มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2551 (ครั้งที่ 15)
วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 เวลา 09.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. รายงานฐานะการเงินและงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. รายงานผลการดำเนินงานกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานประจำปีบัญชี 2550
3. ข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการประเมินผลโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน
4. ผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2551 และขอความเห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
5. ขอความเห็นชอบนำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฝากธนาคารของรัฐ
6. ขอความเห็นชอบเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2551
7. ขอความเห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ปีที่ 3 และพิจารณาแผนงานโครงการฯ ปีที่ 4
8. ขอความเห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับการดำเนินงานตามแผนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์
9. ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 รายงานฐานะการเงินและงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานฐานะการเงินและงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ต่อคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานมาเพื่อโปรดทราบ ดังนี้
1. รายงานฐานะการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำเดือนกันยายน 2551 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2551 ซึ่งสรุปได้ดังนี้
หน่วย : บาท
ยอดยกมา (ณ 1 กันยายน 2551) | 6,355,019,354.22 |
บวก รายรับ | 1,381,743,397.25 |
รวม | 7,736,762,751.47 |
(หัก) รายจ่าย | (513,007,164.83) |
คงเหลือ ณ วันที่ 30 กันยายน 2551 | 7,223,755,586.64* |
* ประกอบด้วย | |
1) เงินฝากธนาคารกรุงไทย - ออมทรัพย์ สาขาสะพานขาว | 7,148,086,336.39 |
2) เงินฝากธนาคารกสิกรไทย - ออมทรัพย์ สาขากิ่งเพชร | 75,669,250.25 |
2. งบการเงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กรมบัญชีกลาง ประจำปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2550, 2549 และ 2548 สรุปได้ดังนี้
2.1 เงินสดคงเหลือในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคาร อาคารสงเคราะห์ ประกอบด้วย
หน่วย : ล้านบาท
ปี 2550 | ปี 2549* | ปี 2548* | |
เงินสดคงเหลือต้นงวด | 980.15 | 602.10 | 296.50 |
บวก รายรับ | 2,528.39 | 4,664.24 | 5,027.67 |
รวม | 3,508.54 | 5,266.34 | 5,324.17 |
(หัก) รายจ่าย | (2,753.77) | (4,286.19) | (4,722.07) |
เงินคงเหลือ ณ วันที่ 30 ก.ย. | 754.77 | 980.15 | 602.10 |
บวก | |||
1) เงินฝากธนาคารกรุงไทย - ประจำ 3 เดือน | 2.19 | 2.13 | 2,515.56 |
2) เงินฝากธนาคารอาคารสงเคราะห์ - ประจำ 3 เดือน | 3,747.41 | 3,934.06 | - |
3) เงินฝากธนาคารอาคารสงเคราะห์ - ประจำ 12 เดือน | - | - | 4,000.00 |
รวมคงเหลือทั้งสิ้น ณ วันที่ 30 ก.ย. | 4,504.37 | 4,916.34 | 7,117.66 |
หมายเหตุ * งบการเงินฯ ปี 2548 และ 2549 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบรับรองเรียบร้อยแล้ว
โดย สตง. ได้ให้ข้อสังเกตว่า มีเงินกองทุนฯ ที่ สนพ. เบิกมาจาก กรมบัญชีกลางและค้างจ่ายอยู่ ณ วันที่ 30 กันยายน 2549 เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 184,476,648.16 บาท เพื่อรอจ่ายให้กับผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ หรือคู่สัญญา สตง. ได้แนะนำให้ สนพ. เร่งรัดการเบิกจ่ายเงินตามโครงการต่างๆ ที่ค้างอยู่ให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็ว หากโครงการใดมีปัญหาอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผนงานเดิม ก็ควรส่งเงินจำนวนนั้นคืนกองทุนฯ ซึ่ง สนพ. ได้ดำเนินการตามคำแนะนำของ สตง. แล้ว เมื่อ 20 ธันวาคม 2550 พร้อมทั้งแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามคำแนะนำของ สตง. โดยเคร่งครัดด้วย
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ รายงานฐานะการเงินและงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ
เรื่องที่ 2 รายงานผลการดำเนินงานกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานประจำปีบัญชี 2550
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ได้เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกรมบัญชีกลาง (บก.) ในปีประจำบัญชี 2549 โดยมีประธานกรรมการกองทุน ฯ เป็นผู้ลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินทุนหมุนเวียน (กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน) กับกระทรวงการคลัง โดย บก. ได้มอบหมายให้ บริษัท ไทยเรตติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส จำกัด (ทริส; TRIS) เป็นผู้ดำเนินการประเมิน
2. ในปีบัญชี 2550 กรมบัญชีกลางได้มอบหมายให้บริษัททริส เป็นผู้ดำเนินการประเมิน โดยได้มีการกำหนดเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนฯ แบ่งออกเป็น 4 ด้าน รวม 7 ตัวชี้วัด โดยตัวชี้วัดด้านที่ 1 และด้านที่ 2 มีเกณฑ์วัดและน้ำหนักเท่ากันทุกปี โดยผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2550 คะแนนอยู่ในระดับ 2.843 ซึ่งสามารถสรุปได้ ดังนี้
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ ผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2550 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ
เรื่องที่ 3 ข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการประเมินผลโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานต่อที่ประชุมว่า คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ได้มีหนังสือ เรียน รองนายกรัฐมนตรี (นายสหัส บัณฑิตกุล) ประธานกรรมการกองทุนฯ เรื่อง ข้อเสนอเพื่อพิจารณาทบทวนปรับปรุงการบริหารจัดการกองทุนฯ ซึ่งประธานกรรมการกองทุนฯ ได้รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว และมีบัญชาให้นำข้อเสนอแนะดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ซึ่งข้อเสนอแนะดังกล่าวสรุปได้ ดังนี้
(1) มีโครงการจำนวนมากที่ดำเนินการช้ากว่าแผนและข้อตกลงที่กำหนดไว้ในสัญญา
ข้อเสนอแนะ ควรมีบทลงโทษหรือบทปรับในสัญญาหากดำเนินการล่าช้า และการทำสัญญาควร ทำกับนิติบุคคลเพื่อเอาผิดกับผู้ดำเนินโครงการได้
(2) โครงการต่อเนื่องที่ต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการหลายปี ในระหว่างดำเนินการอาจประสบปัญหาทางด้านเทคโนโลยีหรือสภาวะแวดล้อมเปลี่ยนแปลง ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ตามที่คาดไว้
ข้อเสนอแนะ ควรระบุไว้ในสัญญาว่าจะต้องมีการทบทวน (Review) และประเมินโครงการเมื่อ สิ้นสุดการดำเนินงานปีแรก ก่อนที่จะมีการพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินการต่อไป
(3) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการโครงการ
ข้อเสนอแนะ ควรมีการตั้งคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ (Steering Committee) เพื่อพิจารณาให้ ความเห็นกลั่นกรอง ก่อนอนุมัติโครงการ
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รับข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ตามข้อ 1 และจะนำไปพิจารณาเพื่อปรับปรุงวิธีปฏิบัติงานให้เข้มข้นมากขึ้นจากแนวทางปฏิบัติเดิมที่ใช้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ซึ่งก็มีความใกล้เคียงกับข้อเสนอแนะดังกล่าวอยู่แล้ว ดังนี้
2.1 กรณีโครงการจำนวนมากที่ดำเนินการช้ากว่าแผนและข้อตกลงที่กำหนดไว้ในสัญญา
วิธีที่ใช้ปฏิบัติกรณีที่ 1 เป็นการให้ทุนเพื่อ สนับสนุน ช่วยเหลือ เป็นเงินอุดหนุน ให้แก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา หรือองค์กรเอกชน (มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีกิจกรรมเกี่ยวข้องโดยตรงกับการอนุรักษ์พลังงาน และมิได้มีวัตถุประสงค์ในทางการเมืองหรือมุ่งค้าหากำไร) เพื่อนำไปใช้จ่ายดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ที่กำหนดในข้อ 25 และข้อ 26 แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
ซึ่งในกรณีนี้ จะทำเป็น "หนังสือยืนยันการรับทุน" ที่ไม่ได้กำหนดบทปรับไว้ อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันการละทิ้งงานและเสียประโยชน์ของกองทุนฯ สนพ. ได้กำหนดเงื่อนไขไว้ใน "หนังสือยืนยันการรับทุน" ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2538 ตามข้อความดังนี้
ข้อ 5. "ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน" จะดำเนินโครงการตาม ข้อ 3 โดยมีกำหนดเวลาสิ้นสุดโครงการฯ ภายในระยะเวลา ------ วัน นับตั้งแต่วันที่ ---- /---- /------
หาก "ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน" ไม่ได้ดำเนินการให้เป็นไปตามวรรคหนึ่ง หรือตามที่กำหนดในเอกสารแนบท้ายหนังสือยืนยันหมายเลข 4 โดยไม่ยื่นเรื่องเพื่อชี้แจงต่อ "ผู้เบิกเงินกองทุน" ด้วยเหตุผลอันสมควร "ผู้เบิกเงินกองทุน" สงวนสิทธิ์ในการปฏิบัติตาม ข้อ 13 และจะออกหนังสือแจ้งเวียนไปยังหน่วยงานที่สามารถให้ทุนสนับสนุนในโครงการต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ นั้น ระงับหรือยกเว้นมิให้การสนับสนุน "ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน" ต่อไป
ข้อ 13. การระงับงานชั่วคราวและการระงับการให้การสนับสนุน
13.1 "ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน" ยินยอมให้ "ผู้เบิกเงินกองทุน" ระงับงานชั่วคราว หรือระงับการให้การสนับสนุนตามหนังสือยืนยันฉบับนี้ได้ หาก "ผู้เบิกเงินกองทุน" เห็นว่า "ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน" มิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้นี้ โดย "ผู้เบิกเงินกองทุน" จะมีหนังสือแจ้งให้ "ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน" ทราบ ล่วงหน้า 60 วัน ก่อนการระงับงานชั่วคราวหรือการระงับการให้การสนับสนุน
13.2 เมื่อมีการระงับการให้การสนับสนุนตาม ข้อ 13.1 "ผู้เบิกเงินกองทุน" จะจ่ายเงินให้แก่ "ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน" ในสัดส่วนที่เหมาะสมตามผลการดำเนินโครงการที่ "ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน" ได้ดำเนินการไว้ตามข้อเสนอโครงการตาม ข้อ 3.และ "ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน" จะต้องคืนเครื่องมือเครื่องใช้และวัสดุอุปกรณ์ทั้งหลายที่ "ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน" ได้จัดซื้อด้วยเงินที่ได้รับจัดสรรจากกองทุนให้แก่ "ผู้เบิกเงินกองทุน" ทั้งหมด
แนวทางปฏิบัติที่ สนพ. ใช้ดำเนินการอยู่ คือ การแจ้งเตือนล่วงหน้าไปยัง "ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน" และการแจ้งเตือนเมื่อเลยกำหนดเวลา เพื่อให้ปฏิบัติตามข้อความที่ปรากฏในหนังสือยืนยัน
วิธีที่ใช้ปฏิบัติกรณีที่ 2 เป็นการว่าจ้างให้ สถาบันการศึกษา หรือองค์กรเอกชน หรือเอกชน ดำเนินการศึกษา วิจัย หรือดำเนินการในเรื่องนั้นๆ โดยปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535
ซึ่งในกรณีนี้จะทำเป็น "สัญญาว่าจ้าง" ตามแบบที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ กำหนดเรื่อง "ค่าปรับ" ไว้ และเป็นเรื่องที่ทุกส่วนราชการต้องถือปฏิบัติโดยเคร่งครัดอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว
2.2 กรณีโครงการต่อเนื่องที่ต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการหลายปี ควรระบุไว้ในสัญญาว่าจะต้องมีการทบทวน (Review) และประเมินโครงการเมื่อสิ้นสุดการดำเนินงานปีแรก ก่อนที่จะมีการพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินการต่อไป
วิธีที่ใช้ปฏิบัติ หลักการของการพิจารณาของกองทุนฯ ที่จะให้เงินช่วยเหลือ อุดหนุนแก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา หรือองค์กรเอกชนไปดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ตามมาตรา 25 โดยบางโครงการได้สนับสนุนเป็นโครงการระยาวที่ใช้เวลาดำเนินการเกินกว่า 2 ปี ทั้งนี้เพื่อความต่อเนื่องของงานที่ต้องการเห็นผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจัง หรือเป็นงานที่ต้องใช้เวลาในการศึกษาวิจัยดูการพัฒนาเป็นขั้นตอน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการอนุมัติไว้ในหลักการเพื่อให้ผู้วิจัยพัฒนามีความเชื่อมั่นของการทำงานในระยะยาว ที่มีการควบคุมประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงาน โดยมีเงื่อนไขให้เจ้าของโครงการรายงานผลให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบเป็นประจำทุกปี ก่อนที่จะจัดสรรเงินสำหรับการดำเนินงานปีต่อไป เช่น
- โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่
- โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ
- โครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม
2.3 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการโครงการ ควรมีการตั้งคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ (Steering Committee) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นกลั่นกรอง ก่อนอนุมัติโครงการ
วิธีที่ใช้ปฏิบัติ ในกระบวนการพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ ที่จะให้เงินช่วยเหลือ อุดหนุนแก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา หรือองค์กรเอกชนไปดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ตามมาตรา 25 นั้น สนพ. จะมีการตั้งคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ ครั้งละ 2-5 คน เพื่อพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอและให้ความเห็น ก่อนการพิจารณาอนุมัติ อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายเลขานุการฯ จะรับข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ตามที่เสนอ และจะได้แจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น พพ. สป.พน. เป็นต้น เพื่อรับทราบและนำไปปรับปรุงวิธีปฏิบัติงานให้เข้มข้นมากขึ้น เพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแลและการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ ข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ
ประธานฯ ได้เสนอที่ประชุมว่า กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการจัดทำแผนพลังงานทดแทน 15 ปี ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นประชาชน คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายเดือนพฤศจิกายน 2551 จึงขอให้เลื่อนการพิจารณาวาระดังกล่าวออกไปก่อน เพื่อจะได้ทำการบูรณาการแผนพลังงานทดแทน 15 ปี เข้ากับแผนงานประจำปี 2552 ที่เสนอมา
เรื่องที่ 5 ขอความเห็นชอบนำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฝากธนาคารของรัฐ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมว่า พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 และแก้ไขเพิ่มโดย พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 ตามมาตรา 24 ได้กำหนดให้จัดตั้งกองทุนหนึ่งเรียกว่า "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ในกระทรวงพลังงาน เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายช่วยเหลือ หรืออุดหนุนการดำเนินงาน และมาตรา 24/1 กำหนดให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน และเงิน จาก "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในกระทรวงการคลัง" ไปเป็นของ "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน"
2. "กรมบัญชีกลาง" ได้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน และเงิน ของ "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ข้างต้นให้ "กระทรวงพลังงาน" เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 โดยปลัดกระทรวงพลังงานเห็นว่าเพื่อให้การดำเนินงานในช่วงเปลี่ยนผ่านนั้น มีความต่อเนื่องและถูกต้อง จึงมอบหมายให้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกองทุนฯ เป็นผู้รับโอนงาน โดย สนพ. ได้นำเงินกองทุนฯ ฝากไว้กับ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสะพานขาว ประเภทออมทรัพย์ และด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการกองทุนฯ ในคราวการประชุมเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2551 สนพ. ได้เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์ (ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขา กิ่งเพชร) สำหรับรองรับการโอนเงินจากบัญชีเงินฝากกองทุนฯ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการเบิกจ่ายเงิน และโอนเงินให้แก่ผู้เบิกเงินกองทุน และผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน
3. ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 กำหนดเรื่องการเปิดบัญชีเงินฝาก "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ไว้ในหมวด 1 การรับเงินกองทุน ข้อ 6 ให้เปิดบัญชีเงินฝาก "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ประเภทเงินฝากกระแสรายวัน เงินฝากออมทรัพย์หรือเงินฝากประจำกับสถาบันการเงินที่เป็นของรัฐหรือธนาคารพาณิชย์ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ เห็นสมควร โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
4. ณ วันที่ 30 กันยายน 2551 กองทุนฯ มีเงินรวมประมาณ 7,224 ล้านบาท โดยเป็นเงินรอจ่ายให้กับผู้เบิกเงินกองทุนฯ คือ สนพ. และ พพ. นำไปใช้จ่ายตามแผนการใช้จ่ายเงินประมาณ 4,000 ล้านบาทต่อปี ส่วนจำนวนเงินที่เหลืออยู่ประมาณ 3,000 ล้านบาท จะเก็บอยู่ใน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสะพานขาว ประเภทออมทรัพย์ และเกิดดอกผลในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ ร้อยละ 0.75 บาทต่อปี ทำให้กองทุนฯ เสียโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนในระดับสูงจากเงินฝากที่มีอยู่ 3,000 ล้านบาท ดังนั้น สนพ. (ในฐานะผู้เก็บรักษาเงินของกองทุนฯ) เห็นว่า ถ้าสามารถจัดสรรเงินโดยคำนึงถึงสภาพคล่องของกองทุนฯ และนำเงินส่วนที่เกินความจำเป็นใช้ตามช่วงเวลานั้นๆ ไปฝากกับสถาบันการเงินของรัฐ เช่น ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ประเภทฝากประจำ 3 เดือน, 6 เดือน หรืออื่นๆ เหมือนดังที่ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้เคยปฏิบัติไว้ ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่การบริหารเงินของกองทุนฯ เกิดประโยชน์มากขึ้น
มติที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการให้ สนพ. ในฐานะผู้เก็บรักษาเงินของกองทุนฯ สามารถบริหารเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้สอดคล้องกับการเบิกจ่ายเงินตามภาระผูกพันโดยการนำไปฝากธนาคารของรัฐ ที่ให้ผลตอบแทนกับกองทุนฯ ในระดับสูง โดย "คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" มีอำนาจพิจารณาเห็นสมควร โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง และเมื่อ สนพ. ดำเนินการแล้ว ให้รายงานคณะกรรมการกองทุนฯ รับทราบต่อไป และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
ฝ่ายเลขานุการได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า กรมบัญชีกลาง (บก.) ได้มีหนังสือถึงฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อให้นำเรื่อง เกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2551เสนอต่อคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนนำเสนอให้ประธานคณะกรรมการฯ ลงนาม บันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานฯ และส่งคืนกรมบัญชีกลางภายในวันที่ 16 พฤษภาคม 2551 โดยใน ปีบัญชี 2551 จะมีการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุน 4 ด้าน 9 ตัวชี้วัด ซึ่งสรุปได้ ดังนี้
(1) ผลการดำเนินงานด้านการเงิน (น้ำหนักร้อยละ 15)
ตัวชี้วัดที่ 1.1 | ร้อยละของงบประมาณที่มีการผูกพันสัญญาต่องบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจากกองทุน (น้ำหนักร้อยละ 8) |
ตัวชี้วัดที่ 1.2 | ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและผูกพันเทียบกับงบประมาณ (น้ำหนักร้อยละ 7) |
(2) ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ (33%)
ตัวชี้วัดที่ 2.1 | ร้อยละของจำนวนโครงการที่มีการทำสัญญาของแต่ละแผนงานต่อจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติทั้งหมดของแต่ละแผนงาน (น้ำหนักร้อยละ 16)
- แผนพลังงานทดแทน - แผนเพิ่มประสิทธิภาพ - แผนบริหารทางกลยุทธ์ |
ตัวชี้วัดที่ 2.2 | ร้อยละความสำเร็จของจำนวนโครงการที่ผูกพันและดำเนินงานได้ตามแผนภายในปีบัญชี 2551 ต่อจำนวนโครงการที่ผูกพันและมีแผนดำเนินงานภายในปีบัญชี 2551(น้ำหนักร้อยละ 17)
- แผนพลังงานทดแทน - แผนเพิ่มประสิทธิภาพ - แผนบริหารทางกลยุทธ์ |
(3) การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (15%)
ตัวชี้วัดที่ 3.1 | การสำรวจความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประจำปีบัญชี 2551 (น้ำหนักร้อยละ 5) |
ตัวชี้วัดที่ 3.2 | การจัดทำแผนการปรับปรุงการให้บริการจากผลสำรวจความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประจำปีบัญชี 2551 (น้ำหนักร้อยละ 10) |
(4) การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน (37%)
ตัวชี้วัดที่ 4.1 | การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ ประจำปีบัญชี 2550 (น้ำหนักร้อยละ 15) |
ตัวชี้วัดที่ 4.2 | การติดตามประเมินผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (น้ำหนักร้อยละ 12) |
ตัวชี้วัดที่ 4.3 | การจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีบัญชี 2552 (น้ำหนักร้อยละ 10) |
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้นำเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2551 (เอกสารประกอบวาระ 4.3) เสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนนำเสนอต่อประธานกรรมการกองทุนฯ เพื่อลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินกับกระทรวงการคลัง ต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2548 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ในวงเงินรวม 50 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (มิถุนายน 2548-มิถุนายน 2553) โดยมีเป้าประสงค์ดังนี้
(1) ศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility) ทั้งด้านสถานภาพของระบบการปลูก การผลิตพืชน้ำมัน ที่มีศักยภาพในชุมชนภาคเหนือ
(2) ศึกษากระบวนการสกัดแปรรูปน้ำมันดิบของโรงงานขนาดพอเหมาะแก่ชุมชน เพื่อทำน้ำมันไบโอดีเซล ทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ สังคม และสิ่งแวดล้อม
(3) จัดทำศูนย์เรียนรู้ชุมชน (Farm model) ที่มีแบบจำลอง Process-based ของปาล์มน้ำมันและสบู่ดำ เพื่อการปลูกและผลิตไบโอดีเซลครบวงจร
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 ได้เห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการฯ ปีที่ 1 และอนุมัติเงินกองทุนฯ ในวงเงินรวม 40 ล้านบาท ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของโครงการฯ สำหรับปีที่ 2-5 โดยให้ มช. เสนอผลการดำเนินงานแต่ละปีให้คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ทราบและเห็นชอบก่อน สนพ. จะจัดสรรเงินดำเนินการปีที่ 3-5
3. ผลการดำเนินโครงการฯ ปีที่ 3
3.1 มช. ได้ดำเนินโครงการศึกษาวิจัยฯ ต่อเนื่องจากงานปีที่ 2 ที่ได้คัดเลือกสายพันธุ์ปาล์มน้ำมัน 3,200 ต้น และคัดเลือกสายพันธุ์สบู่ดำ 10,000 ต้น และได้นำไปลงปลูกในแปลงวิจัยพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 แห่ง รวม 386 ไร่ คือ แปลงวิจัยศรีบัวบาน จ.ลำพูน 350 ไร่ ควบคุมสภาวะแวดล้อม 100% และที่แปลงวิจัยแม่เหียะ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ 36 ไร่ ควบคุมสภาวะแวดล้อม 50% การควบคุมวิธีการให้น้ำทั้ง 2 แห่ง ด้วยระบบชลประทานน้ำหยด การคลุมด้วยวัสดุต่างๆ ปริมาณการให้น้ำ ระยะเวลาการให้น้ำ ที่เหมาะสม การจัดการปุ๋ย ได้แก่ ปุ๋ยยูเรีย ฟอสเฟต ปุ๋ยคอก และการตัดแต่งกิ่ง วิจัยผลกระทบต่อปาล์มน้ำมันและสบู่ดำ ที่เกิดจากการจัดการวัชพืชด้วยวิธีต่างๆ วิธีปลูกพืชแซมที่ไม่กระทบต่อปาล์มน้ำมันและสบู่ดำ
3.2 ในปีที่ 3 ได้เก็บข้อมูลวิจัยการเจริญเติบโตปาล์มน้ำมัน และสบู่ดำ ในแปลงวิจัยทั้ง 2 แห่ง
1) สบู่ดำ อายุ 31 เดือน (ณ เดือนมิถุนายน 2551) เจริญเติบโตได้ดี มีการให้ผลผลิตของสบู่ดำในปีที่ 2 เฉลี่ย 357 กิโลกรัม/ไร่ โดยพันธุ์ชัยภูมิให้ผลผลิตมากที่สุด คือ 430.71 กิโลกรัม/ไร่/ปี ส่วนสบู่ดำพันธุ์สตูล ให้ผลผลิตน้อยที่สุด คือ 281.95 กิโลกรัม/ไร่/ปี โดยสรุปกรรมวิธีที่ให้ผลผลิตสูงที่สุด คือการใช้ระยะปลูก 3x3 เมตร ให้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 10 กก./ไร่ ผสมกับ ขี้วัว ในอัตรา 500 กก./ ไร่ ฤดูแล้งให้น้ำในอัตรา 20 ลิตร/ต้น ทุก 14 วัน และงดให้น้ำในฤดูฝน ทำการตัดแต่งกิ่ง 1 ครั้งหลังปลูกได้ความสูง 25 เซนติเมตร สำหรับผลปีที่ 3 จะทราบผลในรายงานความก้าวหน้าครั้งต่อไป
แหล่งที่มาของพันธุ์ | ผลผลิตสบู่ดำปีที่ 1 (กก./ไร่/ปี) |
ผลผลิตสบู่ดำปีที่ 2 (กก./ไร่/ปี) |
สตูล | 187.43 | 281.95 |
กำแพงแสน | 182.96 | 300.01 |
กาญจนบุรี | 185.65 | 360.09 |
ปราจีนบุรี | 181.36 | 360.32 |
ชัยภูมิ | 218.96 | 430.71 |
ตากฟ้า | 230.45 | 409.32 |
นอกจากนั้นได้พัฒนานำผลพลอยได้ที่ได้จากสบู่ดำมาใช้ประโยชน์ ประกอบด้วย การนำเปลือกและเนื้อลำต้นสบู่ดำ เปลือกผลสบู่ดำ กากเมล็ดสบู่ดำหลังการสกัดน้ำมัน นำไปอัดแท่งสำหรับเป็นเชื้อเพลิง พบว่ามีค่าร้อน 4,000 kcal/kg ซึ่งสูงกว่าค่าความร้อนของแกลบ และได้ทดลองนำลำต้นและกิ่งของสบู่ดำหลังการตัดแต่งกิ่งไปผลิตเป็นกระดาษจากต้นสบู่ดำ นอกจากนี้ยังได้นำกากสบู่ดำไปผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์ สำหรับใช้ในแปลงวิจัยต่อไป
2) ปาล์มน้ำมัน อายุ 31 เดือน (ณ เดือนมิถุนายน 2551) เจริญเติบโตดี มีความสูงเฉลี่ย 398.14 เซนติเมตร จำนวนทางใบเฉลี่ย 47 ทางใบ การให้ดอกของปาล์มน้ำมัน พบว่า ปาล์มน้ำมันพันธุ์สุราษฎร์ธานี 2 ให้ดอกมากที่สุด มีจำนวนต้นที่ให้ดอกสูงสุด 322 ต้น คิดเป็นร้อยละ 63 ของจำนวนต้นทั้งหมด และ ปาล์มน้ำมันพันธุ์สุราษฎร์ธานี 1 มีการให้ดอกต่อต้นสูงที่สุด 1.95 ดอกต่อต้นที่ให้ดอก โดยจะทราบว่าปาล์มน้ำมันจะให้ผลผลิตหรือไม่ ต้องรอให้ปาล์มน้ำมันมีอายุประมาณ 36 เดือน หรือประมาณเดือนพฤศจิกายน 2551
พันธุ์ | จำนวนต้น ทั้งหมด |
จำนวนต้น ที่ให้ดอก |
จำนวนดอกเพศผู้ | จำนวนดอกเพศเมีย | จำนวนดอกรวม | จำนวนดอกต่อต้น |
สุราษฎร์ธานี1 | 481 | 176 (37%) | 267 | 76 | 343 | 1.95 |
สุราษฎร์ธานี2 | 508 | 322 (63%) | 336 | 152 | 488 | 1.52 |
ไนจีเรีย | 354 | 209 (59%) | 175 | 139 | 314 | 1.50 |
เดลี่ ลาเม่ | 422 | 152 (36%) | 69 | 85 | 154 | 1.01 |
3.3 มช. ได้ศึกษาออกแบบพัฒนาเครื่องสกัดน้ำมันสบู่ดำ เครื่องหีบน้ำมันปาล์มขนาดเล็ก และเครื่องผลิตไบโอดีเซลขนาด 300 ลิตรต่อครั้ง ดังนี้
1) พัฒนาออกแบบเครื่องกะเทาะเปลือกผลสบู่ดำ อัตรากำลังการผลิต 600 กิโลกรัมสบู่ดำสด/ชั่วโมง ใช้แรงงานคนหมุนล้อกำลัง ที่ราคา 15,000 บาทต่อเครื่อง
2) พัฒนาออกแบบเครื่องสกัดน้ำมันสบู่ดำแบบสกรู ขนาด 5-6 กิโลกรัมต่อชั่วโมง หีบน้ำมันได้ไม่ต่ำกว่า 31% ของเมล็ดสบู่ดำ ที่ราคา 65,000 บาทต่อเครื่อง
3) พัฒนาออกแบบเครื่องหีบน้ำมันปาล์มขนาดเล็ก กำลังการผลิต 50 กิโลกรัมผลปาล์มสดต่อชั่วโมง หีบน้ำมันปาล์มดิบได้ 19-20% ของทลายปาล์มสด ที่ราคา 300,000 บาทต่อเครื่อง ในเบื้องต้นประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องสกัดน้ำมันปาล์ม ยังไม่สมบูรณ์ดี เนื่องจากอาจมีการคำนวณรอบของสกรูน้อยเกินไป ทำให้จำนวนรอบการหีบน้ำมันค่อนข้างช้า จึงต้องทำการปรับแก้ไข โดยผลการปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องหีบน้ำมันปาล์มจะรายงานผลในรายงานความก้าวหน้าครั้งต่อไป
4) ร่วมกับกรมอู่ทหารเรือพัฒนาออกแบบ และสร้างเครื่องผลิตไบโอดีเซลขนาด 300 ลิตรต่อครั้ง (ผลิต 3 ครั้งต่อวัน) สามารถผลิตไบโอดีเซลได้จาก น้ำมันพืชใช้แล้ว สบู่ดำ และปาล์มน้ำมัน ที่ราคา 500,000 บาทต่อเครื่อง
3.4 มช. ได้ศึกษาการพัฒนาการเพิ่มผลผลิตสบู่ดำ โดยใช้เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม โดยได้ติดต่อกับมหาวิทยาลัยภายในประเทศไทย 5 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสุรนารี และต่างประเทศจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ 1.University of Hawaii at Manoa 2.University of Harper-Adam,England 3.University of Hohenheim,Germany เพื่อขอความร่วมมือทางด้านวิชาการด้านการใช้เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมในการเพิ่มผลผลิตสบู่ดำ พบว่า สำหรับหน่วยงานภายในประเทศไทยยังไม่มีหน่วยงานใดที่จะตกลงความร่วมมือดำเนินงานวิจัยร่วมกับโครงการฯ ทั้งนี้ เนื่องจากแต่ละสถาบันยังมีข้อมูลไม่เพียงพอ โดยให้เหตุผลในทางเดียวกันว่าการพัฒนางานวิจัยดังกล่าวจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี จึงจะได้คำตอบในเบื้องต้น ประกอบกับต้องใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง ในการตรวจหาสายพันธุ์ DNA ที่เป็นสายพันธุ์เด่นและให้ผลผลิตสูงของสบู่ดำ รวมทั้งต้องศึกษาเรื่องข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเรื่องเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม ดังนั้นจึงต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินวิจัยนานพอสมควรและสำหรับสถาบันในต่างประเทศ ทั้ง 3 แห่งที่ได้แจ้งไว้ข้างต้น พบว่า University of Hawaii at Manoa ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ทำการคัดเลือกสายพันธุ์สบู่ดำจากแปลงวิจัยที่ให้ผลผลิตสูง เพื่อใช้ในงานพัฒนาการเพิ่มผลผลิตสบู่ดำ โดยอาศัยเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมต่อไป
4. แผนการดำเนินงาน ปีที่ 4
แผนงานส่วนใหญ่ยังคงเป็นเรื่องการศึกษาวิจัยการเจริญเติบโตของต้นปาล์มน้ำมัน และต้นสบู่ดำ ทั้งในแปลงวิจัย และแปลงสาธิต โดยในปีที่ 3 จะเป็นปีที่ต้นปาล์มน้ำมันในแปลงวิจัยครบรอบของการให้ผลผลิตในครั้งแรก ซึ่งจะทราบโอกาสและความเป็นไปได้ของการปลูกปาล์มในภาคเหนือ และจะเริ่มพัฒนาสายพันธุ์สบู่ดำด้วยวิธีตัดต่อพันธุกรรม (GMO) ร่วมกับ University of Hawaii at Manoa เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่ด้วย โดย มช. ประมาณการรายจ่ายสำหรับปีที่ 4 ในวงเงิน 11,886,000 บาท ดังรายละเอียดแผนงานและค่าใช้จ่ายของโครงการฯ โดยสรุปขอบเขตงานได้ดังนี้
4.1 งานด้านเกษตรกรรม
(1) ดำเนินการวิจัย เก็บข้อมูล และวิเคราะห์ผลการเจริญเติบโตปาล์มและสบู่ดำต่อเนื่องจากปีที่ 3 ประกอบด้วย การเปรียบเทียบสายพันธุ์และเทคโนโลยีการปลูก ด้วยการจัดการชลประทาน การจัดการปุ๋ย การจัดการวัชพืช ที่แตกต่างกัน ของปาล์มน้ำมันและสบู่ดำ
(2) พัฒนาสายพันธุ์สบู่ดำให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น โดยใช้เทคโนโลยี และการพัฒนาระบบเขตกรรม
(3) พัฒนาสายพันธุ์ด้วยวิธีตัดต่อพันธุกรรม (GMO) เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่ เพิ่มเปอร์เซ็นต์น้ำมันในเมล็ดสบู่ดำ และพัฒนาให้สบู่ดำให้ผลผลิตพร้อมกัน
(4) พัฒนาเทคนิคการบังคับการออกดอก และการผสมเกสรปาล์มน้ำมันที่เหมาะสมในสวนปาล์มน้ำมันเขตพื้นที่ภาคเหนือ
4.2 งานด้านวิศวกรรม
(1) จัดทำโรงงานผลิตไบโอดีเซลจากปาล์มน้ำมันและสบู่ดำต้นแบบ ซึ่งจะเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ชุมชนและเกษตรกรจะเข้ามาเรียนรู้ได้อย่างครบวงจร
(2) ปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องหีบน้ำมันปาล์ม และสาธิตใช้งานในเครื่องยนต์การเกษตร
(3) พัฒนาระบบการใช้ประโยชน์จากกลีเซอรีน
4.3 งานด้านเศรษฐกิจ สังคมและ สารสนเทศ (ICT)
(1) เก็บและจัดทำข้อมูลด้านสภาพแวดล้อม การเจริญเติบโต และการให้ผลผลิตพืช ต่อเนื่องจากปีที่ 2 เพื่อทำแบบจำลอง Process-based ตลอดจนการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ และสังคม
(2) จัดตั้งศูนย์ให้บริการแนะนำส่งเสริมและแก้ปัญหาการปลูกปาล์มน้ำมัน และสบู่ดำ ในสวนครบวงจร
มติที่ประชุม
1. รับทราบและเห็นชอบรายงานผลการดำเนินงาน "โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ" ปีที่ 3 ตามที่ มช. เสนอมา
2. เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนงานโครงการฯ ในปีที่ 4 ตามแผนงานที่เสนอมา ในวงเงินรวม 11,886,000 บาท (สิบเอ็ดล้านแปดแสนแปดหมื่นหกพันบาทถ้วน) โดยใช้เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ ปีงบประมาณ 2550 โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจร ในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ได้อนุมัติไว้แล้ว
ประธานฯ ได้เสนอขอให้ถอนการพิจารณาวาระดังกล่าวออกไปก่อน เพื่อพิจารณารายละเอียดอีกครั้ง
เรื่องที่ 9 ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า มีหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปแล้ว ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาและอนุมัติไว้ รวมจำนวน 95 โครงการ โดยตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินฯ ตามข้อ 1.3 (2) หมวด 3 ข้อ 24 กำหนดว่า การเปลี่ยนแปลงรายการ ระยะเวลาดำเนินการ ไปจากรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนได้อนุมัติไว้แล้ว จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ก่อน จึงจะเปลี่ยนแปลงได้
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พิจารณาเหตุผลและรายละเอียดที่เจ้าของโครงการฯ ทั้ง 95 โครงการ ได้แจ้งขอเปลี่ยนแปลงแล้ว โดยจำแนกเรื่องที่ขอเปลี่ยนแปลงออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
2.1 ขอเปลี่ยนแปลง เพื่ออนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เกิน 3 เดือนนับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา จำนวน 49 โครงการ
มีสาเหตุจาก คู่สัญญาหรือผู้ได้รับเงินจัดสรรที่ได้ทำสัญญาจ้างหรือหนังสือยืนยันการรับทุนไว้กับ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) จำนวน 36 ข้อเสนอ และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จำนวน 13 ข้อเสนอ โดยคู่สัญญาหรือผู้ได้รับเงินจัดสรรได้ส่งงาน/รายงานตามเวลาที่กำหนดไว้แล้ว แต่การตรวจรับงานของ พพ. และ สนพ. พบว่าผลงานยังไม่สมบูรณ์ตามข้อตกลง เช่น ขาดรายละเอียด ขาดข้อมูลหรือเอกสารอ้างอิง ขาดประเด็นสำคัญ ฯลฯ และให้คู่สัญญาหรือผู้ได้รับเงินจัดสรรเงินนั้น ดำเนินการให้รายงานฉบับนั้นๆ ซึ่งการปรับปรุงรายงานได้ใช้เวลาระยะหนึ่ง ที่ส่งผลให้เลยกำหนดระยะเวลา 3 เดือน นับจากเวลาสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญาหรือหนังสือยืนยันการรับทุน พพ. และ สนพ. จึงได้เสนอขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายรายการนั้นๆ
การปฏิบัติข้างต้น เป็นการดำเนินการตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 16 ที่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการเบิกจ่ายเงินกองทุนไว้ "ให้ผู้เบิกเงินกองทุนใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันตามประมาณการรายจ่ายประจำปีได้ ภายในวงเงินและปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ กรณีผู้เบิกเงินกองทุนก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณแต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีงบประมาณนั้นๆ ให้ขยายเวลาการเบิกจ่ายรายการนั้นๆ ต่อไปได้ ภายในสาม (3) เดือนนับจากเวลาสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา"
ความเห็นของฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าการขยายเวลาของทั้ง 49 ข้อเสนอดังกล่าว ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง จึงเห็นควรให้ทั้ง 49 ข้อเสนอดังกล่าว ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายแต่ละรายการ ได้ตามที่เสนอมา โดยให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายออกไปได้อีก 3 เดือน นับจากวันที่คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติอนุมัติ
2.2 ขอเปลี่ยนแปลง เพื่ออนุมัติขยายระยะเวลาโครงการฯ จำนวน 27 ข้อเสนอ
มีสาเหตุจาก คู่สัญญาหรือผู้ได้รับเงินจัดสรรที่ได้ทำสัญญาจ้างหรือหนังสือยืนยันการรับทุนไว้กับ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) จำนวน 4 ข้อเสนอ และกับ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จำนวน 23 ข้อเสนอ (เป็นทุนการศึกษาระดับปริญญาตรี โท เอก จำนวน 5 ข้อเสนอ เป็นทุนวิจัยในระดับอุดมศึกษา 11 ข้อเสนอ เป็นโครงการวิจัยพัฒนา 11 ข้อเสนอ) แต่ละหน่วยงานได้ดำเนินการตามแผนงานที่เสนอไว้กับกองทุนฯ แล้ว แต่มีข้อจำกัดระหว่างการดำเนินงาน เช่น ต้องใช้เวลาในการเก็บข้อมูลสำหรับการทำวิทยานิพนธ์ การรอเวลาเพื่อนำผลงานวิจัยไปตีพิมพ์ทั้งในและต่างประเทศ การทำงานวิจัยแล้วผลการทดลองมีความคลาดเคลื่อนไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ จำเป็น ต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์ผลการทดลองเพิ่มเติม เป็นต้น
ความเห็นของฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าการขยายเวลาของทั้ง 27 ข้อเสนอดังกล่าว เห็นว่าเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากเจตนาของผู้ได้รับทุน และการเปลี่ยนแปลงแต่ละรายการไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง จึงเห็นควรให้ทั้ง 27 ข้อเสนอดังกล่าว ขยายระยะเวลาโครงการออกไปได้
2.3 ขอเปลี่ยนแปลง รายละเอียดโครงการ จำนวน 19 ข้อเสนอ
มีสาเหตุจาก คู่สัญญาหรือผู้ได้รับเงินจัดสรรที่ได้ทำสัญญาจ้างหรือหนังสือยืนยันการรับทุนไว้แต่ละหน่วยงานได้ดำเนินการตามแผนงานที่เสนอไว้กับกองทุนฯ แล้ว แต่มีข้อจำกัดระหว่างการดำเนินงาน เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของการบริหารของโครงการ บางโครงการมีลักษณะเป็นการร่วมทุน เมื่อเศรษฐกิจมีความชะลอตัว โครงการจึงต้องหาผู้เข้าร่วมโครงการรายใหม่ จำเป็นต้องขอเปลี่ยนตัวผู้ร่วมทุน และขยายเวลาโครงการ หรือบางโครงการก็มีผู้เข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมจากที่เคยเสนอกองทุนฯ ไว้ เป็นต้น
ความเห็นของฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของทั้ง 19 ข้อเสนอดังกล่าว ไม่ได้เกิดจากเจตนาของผู้ได้รับทุน และการเปลี่ยนแปลงแต่ละรายการไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง จึงเห็นควรให้ทั้ง 19 ข้อเสนอดังกล่าว ขยายระยะเวลาโครงการออกไปได้
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้โครงการตาม ข้อ 2.1 ข้อ 2.2 และ 2.3 รวม 95 โครงการ (ตามรายละเอียดที่ปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 4.6) ขยายระยะเวลาดำเนินงาน และปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา ด้วยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
2. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณามอบอำนาจให้คณะอนุกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจในการอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงการจัดสรรเงินกองทุนให้แก่กิจการ แผนงาน หรือโครงการได้เท่าที่ไม่เกินจากวงเงินที่คณะกรรมการกองทุนจัดสรรให้ แทนคณะกรรมการกองทุนฯ ตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 และแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 มาตรา 34 วรรค 2