มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2559 (ครั้งที่ 15)
วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 09.30 น.
2. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนกุมภาพันธ์ 2559 และการดำเนินการตาม Roadmap ในขั้นตอนที่ 2
4. หลักเกณฑ์การคัดเลือกและพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2558 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบ แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2558- 2579 (Oil Plan 2015) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ พร้อมทั้ง ได้เสนอแนะว่าควรมีการทบทวนแผนฯ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายของแผนฯ อย่างมีนัยสำคัญ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ดำเนินการต่อไป โดยมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนฯ ต่อ กบง. ทุก 3 เดือน และเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2558 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนฯ ตามมติ กพช. ดังกล่าว
2. การจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นการบูรณาการระหว่างแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2558 - 2579 กับแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2558-2579 โดยเริ่มกระบวนการจัดทำแผนจากการพยากรณ์ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเดียวกับแผนอนุรักษ์พลังงาน โดยจะมีการประเมินความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในกรณีฐาน (Business as Usual: BAU) ว่าในปี 2579 จะมีความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง 65,459 ktoe โดยตามแผนได้กำหนดแนวทางมาตรการอนุรักษ์พลังงานในภาคขนส่งแบ่งแนวทางดำเนินการออกได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ (1) กำกับราคาเชื้อเพลิงในภาคขนส่งให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง (2) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงในยานยนต์ (3) ส่งเสริมการบริหารจัดการการใช้รถบรรทุกและรถโดยสาร และ (4) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง
3. จากการพยากรณ์ข้อมูลปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของปี 2569 และ 2579 พบว่า ความต้องการพลังงานในกรณีปกติ (Business-asusual : BAU) ของสาขาขนส่งจะอยู่ที่ 44,937 และ 65,459 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และรวมทุกสาขาจะอยู่ที่ 56,985 และ 79,338 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ตามลำดับ แต่ทั้งนี้หากมีแผนอนุรักษ์พลังงาน (Energy Efficiency Plan : EER 100%) ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของปี 2569 และ 2579 ของสาขาขนส่งจะอยู่ที่ 29,602 และ 35,246 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และรวมทุกสาขาจะอยู่ที่ 41,650 และ 49,125 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ตามลำดับ จากข้อมูลดังกล่าวกรมธุรกิจพลังงานจึงได้นำมาบริหารจัดการ โดยกำหนดเป็นหลักการจัดทำแผน 5 หลักการ ดังนี้ (1) สนับสนุนมาตรการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2558 - 2579 (Energy Efficiency Plan: EEP 2015) (2) บริหารจัดการชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสม (3) ปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสม (4) ผลักดันการใช้เชื้อเพลิงเอทานอลและไบโอดีเซล ตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2558-2579 (Alternative Energy Development Plan: AEDP2015) และ (5) สนับสนุนการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันเชื้อเพลิง
มติของที่ประชุม
รับทราบ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนกุมภาพันธ์ 2559 และการดำเนินการตาม Roadmap ในขั้นตอนที่ 2
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก นำเข้า และ ปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน ทั้งนี้ให้มีการทบทวนราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและ แหล่งจัดหาทุกๆ 3 เดือน ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้มีการทบทวนต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา โดยมีรายละเอียด ดังนี้ (1) ต้นทุนจากโรงแยกฯ เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2559 ลดลง 0.3079 บาทต่อกิโลกรัม จาก 15.7621 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 15.4542 บาทต่อกิโลกรัม (2) คงต้นทุนโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก อ้างอิงราคาตลาดโลกที่ CP-20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เนื่องจากเป็นต้นทุนที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้ราคาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงฯ เดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 10.0623. บาทต่อกิโลกรัม (3) คงต้นทุนก๊าซ LPG จากการนำเข้าอยู่ที่ CP + 85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ทำให้ต้นทุนการนำเข้าก๊าซ LPG เดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 13.8766 บาทต่อกิโลกรัม และ (4) ต้นทุนบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2559 อยู่ที่ 15.30 บาทต่อกิโลกรัม จากราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 297 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวลดลงจากเดือนมกราคม 2559 จำนวน 66 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือน กุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 36.3261 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนมกราคม 2559 จำนวน 0.15 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับลดลง 1.2244 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 14.9550 บาทต่อกิโลกรัม มาอยู่ที่ 13.7306 บาทต่อกิโลกรัม
2. กบง. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการ เรื่อง Roadmap การดำเนินการ เพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG ในขั้นต้นเป็นการส่งเสริมการแข่งขันให้เกิดขึ้นในส่วนของการนำเข้า โดยเปิดให้มีผู้นำเข้าก๊าซ LPG มากกว่าหนึ่งรายนอกเหนือไปจาก ปตท. ซึ่งการดำเนินการในระยะที่ 1 คือ ลดอุปสรรคของการนำเข้า ก๊าซ LPG ที่ผู้ประกอบการรายอื่นเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ประกอบด้วยมาตรการ ดังนี้ (1) เร่งรัดการจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าที่ล่าช้า (2) มอบหมายให้ ปตท. เปิดบริการโครงสร้างพื้นฐาน LPG (ท่าเรือนำเข้า คลัง ท่อ) แก่ผู้นำเข้ารายอื่น (3) ยกเลิกการชดเชยค่าขนส่งก๊าซ LPG ไปยังคลังภูมิภาค ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตาม Roadmap การดำเนินการเพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG ในระยะที่ 1 ตามมติ กบง. ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอแนวทางยกเลิกการชดเชยค่าขนส่งก๊าซ LPG ไปยังคลังภูมิภาค ดังนี้ (1) ปรับลดการชดเชยค่าขนส่ง ในเดือนที่ราคาก๊าซ LPG Pool หรือราคา ณ โรงกลั่นซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นปรับตัวลดลง และ (2) มีบัญชีค่าขนส่งก๊าซ LPG เพื่อใช้ในการกำกับ ติดตามและดูแลราคาก๊าซ LPG ในพื้นที่ต่างๆ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
3. จากราคาก๊าซ LPG Pool ของเดือนพฤศจิกายน 2558 ที่ปรับตัวลดลง 1.2244 บาทต่อกิโลกรัม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ลง 0.6447 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมเก็บเข้ากองทุนน้ำมันฯ ที่ 0.2331 บาทต่อกิโลกรัม เป็นกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 0.4116 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง 2 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 20.29 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 30 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม) ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 157 ล้านบาทต่อเดือน (ไม่มีการชดเชย ค่าขนส่งไปยังคลังภูมิภาคแล้ว) และเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตาม Roadmap ในระยะที่ 1 ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอให้ใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ LPG อิงตามประกาศ กบง. ฉบับที่ 54 พ.ศ. 2546 เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซ ไปยังคลังก๊าซต่างๆ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยกำหนดให้ค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซที่จังหวัดนครสวรรค์ ลำปาง ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี และสงขลา อยู่ที่ 1.0100 2.0100 1.4030 0.3357 และ 0.3561 บาทต่อกิโลกรัม โดยหลังยกเลิกการชดเชยค่าขนส่ง ยังคงควบคุมให้ราคาขายก๊าซ ณ คลังก๊าซภูมิภาคในแต่ละพื้นที่ เพิ่มขึ้นจากเดิมได้ไม่เกินไปกว่าอัตราค่าขนส่งที่ระบุไว้ในบัญชีค่าขนส่ง ต่อไปอีกเป็นเวลาสามเดือน ซึ่งหากปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ลง 0.6447 บาทต่อกิโลกรัม จะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ไม่ปรับตัวสูงขึ้นหลังยกเลิกการชดเชยค่าขนส่ง โดยในพื้นที่ที่ไม่มีการชดเชยค่าขนส่ง ราคาขายปลีกจะลดลง 2.00 บาทต่อกิโลกรัม จาก 22.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 20.29 บาท ต่อกิโลกรัม (หรือ 30 บาท/ถัง 15 กก.) ส่วนในพื้นที่ที่เคยได้รับการชดเชย ราคาขายปลีกจะปรับลงลดหลั่นกันไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการกำหนดราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา ดังนี้
1.1 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ณ ระดับราคา 15.4542 บาทต่อกิโลกรัม1.2 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันและโรงอะโรเมติก เป็นราคาตลาดโลก (CP) ลบ 20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน1.3 กำหนดราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า เป็นราคาตลาดโลก (CP) บวก 85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน1.4 กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร ณ ระดับราคา 15.30 บาทต่อกิโลกรัมโดยที่ CP = ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียของเดือนนั้น เป็นสัดส่วนระหว่างโปรเปน กับ บิวเทน 60 ต่อ 40
2. เห็นชอบกำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 0.4116 บาท
3. เห็นชอบยกเลิกการชดเชยค่าขนส่งทุกคลังทั่วประเทศ
4 เห็นชอบยกเลิกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
4.1 ฉบับที่ 54 พ.ศ. 2546 เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซต่างๆ ลงวันที่ 18 สิงหาคม 25464.2 ฉบับที่ 20 พ.ศ. 2551 เรื่อง การกำหนดราคาขายก๊าซ ณ คลังก๊าซเป็นราคาเดียวกันทุกแห่งทั่วราชอาณาจักร ลงวันที่ 31 มกราคม 25514.3 ฉบับที่ 91 พ.ศ. 2551 เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซต่างๆ (เพิ่มเติม) ลงวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551
5. เห็นชอบบัญชีค่าขนส่งก๊าซ LPG ไปยังคลังต่างๆ เพื่อประกอบการกำกับดูแลราคา ณ คลังภูมิภาค เพื่อให้กระทรวงพาณิชย์ใช้เป็นข้อมูลควบคุมราคาขายปลีกก๊าซ LPG ดังนี้
คลังก๊าซที่จังหวัดนครสวรรค์ กิโลกรัมละ 1.0100 บาทคลังก๊าซที่จังหวัดลำปาง กิโลกรัมละ 2.0100 บาทคลังก๊าซที่จังหวัดขอนแก่น กิโลกรัมละ 1.4030 บาทคลังก๊าซที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี กิโลกรัมละ 0.3357 บาทคลังก๊าซที่จังหวัดสงขลา กิโลกรัมละ 0.3561 บาท
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัจจุบันสูตรที่กระทรวงพลังงานใช้ในการคำนวณราคาเอทานอลมาจากมติ กบง. เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2558 ที่ได้เห็นชอบการปรับปรุงวิธีการคำนวณและการกำหนดราคาเอทานอล โดยให้ใช้ราคา เอทานอลอ้างอิงจากการเปรียบเทียบราคาต่ำสุด ระหว่างราคาเอทานอลที่ผู้ผลิตรายงานต่อกรมสรรพสามิตกับราคาเอทานอลที่ผู้ค้ามาตรา 7 รายงานต่อ สนพ. โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการ ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ เดือนธันวาคม 2558 เป็นต้นไป
2. ราคาเอทานอลเดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 22.90 บาทต่อลิตร เป็นราคาจากกรมสรรพสามิต ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีต่างๆ ที่เคยใช้คิดสูตรราคาของทางกระทรวงพลังงานพบว่าใกล้เคียงกันไม่ว่าวิธีไหน โดยหากคิด Cost Plus ต้นทุนกลับไปเมื่อคิดแล้ววัตถุดิบราคาเอทานอลจากมันสำปะหลัง 22.64 บาทต่อลิตร คิดเป็นราคามันสดที่ 2.35 บาทต่อกิโลกรัม ใกล้เคียงกับราคาที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศ (2.24 บาทต่อกิโลกรัม) และราคาเอทานอลจากกากน้ำตาล 23.03 บาทต่อลิตร คิดเป็นราคากากน้ำตาล 4.05 บาทต่อกิโลกรัม ใกล้เคียงกับราคาส่งออกน้ำตาลของทางศุลกากร (4.01 บาทต่อกิโลกรัม) โดยข้อมูลราคาเอทานอลของผู้ค้าน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 23.82 บาทต่อลิตร และราคาที่ประเทศบราซิลอยู่ที่ประมาณ 18.35 บาทต่อลิตร รวมค่าขนส่งมาถึงประเทศไทยจะอยู่ที่ประมาณ 22.35 บาทต่อลิตร ดังนั้น เพื่อให้เกษตรกรได้รับผลประโยชน์ที่เกิดจากราคาเอทานอลมากที่สุด ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอให้กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์ ติดตาม และตรวจสอบ และมอบให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ประสานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำการวิจัยพัฒนาพันธุ์มันสำปะหลัง ตลอดจนวิธีการปลูก และดูแลรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดผลผลิตมันสำปะหลังต่อไร่สูงสุดต่อไป
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์ ติดตาม และตรวจสอบ เพื่อให้เกษตรกรได้รับผลประโยชน์ที่เกิดจากราคาเอทานอลมากที่สุดและมอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำการวิจัยพัฒนาพันธุ์มันสำปะหลัง ตลอดจนวิธีการปลูก และดูแลรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดผลผลิตมันสำปะหลังต่อไร่สูงสุดต่อไป
เรื่อง หลักเกณฑ์การคัดเลือกและพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2558 และวันที่ 27 มกราคม 2559 คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้า จากขยะอุตสาหกรรมได้ประชุม เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์การคัดเลือก กำหนดประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม และพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม โดยมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ ดังนี้ (1) ผู้เข้าร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมต้องตั้งโรงไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรม ตาม พ.ร.บ. การนิคมอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 หรือเขตประกอบการอุตสาหกรรม ตามมาตรา 30 ของ พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 (2) สามารถนำขยะอุตสาหกรรมจากนิคมอุตสาหกรรมอื่นหรือจากโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่นอกนิคมอุตสาหกรรม เข้ามากำจัดร่วมได้โดยต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่มีอยู่ (3) นิคมอุตสาหกรรมที่ตั้งโครงการต้องสามารถเชื่อมโยงระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าตามศักยภาพของระบบไฟฟ้า (4) สำหรับโครงการที่มีการกำจัดกากขยะอุตสาหกรรมที่เข้าข่ายเป็นสิ่งปฏิกูลและวัสดุไม่ใช้แล้ว ต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามที่กฎหมายกำหนด ภายใน 12 เดือนนับจากวันตอบรับซื้อ (5) ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการจะต้องเสนอรายละเอียดเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ในโครงการ โดยต้องเป็นเทคโนโลยีที่สามารถจัดการขยะอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพและควบคุมมลพิษที่เกิดขึ้นได้ (6) หลังจากเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการ หากมีผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนยื่นเสนอ เกินกำลังการผลิตติดตั้ง 50 เมกะวัตต์ ให้พิจารณาคัดเลือกตามความพร้อม โดยเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ รวมทั้งมีขอบเขตระยะเวลาในการก่อสร้างภายในปี 2562 และ (7) สำหรับประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริมมีดังนี้ 1) ขยะอุตสาหกรรม ตามคำนิยามของ “ขยะหรือกากอุตสาหกรรม” ทั้งที่เป็นอันตรายและไม่เป็นอันตราย และ 2) ห้ามนำขยะชุมชนเข้ามากำจัดรวมในโครงการยกเว้นของเสียอันตรายจากชุมชน
2. เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 กพช. ได้เห็นชอบให้การรับซื้อไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงจากขยะและพลังงานน้ำขนาดเล็ก ให้ดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแข่งขันด้านราคา (Competitive Bidding) โดยให้ กกพ. เร่งดำเนินการออกประกาศรับซื้อและคัดเลือกโครงการไฟฟ้าจากขยะ (ชุมชนและอุตสาหกรรม) ซึ่งที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ เห็นควรเสนอให้ปรับอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม ตามคำสั่ง กบง. ที่ 5/2558 ในข้อ (1) “ออกหลักเกณฑ์การคัดเลือกและพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการ รวมถึงกำหนดประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม” โดยปรับเป็น “ออกหลักเกณฑ์การคัดเลือกสำหรับพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการ รวมถึงกำหนดประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม” เพื่อให้สอดคล้องกับมติ กพช. เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 ที่ระบุให้ กกพ. เป็นผู้คัดเลือกโครงการโรงไฟฟ้าจากขย
มติของที่ประชุม
2.1 รับทราบผลการกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม รวมทั้งประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม
2.2 ให้ปรับอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมตามคำสั่งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานที่ 5/2558 ในข้อ (1) “ออกหลักเกณฑ์การคัดเลือกและพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการ รวมถึงกำหนดประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม” โดยปรับเป็น “ออกหลักเกณฑ์ การคัดเลือกสำหรับพิจารณาผู้เข้าร่วมโครงการ รวมถึงกำหนดประเภทขยะอุตสาหกรรมที่จะส่งเสริม” เพื่อให้ กกพ. นำหลักเกณฑ์ที่คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมกำหนด ไปใช้ประกอบในการออกประกาศรับซื้อและพิจารณาคัดเลือกโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมต่อไป