการเลื่อนกำหนดการจับสลากออกไปจากเดิมทำให้ระยะเวลาดำเนินการน้อยลงกว่าเดิมประกอบกับช่วงเวลาที่เลื่อนทำให้ตรงกับฤดูฝนเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการประกอบกับโครงการของบริษัทฯ ทั้ง 8 รายได้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จแล้ว ข้ออุทธรณ์ของบริษัทฯ จึงรับฟังได้ เนื่องจากความล่าช้าในการก่อสร้างมิได้เกิดจากความผิดของบริษัทฯ อย่างเดียว จึงเห็นควรให้ขยายกำหนดวัน SCOD ออกไปให้กับโครงการของผู้อุทธรณ์ทั้ง 8 ราย และปรับลดอัตราค่าไฟฟ้า FiT ลดลงร้อยละ 5 จาก 5.66 บาทต่อหน่วย เหลือ 5.377 บาทต่อหน่วย ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่า การพิจารณาขยายระยะเวลา SCOD โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร ระยะที่ 1 จำนวน 8 โครงการ จะต้องพิจารณาให้สอดคล้อง ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2560 ที่เห็นชอบมอบกรอบอำนาจให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาขยายระยะเวลา SCOD พร้อมกำหนดบทลงโทษ ปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าในรูปแบบ FiT ลดลงไม่เกินร้อยละ 5 จาก 5.66 บาทต่อหน่วย และหักระยะเวลาการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบตามข้อเท็จจริงแห่งเหตุอุทธรณ์ ทั้งนี้อายุสัญญายังคงสิ้นสุดในวันที่ 30 ธันวาคม 2584
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ขยายกำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ของโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร ระยะที่ 1 ให้กับโครงการ ของผู้ผ่านการอุทธรณ์ จำนวน 8 รายรวมกำลังผลิตติดตั้ง 33.95 เมกะวัตต์ จากเดิมกำหนดวัน SCOD ภายในเดือนธันวาคม 2559 เป็นภายในเดือนสิงหาคม 2560 อายุสัญญายังคงสิ้นสุดในวันที่ 30 ธันวาคม 2584 เช่นเดียวกับโครงการอื่น โดยให้ปรับลดอัตราค่าไฟฟ้า FiT ลดลงร้อยละ 5 จาก 5.66 บาทต่อหน่วย เหลือ 5.377 บาทต่อหน่วย