มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2546 (ครั้งที่ 2)
วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2546 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 603 อาคาร 7
กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การคิดค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิต และการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
3. โครงการปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดด้านก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
4. การจัดสรรเงินงบประมาณกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน)
5. ปัญหาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงซ้ำซ้อนของน้ำมันแก๊สโซฮอล์
6. การปรับปรุงอัตราเงินชดเชยค่าขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว
7. แผนการใช้จ่ายเงินในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2547
8. การปรับลดแผนการลงทุนและการเกลี่ยฐานะการเงินของการไฟฟ้า
9. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้า ระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน
10. การจำหน่ายครุภัณฑ์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้กล่าวแนะนำ นายวิเศษ จูภิบาล ซึ่งได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยจะมาทำหน้าที่ในการดำเนินนโยบายการแปรรูปการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ของกระทรวงพลังงาน นอกจากนี้ ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ในวันที่ 28 สิงหาคม 2546 กระทรวงพลังงานจะมีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง "พลังงานเพื่อการแข่งขันของประเทศไทย" ที่กรุงเทพ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในช่วงไตรมาส 2 ปี 2546 ได้ปรับตัวลดลง 3.95 - 5.24 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากอุปทานในตลาดโลกเพิ่มขึ้นหลังจากสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิรักได้ยุติ และโอเปคเพิ่มโควต้าการผลิตขึ้น ในขณะที่อุปสงค์ลดลงเนื่องจากสิ้นสุดฤดูหนาว และประกอบกับสภาพเศรษฐกิจของโลกที่ซบเซาเนื่องจากโรคระบาด SARS โดยเดือนกรกฎาคม ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้น 0.14 - 1.29 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากสถานการณ์ความไม่สงบในอิรักและจากเหตุการณ์ประท้วงการปรับขึ้นราคาน้ำมันภายในประเทศไนจีเรีย ประกอบกับมีพายุเคลื่อนตัวเข้าสู่บริเวณอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมัน ในบริเวณดังกล่าว และในเดือนสิงหาคม ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวสูงขึ้น 1.16 - 3.26 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากเหตุการณ์ระเบิดท่อส่งน้ำมันทางตอนเหนือของอิรักทำให้ส่งผลกระทบต่อการผลิตและส่งออกน้ำมันดิบของอิรัก ประกอบกับแรงซื้อน้ำมันเพื่อความอบอุ่นในตลาดล่วงหน้า เนื่องจากปริมาณน้ำมันสำรองอยู่ในระดับต่ำ ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 27.88 และ 29.74 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ส่วนราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์เฉลี่ยในไตรมาส 2 ปี 2546 ได้ปรับตัวลดลง 4.10 - 7.79 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากอุปทานที่เพิ่มขึ้นโดยโรงกลั่นสิงคโปร์ได้เพิ่มกำลังการกลั่น และการส่งออกของไทย ในขณะที่อุปสงค์ในภูมิภาคลดลงเช่นเดียวกัน ในเดือนกรกฎาคม ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ได้ปรับตัวสูงขึ้น 2.87 และ 2.44 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากความต้องการของประเทศในภูมิภาคเอเซีย เริ่มสูงขึ้น หลังสามารถควบคุมโรคระบาด SARS ได้ ประกอบกับ มีการนำน้ำมันเบนซินจากเอเซียไปขายยังสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ราคาน้ำมันในสหรัฐอเมริกาสูงขึ้นในช่วงฤดูท่องเที่ยว ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ปรับตัวสูงขึ้น 0.16 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อุปทานในภูมิภาคตึงตัว โดยจีนและเกาหลีใต้ได้ลดปริมาณส่งออก น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว จากความต้องการใช้ภายในประเทศสูงขึ้น และจากแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นของเวียดนาม และเดือนสิงหาคม 2546 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2.26 และ 1.74 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยอุปทานในจีนได้ลดลง และไต้หวันได้ลดปริมาณการส่งออกลงเนื่องจากความต้องการใช้ภายในประเทศสูงขึ้น และโรงกลั่นน้ำมัน 3 แห่งของญี่ปุ่นปิดซ่อมบำรุง ราคาน้ำมันดีเซล หมุนเร็วปรับตัวสูงขึ้น 2.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการซื้อของเวียดนาม ฮ่องกง และอินโดนีเซีย ขณะที่อุปทานได้ลดลงจากโรงกลั่นน้ำมันของเกาหลีใต้ปิดซ่อมบำรุง ประกอบกับจีนลดการส่งออกเนื่องจากความต้องการใช้ภายในประเทศสูงขึ้น ราคาเฉลี่ยของน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็ว อยู่ที่ระดับ 36.85, 35.15 และ 31.65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยของไทยในช่วงไตรมาส 2 ปี 2546 ได้ปรับตัวลดลงตามราคา น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์และผลจากการที่รัฐบาลยุติมาตรการตรึงราคาน้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ปรับตัวลดลง 0.70, 0.70 และ 0.83 บาท/ลิตร ตามลำดับ เดือนกรกฎาคม ราคาน้ำมันขายปลีกเบนซินและดีเซลหมุนเร็วสูงขึ้น 1.20 และ 0.40 บาท/ลิตร ตามลำดับ และเดือนสิงหาคม ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วสูงขึ้น 0.60 และ 0.50 บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 16.99, 15.99 และ 13.39 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดในไตรมาส 2 ปี 2546 มาอยู่ที่ระดับ 1.0778 บาท/ลิตร เดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคม ค่าการตลาดได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 0.9493 และ 0.9174 บาท/ลิตร ตามลำดับ เนื่องจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ปรับตัวสูงขึ้นมาก ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกได้น้อยกว่าต้นทุนราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนค่าการกลั่นในช่วงไตรมาส 2 ปี 2546 ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 1 ปี 2546 มาอยู่ ที่ระดับ 0.5798 บาท/ลิตร เดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคม มาอยู่ที่ระดับ 0.4167 และ 0.5387 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลก เดือนสิงหาคม 2546 ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับ 269 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคา ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 10.65 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ อยู่ในระดับ 2.45 บาท/กก. คิดเป็นเงิน 439 ล้านบาท/เดือน และมีรายจ่ายในการชำระหนี้ตามข้อตกลงกับผู้ผลิตก๊าซปิโตรเลียมเหลว 400 ล้านบาท/เดือน รวมกองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 839 ล้านบาท/เดือน โดยกองทุนน้ำมันฯ มีรายรับจากน้ำมันชนิดอื่น 982 ล้านบาท/เดือน จึงมีเงินไหลเข้ากองทุนฯ สุทธิ 143 ล้านบาท/เดือน ยอดเงิน คงเหลือกองทุนน้ำมันฯ หลังหักภาระผูกพัน ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2546 อยู่ในระดับ 4,532 ล้านบาท โดยมีเงิน ชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2546 รวม 7,128 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 2,596 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ในการประชุมครั้งที่ 1/2542 (ครั้งที่ 27) เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2542 ได้พิจารณาเรื่องการกำหนดค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้าที่เหมาะสมของระบบไฟฟ้าไทย และ ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอการกำหนดค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor : P.F.) ระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย เท่ากับ 0.875 และ 0.9 ในปี 2545 และปี 2548 ตามลำดับ โดยมีการกำหนดบทปรับ หากค่าประกอบกำลังไฟฟ้าต่ำกว่าที่กำหนด ในอัตรา 5 บาท/kVar/เดือน และเห็นควรกำหนดระยะเวลาเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2545 เป็นต้นไป
2. ต่อมา คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 ได้มีมติเห็นชอบโครงสร้างอัตราค่า ไฟฟ้าขายส่ง โดยเห็นชอบให้มีการกำหนดบทปรับค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ในระดับขายส่งระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย หากค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า ต่ำกว่า 0.875 ในอัตรา 5 บาท/kVar/เดือน โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2545 เป็นต้นไป
3. อย่างไรก็ตาม มติ กพง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2542 และมติคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 ไม่ได้กำหนดรายละเอียดวิธีการคำนวณค่า P.F. ระหว่าง กฟผ. และ กฟภ. ไว้ ซึ่ง กฟผ. และ กฟภ. ได้ประชุมหารือจนได้ข้อสรุปแนวทางปฏิบัติการคำนวณค่า P.F. ร่วมกัน โดยขอให้เริ่มดำเนินการคำนวณค่า P.F. เพื่อใช้ในการคำนวณเงินระหว่าง กฟผ. กับ กฟภ. ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2545 เป็นต้นไป สำหรับการคำนวณค่า P.F. ระหว่าง กฟผ. และ กฟน. ไม่ได้มีปัญหาในทางปฏิบัติ ซึ่ง กฟผ. ได้เริ่มการคิดค่า P.F. กับ กฟน. ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2545 เป็นต้นมา
4. กฟผ. ได้มีหนังสือถึงสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ขอให้พิจารณาการเลื่อนระยะเวลาการดำเนินการคำนวณค่า P.F. ระหว่าง กฟผ. และ กฟภ. จากเดิมที่กำหนดให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2545 เป็นต้นไป เป็นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2545 เป็นต้นไป ซึ่ง สนพ. พิจารณาแล้วเห็นว่า การขอเลื่อนวันเริ่มดำเนินการการคำนวณค่า P.F. ดังกล่าว เป็นผลมาจากปัญหาในวิธีปฏิบัติ ประกอบกับ กฟผ. และ กฟภ. ได้ข้อยุติในแนวทางปฏิบัติและระยะเวลาเริ่มดำเนินการคิดค่า P.F. ร่วมกันแล้ว จึงไม่ขัดข้อง หากจะเริ่มดำเนินการคำนวณค่า P.F. เพื่อใช้ในการคำนวณเงินระหว่าง กฟผ. และ กฟภ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2545 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 โครงการปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดด้านก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
สรุปสาระสำคัญ
1. หลังจากได้มีการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย รัฐบาลได้มีนโยบายส่งเสริมการใช้ก๊าซฯ อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ธุรกิจการค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ตลาดก๊าซฯ ที่ เกิดขึ้นมาขาดระบบและมาตรฐานที่ดีด้านความปลอดภัย คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอการปรับปรุงระบบการค้าและมาตรฐานความปลอดภัยในธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว 3 ขั้นตอน คือ การกำจัดการบรรจุก๊าซผิดกฎหมาย การกำจัดถังขาว และการซ่อมบำรุงถังก๊าซอายุใช้งานเกิน 5 ปี
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ดำเนินการไปแล้ว 2 ขั้นตอน คือ การกำจัดการบรรจุก๊าซผิดกฎหมาย การกำจัดถังขาว โดยห้ามโรงบรรจุก๊าซฯ บรรจุข้ามยี่ห้อ บรรจุถังเถื่อน และถังขาว โดยการติดตามการบังคับใช้กฎหมาย ได้ขอความร่วมมือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดตั้งชุดตำรวจเฉพาะกิจด้านก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ออกปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดทั่วประเทศ ต่อมาชุดตำรวจ เฉพาะกิจดังกล่าวถูกยกเลิก เนื่องจากไม่มีงบประมาณ ประกอบกับนโยบายของกระทรวงพลังงานโดยรัฐมนตรีพงศ์เทพ เทพกาญจนา เห็นควรให้กรมธุรกิจพลังงาน ในฐานะผู้ดูแลรับผิดชอบกฎหมายด้านก๊าซปิโตรเลียมเหลว เข้ามาดูแลโดยตรง ดังนั้น สนพ. จึงได้ดำเนินการ ดังนี้
2.1 ขอความร่วมมือให้กรมธุรกิจพลังงาน ในฐานะผู้ดูแลกฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว ทำหน้าที่ตรวจสอบและเคร่งครัดให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งหากมีการร้องเรียนเข้ามา สนพ. จะประสานให้กรมธุรกิจพลังงานตรวจสอบให้
2.2 ขอความร่วมมือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ตรวจสอบและจับกุมผู้กระทำความผิดด้านก๊าซปิโตรเลียมเหลวในโครงการปราบปรามน้ำมันเถื่อน ชุดปฏิบัติการปราบปรามโซลเวนท์
3. ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ได้เกิดปัญหาการลักลอบบรรจุก๊าซที่ผิดกฎหมายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการ ลักลอบบรรจุก๊าซข้ามยี่ห้อของโรงบรรจุก๊าซทั่วประเทศ และการบรรจุลงถังก๊าซหุงต้มในสถานีบริการเนื่องจากไม่มีหน่วยงานของรัฐเข้าไปตรวจสอบและปราบปรามอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
4. สนพ. จึงเสนอให้จัดชุดตำรวจเฉพาะกิจจากส่วนกลางเข้าไปปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดด้านก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อเร่งรัดให้เกิดการปฏิบัติตามกฎหมาย ในระหว่างการดำเนินนโยบายจนกว่า การปรับปรุงระบบการค้าที่ดำเนินการไว้เข้าสู่ระบบใหม่ตามที่รัฐบาลกำหนด แล้วจึงมอบหมายให้กรมธุรกิจ พลังงานในฐานะผู้ดูแลกฎหมายรับไปดำเนินการกำกับดูแลต่อไป โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2547 ในวงเงินงบประมาณ จำนวน 21,568,000 บาท เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดด้านก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ระยะเวลา 1 ปี ซึ่ง สนพ. ได้พิจารณาเบื้องต้น เห็นควรอนุมัติเงินสนับสนุนจำนวน 21,568,000 บาท ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำหรับการปฏิบัติงาน 1 ปี โดยมีเงื่อนไขให้จ่ายเงินสำหรับการปฏิบัติงานในช่วง 6 เดือนแรก จำนวน 10,784,000 บาท ก่อน แล้วทำการประเมินผล หากเห็นว่าผลการปฏิบัติงานได้ผลคุ้มค่าและยังมีความจำเป็นต้องปราบปรามต่อไป จึงจะเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่ออนุมัติจ่ายเงินที่เหลือให้ ต่อไป ทั้งนี้ สนพ. ประเมินผลการปฏิบัติงานทุก 3 เดือน เพื่อติดตามและปรับแผนการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2547 ในวงเงินจำนวน 21,568,000 บาท (ยี่สิบหนึ่งล้านห้าแสนหกหมื่นแปดพันบาทถ้วน) ระยะเวลา 1 ปี ให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อจัดชุดตำรวจเฉพาะกิจจากส่วนกลาง ในการปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดด้านก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โดยมีเงื่อนไขให้จ่ายเงินสำหรับการปฏิบัติงานในช่วง 6 เดือนแรก จำนวน 10,784,000 บาท ก่อน และมอบหมายให้ สนพ. ทำการประเมินผล หากเห็นว่าการปฏิบัติงานได้ผลคุ้มค่า แต่ยังมีความจำเป็นต้องปราบปรามต่อไป จึงจะเสนอ กบง. เพื่ออนุมัติจ่ายเงินที่เหลือให้ต่อไป ทั้งนี้ สนพ. ประเมินผลการปฏิบัติงานทุก 3 เดือน เพื่อติดตามและปรับแผนการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง
2. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน ไปดำเนินการทบทวนข้อกฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาการบรรจุข้ามยี่ห้อ และการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว ร่วมกับ สนพ. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และบริษัท ปตท.ฯ รวมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานของกรมธุรกิจพลังงาน ในการปราบปรามผู้กระทำความผิดให้สอดคล้องกับนโยบายการปรับปรุงระบบการค้าฯ ด้วย
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2546 นายกรัฐมนตรีได้มีนโยบายช่วยเหลือบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชนในช่วงที่ราคาน้ำมันแพง โดยให้จัดหาเงินจากเงินกู้สำหรับจ่ายชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกของน้ำมันเชื้อเพลิง และเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้มีการจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ขึ้น โดยยกร่างพระราชกฤษฎีกาการจัดตั้งเป็นองค์การมหาชนตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 เพื่อให้มีฐานะเป็นนิติบุคคลและสามารถกู้เงินมาใช้ในการอุดหนุนเพื่อตรึงราคาน้ำมันได้
2. สำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2546 เรื่องแต่งตั้งประธานกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2546 โดยมี 1) นายเชิดพงษ์ สิริวิชช์ เป็นประธานกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 5 คน นอกจากนี้ คณะกรรมการสถาบันยังประกอบด้วย กรรมการโดยตำแหน่ง จำนวน 4 คน
3. จากมาตรา 32 ของพระราชกฤษฎีกาฯ ได้กำหนดไว้ว่า ในระหว่างที่ยังไม่มีการแต่งตั้งผู้อำนวยการ ให้ปลัดกระทรวงพลังงานแต่งตั้งข้าราชการในสังกัดกระทรวงพลังงาน ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการเป็นการชั่วคราวขึ้น และปลัดกระทรวงพลังงานได้แต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) เป็นผู้อำนวยการของสถาบัน เป็นการชั่วคราว เพื่อจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศไม่ให้สูงเกินกว่าระดับที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
4. ในการประชุมคณะกรรมการสถาบันฯ เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2546 ได้มีมติให้มีการจัดทำหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้อำนวยการสถาบันพร้อมทั้งกำหนดค่าตอบแทนของผู้อำนวยการสถาบันให้เป็นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2543 ด้วย ได้มีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาผู้อำนวยการสถาบันขึ้น ซึ่งประกอบด้วย คณะกรรมการ 5 คน โดยมีนายวิทิต สัจจพงษ์ เป็นประธานกรรมการ เพื่อดำเนินการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 26 มิถุนายน 2546 ซึ่งและเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2546 สถาบันได้ออกประกาศรับสมัครบุคคลเข้ารับคัดเลือกดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบัน ในระหว่างวันที่ 11 - 20 มิถุนายน 2546 ซึ่งมีผู้สมัครเข้ารับคัดเลือกจำนวน 5 คน ซึ่งผลการคัดเลือก ปรากฎว่าผู้สมัครทั้งหมดไม่ผ่านการพิจารณาเนื่องจากมีคุณสมบัติและประสบการณ์ทำงานที่ไม่สอดคล้องกับงานของสถาบันที่จะดำเนินการต่อไป
5. โดยที่สถาบันไม่มีทุนประเดิมในการจัดตั้งสถาบัน แต่คณะกรรมการสถาบันฯ ได้มีการประชุมหารือ เพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินการต่างๆ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์จัดตั้งสถาบันฯ โดยได้มีการประชุมอย่าง ต่อเนื่องไปแล้ว 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2546 และวันที่ 10 มิถุนายน 2546 ตามลำดับ ประกอบกับ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ได้กำหนดอัตราเบี้ยประชุมของประธานกรรมการของสถาบัน ได้รับครั้งละ 5,000 บาท เดือนละไม่เกิน 10,000 บาท และกรรมการได้รับครั้งละ 4,000 บาท และ เดือนละไม่เกิน 8,000 บาท แต่ความจำเป็นที่คณะกรรมการจะต้องประชุมหารือยังมีต่อไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการสถาบันฯ คาดว่าในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2546 กรรมการสถาบันฯ จะมีการประชุมอีก 1 ครั้ง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเบี้ยประชุมเป็นเงิน 41,000 บาท อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการสถาบันฯ ได้มีการประชุมไปแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งต้องจ่ายค่าเบี้ยประชุมย้อนหลังเป็นเงิน 82,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 123,000 บาท
6. นอกจากนี้ สถาบันได้ดำเนินการสรรหาผู้อำนวยการสถาบันโดยประกาศรับสมัครบุคคล เพื่อเข้ารับคัดเลือกตามสื่อต่างๆ ในช่วงระยะเวลาที่จำกัด ผู้อำนวยการ สนพ. ซึ่งทำหน้าที่ผู้อำนวยการสถาบันเป็นการ ชั่วคราว จึงได้ยืมเงินทดรองจ่ายจากเงินสวัสดิการ สนพ. มาใช้จ่ายล่วงหน้าเป็นค่าจัดจ้างโฆษณาทางหนังสือพิมพ์สำหรับการรับสมัครดังกล่าว เป็นจำนวนทั้งสิ้น 141,882.00 บาท ฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการสถาบันฯ จึงนำเสนอขอรับการสนับสนุนเงินงบประมาณจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดประชุมของคณะกรรมการสถาบันฯ จำนวนเงิน 123,000.00 บาท และการสรรหาบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบัน จำนวนเงิน 141,882.00 บาท รวม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 264,882.00 บาท
7. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่า คณะกรรมการสถาบันฯ ได้มีการประชุมเพื่อให้เกิดการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของสถาบัน พร้อมทั้งได้ดำเนินการสรรหาผู้อำนวยการเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันฯ ซึ่งทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการขึ้น โดยที่ไม่มีเงินทุนประเดิมและขณะนี้ความจำเป็นในการกู้ยืมเงินจากธนาคารออมสินเพื่อตรึงราคาน้ำมันไม่เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น ควรอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ แก่สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับค่าเบี้ยประชุมคณะกรรมการที่ได้มีการจัดประชุมไปแล้ว 2 ครั้ง และที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2546 อีกครั้ง เป็นจำนวน 123,000 บาท และเป็นค่าการดำเนินการสรรหาผู้อำนวยการ เป็นจำนวน 141,882 บาท ทั้งนี้ เมื่อสถาบันมีผู้อำนวยการ ที่ได้รับการแต่งตั้งแล้วให้ผู้อำนวยการจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินของสถาบัน นำเสนอของบประมาณจากกองทุนน้ำมันฯ และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้อนุมัติเป็นงบประมาณประจำปีต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นควรอนุมัติให้กรมบัญชีกลางจ่ายเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน สำหรับเป็นค่าใช้จ่าย ดังนี้
1.1 ค่าเบี้ยประชุมคณะกรรมการสถาบันฯ ที่ได้มีการประชุมไปแล้ว 2 ครั้ง และการประชุมที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2546 เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 123,000.00 บาท (หนึ่งแสนสองหมื่น สามพันบาทถ้วน)
1.2 เบิกเป็นค่าดำเนินการจัดจ้างลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์เพื่อการสรรหาผู้อำนวยการสถาบัน เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 141,882.00 บาท (หนึ่งแสนสี่หมื่นหนึ่งพันแปดร้อยแปดสิบสองบาทถ้วน) เพื่อชดใช้ให้กับเงินสวัสดิการ สนพ. ซึ่งได้ทดรองจ่ายไปเรียบร้อยแล้ว
2. เห็นชอบให้ผู้อำนวยการสถาบันที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดทำแผนการใช้จ่ายเงินของสถาบัน แล้วนำเสนอของบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่ออนุมัติเป็น งบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป
เรื่องที่ 5 ปัญหาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงซ้ำซ้อนของน้ำมันแก๊สโซฮอล์
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2545 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุน การใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง โดยให้ยกเว้นการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตของเอทานอลหน้าโรงงานและภาษีสรรพสามิตในส่วนของเอทานอลที่เติมในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตลอดไป และลดหย่อนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์
2. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2545 และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2545 ได้มีมติให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและ กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์เท่ากับ 0.27 และ 0.036 บาท/ลิตร ตามลำดับ เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2545 เป็นต้นไป
3. จากนโยบายการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ในช่วงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ - 19 พฤษภาคม 2546 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2546 ได้กำหนดขั้นตอนการส่งเงินเข้ากองทุนและการจ่ายเงินชดเชย โดยให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้านำส่งเงินเข้ากองทุนหรือขอรับเงินชดเชย เมื่อนำน้ำมันออก จากโรงกลั่นน้ำมันหรือเมื่อนำเข้าแล้วแต่กรณี และในกรณีที่ผู้ผลิตนำน้ำมันที่ได้ส่งเงินเข้ากองทุนและหรือขอ รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ แล้ว มาผลิตใหม่ โดยการผสมสารเติมแต่ง (ADDITIVE) ให้ผู้ผลิตส่งเงินเข้ากองทุนและหรือขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ เฉพาะในส่วนของปริมาณน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2546 เป็นต้นไป
4. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ได้มีหนังสือขอให้พิจารณา แก้ไขปัญหาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ซ้ำซ้อนของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ในกรณีการนำน้ำมันเบนซินออกเทน 91 จากโรงกลั่นน้ำมันมาผสมเอทานอลและสารเติมแต่ง เพื่อผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่คลังน้ำมัน สรุปประเด็นปัญหา ดังนี้
(1) น้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เกิดจากน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ผสมกับเอทานอลและสารเติมแต่ง ไม่ใช่เป็นการผสมสารเติมแต่งเพียงอย่างเดียว ดังนั้น ผู้ค้าน้ำมันจึงต้องเงินส่งเข้ากองทุน น้ำมันฯ ในส่วนของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ทั้งหมด ในอัตรา 0.27 บาท/ลิตร โดยไม่สามารถนำส่งเงินเข้ากองทุน น้ำมันฯ เฉพาะในส่วนของปริมาณน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ตามหลักเกณฑ์การส่งเงินเข้ากองทุนตามข้อ 3
(2) เมื่อนำน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ออกจากโรงกลั่น มาผสมกับเอทานอล 10 % เพื่อผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่คลังน้ำมัน ผู้ค้าน้ำมันไม่สามารถขอคืนเงินที่ได้ส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ที่ได้จ่ายไปแล้วในอัตรา 0.30 บาท/ลิตร ทั้งนี้ เนื่องจากน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ดังกล่าว มีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ อย่างถูกต้องแล้ว และผู้ค้าน้ำมันจะต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ผลิตใหม่อีก ในอัตรา 0.27 บาท/ลิตร ซึ่งเป็นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ซ้ำซ้อน
4. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่า ปัญหาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ซ้ำซ้อนของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ที่ผลิต ณ คลังน้ำมัน จะเป็นข้อจำกัดทำให้ผู้ผลิตไม่มีความคล่องตัวในการผลิตและจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ซึ่งขัดกับนโยบายการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิงของรัฐบาล จึงได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหา โดยขอให้ยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ที่จะนำไปผสมเอทานอล เพื่อผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2546 เป็นต้นไป และให้กรม สรรพสามิตรับไปวางแนวทางปฏิบัติเพื่อกำกับดูแลการจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ผลิต ณ คลังน้ำมันให้รัดกุม
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ที่จะนำไปผสมเอทานอลเพื่อผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2546 เป็นต้นไป
2. มอบหมายให้กรมสรรพสามิตรับไปวางแนวทางปฏิบัติเพื่อกำกับดูแลการจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ผลิต ณ คลังน้ำมันให้รัดกุม
เรื่องที่ 6 การปรับปรุงอัตราเงินชดเชยค่าขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายปิโตรเลียมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2529 ได้มีมติเห็นชอบให้มีการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (ก๊าซ LPG) ณ คลัง สำหรับขายส่งเท่ากันทั่วประเทศ โดยในขั้นแรกให้จ่าย ชดเชยต้นทุนค่าคลังภูมิภาคและค่าขนส่งจากส่วนกลางไปยังคลังก๊าซส่วนภูมิภาคจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และเมื่อมีการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในครั้งต่อไปให้ดำเนินการในลักษณะที่ไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยจากเงินกองทุนฯ หรือจ่ายชดเชยให้น้อยลงจนในที่สุดไม่ต้องชดเชยเลย
2. ปัจจุบันอัตราเงินชดเชยค่าขนส่งก๊าซ LPG ไปยังคลังก๊าซภูมิภาค จะเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ฉบับที่ 51 พ.ศ. 2540 เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซ ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาก๊าซ ณ คลังก๊าซ และราคาก๊าซ ณ คลังก๊าซเป็นราคาเดียวกันทุกแห่งทั่วราชอาณาจักร
อัตราค่าขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว
หน่วย : บาท/กก.
คลังก๊าซ | จากชลบุรี | จาก บ. ไทยเชลล์ | จาก อ. ขนอม | ||
ทางรถไฟ | ทางเรือ | ทางรถยนต์ | กำแพงเพชร | นครศรีธรรมราช | |
นครสวรรค์ | 0.4270 | 1.0100 | 0.3958 | - | |
ลำปาง | 0.7654 | 2.0100 | 0.7925 | - | |
ขอนแก่น | 0.5579 | 1.4030 | 0.4800 | - | |
สงขลา | - | 0.3561 | - | - | 0.2543 |
สุราษฎร์ธานี | - | 0.3357 | - | - | 0.1933 |
3. ปัจจุบันการขนส่งก๊าซ LPG จากคลังก๊าซชลบุรีไปยังคลังก๊าซต่างๆ ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะใช้รถไฟเป็นหลัก โดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) สามารถขนส่งก๊าซ LPG ทางรถไฟได้ 313 ล้านกิโลกรัม/ปี และขนส่งทางรถยนต์ 205 ล้านกิโลกรัม/ปี ส่วนภาคใต้ขนส่งทางเรือ 253 ล้านกิโลกรัม/ปี
4. ปตท. ขอให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน พิจารณาปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยค่าขนส่งก๊าซ LPG ทางรถไฟ จากคลังก๊าซจังหวัดชลบุรีไปยังคลังก๊าซจังหวัดนครสวรรค์ ลำปางและขอนแก่น เพื่อให้สอดคล้อง กับต้นทุนค่าขนส่งจริงของ ปตท. จากปัจจัย 2 ประการ ดังนี้
(1) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ปรับค่าระวางขนส่งก๊าซ LPG เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2546 เป็นต้นไป ทำให้ค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซนครสวรรค์ ลำปางและขอนแก่น สูงกว่าอัตราชดเชยค่าขนส่งที่คณะกรรมการฯ กำหนดประมาณ 0.11 - 0.21 บาท/กก.
(2) ปตท. ลงทุนซื้อตู้รถไฟใหม่ จำนวน 1 ขบวน (18 ตู้) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการขนส่งก๊าซ LPG ทางรถไฟให้มากขึ้น เงินลงทุน 144 ล้านบาท ซึ่งจะทดแทนการขนส่งทางรถยนต์ไปยังคลังก๊าซลำปาง และนครสวรรค์ได้ 76.8 ล้านกก./ปี โดยเริ่มขนส่งก๊าซ LPG ประมาณต้นเดือนกรกฎาคม 2546 เป็นต้นมา โดย อัตราค่าขนส่งใหม่ที่ ปตท. เสนอ เป็นการเกลี่ยต้นทุนค่าขนส่ง (เฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก) จากตู้รถไฟจำนวน 5 ขบวนเดิม กับตู้รถไฟขบวนใหม่ 1 ขบวน
อัตราค่าขนส่งก๊าซ LPG ทางรถไฟจากคลังก๊าซชลบุรีไปยังคลังก๊าซต่างๆ
หน่วย : บาท/กก.
คลังก๊าซ | อัตราชดเชย | อัตราค่าขนส่งตามข้อเสนอ ปตท. | เพิ่มขึ้น | ||
ปลายทาง | ปัจจุบัน | 15 - 30 มิ.ย. 46 | 1 ก.ค.46 เป็นต้นไป | ||
(a) | (b) | (c) | (b-a) | (c-a) | |
นครสวรรค์ | 0.4270 | 0.5399 | 0.5776 | +0.1129 | +0.1506 |
ลำปาง | 0.7654 | 0.9728 | 1.0615 | +0.2074 | +0.2961 |
ขอนแก่น | 0.5579 | 0.7073 | 0.7647 | +0.1494 | +0.2068 |
5. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่า รัฐบาลเป็นผู้กำหนดนโยบายราคาขายส่งก๊าซ LPG ณ คลังเท่ากันทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนในต่างจังหวัดได้ใช้ก๊าซ LPG ในราคาใกล้เคียงกับ กทม. โดยให้ ปตท. เป็นผู้ดูแลให้มีก๊าซ LPG ในภูมิภาคอย่างทั่วถึง ดังนั้น อัตราเงินชดเชยค่าขนส่งก๊าซ LPG ควรจะสอดคล้องกับต้นทุนค่าขนส่งก๊าซที่เป็นจริงของ ปตท. และการที่ ปตท. ลงทุนจัดซื้อตู้รถไฟเพิ่มขึ้นอีก 1 ขบวน จะทำให้ค่าใช้จ่ายชดเชยค่า ขนส่งทางรถไฟเพิ่มขึ้น 9.87 ล้านบาท/เดือน แต่การชดเชยค่าขนส่งทางรถยนต์จะลดลง 11.09 ล้านบาท/เดือน โดยกองทุนน้ำมันฯ มีภาระการจ่ายชดเชยค่าขนส่งก๊าซ LPG สุทธิลดลงประมาณ 1.22 ล้านบาท/เดือน ทั้งนี้ เนื่องจากอัตราชดเชยค่าขนส่งก๊าซทางรถไฟที่เพิ่มขึ้น ยังคงต่ำกว่าอัตราชดเชยค่าขนส่งทางรถยนต์
มติของที่ประชุม
อนุมัติให้ปรับอัตราเงินชดเชยค่าขนส่งก๊าซปิโตรเลียม (LPG) ให้สอดคล้องตามต้นทุนค่าขนส่งจริงของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดังนี้
1. กำหนดค่าขนส่งก๊าซ LPG ที่ออกจากคลังที่จังหวัดชลบุรี โดยทางอื่นๆ ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2546 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2546 ดังนี้
ไปยังคลังก๊าซที่จังหวัดนครสวรรค์ กิโลกรัมละ 0.5399 บาท
ไปยังคลังก๊าซที่จังหวัดลำปาง กิโลกรัมละ 0.9728 บาท
ไปยังคลังก๊าซที่จังหวัดขอนแก่น กิโลกรัมละ 0.7073 บาท
2. กำหนดค่าขนส่งก๊าซ LPG ที่ออกจากคลังที่จังหวัดชลบุรี โดยทางอื่นๆ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2546 เป็นต้นไป ดังนี้
ไปยังคลังก๊าซที่จังหวัดนครสวรรค์ กิโลกรัมละ 0.5776 บาท
ไปยังคลังก๊าซที่จังหวัดลำปาง กิโลกรัมละ 1.0615 บาท
ไปยังคลังก๊าซที่จังหวัดขอนแก่น กิโลกรัมละ 0.7647 บาท
เรื่องที่ 7 แผนการใช้จ่ายเงินในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2547
สรุปสาระสำคัญ
1. กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต และ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ซึ่งได้รับอนุมัติ งบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2546 จำนวนเงิน 4,424,737 บาท ได้รายงานผลการใช้จ่ายเงินดังกล่าว โดยมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 2,835,594.57 บาท และเงิน คงเหลือจำนวน 1,589,142.43 บาท ทั้งนี้ จำนวนเงินคงเหลือที่จะส่งคืนคลังยังไม่แน่นอน เนื่องจากขณะจัดทำรายงานยังไม่สิ้นสุดปีงบประมาณ
2. กรมบัญชีกลางได้รายงานฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2546 มียอดเงินคงเหลือตามบัญชีจำนวน 4,532 ล้านบาท เงินชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลวค้างชำระ 7,128 ล้านบาท ฐานะการเงินสุทธิติดลบในระดับ 2,596 ล้านบาท ปัจจุบันมีรายรับจากน้ำมัน 982 ล้านบาท/เดือน รายจ่ายชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลว 439 ล้านบาท/เดือน ทำให้มีเงินไหลเข้ากองทุนสุทธิ 143 ล้านบาท/เดือน
3. กรมบัญชีกลาง กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต และ สนพ. ได้จัดทำประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประจำปีงบประมาณ 2547 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,849,026 บาท โดยแยก รายละเอียดได้ดังนี้
ประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ 2547
หน่วย : บาท
หน่วยงาน | หมวดค่าจ้างชั่วคราว | หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ | หมวดค่าครุภัณฑ์ | รวม |
กรมบัญชีกลาง | 152,640 | 48,680 | 100,000 | 301,320 |
กรมศุลกากร | 314,400 | 280,000 | 17,500 | 611,900 |
กรมสรรพสามิต | 572,400 | 381,746 | 210,000 | 1,164,146 |
สนพ. | 457,920 | 2,313,740 | - | 2,771,660 |
รวม | 1,497,360 | 3,024,166 | 327,500 | 4,849,026 |
มติของที่ประชุม
1. รับทราบการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประจำปีงบประมาณ 2546 ของกรมศุลกากร กรมสรรพสามิต และ สนพ. ตามข้อ 1
2. อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประจำปี 2547 ให้แก่ กรมบัญชีกลาง กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต และ สนพ. เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 4,849,026 บาท (สี่ล้านแปดแสนสี่หมื่นเก้าพันยี่สิบหกบาทถ้วน) โดยรายละเอียดของบประมาณจำแนกรายหมวดเป็นไปตามตารางแผนการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ 2547 ตามข้อ 3
เรื่องที่ 8 การปรับลดแผนการลงทุนและการเกลี่ยฐานะการเงินของการไฟฟ้า
สาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 ได้มีมติเห็นชอบโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ขายส่ง โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ตลอดจนการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ซึ่งได้ประกาศใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2543 เป็นต้นมา โดยภายหลังการปรับค่า ไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติครั้งแรก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2544 มีการร้องเรียนและขอให้ทบทวนโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติอีกครั้งหนึ่ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติขึ้น เพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ
2. คณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าฯ ได้เสนอให้มีการพิจารณาการชะลอแผนการลงทุนและฐานะการเงินของการไฟฟ้า ซึ่งพบว่า การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้ปรับลดแผนการลงทุน ในปี 2544 - 2546 จากแผนเดิมที่จัดทำโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าเมื่อเดือนตุลาคม 2543 ประมาณ 55,000 ล้านบาท ส่งผลให้ความต้องการรายได้ในการสมทบการลงทุนของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ลดลง 14,000 ล้านบาท นำมาเฉลี่ยลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนปีละ 7,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นค่าไฟฟ้าที่ลดลง 7 สตางค์/หน่วย เป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่การ ปรับค่า Ft เดือนตุลาคม 2544 - กันยายน 2546
3. จากการพิจารณาแผนการลงทุนที่เกิดขึ้นจริงของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ในปี 2544 - 2546 ในปัจจุบันพบว่า การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีการลงทุนจริงต่ำกว่าแผนเดิมที่พิจารณาปรับลดแผนการลงทุนจำนวน 7 สตางค์/หน่วย เป็นระยะเวลา 2 ปี ไปแล้วอีกจำนวน 24,091 ล้านบาท ส่งผลให้ความต้องการรายได้ในการสมทบการ ลงทุนของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ลดลงประมาณ 6,023 ล้านบาท จำแนกเป็น กฟผ. กฟน. และ กฟภ. เท่ากับ 4,317.13 1,553.36 และ 152.25 ล้านบาท ตามลำดับ
4. เมื่อพิจารณาข้อมูลฐานะการเงินของ กฟผ. ชุดเดือนพฤษภาคม 2546 และฐานะการเงินของ กฟน. และ กฟภ. ชุดเดือนกุมภาพันธ์ 2546 ในกรณีที่มีการยืดระยะเวลาการลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย ออกไปอีก 4 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2546 - มกราคม 2547 จะส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง สำหรับกรณีที่มีการปรับลดแผนการลงทุน พบว่า การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีอัตราส่วนการลงทุนจากเงินรายได้ (Self Financing Ratio: SFR) เฉลี่ยในปี 2544 - 2546 เท่ากับร้อยละ 19.76 และมีอัตราส่วนรายได้สุทธิต่อการชำระหนี้ (Debt Service Coverage Ratio: DSCR) เฉลี่ยในปี 2544 - 2546 เท่ากับ 1.17 เท่า
ฐานะการเงินของการไฟฟ้า
กรณีปรับลดแผนการลงทุนและยืดการลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย ออกไปอีก 4 เดือน
SFR (ร้อยละ) | DSCR (เท่า) | ||||||||
2544 | 2545 | 2546 | รวม | 2544 | 2545 | 2546 | รวม | ||
กฟผ. | -30.67 | 18.46 | 34.79 | 4.21 | กฟผ. | 0.55 | 1.29 | 1.33 | 1.02 |
กฟน. | 32.06 | 21.02 | 8.22 | 19.88 | กฟน. | 1.79 | 1.46 | 1.19 | 1.48 |
กฟภ. | 46.71 | 38.08 | 23.68 | 35.17 | กฟภ. | 2.01 | 1.85 | 1.89 | 1.91 |
ภาคไฟฟ้า | 7.97 | 26.86 | 24.84 | 19.76 | ภาคไฟฟ้า | 0.81 | 1.38 | 1.38 | 1.17 |
อย่างไรก็ตาม จากการประชุมร่วมกันระหว่างการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และ สนพ. ได้มีข้อสังเกตในการพิจารณาปรับปรุงฐานะการเงินของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ดังนี้
4.1 กฟผ. นำเงินส่งรัฐค้างจ่ายตั้งแต่ปี 2539 - 2542 จำนวน 11,090 ล้านบาท มาชำระในปี 2544 ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงมาก เมื่อเทียบกับการนำเงินส่งรัฐปกติประมาณ 7,000 - 9,000 ล้านบาท/ปี ทำให้ฐานะ การเงินในปี 2544 ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดมาก
4.2 กฟผ. ประมาณการฐานะการเงินในปี 2544 โดยนำค่า Ftค้างรับ จากการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าเดือนตุลาคม 2543 จำนวน 12,915 ล้านบาท มาคำนวณด้วย ในประเด็นนี้ ได้เคยมีการพิจารณา ในคณะกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าแล้ว เห็นว่า ไม่มี Ft ค้างรับ และได้มีมติ ให้นำภาระค่า Ft ค้างรับออกจากสูตร Ft เนื่องจากเป็นปัญหาที่เกิดจากวิธีการลงบัญชีรายได้รับของ กฟผ. เอง
4.3 กฟน. และ กฟภ. ประมาณการฐานะการเงิน โดยมีเงินนำส่งรัฐ (Remittance) ตามที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งควรปรับปรุงฐานะการเงินของ กฟน. และ กฟภ. โดยใช้ค่าใช้จ่ายดำเนินงานตามหลักการ CPI-X รวมทั้ง คำนวณเงินนำส่งรัฐให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายดำเนินงานตามหลักการ CPI-X
5. ภายหลังการปรับปรุงฐานะการเงินของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ตามข้อสังเกตข้างต้น จะทำให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีฐานะการเงินเฉลี่ยในปี 2544 - 2546 ดีขึ้น โดยมี SFR เฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 29.20 และ DSCR เฉลี่ยเท่ากับ 1.36 เท่า อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาฐานะการเงินของแต่ละการไฟฟ้า จะพบว่า กฟน. มี SFR ในปี 2546 อยู่ในระดับเพียงร้อยละ 9.7 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดในระดับร้อยละ 25 ค่อนข้างมาก และ กฟภ. มีกำไรสุทธิในปี 2546 ในระดับเพียง 2,700 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับ 6,000 ล้านบาท ค่อนข้างมาก ในขณะที่ กฟผ. มีกำไรสุทธิในปี 2545 - 2546 อยู่ในระดับ 26,000 - 27,000 ล้านบาท หาก จะพิจารณานำการปรับลดแผนการลงทุนมาปรับลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชน ทั้งจำนวน 6,023 ล้านบาท จำแนกเป็น กฟผ. กฟน. และ กฟภ. เท่ากับ 4,317.13 1,553.36 และ 152.25 ล้านบาท ตามลำดับ อาจส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายเป็นอย่างมาก ดังนั้น จึงควรนำการปรับลดแผนการลงทุนเฉพาะในส่วนของ กฟผ. จำนวน 4,317.13 ล้านบาท มาบรรเทาการเพิ่มขึ้นของค่าไฟฟ้าให้กับประชาชน การดำเนินการดังกล่าว จะทำให้ภาคไฟฟ้ามี SFR เฉลี่ยในปี 2544 - 2546 อยู่ในระดับร้อยละ 25 และมี DSCR เฉลี่ยในปี 2544 - 2546 อยู่ในระดับ 1.32 เท่า ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ทางการเงินที่กำหนด
ฐานะการเงินของการไฟฟ้า
กรณีปรับลดแผนการลงทุนโดยยืดการลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย ออกไปอีก 4 เดือน
และปรับปรุงฐานะการเงินของการไฟฟ้าตามข้อสังเกตของที่ประชุม
SFR (ร้อยละ) | DSCR (เท่า) | ||||||||
2544 | 2545 | 2546 | รวม | 2544 | 2545 | 2546 | รวม | ||
กฟผ. | 29.47 | 18.46 | 34.79 | 27.41 | กฟผ. | 1.19 | 1.29 | 1.33 | 1.26 |
กฟน. | 32.06 | 23.57 | 9.70 | 21.25 | กฟน. | 1.79 | 1.50 | 1.21 | 1.50 |
กฟภ. | 46.71 | 36.30 | 22.56 | 34.18 | กฟภ. | 2.01 | 1.80 | 1.85 | 1.88 |
ภาคไฟฟ้า | 36.31 | 26.58 | 24.57 | 29.20 | ภาคไฟฟ้า | 1.32 | 1.38 | 1.38 | 1.36 |
ฐานะการเงินของการไฟฟ้า
กรณีปรับลดแผนการลงทุน
SFR (ร้อยละ) | DSCR (เท่า) | ||||||||
2544 | 2545 | 2546 | รวม | 2544 | 2545 | 2546 | รวม | ||
กฟผ. | 29.47 | 18.46 | 3.43 | 18.38 | กฟผ. | 1.19 | 1.29 | 1.19 | 1.22 |
กฟน. | 32.06 | 23.57 | 9.70 | 21.25 | กฟน. | 1.79 | 1.50 | 1.21 | 1.50 |
กฟภ. | 46.71 | 36.30 | 22.56 | 34.18 | กฟภ. | 2.01 | 1.80 | 1.85 | 1.88 |
ภาคไฟฟ้า | 36.31 | 26.58 | 13.57 | 25.46 | ภาคไฟฟ้า | 1.32 | 1.38 | 1.27 | 1.32 |
6. อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าว ยังคงทำให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายมีฐานะการเงินในปี 2546 ไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจาก กฟน. ยังคงมี SFR อยู่ในระดับร้อยละ 9.7 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดค่อนข้างมาก และ กฟภ. มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานประมาณ 2,700 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าปีผ่านมามาก ดังนั้น การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจึงขอให้มีการพิจารณาปรับเกลี่ยฐานะการเงินระหว่างการไฟฟ้า ทั้งนี้ การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีแผน ที่จะจดทะเบียนกระจายหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2547 และการพิจารณาเกณฑ์ทางการเงินที่ใช้อยู่ในปัจจุบันอาจไม่เหมาะสม และไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากหลักเกณฑ์ SFR อาจทำให้การไฟฟ้ามีการลงทุนที่มากเกินความจำเป็น และหลักเกณฑ์ DSCR อาจจะทำให้การไฟฟ้าที่มีเงื่อนไขเงินกู้ที่ดี จะมีกำไรสุทธิสำหรับการชำระคืนเงินกู้และดอกเบี้ยที่น้อยกว่าการไฟฟ้าที่มีเงื่อนไขเงินกู้ที่ไม่ดี
7. แนวทางในการปรับเกลี่ยฐานะการเงินของการไฟฟ้า สรุปได้ดังนี้
7.1 แนวทางที่ 1 ปรับเกลี่ยฐานะการเงินของการไฟฟ้า เฉพาะปี 2546 โดยใช้หลักเกณฑ์ ROA เฉลี่ยของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ในปี 2546 เท่ากันในระดับร้อยละ 4.36 ซึ่งจะทำให้ กฟผ. ต้องเกลี่ยเงินรายได้ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจำนวน 6,489 ล้านบาท แบ่งเป็น กฟน. 1,327 ล้านบาท และ กฟภ. 5,162 ล้านบาท
7.2 แนวทางที่ 2 ปรับเกลี่ยฐานะการเงินของการไฟฟ้า เฉพาะปี 2546 โดยใช้หลักเกณฑ์ ROA เพียงบางส่วน (ร้อยละ 50) ซึ่งจะทำให้ กฟผ. ต้องเกลี่ยเงินรายได้ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจำนวน 3,245 ล้านบาท แบ่งเป็น กฟน. 663 ล้านบาท และ กฟภ. 2,581 ล้านบาท
7.3 แนวทางที่ 3 ปรับเกลี่ยฐานะการเงินของการไฟฟ้า เฉพาะปี 2546 โดยใช้หลักเกณฑ์ SFR ซึ่งจะทำให้ กฟภ. ต้องเกลี่ยเงินรายได้ให้กับ กฟผ. และ กฟน. รวม 1,664 ล้านบาท แบ่งเป็น กฟผ. 1,395 ล้านบาท และ กฟน. 269 ล้านบาท
7.4 แนวทางที่ 4 ปรับเกลี่ยฐานะการเงินของการไฟฟ้า ในปี 2545 - 2546 โดยใช้หลักเกณฑ์ SFR ซึ่งจะทำให้ กฟภ. ต้องเกลี่ยเงินรายได้ให้กับ กฟผ. และ กฟน. รวม 2,958 ล้านบาท แบ่งเป็น กฟผ. 2,485 ล้านบาท และ กฟน. 473 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นควรให้เลื่อนการพิจารณาเรื่องการปรับลดแผนการลงทุนและการเกลี่ยฐานะการเงินระหว่างการไฟฟ้า ทั้ง 3 แห่ง ออกไป
สาระสำคัญ
1. รัฐบาลไทยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้ากับรัฐบาล สปป. ลาว สาธารณรัฐ ประชาชนจีน กัมพูชา และสหภาพพม่า โดยมีสาระสำคัญคือ ประเทศไทยจะให้ความร่วมมือกับ สปป.ลาว สาธารณรัฐประชาชนจีน กัมพูชา และสหภาพพม่า ในการสนับสนุนให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว สาธารณรัฐประชาชนจีน และสหภาพพม่า ในปริมาณ 3,000 3,000 และ 1,500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2549 2560 และ 2553 ตามลำดับ
2. เพื่อให้การประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทย - สปป. ลาว ไทย - สาธารณรัฐประชาชนจีน ไทย-กัมพูชา และไทย-สหภาพพม่า มีเอกภาพ ลดความซ้ำซ้อนและมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านเพียงชุดเดียวแทนคณะกรรมการที่แยกเป็น 4 ชุด ณ ปัจจุบันเพื่อทำหน้าที่ประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้ากับทั้ง 4 ประเทศ โดยมีองค์ประกอบและอำนาจ หน้าที่ดังนี้
องค์ประกอบ
(1) ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | ประธานกรรมการ |
(2) ผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | กรรมการ |
(3) อธิบดีกรมเศรษฐกิจ กระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทน | กรรมการ |
(4) เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือผู้แทน | กรรมการ |
(5) อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน หรือผู้แทน | กรรมการ |
(6) อัยการสูงสุด หรือผู้แทน | กรรมการ |
(7) ผู้แทนสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน | กรรมการ |
(8) ผู้แทนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | กรรมการและเลขานุการ |
อำนาจหน้าที่ที่สำคัญ
(1) จัดทำแผนการรับซื้อไฟฟ้าให้ชัดเจนและสอดคล้องกับนโยบายการจัดหาไฟฟ้า และความต้องการไฟฟ้าของประเทศไทย โดยสนับสนุนให้ กฟผ. รับซื้อไฟฟ้าจาก สปป. ลาว สาธารณรัฐประชาชนจีน สหภาพพม่า และกัมพูชา โดยคำนึงถึงบันทึกความเข้าใจการซื้อขายไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้าน
(2) พิจารณารายละเอียดโครงการรับซื้อไฟฟ้า และเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพื่อให้ได้ราคา เงื่อนไข ความมั่นคงในการผลิตและจ่ายกระแสไฟฟ้า รวมทั้งต้นทุนของระบบส่งอย่างเหมาะสม
(3) ประสานงานและร่วมมือในการวางแผนและก่อสร้างระบบสายส่งเชื่อมโยงระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน
(4) สนับสนุนให้ผู้ลงทุนและสถาบันการเงินของไทยได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการผลิตไฟฟ้าในประเทศเพื่อนบ้าน
(5) ให้คณะกรรมการรายงานผลการปฏิบัติงานต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานทราบหรือพิจารณาเป็นระยะๆ ตามความเหมาะสม
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ ทั้งนี้ ให้เพิ่มผู้แทน กฟภ. เป็นกรรมการ และให้ปรับปรุงองค์ประกอบโดยให้เป็นผู้แทนจากแต่ละหน่วยงานแทน
เรื่องที่ 10 การจำหน่ายครุภัณฑ์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. กรมบัญชีกลาง ซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ให้จัดซื้อครุภัณฑ์ เพื่อใช้ในการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา และปัจจุบัน ครุภัณฑ์ที่จัดซื้อบางรายการได้เสื่อมสภาพลง และเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการดูแลรักษาครุภัณฑ์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนที่เสื่อมสภาพ กรมบัญชีกลางจึงได้เสนอขออนุมัติจำหน่ายครุภัณฑ์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมบัญชีกลาง จำนวน 1 รายการ คือ เก้าอี้ทำงาน จำนวน 2 ตัว ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พร้อมทั้งขออนุมัติเป็นหลักการ ให้กรมบัญชีกลางจำหน่ายครุภัณฑ์รายการอื่นๆ ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมบัญชีกลางได้ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางจะนำเงินที่ได้รับจากการจำหน่ายครุภัณฑ์ (ถ้ามี) ส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่า กบง. ได้อนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ในการจัดซื้อครุภัณฑ์ต่างๆ ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกองทุนน้ำมันฯ มาอย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันครุภัณฑ์ต่างๆ อาจมีการเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานลงและพร้อมที่จะจำหน่ายออกไป ดังนั้น เพื่อความสะดวกแก่หน่วยงานต่างๆ ที่ได้รับอนุมัติให้จัดซื้อครุภัณฑ์จึงเสนอให้ กบง. อนุมัติในหลักการให้ทุกหน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในการจัดซื้อครุภัณฑ์จากกองทุนน้ำมันฯ สามารถจำหน่ายครุภัณฑ์ในส่วนเสื่อมสภาพได้ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 โดยมิต้องนำเสนอคณะกรรมการเป็นรายหน่วยงานต่อไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการให้หน่วยงานทุกหน่วยที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันฯ สามารถจำหน่ายครุภัณฑ์ต่างๆ ในส่วนที่เสื่อมสภาพและในส่วนที่ อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานนั้นได้ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ ถ้ามีเงินที่ได้รับจากการจำหน่ายครุภัณฑ์ดังกล่าวให้นำเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ต่อไป
ประธานฯ ได้เสนอความเห็นเกี่ยวกับการจัดวาระการประชุมของ กบง. โดย กบง. ควรทำหน้าที่พิจารณา ในส่วนที่เกี่ยวกับนโยบายด้านพลังงานเพื่อกลั่นกรองก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ สำหรับเรื่องประเด็นเกี่ยวกับระเบียบค่าใช้จ่ายของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงควรมีคณะกรรมการอีกชุดเป็นผู้พิจารณา เพื่อให้ กบง. ไม่ต้องใช้เวลาในการพิจารณามากเกินไป ทั้งนี้ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รับที่จะไปจัดหาแนวทางการปฏิบัติต่อไป