มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 9/2559 (ครั้งที่ 21)
เมื่อวันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 14.30 น.
1. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนเมษายน 2559
2. ยกเลิกการชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอม
3. ความก้าวหน้าการส่งเสริมการแปรรูปขยะพลาสติกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง
ผู้มาประชุม
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์)
9. ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายทวารัฐ สูตะบุตร)
เรื่องที่ 1 โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนเมษายน 2559
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนเมษายน 2559 อยู่ที่ 332 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก
เดือนก่อน 30 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ส่งผลให้ราคาก๊าซ LPG นำเข้า และราคาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมัน อยู่ที่ 417 และ 312 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามลำดับ โดยราคาก๊าซ LPG จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ และราคาก๊าซ LPG จาก ปตท. สผ. อยู่ที่ 436 และ 432 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 4.47 และ 4.4262 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามลำดับ ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนเมษายน 2559 อยู่ที่ 35.4031 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจากเดือนมีนาคม 2559 เท่ากับ 0.3664 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากต้นทุนก๊าซ LPG ดังกล่าว ส่งผลให้ราคา ณ
โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับเพิ่มขึ้น 0.3459 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 13.6826 บาทต่อกิโลกรัม (382.5221 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) เป็น 14.0285 บาทต่อกิโลกรัม (396.2513 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน)
2. เพื่อไม่ให้การผันผวนของราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกมีผลกระทบต่อราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในประเทศ ประกอบกับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก๊าซ LPG ณ วันที่ วันที่ 27 มีนาคม 2559 มีฐานะกองทุนสุทธิ 7,244
ล้านบาท ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอการปรับเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 2 แนวทาง ดังนี้ แนวทางที่ 1 คงราคา
ขายปลีกไว้ที่ 20.29 บาทต่อกิโลกรัม โดยปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันฯ อีก 0.3459 บาทต่อกิโลกรัม
จากเดิมชดเชยที่ 0.3636 บาทต่อกิโลกรัม เป็นชดเชยที่ 0.7095 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 263 ล้านบาทต่อเดือน และแนวทางที่ 2 ปรับเพิ่มราคาขายปลีกขึ้น 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม โดยปรับลดอัตราเงินชดเชยกองทุนลง 0.2802 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมชดเชยที่ 0.3636 บาทต่อกิโลกรัม เป็นชดเชยที่ 0.0834 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.67 บาทต่อกิโลกรัม จาก 20.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 20.96 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 10 บาท/ถัง 15 กก.) ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 30 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอีก 0.3459 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมชดเชยที่ 0.3636 บาทต่อกิโลกรัม เป็นชดเชยที่ 0.7095 บาทต่อกิโลกรัม โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่
6 เมษายน 2559 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 ยกเลิกการชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอม
สรุปสาระสำคัญ
1. ช่วงปี 2553 การใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) มีปริมาณ 457 พันตันต่อเดือน และการผลิตในประเทศเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 314 พันตันต่อเดือน ซึ่งทำให้ต้องนำเข้าก๊าซ LPG ประมาณ 110 - 154 พันตันต่อเดือน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องจ่ายชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG อยู่ที่ระดับ 1,606 - 2,017 ล้านบาทต่อเดือน ดังนั้น เพื่อลดภาระกองทุนน้ำมันฯ รัฐจึงมีนโยบายเพิ่มปริมาณการจัดหาภายในประเทศ โดยมาตรการหนึ่งคือเพิ่มการผลิตไฟฟ้า
จากโรงไฟฟ้าขนอม เพื่อให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 4 (ขนอม) สามารถเดินเครื่องผลิตก๊าซ LPG ได้เพิ่มขึ้น
แต่ปัจจุบันโรงไฟฟ้าขนอมเดินเครื่องไม่เต็มกำลัง เนื่องจากเป็นโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพต่ำ และมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่สูง ดังนั้นการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าขนอมจะทำให้ค่าไฟฟ้าที่ผลิตสูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนค่า Ft รัฐจึงเห็นควรให้จ่ายชดเชยโดยลดราคาก๊าซธรรมชาติให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จากการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าขนอม ต่อมาเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2553 กบง. ได้พิจารณาการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนก๊าซ LPG ในประเทศ และมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอมและวิธีการดำเนินการเพื่อจ่ายเงินชดเชย โดยให้เริ่มจ่ายเงินชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม 2553
2. วันที่ 19 มกราคม 2553 – เดือนมกราคม 2559 โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 4 (ขนอม) สามารถผลิต
ก๊าซ LPG ได้จำนวน 993,836 ตัน และกองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายเงินชดเชยมูลค่าส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับการผลิตก๊าซ LPG ดังกล่าวจำนวน 2,634 ล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับการชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ในช่วงเวลาเดียวกันจำนวนเงินชดเชยดังกล่าวคิดเป็นเงินจำนวน 14,523 ล้านบาท ดังนั้น มาตรการการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าขนอมสามารถประหยัดเงินชดเชยจากการนำเข้าก๊าซ LPG ได้ถึง 11,890 ล้านบาท แต่เนื่องจากโรงไฟฟ้าทดแทนขนอม ชุดที่1 ที่สร้างขึ้นใหม่ขนาด 930 เมกะวัตต์ ในพื้นที่เดิมจะเริ่มการทดสอบการทำงานทั้งระบบ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2559 ส่งผลให้มีการเรียกปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติเพียงพอที่จะทำให้โรงแยกก๊าซขนอมสามารถเดือนเครื่องได้เอง ดังนั้น กองทุนน้ำมันฯ จึงไม่มีความจำเป็นต้องชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอมแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอให้ยกเลิกชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติ
จากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอม รอบเดือนเมษายน 2559 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ยกเลิกชดเชยส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนอม นับจากวันที่โรงไฟฟ้าทดแทนขนอม ชุดที่ 1 ผลิตพลังงานไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (Commercial Operation Date)
เป็นต้นไป
เรื่องที่3 ความก้าวหน้าการส่งเสริมการแปรรูปขยะพลาสติกเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2558 กบง. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยให้แก่โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะพลาสติก คือ อัตราเงินชดเชย = 14.50 – ราคาน้ำมันดิบ ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันดิบดูไบสูงกว่า 14.50 บาทต่อลิตร จะไม่มีการชดเชยต้นทุนการผลิตน้ำมันจากขยะ
โดยให้มีระยะเวลาชดเชย 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2558 ถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2561 และให้ สนพ. พิจารณาทบทวนต้นทุนการผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติกทุกๆ 1 ปี โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2558 ถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2561
2. ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2558 เป็นต้นมา สนพ. ได้ดำเนินการออกประกาศกำหนดอัตราเงินชดเชยฯ
ทุกเดือน และข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 มีโรงกลั่นฯ มายื่นขอรับเงินชดเชยจากสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) จำนวน 1 ราย ได้แก่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ซึ่งรับซื้อน้ำมันที่ได้มาจากการแปรรูปขยะพลาสติกของโรงงานแปรรูปขยะเทศบาลหัวหิน ในปริมาณทั้งหมด 216,114 ลิตร และได้ใช้เงินชดเชยไปทั้งสิ้น 956,785 บาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ