Super User
ครั้งที่ 16 - วันพุธ ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2549
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2549 (ครั้งที่ 16)
วันพุธที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2549 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (ตั้งแต่ กันยายน - 10 ตุลาคม 2549)
2. เสนอการปรับระดับเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น
3. ขอลดระยะเวลาการบันทึกบัญชีรายได้รอการตรวจสอบเป็นรายได้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
ประธานได้กล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาร่วมงานกับข้าราชการกระทรวงพลังงาน พร้อมทั้งได้ชี้แจงให้ ที่ประชุมทราบเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล ซึ่งประกอบด้วย นโยบายในระยะสั้น ซึ่งเป็นการจัดการปัญหาเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ และการวางนโยบายพัฒนาพลังงานในระยะยาว เพื่อให้การพัฒนาพลังงานของประเทศมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายต่างๆ ซึ่งควรจะต้องดำเนินการให้เสร็จในรัฐบาลชุดนี้
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (ตั้งแต่ กันยายน - 10 ตุลาคม 2549)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยตั้งแต่ 1 กันยายน - 10 ตุลาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 59.15 และ 62.02 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งปรับตัวลดลงจากเดือนสิงหาคมลง 9.62 และ 11.70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากการเทขายทำกำไรของนักลงทุนในตลาดซื้อขายล่วงหน้า และผู้ค้าคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและสหประชาชาติ ประกอบกับปริมาณสำรองน้ำมันดีเซลของสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี แม้ว่าโอเปคมีแผนที่จะปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันลง 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อพยุงราคาน้ำมัน
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยตั้งแต่ 1 กันยายน - 10 ตุลาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 65.13, 64.47 และ 74.77 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 16.09, 15.89 และ 11.52 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบ ประกอบกับประเทศจีน ไต้หวัน และอินเดียได้ออกประมูลขายน้ำมันเบนซินที่ส่งมอบในเดือนตุลาคม 2549 รวมทั้งความต้องการใช้น้ำมันในภูมิภาคลดลงและสิ้นสุดฤดูกาลท่องเที่ยวในสหรัฐอเมริกา
3. ราคาขายปลีก ในช่วง 1 กันยายน - 10 ตุลาคม 2549 ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินลดลง 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 6 ครั้ง ปรับราคาลดลง 0.50 บาท/ลิตร 1 ครั้ง และปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลง 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 6 ครั้ง และลดลง 0.50 บาท/ลิตร 2 ครั้ง ดังนั้น ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินลดลงจากเดือนสิงหาคม 4.13 บาท/ลิตร และปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลง 3.40 บาท/ลิตร ซึ่งทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 25.59, 24.79 และ 24.14 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2549 มีเงินสดสุทธิจำนวน 14,441 ล้านบาท มีหนี้สินค้างชำระจำนวน 64,848 ล้านบาท หนี้พันธบัตรจำนวน 26,400 ล้านบาท หนี้เงินกู้สถาบันการเงินจำนวน 24,702 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยตรึงราคาค้างชำระจำนวน 1,627 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG จำนวน 11,510 ล้านบาท หนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ จำนวน 159 ล้านบาท ดอกเบี้ยค้างจ่ายประจำเดือน 450 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 50,407 ล้านบาท และคาดว่าจะมีเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในเดือนตุลาคมประมาณ 2,500 ล้านบาท และมีรายจ่ายมากกว่ารายรับจำนวน 8,944 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ข้อเสนอการปรับระดับเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2548 ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซลเพิ่มขึ้นอีก 1 บาท/ลิตร จากระดับเพดานสูงสุดเป็น 1.50 บาท/ลิตร เป็น 2.50 บาท/ลิตร โดยมอบหมายให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะเลขานุการ กบง. เป็นผู้พิจารณาปรับเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล
2. จากปัญหาภาระหนี้สินในการตรึงราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ติดลบ 50,407 ล้านบาท และมีหนี้สินค้างชำระ 64,848 ล้านบาท ภาระหนี้สินจากเงินชดเชย LPG ประมาณ 500 ล้านบาท/เดือน ขณะที่รายได้ของกองทุนน้ำมันฯ ลดลง เนื่องจากปริมาณการใช้ลดลงและนโยบายการยกเลิกการใช้น้ำมันเบนซิน 95 ในวันที่ 1 มากราคม 2550 รวมทั้งภาระในการส่งเสริมพลังงานทดแทนที่สูงขึ้นทำให้ประมาณการเงินกองทุนน้ำมันฯ ไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ในช่วงเดือนตุลาคม 2550 ถึงมีนาคม 2551 จำนวนเงิน 11,468 ล้านบาท
3. จากปัญหาดังกล่าว ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ จะขาดสภาพคล่องในการชำระหนี้ และแนวทางแก้ไขคือ ควรมีการปรับเพดานเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล เพิ่มขึ้นอีก 0.50 บาท/ลิตร จากระดับเพดานสูงสุด 2.50 บาท/ลิตร เป็นระดับเพดานสูงสุด 3.00 บาท/ลิตร เพื่อให้กองทุนฯ มีเงินสดเพียงพอต่อการชำระหนี้ ในเดือนตุลาคม 2550 - มีนาคม 2551 และหากเมื่อดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขฯ จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ ให้สามารถบริหารจัดการหนี้ได้อย่างต่อเนื่อง และช่วยให้การส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างประหยัดเกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
4.ฝ่ายเลขานุการฯ จึงมีความจำเป็นต้องขอความเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซลเพิ่มขึ้นอีก 0.50 บาท/ลิตร จากระดับเพดานสูงสุด 2.50 บาท/ลิตร เป็น 3.00 บาท/ลิตร และขอให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบให้ ผอ.สนพ. เป็นผู้ปรับขึ้นหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันทั้ง 3 ชนิด
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล เพิ่มขึ้นอีก 1.50 บาท/ลิตร จากระดับเพดานสูงสุด 2.50 บาท/ลิตร เป็น 4.00 บาท/ลิตร
2. เห็นชอบให้ประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบให้ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นผู้ปรับขึ้นหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล
เรื่องที่ 3 ขอลดระยะเวลาการบันทึกบัญชีรายได้รอการตรวจสอบเป็นรายได้
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุมคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ครั้งที่ 1/2542 (ครั้งที่ 27) เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2542 ได้มีมติเรื่องผลการตรวจสอบบัญชีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงว่าในกรณีที่หน่วยงานต่างๆ ไม่ส่งเอกสารใบส่งเงินที่เป็นปัจจุบัน เป็นเหตุให้กรมบัญชีกลางไม่มีเอกสารประกอบการบันทึกบัญชีภายใน 3 ปี ให้ถือว่ารายได้รอการตรวจสอบนั้นเป็นรายได้ของกองทุนน้ำมันฯ
2. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพ.) ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงพลังงานให้เป็นผู้จัดการกองทุนฯ และ สบพ. ได้รับมอบงานการเบิกจ่ายเงินและการบัญชีกองทุนฯ จากกรมบัญชีกลาง เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2547 เป็นต้นมา ซึ่งจากการจัดทำบัญชีของ สบพ. พบว่า สบพ. ไม่ได้รับเอกสารใบนำส่งเงินจากการนำส่งเงินเข้ากองทุนฯ ของหน่วยงานต่างๆ เป็นจำนวนมาก และไม่อาจบันทึกเป็นรายได้ของกองทุนฯ ได้ จนกว่าจะครบ 3 ปี ไปแล้ว จึงสามารถปรับปรุงบัญชีรายได้รอการตรวจสอบนั้นเป็นรายได้ของกองทุนฯ
3. คณะกรรมการตรวจสอบ สบพ. ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2549 ได้มีมติให้ สบพ. นำเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบการปรับลดระยะเวลาการบันทึกรับรู้เป็นรายได้ของกองทุนน้ำมันฯ จาก 3 ปี เหลือ 1 ปี โดยคณะกรรมการ สบพ. ได้รับทราบมติของคณะกรรมการตรวจสอบฯ แล้ว ในการประชุมคณะกรรมการ สบพ. ครั้งที่ 5/2549 (ครั้งที่ 25) เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2549
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดระยะเวลาการบันทึกบัญชีรายได้รอการตรวจสอบเป็นรายได้ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จาก 3 ปี เหลือ 1 ปี โดยให้มีผลบังคับใช้กับรายได้รอการตรวจสอบตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นไป
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 28 ธันวาคม 2552
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 17 พฤศจิกายน 2554
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 25 ธันวาคม 2552
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 16 พฤศจิกายน 2554
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 24 ธันวาคม 2552
ประกาศกบง.ฉบับที่ 122 พ.ศ. 2555
ครั้งที่ 35 - วันจันทร์ ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 10/2551 (ครั้งที่ 35)
วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ อาคาร 7 ชั้น 11 กระทรวงพลังงาน
1. การขอสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูก
2. ข้อเสนอเพิ่มเติมการจัดสรรน้ำมันเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัย
3. การรักษาเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
4. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (สิงหาคม - 18 กันยายน 2551)
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าเนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานติดราชการ จึงได้มอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
เรื่องที่ 1 : การขอสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูก
สรุปสาระสำคัญ
1. กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันในเครือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ช่วยเหลือสนับสนุนน้ำมันราคาถูกให้แก่ผู้เดือดร้อนกลุ่มต่างๆ จำนวน 122 ล้านลิตรต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน (มิถุนายน - พฤศจิกายน 2551) ซึ่งมีราคาถูกกว่าดีเซลปกติ 3 บาทต่อลิตร โดยให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณาจัดสรรน้ำมันดังกล่าวแทนกระทรวงพลังงาน และเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 กบง. ได้มีมติรับทราบ และอนุมัติให้จัดสรรน้ำมันฯ จำนวน 30 ล้านลิตรต่อเดือน ให้กับรถหมวด 1 และหมวด 4 ของ ขสมก. และ รถร่วมบริการจำนวนประมาณ 14,600 คัน โดยให้จำหน่ายตั้งแต่วันเริ่มโครงการฯ จนกว่าจะได้ข้อยุติของ ศาลปกครองในกรณีขอปรับขึ้นค่าโดยสาร หรือเท่าที่จำนวนน้ำมันที่ได้รับการจัดสรรหมดลง แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน
2. วันที่ 1 สิงหาคม 2551 กบง. ได้มีมติเห็นชอบจัดสรรน้ำมันราคาถูกช่วยเหลือชาวประมงชายฝั่งจำนวน 15 ล้านลิตรต่อเดือน เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง จำนวน 7 ล้านลิตรต่อเดือน กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี จำนวน 1,500 ลิตรต่อเดือน และให้ขยายหลักเกณฑ์การช่วยเหลือครอบคลุมถึงหน่วยงานของรัฐ ที่มีความเดือดร้อน โดยหน่วยงานของรัฐที่สมควรได้รับความช่วยเหลือ ได้แก่หน่วยงานที่ดำเนินโครงการหรือแผนงานที่เกี่ยวกับการบริการสาธารณะ ซึ่งหากไม่ดำเนินการจะส่งผลกระทบต่อการบริการประชาชนโดยตรง
3. ต่อมา กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2551 ได้รับทราบคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด ที่ 505/2551 ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2551 กลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ยกคำขอทุเลาการบังคับเฉพาะที่เกี่ยวกับการกำหนด (ปรับปรุง) อัตราค่าโดยสารประจำทางหมวด 1 ในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียงที่มีเส้นทางต่อเนื่อง และหมวด 4 กรุงเทพมหานคร และ ปตท. ได้ดำเนินการยกเลิกการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูก ให้กับ ขสมก./รถร่วมบริการ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2551 เป็นต้นไป ทำให้ในเดือนกันยายน-พฤศจิกายน 2551 ยังมีน้ำมันดีเซลราคาถูกสำหรับช่วยเหลือผู้เดือดร้อนต่างๆ ประมาณ 100ล้านลิตรต่อเดือน
4. เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ได้มีหนังสือเรื่อง การขอสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกของกรมขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ถึงฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อขอรับสนับสนุนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วราคาถูกใช้ในการขุดลอกร่องน้ำเพิ่มเติม โดยมีความต้องการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วในการขุดลอกร่องน้ำระหว่างเดือน กันยายน - พฤศจิกายน 2551 จำนวน 1,131,000 ลิตร พร้อมทั้งกรมประมง ได้มีหนังสือเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2551 เรื่อง หารือการขอรับการสนับสนุนน้ำมันราคาถูก ประจำปีงบประมาณ 2552 เพื่อขอรับสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกใช้ในการขุดลอกหนองบึงและปรับปรุงแหล่งน้ำธรรมชาติ สำหรับใช้การประมงและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ได้แก่ บึงบอระเพ็ด กว๊านพะเยา และหนองหาร โดยมีความต้องการใช้น้ำมันประมาณ 700,000 ลิตรต่อปี กรมประมงจึงขอสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูก จำนวน 36,000 ลิตรต่อเดือน ตั้งแต่เดือนกันยายน - พฤศจิกายน 2551 รวม 3 เดือน
5. แต่ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าควรจัดสรรน้ำมันราคาถูกให้กับกรมการขนส่งทางน้ำและ พาณิชยนาวี โดยจัดสรรน้ำมันดีเซลเพิ่มเติม เพื่อใช้ในการขุดลอกร่องน้ำ รวมกับที่เคยจัดสรรไว้เดิมแล้ว 1,500 ลิตรต่อเดือน เป็นจำนวน 1,131,000 ล้านลิตร ในระยะเวลาเดือนกันยายน-พฤศจิกายน 2551 และกรมประมง ควรจัดสรรเพื่อใช้ในการขุดลอกหนองบึงและปรับปรุงแหล่งน้ำตามธรรมชาติ จำนวน 36,000 ลิตรต่อเดือน ในระยะเวลาเดือนกันยายน - พฤศจิกายน 2551 ซึ่งทั้งสองหน่วยงานได้เสนอขอจัดสรรน้ำมันดังกล่าวเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ กบง. กำหนด
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้จัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ได้รับการช่วยเหลือจากโรงกลั่นน้ำมัน ดังนี้
1. จัดสรรให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีเพื่อใช้ในการขุดลอกร่องน้ำ รวมกับน้ำมันที่เคยจัดสรรให้แล้ว 1,500 ลิตรต่อเดือน เป็นจำนวนรวม 1,131,000 ลิตร ในระยะเวลา 3 เดือน (กันยายน - พฤศจิกายน 2551)
2. จัดสรรให้กรมประมงเพื่อใช้ในการขุดลอกหนองบึงและแหล่งน้ำธรรมชาติ จำนวน 36,000 ลิตร ต่อเดือน ในระยะเวลา 3 เดือน (กันยายน - พฤศจิกายน 2551)
เรื่องที่ 2 : ข้อเสนอเพิ่มเติมการจัดสรรน้ำมันเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัย
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 กบง. ได้มีมติ เรื่องแนวทางการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยกระทรวงพลังงานได้รับความร่วมมือจาก 4 โรงกลั่นในเครือ ปตท. จัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในปริมาณ 122 ล้านลิตรต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน รวม 732 ล้านลิตร ในราคาที่ต่ำกว่าราคาดีเซลหมุนเร็วปกติ 3 บาทต่อลิตร รวมเป็นมูลค่า 2,196 ล้านบาท และ กบง. ได้พิจารณาจัดสรรน้ำมันราคาถูกให้กลุ่มผู้เดือดร้อนไปแล้วดังนี้ 1) รถหมวด 1 และ หมวด 4 ในกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล จำนวนประมาณ 14,600 คัน ได้รับการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2551 ถึง กันยายน 2551 เป็นจำนวน 35.5 ล้านลิตร 2) กลุ่มประมงชายฝั่งและเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง ได้รับการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกจำนวน 15 ล้านลิตรต่อเดือน และ 7 ล้านลิตรต่อเดือน ตามลำดับ 3) กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี ได้รับการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูก เพื่อนำไปใช้ในการขุดลอกร่องน้ำระหว่างเดือนกันยายน - พฤศจิกายน 2551 จำนวน 1,131,000 ลิตร 4) กรมประมงขอรับการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูก จำนวน 108,000 ลิตร เพื่อนำไปใช้ในการขุดลอกหนองบึงและปรับปรุงแหล่งน้ำธรรมชาติ
2. น้ำมันดีเซลราคาถูกต่ำกว่าราคาดีเซลหมุนเร็วปกติ 3 บาทต่อลิตร จำนวน 732 ล้านลิตรได้รับการจัดสรรไปแล้วจนถึงวันที่ 19 กันยายน 2551 ปริมาณ 37.3 ล้านลิตร และจะมีการจัดสรรในช่วงวันที่ 19 กันยายน - 30 พฤศจิกายน 2551 อีกประมาณ 61.239 ล้านลิตร ซึ่งจะมีน้ำมันดีเซลเหลืออีกประมาณ 633.461 ล้านลิตร เพื่อรอรับการจัดสรร
3. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2551 เห็นชอบให้ความช่วยเหลือจังหวัดที่ประสบอุทกภัยในจังหวัดต่างๆ ซึ่งจังหวัดที่ได้รับผลกระทบมากได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก พิจิตร สระบุรี ลพบุรี และนครราชสีมา เป็นต้น และเพื่อรองรับกับมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว กระทรวงพลังงานเห็นควรให้มีข้อเสนอเพิ่มเติมแนวทางการจัดสรรน้ำมันดีเซลราคาถูกกว่าปกติ 3 บาทต่อลิตร ให้ครอบคลุมถึงการจัดสรรน้ำมันดีเซลให้เปล่า โดยมีหลักการดังนี้ โดยนำน้ำมันดีเซลที่มีราคาถูกกว่าปกติ 3 บาทต่อลิตร ที่เหลืออยู่ในปริมาณ 633.461 ล้านลิตร มาคำนวณเป็นน้ำมันดีเซลให้เปล่าในปริมาณเทียบเท่ากับ 59.38 ล้านลิตร
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ความช่วยเหลือน้ำมันดีเซลให้เปล่าแก่จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยมาก 5 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก พิจิตร สระบุรี ลพบุรี และนครราชสีมา จังหวัดละไม่เกิน 100,000 ลิตร รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 500,000 ลิตร
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเป็นผู้ประสานงานกับกลุ่มโรงกลั่น เพื่อพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มผู้เดือดร้อนจากอุทกภัย โดยจัดสรรน้ำมันดีเซลให้เปล่า ตามข้อ 1 รวมทั้งการขยายระยะเวลาการช่วยเหลือเพิ่มเติม
3. เพื่อให้มีความคล่องตัวและทันเหตุการณ์ในการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยเห็นชอบในหลักการและมอบหมายให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ในการจัดสรรน้ำมันดีเซลให้เปล่าให้แก่จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย
4. การจัดสรรน้ำมันดีเซลให้เปล่าให้แก่จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยผ่านกระทรวงพลังงาน และกระทรวงพลังงานมอบหมายให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับไปดำเนินการ
เรื่องที่ 3 : การรักษาเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2549 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล และดีเซล เพิ่มอีก 1.50 บาทต่อลิตร จากระดับเพดานสูงสุด 2.50 บาทต่อลิตร เป็น 4.00 บาทต่อลิตร และต่อมาเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2551 ได้เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นครั้งละไม่เกิน 0.50 บาทต่อลิตร เพื่อให้มีความคล่องตัวและทันเหตุการณ์ในการรักษาเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ พร้อมทั้งมอบหมายให้ สนพ. นำเสนอประธานคณะกรรมการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบแทนคณะกรรมการฯ
2. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ค่าการตลาดของ น้ำมันแก๊สโซฮอลต่ำกว่าค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน เนื่องจากต้นทุนน้ำมันเบนซินลดลงตามราคาน้ำมัน ในตลาดโลก แต่ต้นทุนของน้ำมันแก๊สโซฮอลไม่ได้ลดลงตามราคาตลาดโลกทั้งหมด เนื่องด้วยมีส่วนผสมของเอทานอล ซึ่งราคาเปลี่ยนแปลงเป็นรายไตรมาส (โดยที่ต้นทุนน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ลดลงร้อยละ 90 และต้นทุนน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ลดลงร้อยละ 80) และราคาเอทานอลได้ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 18.01 บาทต่อลิตร ในไตรมาส 3 เป็น 22.12 บาทต่อลิตร ในไตรมาส 4 และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
3. เพื่อเป็นการจูงใจและส่งเสริมให้ผู้ค้าน้ำมันจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ที่มีค่าใช้จ่ายในการจำหน่ายสูงกว่า รวมทั้งให้ประชาชนตระหนักถึงการประหยัดพลังงาน และเพิ่มเงินสำรองสำหรับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในการส่งเสริมพลังงานทดแทนและใช้ในการบริการจัดการ ตลอดจนเพื่อลดผลกระทบในช่วงราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันเบนซิน 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อี10 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 น้ำมันดีเซล และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เป็น 2 กรณี คือ
กรณีที่ 1 : ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซิน 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อี10 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 น้ำมันดีเซล และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ในอัตรา 0.30 บาทต่อลิตร (น้ำมันเบนซิน 95 อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อยู่ที่ระดับเพดาน) โดยจากการปรับส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 น้อยกว่าน้ำมันเบนซิน 91 เพียง 0.04 บาทต่อลิตร และกองทุนน้ำมันฯ มีรายรับสุทธิเพิ่มขึ้น 18.2 ล้านบาทต่อวัน จากระดับปัจจุบัน 52.4 ล้านบาทต่อวัน เป็น 70.6 ล้านบาทต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 546 ล้านบาทต่อเดือน จากระดับปัจจุบัน 1,572 ล้านบาทต่อเดือน เป็น 2,118 ล้านบาทต่อเดือน
กรณีที่ 2 : ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อี10 น้ำมัน แก๊สโซฮอล 91 น้ำมันดีเซล และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ในอัตรา 0.50 บาทต่อลิตร และในส่วนของน้ำมันเบนซิน 91 ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร เนื่องจากติดเพดานที่ กบง. เคยเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2549 (น้ำมันเบนซิน 95 อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อยู่ที่ระดับเพดาน) และจากการปรับจะส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 สูงกว่าค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน 91 อยู่ 0.06 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับสุทธิเพิ่มขึ้น 29.5 ล้านบาทต่อวัน จากระดับปัจจุบัน 52.4 ล้านบาทต่อวัน เป็น 81.9 ล้านบาทต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 885 ล้านบาทต่อเดือน จากระดับปัจจุบัน 1,572 ล้านบาทต่อเดือน เป็น 2,457 ล้านบาทต่อเดือน
4. เพื่อส่งเสริมให้มีการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 เพิ่มมากขึ้น และเพิ่มเงินสำรองเพื่อใช้ในการส่งเสริมพลังงานทดแทนและลดผลกระทบในช่วงราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงควรปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อี10 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 น้ำมันดีเซล และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ในอัตรา 0.50 บาทต่อลิตร และน้ำมันเบนซิน 91 ในอัตรา 0.40 บาทต่อลิตร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2551 เป็นต้นไป ซึ่งจะไม่มีผลกระทบต่อราคาขายปลีก เนื่องจากค่าการตลาดอยู่ในระดับสูง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อี10 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 น้ำมันดีเซล และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ในอัตรา 0.50 บาทต่อลิตร และน้ำมันเบนซิน 91 ในอัตรา 0.40 บาทต่อลิตร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2551 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 4 : สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (สิงหาคม - 18 กันยายน 2551)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสเฉลี่ยเดือนสิงหาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 112.86 และ 116.58 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 18.42 และ 16.71 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากค่าเงินดอลล่าห์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินยูโร และจากการคาดการณ์ว่ากลุ่มโอเปคจะไม่ลดปริมาณการผลิตน้ำมัน เนื่องจากราคาน้ำมันยังอยู่เหนือระดับ 100 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และต่อมาในช่วงวันที่ 1-18 กันยายน 2551 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 97.36 และ 102.11 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 15.49 และ 14.47 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จาก IEA พิจารณาปรับลดอัตราเติบโตอุปสงค์น้ำมันโลกในปี 2551 และ 2552 ลง 100,000 และ 40,000 บาร์เรล ต่อวัน มาอยู่ที่ 690,000 และ 890,000 บาร์เรลต่อวัน ตามลำดับ ประกอบกับรายงานปริมาณสำรองน้ำมัน ในเดือนกรกฎาคมของประเทศกลุ่มโอเปคเพิ่มขึ้น 46.9 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ 2,646 ล้านบาร์เรล และอุปสงค์ด้านพลังงานในอนาคตลดลงท่ามกลางวิกฤตทางการเงินของโลกที่กำลังทรุดลงหลังการล้มละลายของ เลห์แมน บราเธอร์ส
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนสิงหาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 115.49, 113.98 และ 132.17 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 19.78, 20.72 และ 33.80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากข่าวประเทศจีนงดนำเข้าน้ำมันเบนซินในเดือนกันยายน และเวียดนามลดการนำเข้าเช่นเดียวกัน ขณะที่เกาหลีใต้ได้ส่งออกน้ำมันเบนซินในเดือนกันยายน - ตุลาคม 2551 ปริมาณ 1.5-2.0 ล้านบาร์เรลต่อเดือนเนื่องจากอุปสงค์ในประเทสลดลง และต่อมาในช่วงวันที่ 1 - 18 กันยายน 2551 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 106.99, 104.95 และ 118.88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 8.50, 9.03 และ 13.29 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจีนเพิ่มการส่งออกน้ำมันเบนซินในเดือนกันยายน 2551 มาอยู่ที่ระดับ 1.28 ล้านบาร์เรล ประกอบกับอินโดนีเซียและจีนชะลอการนำเข้าน้ำมันดีเซลเนื่องจากปริมาณสำรองอยู่ในระดับสูง
3. เดือนสิงหาคม 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 ลดลง 0.70 บาทต่อลิตร น้ำมันเบนซิน 91 แก๊สโซฮอล 95 (อี10), (อี20), แก๊สโซฮอล 91 ลดลง 1.70 บาทต่อลิตร, น้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลง 4.90 บาทต่อลิตร และดีเซลหมุนเร็ว บี5 ลดลง 5.10 บาทต่อลิตร และในช่วงวันที่ 1-19 กันยายน 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91 แก๊สโซฮอล 95 (อี10), (อี20), แก๊สโซฮอล 91 ลดลง 1.10 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว บี5 ลดลง 2.30 บาทต่อลิตร ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 (อี10), (อี20), 91 ดีเซลหมุนเร็ว และดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ณ วันที่ 19 กันยายน 2551 อยู่ที่ระดับ 37.59, 35.19, 27.69, 26.39, 26.89, 30.74 และ 30.04 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. แนวโน้มราคาน้ำมันเดือนกันยายน 2551 คาดว่าราคาน้ำมันยังคงผันผวนและแกว่งตัวขึ้นลงตามปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางจิตวิทยา ซึ่งราคาน้ำมันดิบจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 85-100 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และไตรมาส 4 จะอยู่ที่ระดับ 100-115 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากเข้าฤดูหนาวความต้องการสูงขึ้นและอุปทานน้ำมันเพิ่มขึ้นช้ากว่าอุปสงค์จากปัจจัยน้ำมันดิบในยุโรปอาจตึงตัวจากอุปสรรคการขนส่งน้ำมันจากประเทศ Azerbaijan ผ่านจอร์เจียไปยังยุโรป ประกอบกับค่าเงินดอลล่าห์ที่ผันผวนซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อราคา
5. สำหรับสถานการณ์ก๊าซ LPG ช่วงเดือนกันยายน 2551 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวลดลง 56 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 816 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามราคาน้ำมันดิบตลาดโลกและความต้องการในภูมิภาคลดลง อย่างไรก็ตามมีข่าวประเทศไทยมีแผนการนำเข้าก๊าซ LPG ในเดือนกันยายน 2551 ปริมาณ 150,000 ตัน ทั้งนี้ประเทศไทยได้นำเข้าก๊าซ LPG ในช่วงวันที่ 21-31 สิงหาคม 2551 ปริมาณ 22,087.11 ตัน ราคานำเข้าอยู่ที่ระดับ 30.6244 บาทต่อกิโลกรัม ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในประเทศไทย ณ วันที่ 1 กันยายน 2551 อยู่ที่ระดับ 10.9960 บาทต่อกิโลกรัม ราคาขายปลีกอยู่ที่ระดับ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับราคา ก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนกันยายน 2551 คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 850-860 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
6. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล เดือนสิงหาคม และช่วงวันที่ 1 - 9 กันยายน 2551 มีปริมาณจำหน่าย 9.1 และ 9.6 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ โดยมีสถานีบริการ 4,086 แห่ง ปัจจุบันราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และ 91 อยู่ที่ 27.69 และ 26.89 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 เดือนสิงหาคม 2551 มีปริมาณการจำหน่าย 101,000 ลิตรต่อวัน โดยมีสถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 จำนวน 110 แห่ง ราคาขายปลีกอยู่ที่ 26.39 บาทต่อลิตร และกำลังการผลิตและปริมาณการผลิตเอทานอลจริงเท่ากับ 1.57 และ 1.02 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากผู้ประกอบการที่ผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 11 ราย แต่ผลิตเพียง 9 ราย โดยราคาเอทานอลแปลงสภาพไตรมาส 3 ในปี 2551 อยู่ที่ลิตรละ 18.01 บาท
7. สำหรับน้ำมันไบโอดีเซล เดือนสิงหาคม 2551 มีกำลังการผลิตรวม 2.18 ล้านลิตรต่อวัน จากผู้ผลิตไบโอดีเซลที่ได้คุณภาพตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงาน 9 ราย ปริมาณความต้องการไบโอดีเซลในเดือนสิงหาคมและวันที่ 1-19 กันยายน 2551 เฉลี่ยอยู่ที่ 1.37 และ 1.55 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ และราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนสิงหาคมและกันยายน 2551 อยู่ที่ 36.00 และ 30.31 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เดือนสิงหาคมและวันที่ 1-19 กันยายน 2551 มีจำนวน 10.14 และ 12.20 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 ณ วันที่ 19 กันยายน 2551 อยู่ที่ 30.04 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 0.70 บาทต่อลิตร
8. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 17 กันยายน 2551 มีเงินสดในบัญชี 18,120 ล้านบาท มีหนี้สิน ค้างชำระ 17,325 ล้านบาท แยกเป็นหนี้พันธบัตร 8,800 ล้านบาท ภาระดอกเบี้ยพันธบัตร 129 ล้านบาท และหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 8,070 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 326 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 795 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ