มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 6/2550 (ครั้งที่ 115)
วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2550 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
2.แนวทางในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3.ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการจัดการพลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม พ.ศ. ....
5.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (มิถุนายน - 24 กันยายน 2550)
6.การทบทวนหลักเกณฑ์นโยบายราคาก๊าซธรรมชาติและการกำกับดูแล
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2549 ได้เห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 ที่ได้ปรับเป้าหมายการดำเนินงานในช่วงปี 2550 - 2554 ตามข้อเสนอของคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. การดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 ในช่วงปี 2548-2550 สรุปได้ดังนี้
2.1 ปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน ครอบคลุมกิจกรรมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกภาคส่วน และปรับเปลี่ยนเค้าโครงการดำเนินการไม่ให้เป็นภาระค่าใช้จ่ายต่อผู้ที่ต้อง ปฏิบัติตามกฎหมาย รวมทั้งปรับปรุงให้มีการกำหนดเรื่องที่เป็นรายละเอียดด้านเทคนิค หรือเรื่องที่ต้องเปลี่ยนแปลงรวดเร็วตามการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีและด้าน เศรษฐกิจและสังคม และให้รัฐมนตรีนำไปประกาศใช้ได้ เพื่อเปิดโอกาสให้สามารถปรับเปลี่ยนในรายละเอียดของกฎหมายได้อย่างรวดเร็ว และทันเวลา โดยปัจจุบัน (กันยายน 2550) พ.ร.บ. ดังกล่าว อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อทูลเกล้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ลงพระปรมาภิไธย และจากการแก้ไข พ.ร.บ. ฯ จำเป็นต้องดำเนินการปรับปรุงกฎหมายลำดับรองที่ออกตามมาด้วย ซึ่งกระทรวงพลังงานได้เตรียมเสนอ กพช. และคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ตามลำดับต่อไป
2.2 การอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม จำนวน 3,160 แห่ง และ 1,917 แห่ง ตามลำดับ รวม 5,077แห่ง (มีอาคารของรัฐ 800 แห่ง) โดยจัดทำเป้าหมายและแผนแล้ว 3,242 แห่ง
2.3 ส่งเสริม ช่วยเหลือ และอุดหนุน ด้านอนุรักษ์พลังงาน โดยดำเนินโครงการ/มาตรการต่างๆ ได้แก่ โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม โครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษี มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
2.4 กำหนดมาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้พลังงาน โดยจัดทำแผน 5 ปี (2550-2554) เพื่อออกกฎกระทรวงฯ กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำ (MEPs) และการส่งเสริม (ติดฉลาก) เครื่องจักรและอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน รวมทั้งสิ้น 35 ผลิตภัณฑ์
2.5 ส่งเสริมไบโอดีเซล โดยในปี 2549-2550 ได้ส่งเสริมระบบผลิตขนาดกำลังผลิต 100 ลิตรต่อวัน ให้กับชุมชนต้นแบบ รวม 472 แห่ง
2.6 ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยใช้กลไกภาษีสรรพสามิตและกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้น้ำมันแก๊สโซฮอล์มีราคาต่ำกว่าน้ำมันเบนซินปกติ (ประมาณ 3.50 บาทต่อลิตร) เพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์มากขึ้น
2.7 ส่งเสริมให้มีการนำพลังงานทดแทนมาใช้เพิ่มขึ้น โดยปรับปรุงกฎระเบียบการซื้อไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับพลังงานหมุนเวียน และได้ขยายระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP ปี 2545 เพื่อให้รับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนได้มากกว่า 1 เมกะวัตต์ แต่ไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ พร้อมทั้งจูงใจให้มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นด้วยมาตรการ ด้านราคาผ่านระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP และ VSPP ที่กำหนดส่วนเพิ่มอัตรารับซื้อไฟฟ้า (Adder) จากราคารับซื้อไฟฟ้าตามประเภทเชื้อเพลิงและเทคโนโลยี
2.8 รณรงค์และปฏิบัติการในด้านต่างๆ เพื่อให้มีการยุติการผลิต การนำเข้า และการใช้หลอดอินแคนเดสเซนต์ (หลอดไส้) โดยใช้เงินจากกองทุนฯ 48 ล้านบาท เพื่อซื้อหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ (หลอดตะเกียบ) แจกฟรีสู่ชุมชนและชาวบ้าน 800,000 หลอด และในช่วงปี 2551-2553 กฟผ. จะสร้างตลาดผลิต 15 ล้านหลอด (5 ล้านหลอด/ปี) วางจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อ หรือปั๊มน้ำมัน สำหรับผู้มีรายได้น้อยและมีการใช้ไฟฟ้าน้อยกว่า 150 หน่วยต่อเดือน โดยการขายในครั้งแรกประชาชนอาจจ่ายเพียง 12 บาท และส่วนที่เหลือผ่อนชำระผ่านบิลค่าไฟฟ้า 4 เดือนของ กฟน. และ กฟภ.
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานลดการใช้พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ในช่วงปี 2548 - 2550 คาดว่าก่อให้เกิดผลดังนี้
แผนงาน | ผลงาน 2548-2550 |
เป้าหมาย ณ ปี 2554 |
ktoe | ktoe | |
(1) แผนงาน เพิ่มประสิทธิภาพ การใช้พลังงาน | 7,694 | |
- สาขาอุตสาหกรรม | 567 | 3,832 |
- สาขาขนส่ง | 726 | 3,290 |
- การจัดการ ด้านการใช้พลังงาน | 225 | 572 |
(2) แผนงาน ด้านพลังงาน ทดแทน | 10,226 | |
- ส่งเสริม NGV | 540 | 3,264 |
- พลังงาน หมุนเวียน | 3,173 | 6,962 |
3. กระทรวงพลังงานได้ทบทวนแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2551-2554 โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงมาตรการเดิม แต่ปรับเป้าหมายและวิธีดำเนินการ เพื่อให้ผลที่คาดว่าจะได้รับชัดเจน และเร่งบางมาตรการให้เร็วขึ้น สรุปได้ดังนี้
3.1 ด้านเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ประกอบด้วย
3.1.1 เร่งรัดการออกกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. .... เพื่อให้วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน ได้มาตรฐานมีประสิทธิภาพด้านพลังงาน
3.1.2 เร่งรัดดำเนินการตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 โดยใช้มาตรการส่งเสริม และจูงใจทั้งด้านการเงิน มาตรการทางภาษี การให้คำแนะนำ และเพิ่มแนวทางใหม่เพื่อเสริมกับมาตรการที่มีอยู่เดิม เพื่อให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกที่จะลงทุนเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานเพิ่ม ขึ้น ดังนี้
(1) รณรงค์ให้ใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์ T5 หรือหลอดผอมใหม่เบอร์ 5 แทนหลอดฟลูออเรสเซนต์ T8 หรือหลอดผอมเดิม โดยมีเป้าหมาย 110 ล้านหลอด T5 หรือประมาณร้อยละ 50 ของจำนวนหลอดในระบบ คาดว่าจะลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ 4,790 ล้านหน่วย/ปี นับตั้งแต่ปี 2555 ลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุดได้ 1,040 เมกะวัตต์ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 2.1 ล้านตัน/ปี
(2) สนับสนุนธุรกิจบริษัทจัดการพลังงาน ESCO โดยจัดตั้งกองทุนเพื่อร่วมลงทุนและส่งเสริมการลงทุนในโครงการอนุรักษ์ พลังงานและพลังงานทดแทน โดยใช้เงินจากกองทุนฯ เข้าร่วมทุนในโครงการ (Equity Investment ) หรือการเข้าร่วมทุนกับบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO Venture Capital) การเช่าซื้ออุปกรณ์ประหยัดพลังงาน/พลังงานทดแทนให้ผู้ประกอบการก่อน แล้วให้ผ่อนชำระภายหลัง (Equipment Leasing) หรือให้ความช่วยเหลือหรือร่วมลงทุนในโครงการอนุรักษ์พลังงาน/พลังงานทดแทน ที่ได้รับผลประโยชน์จากการขาย Carbon Credit การอำนวยเครดิตให้สินเชื่อ (Credit Guarantee Facility) โดยในปี 2551 จะทดลองดำเนินการในวงเงิน 500 ล้านบาท คาดว่าเกิดการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนมากกว่า 2,500 ล้านบาท และเกิดผลประหยัดด้านพลังงาน มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท/ปี
(3) ส่งเสริมการจัดการด้านการใช้พลังงานโดยวิธีประกวดราคา (DSM Bidding) โดยใช้เงินจากกองทุนฯ สนับสนุนอัตราต่อหน่วยพลังงานที่ประหยัดได้ ด้วยการเชิญชวนผู้ประกอบการยื่นข้อเสนอวิธีการปรับปรุงการใช้พลังงาน และเสนอขอรับเงินสนับสนุนต่อค่าพลังงานที่ประหยัดได้ ตามอัตราที่ต้องการและไม่เกินวงเงินที่กองทุนฯ กำหนด คาดว่าจะช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานได้ไม่น้อยกว่า 500 ล้านหน่วย/ปี ลดความต้องการไฟฟ้าได้ 77 MW และลดปริมาณการใช้พลังงานความร้อนไม่น้อยกว่า 1.7 ล้าน MMBTU/ปี
(4) ส่งเสริมการลดการใช้พลังงานในสาขาขนส่ง ได้แก่ การจัดเตรียมพื้นที่จอดแล้วจร (Park&Ride) เพิ่มเติม พร้อมทั้งจัด Feeder อำนวยความสะดวกในการเดินทางระหว่างที่จอดรถไปยังระบบขนส่งมวลชน และศึกษากฎหมายเรื่องการกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะ สำหรับการขนส่งสินค้า จะช่วยผู้ประกอบกิจการบริการขนส่งสินค้าโดยตรง โดยศึกษาความเหมาะสม วิธีลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและนำผลการศึกษาไปปฏิบัติจริง นอกจากนี้ ได้สร้างแนวทางจูงใจใหม่ให้ผู้ประกอบกิจการต่างๆ ลงทุน ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในกิจการของตน พร้อมทั้งจัดโปรแกรมฝึกอบรมวิธีการขับประหยัดน้ำมันและปลอดภัยให้กับผู้ขับ ยานพาหนะของหน่วยงานรัฐและเอกชน
3.2 ด้านการใช้พลังงานทดแทน โดยเร่งผลักดันให้เกิดการลงทุนและพัฒนาพลังงานทดแทนที่เหมาะสมกับประเทศไทย ดังนี้
3.2.1 ส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพ จากฟาร์มสุกร โรงงานแป้งมันสำปะหลัง และน้ำเสียจากโรงงาน เป็นต้น โดยมีเป้าหมายจะผลิตก๊าซชีวภาพ 1,060 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ทดแทนพลังงานเทียบเท่าน้ำมันดิบปีละ 397,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 6,970 ล้านบาทต่อปี ทำให้เป้าหมายก๊าซชีวภาพทางด้านไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จาก 30 MW เป็น 60 MW และด้านความร้อนเพิ่มขึ้น จาก 186 ktoe เป็น 370 ktoe
3.2.2 การผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำ การแปรรูปขยะเป็นพลังงาน การส่งเสริมวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเป็นพลังงาน แนวทางส่งเสริมพลังงานจากลม และแสงอาทิตย์ ได้มีแผนปฏิบัติการและรายละเอียดวิธีดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในแต่ละ ด้านให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
3.2.3 ทบทวนเป้าหมายมาตรการส่งเสริมการใช้เอทานอล โดยประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพื่อให้ประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และรักษาส่วนต่างราคาเพื่อจูงใจผู้ใช้ เพิ่มแรงจูงใจแก่ ผู้จำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ส่งเสริมให้มีรถยนต์ที่สามารถใช้ E20 เป็น 150,000 คัน ในปี 2544 และให้รถจักรยานยนต์ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ปรับเป้าหมายการใช้เอทานอลในปี 2554 จาก 3 ล้านลิตรต่อวัน เป็น 2.4 ล้านลิตรต่อวัน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการน้ำมันเบนซินที่ได้ชะลอตัวลงจากอดีตที่เคย คาดการณ์ไว้
3.2.4 ทบทวนเป้าหมายมาตรการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล ในเดือนเมษายน 2551 จะผสมน้ำมันดีเซลหมุนเร็วด้วยไบโอดีเซล 2% ส่งเสริมการผลิตและใช้ไบโอดีเซลจากน้ำมันปาล์มที่ เหลือจากการบริโภคในปี 2552 และปี 2553 เร่งส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมันในปี 2551 เพื่อให้ไบโอดีเซลเพียงพอกับความต้องการที่จะผสมกับดีเซลหมุนเร็ว 5% ในปี 2554 และปรับเป้าหมายการใช้น้ำมันไบโอดีเซล ลดลงจาก 4 ล้านลิตรต่อวัน เป็น 3 ล้านลิตรต่อวัน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการน้ำมันดีเซลที่ได้ชะลอตัวลงจากอดีตที่เคยคาด การณ์ไว้
3.3 สรุปเป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 ในช่วงปี 2551 -2554 โดยเปรียบเทียบเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานในปี 2554 ระหว่างแผนเดิม (26 ธันวาคม 2549) กับแผนที่ปรับปรุง ดังนี้
แผนงาน | เป้าหมายเดิม (26 ธันวาคม 2549) | เป้าหมายใหม่ | ||
ktoe | ร้อยละ | ktoe | ร้อยละ | |
(1) แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 7,694 | 10.5 | 8,488 | 11.7 |
- สาขาอุตสาหกรรม | 3,832 | 5.2 | 3,981* | 5.5 |
- สาขาขนส่ง | 3,290 | 4.5 | 3,290 | 4.5 |
- การจัดการด้านการใช้พลังงาน | 572 | 0.8 | 1,217 | 1.7 |
(2) แผนงานด้านพลังงานทดแทน | 11,311 | 15.4 | 11,206 | 15.5 |
- ส่งเสริม NGV | 4,348 | 5.9 | 4,518 | 6.2 |
- พลังงานหมุนเวียน ** | 6,963 | 9.5 | 6,688 | 9.2 |
* เป็นเป้าหมายที่ได้ปรับตามข้อสังเกตุของที่ประชุมโดยนำการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเข้ามารวมแล้ว
** เป้าหมายของการใช้พลังงานหมุนเวียนจำแนกประเภทได้ดังนี้
ประเภทพลังงาน | ไฟฟ้า | ความร้อน | เชื้อเพลิงชีวภาพ | รวม | ||
MW | ktoe | ktoe | ล้านลิตร/วัน | ktoe | ktoe | |
แสงอาทิตย์ | 45 | 4 | 5 | - | - | 9 |
พลังลม | 115 | 13 | - | - | - | 13 |
ไฟฟ้าพลังน้ำ | 156 | 17 | - | - | - | 18 |
ชีวมวล | 2,800 | 941 | 3,660 | - | - | 4,601 |
ขยะ | 100 | 45 | - | - | - | 45 |
ก๊าซชีวภาพ* | 60 | 27 | 370 | - | - | 397 |
เอทานอล | - | - | - | 2.4 | 653 | 653 |
ไบโอดีเซล | - | - | - | 3.0 | 953 | 953 |
รวม | 3,276 | 1,047 | 4,035 | 5.4 | 1,606 | 6,688 |
4. จากการทบทวนแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 ที่เหลืออยู่ในช่วงปี 2551- 2554 ทำให้ทราบศักยภาพ ลำดับความสำคัญของงาน แนวทางดำเนินการ และมาตรการผลักดันที่ชัดเจน โดยส่วนหนึ่งจำเป็นต้องใช้เงินกองทุนฯ ในวงเงินรวมประมาณ 16,132,273, 859 บาท เข้าไปช่วยเหลือ อุดหนุน หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อ เร่งรัดให้การดำเนินงานเกิดผลสัมฤทธิ์บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ประกอบด้วย 3 แผนงาน เรียงตามลำดับความสำคัญ คือ 1) แผนพลังงานทดแทน 2) แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และ 3) แผนงานบริหารทางกลยุทธ์
5 ประมาณการรายจ่ายตามแผนฯ โดยไม่รวมงานบริหารและโครงการอื่นๆ ในช่วงปี 2552-2554 ที่จะเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาเพิ่มเติมในแต่ละปี ซึ่งคาดว่าจะมีวงเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท/ปี หรือมากกว่านั้นตามความจำเป็นและเหมาะสม สำหรับในปี 2551 มีวงเงิน 8,675,323,859 บาท เป็นเงินที่จะได้รับคืนเนื่องจากมีเงินทุนหมุนเวียนรวมอยู่ด้วยจำนวน 4,400 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โครงการส่งเสริมการลงทุน และโครงการส่งเสริมการใช้หลอดผอมใหม่ (T5) จำนวน 2,000 500 และ 1,900 ล้านบาท ตามลำดับ
6 . กพช. ในการประชุม เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2549 ได้เห็นชอบการปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ สำหรับน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซล และเตาที่ผลิตในประเทศและนำเข้า จาก 4 สตางค์ต่อลิตร เป็น 7 สตางค์ต่อลิตร และสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 6.3 สตางค์ต่อลิตร และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะโอนเงินตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี จำนวน 3, 000 ล้านบาท มาสมทบเป็นรายได้ให้กับกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในเดือนธันวาคม 2550 หรือมกราคม 2551 เพื่อให้ฐานะการเงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานมีสภาพคล่อง เพียงพอที่จะช่วยเหลือส่งเสริมให้มีการผลิตและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้พลังงานทดแทนให้มากขึ้น
7. จากประมาณการรายจ่าย พบว่าสภาพคล่องของฐานะทางการเงินของกองทุนฯ เป็นดังนี้
8. เพื่อให้กองทุนฯ มีสภาพคล่องเพียงพอ จึงขอปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ สำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซล จาก 7 สตางค์ต่อลิตร เป็น 25 สตางค์ต่อลิตร เริ่มประมาณเดือนธันวาคม 2550 หรือมกราคม 2551 ในวันเดียวกับการประกาศลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับ น้ำมันเบนซินและดีเซล 18 สตางค์ต่อลิตร เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจะทำให้ฐานะการเงินของกองทุนฯ มีความคล่องตัวเพิ่มขึ้นดังนี้
มติของที่ประชุม
1.อนุมัติแผนอนุรักษ์พลังงาน และแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ระยะที่ 3 ในช่วงปี 2551-2554 และให้คณะกรรมการกองทุนฯ จัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับใช้จ่ายตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2551-2554 ตามเอกสารประกอบวาระ 3.1.2โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการปรับเป้าหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม ในส่วนของมาตรการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โดยให้คงเป้าหมายเดิมตามกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 ในช่วงปี 2551-2554 ที่ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2549 ได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้ว
2.กำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนฯ สำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซล เป็นอัตรา 25 สตางค์ต่อลิตร ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ เสนอ
เรื่องที่ 2 แนวทางในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกในช่วงปลายปี 2546 ถึงต้นปี 2547 ได้ปรับตัวสูงขึ้น รัฐบาลในขณะนั้นจึงได้มีนโยบายให้ตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีการจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงานขึ้น เพื่อจัดหาเงินกู้และออกพันธบัตรให้กองทุนน้ำมันฯ เพื่อนำไปจ่ายชดเชยราคาน้ำมันตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 ถึงวันที่ 13 กรกฎาคม 2548 ส่งผลทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีภาระหนี้สินสะสมทั้งสิ้น 92,054 ล้านบาท
2. จากระดับราคาขายปลีกน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันในประเทศลดลงส่งผลให้รายได้ของกองทุนน้ำมันฯ ลดลงด้วย ในขณะที่ภาระการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มสูงขึ้น ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีเงินไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ กบง.ในการประชุมเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2549 จึงได้เห็นชอบให้ปรับระดับเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์และดีเซลเพิ่มขึ้น 1.50 บาท/ลิตร จาก 2.50 บาท/ลิตร เป็น 4.00 บาท/ลิตร ซึ่งกระทรวงพลังงานได้ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินเข้ากองทุนฯ โดยหาจังหวะเวลาที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง เพื่อมิให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศสูงขึ้น ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นจากระดับ 2,299 ล้านบาท/เดือน เป็น 4,156 ล้านบาท/เดือน
3. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 18 กันยายน 2550 มีเงินสดสุทธิ 16,985 ล้านบาท มีหนี้สินค้างชำระ 27,417 ล้านบาท แยกเป็น 1) หนี้พันธบัตร 17,600 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 งวดๆ ละ 8,800 ล้านบาท ซึ่งจะครบกำหนดในเดือนตุลาคม 2550 และตุลาคม 2551 ตามลำดับ 2) หนี้เงินชดเชยตรึงราคาน้ำมัน ค้างชำระ 990 ล้านบาท 3) หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 8,066 ล้านบาท 4) ภาระดอกเบี้ย (ดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 2 และ 3 ปี) 761 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 10,432 ล้านบาท และจากการประมาณการกระแสเงินของกองทุนน้ำมันฯ คาดว่าฐานะกองทุนน้ำมันฯ จะเป็นบวกประมาณกลางเดือนธันวาคม 2550 ทั้งนี้ ได้มีการสะสมเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับใช้หนี้พันธบัตรงวดที่ 2 จำนวน 8,800 ล้านบาท ซึ่งมีกำหนดเวลาการจ่ายเงินคืนในเดือนตุลาคม 2551 ไว้ครบถ้วนแล้ว และมีการโอนเงินให้แก่กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 3,000 ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2550 ภายในเดือนธันวาคม 2550 แล้ว
4. เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2550 ได้มีการประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับรัฐมนตรี ประกอบด้วย กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และกระทรวงพลังงาน เรื่อง แนวทางการนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มาสนับสนุนการลงทุนโครงการพัฒนาระบบการขนส่งขนาดใหญ่ โดยผลการหารือเห็นควรให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ไปสนับสนุนการลงทุนในโครงการพัฒนาระบบการขนส่ง ซึ่งจะช่วยลดการใช้น้ำมันของประเทศ และประชาชนได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง ตามสัดส่วนการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ของประชาชนในภูมิภาคต่างๆ โดยให้กระทรวงคมนาคมจัดทำหลักเกณฑ์การพิจารณาโครงการระบบขนส่งที่จะนำมา พัฒนา และข้อเสนอแผนงานและกรอบงบประมาณของโครงการพัฒนาระบบการขนส่งที่ต้องการ เสนอต่อ กพช. ในการอนุมัติให้นำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปพัฒนาระบบขนส่ง
5. แนวทางการบริหารกองทุนน้ำมันฯ ภายหลังการใช้หนี้หมดแล้ว ควรจัดสรรออกเป็น 3 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 โอนอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจัดเก็บแทนในอัตราประมาณ 0.50 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้มีเงินไหลเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริม การอนุรักษ์พลังงาน เพื่อนำไปสนับสนุนการลงทุนในโครงการพัฒนาระบบขนส่งประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อเดือน
ส่วนที่ 2 ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ประมาณ 0.50 บาทต่อลิตร เพื่อลดราคาขายปลีก น้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ประชาชน
ส่วนที่ 3 เก็บเข้ากองทุนน้ำมันฯ และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อสะสมไว้เป็นค่าใช้จ่ายในภาวะฉุกเฉินที่อาจจำเป็นต้องมีการตรึงราคา น้ำมันในช่วงสั้นๆ และเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำมันเชื้อ เพลิง การชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ส่งเสริมแก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซลและเชื้อเพลิงสะอาดอื่นๆ รวมทั้งเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับแผนงานปกติของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงาน
จำนวน 10 โครงการ รวมเป็นเงิน 414,377 ล้านบาท โดยแยกเป็น โครงการที่พร้อมดำเนินการได้ทันที (พ.ศ. 2550 - 2555) จำนวนเงิน 97,075 ล้านบาท และโครงการที่ต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม จำนวนเงิน 317,302 ล้านบาท
7. กระทรวงพลังงานได้พิจารณานำเสนอแนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ ดีเซลหมุนเร็ว และไบโอดีเซล บี 5 ดังนี้
7.1 ปรับและโอนอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้แก่กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ดังนี้
การปรับอัตรากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (บาท/ลิตร)
อัตรากองทุนน้ำมันฯปัจจุบัน | โอนให้กองทุนอนุรักษ์พลังงานเพื่อสนับสนุนแผนงานปรกติ* | โอนให้กองทุนอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการขนส่งฯ | เพื่อลดราคาขายปลีกน้ำมัน | อัตราเงินส่งกองทุนน้ำมันฯ ที่คงไว้ | |
เบนซิน 95 | 4.0000 | 0.1800 | 0.5000 | 0.5000 | 2.8200** |
เบนซิน 91 | 3.7000 | 0.1800 | 0.5000 | 0.5000 | 2.5200** |
แก๊สโซฮอล์ 95 | 0.9000 | 0.1870 | 0 - 0.50*** | 0.5000 | 0.21300 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 0.4000 | 0.1870 | 0 - 0.50*** | 0.5000 | -0.28700 |
ดีเซล | 1.5000 | 0.1800 | 0.5000 | 0.5000 | 0.3200 |
ไบโอดีเซล บี 5 | 1.0000 | 0.1835 | 0 - 0.50*** | 0.5000 | 0.3165 |
หมายเหตุ : 1. * เป็นการโอนเงินให้กองทุนอนุรักษ์ฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนอนุรักษ์พลังงานตามที่เสนอ ในระเบียบวาระ 3. 1
2. ** ยังคงต้องเก็บเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 เพื่อรักษาความแตกต่างของราคาน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ในระดับ 3.50 บาท/ลิตร ตามมาตรการสนับสนุนแก๊สโซฮอล์
3. *** ในระยะแรกกำหนดอัตราการโอนอัตรากองทุนน้ำมันฯ ไปยังกองทุนเพื่อส่งเสริมฯ ของน้ำมันเชื้อเพลิง ชีวภาพในระดับ 0 บาท/ลิตร โดยให้อำนาจประธาน กพช. พิจารณาปรับเพิ่มอัตราการโอนในอนาคต สูงขึ้นได้ถึง 0.50 บาท/ ลิตร ตามภาวการณ์ที่เห็นว่าเหมาะสม
ในระยะแรกให้กำหนดอัตราการโอนเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปยังกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อสนับสนุนโครงการด้านการขน ส่ง สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพในระดับ 0 บาท/ ลิตร โดยขอให้ กพช. มอบอำนาจให้ประธานเป็นผู้พิจารณาปรับเพิ่มอัตราการโอนในอนาคตได้ถึง 0.50 บาท/ ลิตร ตามภาวการณ์ที่เห็นว่าเหมาะสม สำหรับการเพิ่มและปรับอัตราเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และการลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ จะต้องกระทำในวันเดียวกัน ทั้งนี้ ให้เริ่มดำเนินการเมื่อฐานะกองทุนน้ำมันฯ เป็นบวกแล้ว (ประมาณกลางเดือนธันวาคม 2550 ) และต้องมีการดำเนินการเพื่อออกประกาศ กพช. เพื่อกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของน้ำมัน เบนซิน แก๊สโซฮอล์ ดีเซล และไบโอดีเซล บี 5 เป็น 0.7500, 0.2500, 0.7500 และ 0.2500 บาท/ ลิตร ตามลำดับ และประกาศ กบง. เพื่อปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ
7.2 เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 4 (4) และมาตรา 28 (1) ของพระราชบัญญัติการส่งเสริม การอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2535 ควรมอบหมายให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานรับไปจัดทำ แนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนในการสนับสนุนโครงการด้าน ระบบขนส่ง และนำเสนอ กพช. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้ปรับโอนอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้แก่กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เมื่อฐานะกองทุนน้ำมันเป็นบวก ดังนี้
การปรับอัตรากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (บาท/ลิตร)
โอนให้กองทุนอนุรักษ์พลังงานเพื่อสนับสนุนแผนงานปรกติ | โอนให้กองทุนอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการขนส่งฯ | เพื่อลดราคา ขายปลีกน้ำมัน | |
เบนซิน 95 | 0.1800 | 0.5000 | 0.5000 |
เบนซิน 91 | 0.1800 | 0.5000 | 0.5000 |
แก๊สโซฮอล์ 95 | 0.1870 | 0 - 0.5000 | 0.5000 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 0.1870 | 0 - 0.5000 | 0.5000 |
ดีเซล | 0.1800 | 0.5000 | 0.5000 |
ไบโอดีเซล บี 5 | 0.1835 | 0 - 0.5000 | 0.5000 |
โดยในระยะแรกให้โอนอัตรากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซล ไปยังกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่งใน ระดับ 0 บาท/ลิตร และมอบอำนาจให้ประธาน กพช. เป็นผู้พิจารณาปรับเพิ่มการโอนอัตรากองทุนของน้ำมันแก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซล ในอนาคตสูงขึ้นได้ถึง 0.50 บาท/ลิตร ตามภาวการณ์ที่เห็นว่าเหมาะสม
ทั้งนี้ ให้ปรับเพิ่มการโอนอัตรากองทุนน้ำมันฯ ไปยังกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่ง เป็น 0.70 บาท/ลิตร เมื่อกองทุนน้ำมันฯ ได้สะสมเงินไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในภาวะฉุกเฉินและเพื่อแก้ไขและป้องกัน ภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงได้เพียงพอแล้ว โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงานรับไปพิจารณาปริมาณเงินกองทุนน้ำมันฯ ที่เหมาะสมต่อไป
2.มอบหมายให้ สนพ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ รับไปดำเนินการออกประกาศ กพช. และนำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้สอดคล้องกับมติ กพช. ตามข้อ 1 โดยให้กระทำในวันเดียวกัน ดังนี้
- 2.1 ประกาศ กพช. เพื่อกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของน้ำมัน เบนซิน แก๊สโซฮอล์ ดีเซล และไบโอดีเซล บี 5 เป็น 0.7500, 0.2500, 0.7500 และ 0.2500 บาท/ ลิตร ตามลำดับ
- 2.2 ประกาศ กบง. เพื่อปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 เบนซิน 91 แก๊สโซฮอล์ 95 แก๊สโซฮอล์ 91 ดีเซล และไบโอดีเซล บี 5
3.มอบหมายให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานรับไป จัดทำแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนในการสนับสนุนโครงการด้าน ระบบขนส่ง เพื่อนำเสนอ กพช. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้ยกร่างปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ซึ่งผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาแล้วเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 โดยปัจจุบัน (กันยายน 2550) อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อทูลเกล้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ลงพระปรมาภิไธย และจากการแก้ไขพระราชบัญญัติดังกล่าวจำเป็นต้องดำเนินการปรับปรุงกฎหมาย ลำดับรองที่ออกตามมาด้วย พพ. จึงได้เตรียมศึกษา วิเคราะห์ และยกร่างกฎหมายลำดับรอง โดยดำเนินการรวบรวมปัญหา อุปสรรค พร้อมข้อเสนอแนะ และได้จัดให้มีการสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นในการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย ดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2550 รวมทั้งได้นำเสนอคณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายกระทรวงพลังงาน พิจารณา ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้ให้ความเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการจัดการพลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม พ.ศ. .... แล้ว เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2550
2. ตามมาตรา 9 และมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 กำหนดให้เจ้าของโรงงานควบคุมและเจ้าของอาคารควบคุมต้องอนุรักษ์พลังงาน โดยตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานในโรงงาน หรืออาคารของตนให้เป็นไปตามมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งในส่วนของการอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุม ได้มีการออกกฎกระทรวงเรียบร้อยแล้ว แต่ค่ามาตรฐานบังคับสำหรับอาคารควบคุมที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง มีปัญหาในการบังคับใช้กับอาคารที่ก่อสร้างตามแบบเดิม ซึ่งมิได้ออกแบบเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จึงทำให้ค่าการใช้พลังงานสูงกว่าค่ามาตรฐาน ดังนั้นอาคารเก่าจึงควรใช้การจัดการพลังงานแทนการกำหนดมาตรฐาน การใช้พลังงาน และสำหรับโรงงานควบคุมยังไม่มีการกำหนดค่ามาตรฐานการใช้พลังงานเนื่อง จากกระทำได้ยาก เพราะการใช้พลังงานของภาคอุตสาหกรรมแต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน ซึ่งแนวทางที่จะสามารถดำเนินการได้ คือ การดำเนินการด้านจัดการพลังงาน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ไม่ได้กำหนดมาตรการด้านการจัดการพลังงานของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมไว้ ดังนั้นกระทรวงพลังงานจึงได้ปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติฯ ให้สามารถดำเนินการได้
3. การยกร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการจัดการพลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม พ.ศ. .... มีเหตุผลและความจำเป็น คือ เพื่อให้เจ้าของโรงงานควบคุมและเจ้าของอาคารควบคุมมีแนวทางการปฏิบัติที่ ชัดเจนในเรื่องของการจัดการพลังงาน และเพื่อให้มีข้อมูลที่ใช้เป็นฐานในการประเมินประสิทธิภาพของการจัดการ พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม รวมทั้ง กำหนดให้เจ้าของโรงงานควบคุมและเจ้าของอาคารควบคุมต้องดำเนินการเพื่อให้ เกิดประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน
4. สาระสำคัญในการจัดทำร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการจัดการพลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม พ.ศ. .... ประกอบด้วย 1 ) การกำหนดคำนิยามต่างๆ ที่ใช้ในกฎกระทรวงฯ เช่น โรงงานควบคุม อาคารควบคุม เจ้าของโรงงานควบคุม เจ้าของอาคารควบคุม และผู้ตรวจสอบพลังงาน 2 ) กำหนดหน้าที่ให้เจ้าของโรงงานควบคุม และเจ้าของอาคารควบคุมดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน โดยการจัดการพลังงาน ทั้งนี้ โดยมีวิธีการ รูปแบบ และขั้นตอนการดำเนินการจัดการพลังงานเป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด 4 ) ในการดำเนินการจัดการพลังงานให้เจ้าของโรงงานควบคุมและเจ้าของอาคารควบคุม ส่งรายงานผลการตรวจสอบ และรับรองการจัดพลังงานให้แก่อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ภายในเดือนมีนาคมของทุกปี ตามแบบและวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการจัดการพลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม พ.ศ. .... (ตามเอกสารประกอบวาระที่ 3.3.2)
2.มอบหมายให้กระทรวงพลังงานนำร่างกฎกระทรวงฯ ที่ได้รับความเห็นชอบ ตามข้อ 1 เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่างต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เพื่อส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์พลังงานในเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน รวมทั้งส่งเสริมให้มีการผลิตและจำหน่ายเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานในท้องตลาดให้เพิ่ม ขึ้น พพ. จึงได้จัดทำร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ออกตามความในพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 จำนวน 6 ฉบับ โดยว่าจ้างมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นที่ปรึกษาดำเนินการประกอบด้วย 1) ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องปรับอากาศประสิทธิภาพสูง 2) ร่างกฎกระทรวงกำหนดตู้เย็นประสิทธิภาพสูง 3) ร่างกฎกระทรวงกำหนดพัดลมไฟฟ้ากระแสสลับชนิดตั้งโต๊ะและติดผนัง และชนิดตั้งพื้นประสิทธิภาพสูง 4) ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง 5) ร่างกฎกระทรวงกำหนดหม้อหุงข้าวไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง 6) ร่างกฎกระทรวงกำหนดกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ พพ. ยังได้ดำเนินการทบทวนและจัดทำร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่ง พพ. ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยมหิดลและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี พระจอมเกล้าธนบุรีเป็นที่ปรึกษาดำเนินการในปีงบประมาณ 2548 อีกจำนวน 2 ฉบับ คือ ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องทำน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศประสิทธิภาพสูง และร่างกฎกระทรวงกำหนดกระจกเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
2. ต่อมา พพ. ได้เวียนร่างกฎกระทรวงฯ จำนวน 8 ฉบับ ดังกล่าว เพื่อขอความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการด้านมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2550 และได้นำร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว พร้อมบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบร่างกฎกระทรวงฯ เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงกฎหมายกระทรวงพลังงาน พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2550
3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 8 ฉบับ ดังกล่าว มีสาระสำคัญดังนี้ 1) กำหนดนิยามต่างๆ ที่ใช้ในกฎกระทรวง ได้แก่ เครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานแต่ละ ประเภทตามชื่อของกฎกระทรวง ค่าอัตราส่วนประสิทธิภาพพลังงาน ผู้ผลิต และผู้จำหน่าย เป็นต้น 2) กำหนดค่าอัตราส่วนประสิทธิภาพของเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน และให้อำนาจรัฐมนตรีในการทบทวนการประกาศกำหนดค่าประสิทธิภาพพลังงานอย่าง น้อยทุกห้าปี โดยคำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจ นโยบายด้านพลังงานของรัฐบาล ความพร้อมของการผลิตและจำหน่ายแต่ละผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ผลิตและผู้จำหน่าย 3) กำหนดสูตรการคำนวณหาค่าอัตราส่วนประสิทธิภาพพลังงานของเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน 4) ให้การทดสอบ หาค่าประสิทธิภาพพลังงานของเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ต้องกระทำโดยหน่วยงานที่อธิบดีประกาศกำหนด 5) ให้มาตรฐานและวิธีการทดสอบหาค่าประสิทธิภาพพลังงานของเครื่องจักรอุปกรณ์ ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน เป็นไปตามที่อธิบดีประกาศกำหนด
4. การกำหนดค่าอัตราส่วนประสิทธิภาพพลังงานที่กำหนดไว้ในร่างกฎกระทรวง จำนวน 8 ฉบับ ดังกล่าว เป็นดังนี้
4 .1 ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องปรับอากาศประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... กำหนดค่าอัตราส่วนประสิทธิภาพพลังงานตามขนาดของเครื่องปรับอากาศ คือ ขนาดน้อยกว่า 8,000 วัตต์ และ ขนาดตั้งแต่ 8,000 ถึงไม่เกิน 12,000 วัตต์ มีค่าอัตราส่วนประสิทธิภาพพลังงาน 3.22 - 4.10 (วัตต์ต่อวัตต์) และกรณีเครื่องปรับอากาศประเภทที่แตกต่างจากที่กำหนดให้คณะอนุกรรมการด้าน มาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน ตามที่กระทรวงพลังงานแต่งตั้ง เป็นผู้เสนอค่าประสิทธิภาพพลังงานของเครื่องปรับอากาศต่อรัฐมนตรีเพื่อ พิจารณาประกาศกำหนด
4 .2 ร่างกฎกระทรวงกำหนดตู้เย็นประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... กำหนดค่าประสิทธิภาพพลังงานในรูปของไฟฟ้าที่ใช้ต่อปี ตามปริมาตรปรับเทียบของตู้เย็นดังนี้
(1 ) ตู้เย็น 1 ประตู แบบการขจัดฝ้าน้ำแข็งด้วยมือ และแบบการขจัดฝ้าน้ำแข็งกึ่งอัตโนมัติ
- AV มีค่าน้อยกว่า 100 ลูกบาศก์เดซิเมตร ใช้ไฟฟ้าต่อปี (0.68AV + 255) ถึง (0.60AV + 224) กิโลวัตต์-ชั่วโมง
- AV มีค่าตั้งแต่ 100 ลูกบาศก์เดซิเมตร ขึ้นไป ใช้ไฟฟ้าต่อปี(0.39AV + 145) ถึง (0.34AV + 128) กิโลวัตต์-ชั่วโมง
(2 ) ตู้เย็น 2 ประตูขึ้นไป แบบการขจัดฝ้าน้ำแข็งด้วยมือ แบบการขจัดฝ้าน้ำแข็งกึ่งอัตโนมัติ และแบบการขจัดฝ้าน้ำแข็งอัตโนมัติ
- AV มีค่าน้อยกว่า 450 ลูกบาศก์เดซิเมตร ใช้ไฟฟ้าต่อปี (0.39AV + 388) ถึง (0.34AV + 342) กิโลวัตต์-ชั่วโมง
- AV มีค่าตั้งแต่ 450 ลูกบาศก์เดซิเมตร ขึ้นไป ใช้ไฟฟ้าต่อปี (0.68AV + 388) ถึง (0.60AV + 342) กิโลวัตต์-ชั่วโมง
4 .3 ร่างกฎกระทรวงกำหนดพัดลมไฟฟ้ากระแสสลับชนิดตั้งโต๊ะและติดผนัง และชนิดตั้งพื้นประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... กำหนดค่าประสิทธิภาพพลังงานในรูปของค่าใช้งานของ พัดลมไฟฟ้ากระแสสลับชนิดตั้งโต๊ะและติดผนัง และชนิดตั้งพื้นโดย กำหนดตามขนาดของใบพัดดังนี้
(1 ) ชนิด ตั้งโต๊ะและติดผนัง และชนิดตั้งพื้น ขนาดใบพัด 300 มิลลิเมตร มีค่าใช้งาน ตั้งแต่ 1.01 ถึง 1.35 ลบ.ม. ต่อนาทีต่อวัตต์
(2 ) ชนิด ตั้งโต๊ะและติดผนัง และชนิดตั้งพื้น ขนาดใบพัด 400 มิลลิเมตร มีค่าใช้งาน ตั้งแต่ 1.21 ถึง 1.75 ลบ.ม.ต่อนาทีต่อวัตต์
4.4 ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องทำน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... กำหนดค่าประสิทธิภาพพลังงานตามขนาดความสามารถในการทำความเย็นที่ภาระเต็ม พิกัดของเครื่องทำน้ำเย็น สำหรับระบบปรับอากาศที่ระบุตามตารางดังต่อไปนี้
ประเภทของเครื่องทำน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศ | ขนาดความสามารถในการทำความเย็นที่ภาระเต็มพิกัด ของเครื่องทำน้ำเย็น สำหรับระบบปรับอากาศ(ตันความเย็น) | ค่าสมรรถนะ ของเครื่องทำน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศ (กิโลวัตต์ต่อตันความเย็น) | |||
ชนิดการระบายความร้อน | แบบของเครื่องอัด | ||||
ระบายความร้อนด้วยอากาศ | ทุกแบบ | ทุกขนาด | 1.12 - 0.95 | ||
ระบายความร้อนด้วยน้ำ | แบบลูกสูบ | ทุกขนาด | 0.88- 0.75 | ||
ระบายความร้อนด้วยน้ำ | แบบโรตารี แบบสกรู หรือแบบสครอลล์ | ทุกขนาด | 0.70 - 0.60 | ||
ระบายความร้อนด้วยน้ำ | แบบแรงเหวี่ยง | น้อยกว่า 300 | 0.67 - 0.54 | ||
ตั้งแต่ 300 ขึ้นไป | 0.61 - 0.50 |
4.5 ร่างกฎกระทรวงกำหนดกระจกเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. .... กำหนดค่าประสิทธิภาพพลังงานในรูปของค่าสัมประสิทธิ์การส่งผ่านความร้อน จากรังสีอาทิตย์ 0.55 - 0.30 และค่าการส่องผ่านของแสงธรรมชาติต่อค่าสัมประสิทธิ์การส่งผ่านความร้อน จากรังสีอาทิตย์ 1.20 - 1.60
4.6 ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... กำหนดค่าประสิทธิภาพพลังงานตามขนาดกำลังไฟฟ้าของเครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า โดยขนาดน้อยกว่า 4,000 วัตต์, ขนาดตั้งแต่ 4,000 ถึง 5,500 วัตต์, และขนาดมากกว่า 5,500 วัตต์ มีค่าประสิทธิภาพพลังงานร้อยละ 80 - 95
4.7 ร่างกฎกระทรวงกำหนดหม้อหุงข้าวไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... กำหนดค่าประสิทธิภาพการทำความร้อนตามขนาดกำลังไฟฟ้าของหม้อหุงข้าวไฟฟ้า โดยขนาด น้อยกว่า 400, ขนาดตั้งแต่ 400 ถึง 600, ขนาดมากกว่า 600 ถึง 800, และขนาดมากกว่า 800 วัตต์ มีค่าประสิทธิภาพ การทำความร้อน ร้อยละ 87 - 95
4.8 ร่างกฎกระทรวงกำหนดกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... กำหนดค่าประสิทธิภาพการทำความร้อนตามขนาดความจุของกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า โดยขนาดน้อยกว่า 2.4 ขนาด ตั้งแต่ 2.4 ถึง 3.0, และขนาดมากกว่า 3.0 ลูกบาศก์เดซิเมตรมีค่าประสิทธิภาพการทำความร้อน ร้อยละ 93 - 98
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 8 ฉบับ ตามเอกสารประกอบวาระที่ 3.4
2.มอบหมายให้กระทรวงพลังงานนำร่างกฎกระทรวงฯ จำนวน 8 ฉบับ ที่ได้รับความเห็นชอบ ตามข้อ 1 เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่างต่อไป
เรื่องที่ 5 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (มิถุนายน - 24 กันยายน 2550)
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยในเดือนกันยายน 2550 (1 - 24 กันยายน 2550) อยู่ที่ระดับ 72.56 และ 76.19 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 10.88 และ 8.57 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากในเดือนมิถุนายนเกิดก่อการร้ายในประเทศไนจีเรียบุกยึดสถานีสูบถ่าย น้ำมัน 2 แห่ง ได้แก่ สถานีของบริษัท Eni และสถานีของบริษัทเชฟรอน ส่งผลให้ต้องหยุดการผลิตน้ำมันดิบรวม 82,000 บาร์เรลต่อวัน และในเดือนกรกฎาคมบริษัทเชลล์ในไนจีเรียหยุดการผลิตน้ำมันดิบบริเวณ Western Delta ทำให้กำลังการผลิตลดลงรวม 475,000 บาร์เรลต่อวัน ประกอบกับรัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันของอิหร่านแถลงว่าโอเปคอาจจะไม่พิจารณาเพิ่ม การผลิตน้ำมันในการประชุมครั้งต่อไป นอกจากนี้ในเดือนกันยายน บริษัทน้ำมันหลายรายในบริเวณอ่าวเม็กซิโกได้อพยพคนงานออกจากแท่นขุดเจาะ น้ำมัน และมีรายงานจาก Energy Information Administration (EIA) ว่าอุปทานน้ำมันดิบอาจตึงตัวและไม่เพียงพอต่อความต้องการในฤดูหนาว ขณะเดียวกันปริมาณการผลิตน้ำมันนอกชายฝั่งสหรัฐอเมริกายังหยุดดำเนินการอยู่ ร้อยละ 63
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 เฉลี่ยเดือนกันยายน 2550 (1 - 24 กันยายน 2550)อยู่ที่ระดับ 81.77 และ 80.66 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวลดลงจากเดือนพฤษภาคม 6.91 และ 7.18 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากโรงกลั่น 6 แห่งในญี่ปุ่นมีแผนเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันเบนซินในเดือนกรกฎาคม 2550 ประกอบกับโรงกลั่นของสหรัฐอเมริกากลับมาดำเนินการหลังปิดฉุกเฉินและปิดซ่อม บำรุง อย่างไรก็ตาม ในเดือนกรกฎาคมราคาน้ำมันเบนซินได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากข่าว Oman Refinery Company ออกประมูลซื้อน้ำมันเบนซิน 95 ปริมาณ 183,000 บาร์เรล และจีนมีแผนลดการส่งออกน้ำมันเบนซินในเดือนสิงหาคม 2550 ลงประมาณ 50,000 ตัน แต่ราคาน้ำมันในเดือนสิงหาคมได้ปรับลดลงตามราคาน้ำมันดิบและสภาพอากาศที่ เย็นลง ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเบนซิน ในรถยนต์ของญี่ปุ่นลดลง นอกจากนี้ข่าวโรงกลั่นของปากีสถานปิดซ่อมบำรุง จึงงดส่งออกน้ำมันเบนซินออกเทน 90 ปริมาณ 85,000 - 170,000 บาร์เรลต่อเดือนตั้งแต่เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 และโรงกลั่น Onsan ของเกาหลีใต้ ปริมาณผลิต 240,000 บาร์เรลต่อวัน มีกำหนดปิดซ่อมบำรุงระหว่าง 8 - 29 ตุลาคม 2550 สำหรับราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยในเดือนกันยายน 2550 (1 - 24 กันยายน 2550) อยู่ที่ระดับ 90.18 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 8.50 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากมีความต้องการซื้อน้ำมันดีเซลกำมะถัน 0.05% ในภูมิภาคเพิ่มขึ้นจากเวียดนามซึ่งประกาศเปลี่ยนคุณภาพน้ำมันดีเซลสำหรับรถ ยนต์จากเดิมกำมะถัน 0.25% เป็น 0.05% เริ่มบังคับใช้ 1 กรกฎาคม 2550 และ Arbitrage Cargoes จากเอเชียไปขายยังชิลีและยุโรป ประกอบกับในเดือนกันยายนมีความต้องการใช้น้ำมันในประเทศอินเดียเพิ่มขึ้นใน ช่วงเทศกาล Ramadan
3. ในช่วงเดือนมิถุนายน - 24 กันยายน 2550 ได้มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันหลายครั้ง โดยล่าสุด ณ วันที่ 24 กันยายน 2550 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91 แก๊สโซฮอล์ 95, 91 ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็วบี 5 อยู่ที่ระดับ 29.99, 29.19, 26.49, 25.69, 27.34 และ 26.64 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. แนวโน้มราคาน้ำมันเดือนกันยายน 2550 คาดว่าราคาน้ำมันยังคงมีความผันผวน โดยราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 65 - 75 และ 70 - 80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 75 - 85 และ 80 - 90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากความต้องการใช้น้ำมันดีเซลที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงฤดู หนาวและสภาวะเศรษฐกิจที่อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมัน
5. สำหรับสถานการณ์ LPG พบว่าราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลก ณ วันที่ 24 กันยายน 2550 ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน อยู่ที่ระดับ 568 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามราคาน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซิน ประกอบกับความต้องการซื้อในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในธุรกิจปิโตรเคมี และ Platts คาดการณ์ความต้องการใช้ LPG เพื่อเป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในเอเชียเหนือจะทรงตัวในระดับ สูง ส่วนราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในเดือนกันยายนอยู่ในระดับ 10.9706 บาทต่อกิโลกรัม อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายในประเทศอยู่ที่ระดับ 0.9007 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็น 276.70 ล้านบาทต่อเดือน อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ส่งออก อยู่ที่ระดับ 4.3043 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็น 30.13 ล้านบาทต่อเดือน สำหรับการคาดการณ์ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนตุลาคม คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 575 - 583 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
6. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล์ เดือนสิงหาคม 2550 มีผู้ผลิตเอทานอลเพียง 6 ราย จากผู้ประกอบการจำนวน 8 ราย ปริมาณการผลิตและการจำหน่ายรวม 0.50 และ 0.42 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ โดยราคาเอทานอลแปลงสภาพในไตรมาสที่ 1, 2 และ 3 ปี 2550 อยู่ที่ลิตรละ 19.33, 18.62 และ 16.82 บาทตามลำดับ ส่วนไตรมาส 4 มีแนวโน้มลดลงอยู่ที่ลิตรละ 15.33 บาท ขณะที่ปริมาณเอทานอลสำรองของผู้ค้าน้ำมัน ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2550 อยู่ที่ 21.47 ล้านลิตร สำหรับปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ในเดือนมิถุนายน - 15 กันยายน 2550 มีปริมาณรวม 4.10, 4.08, 4.21 และ 4.39 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากบริษัทค้าน้ำมันที่จำหน่ายจำนวน 11 บริษัท และสถานีบริการ 3,557 แห่ง ขณะเดียวกันปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ในช่วงเวลาเดียวกัน มีปริมาณ 0.58, 0.61, 0.72 และ 0.80 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากบริษัทค้าน้ำมันที่จำหน่ายจำนวน 3 บริษัท และสถานีบริการ 687 แห่ง
7. สำหรับน้ำมันไบโอดีเซล เดือนสิงหาคม 2550 มีผู้ผลิตไบโอดีเซลที่ได้คุณภาพตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงานจำนวน 6 ราย กำลังการผลิตรวม 1,250,000 ลิตรต่อวัน และราคาไบโอดีเซลเฉลี่ยเดือนมิถุนายน - 15 กันยายน 2550 อยู่ที่ 30.95, 29.66, 29.43 และ 27.82 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 ในช่วงเวลาเดียวกัน จำนวน 1.50, 1.67, 1.85 และ 1.97 ล้านลิตรต่อวัน หรือใช้ไบโอดีเซล (B100 ) เฉลี่ย 75,000 83,500 92,500 และ 98,500 ลิตรต่อวัน ตามลำดับ โดยมีบริษัทที่จำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 จำนวน 2 ราย คือ ปตท. และบางจาก สถานีบริการรวม 770 สถานี ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 อยู่ที่ 26.64 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 0.70 บาทต่อลิตร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เท่ากับ 1.00 บาทต่อลิตร
8. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 18 กันยายน 2550 มีเงินสดสุทธิ 16,985 ล้านบาท หนี้สินค้างชำระ 27,417 ล้านบาท แยกเป็นหนี้พันธบัตร 17,600 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยตรึงราคาน้ำมันค้างชำระ 990 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 8,066 ล้านบาท ภาระดอกเบี้ย (ดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 2 และ 3 ปี) 761 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 10, 432 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมฯ รับทราบ
เรื่องที่ 6 การทบทวนหลักเกณฑ์นโยบายราคาก๊าซธรรมชาติและการกำกับดูแล
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 เห็นชอบแนวทางการกำกับดูแลการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติและอัตราค่าผ่านท่อ และกำหนดให้มีการกำกับดูแลโดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ต่อมาเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2544 กพช. ได้ออกประกาศ ฉบับที่ 1/2544 เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติและอัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติ สำหรับระบบท่อตามแผนแม่บทท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ฉบับที่ 3 และระบบท่อปัจจุบัน (ตามแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ฉบับที่ 1 และ 2) ที่มีการประเมินสินทรัพย์ใหม่หลังหมดอายุ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ มีความชัดเจน โปร่งใส และสร้างความเสมอภาคแก่ผู้ใช้รายต่างๆ รวมทั้งสร้างความมั่นใจให้กับผู้จำหน่าย ผู้ใช้ ตลอดจนสร้างแรงจูงใจให้กับผู้ดำเนินกิจการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ และภาคเอกชนอื่นๆ ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในกิจการส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อในระยะยาว
2. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2550 ได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เรื่อง แผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติของประเทศไทยในระยะยาว และแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2544 - 2554 (ปรับปรุงเพิ่มเติม) ซึ่งภายใต้มติดังกล่าวได้รวมถึงความเห็นชอบในหลักการการคิดค่าบริการสถานี LNG ซึ่งประกอบด้วย การให้บริการรับเรือนำเข้า LNG ขนถ่าย เก็บรักษา และแปลงสภาพจากของเหลวเป็นก๊าซ และขนส่งเข้าระบบท่อฯ ของ ปตท. เป็นส่วนหนึ่งของราคา LNG
3. สำหรับการซื้อขายก๊าซธรรมชาติในปัจจุบัน แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ 1) สัญญาระยะยาวที่มีความแน่นอน (Firm) ซึ่งมีการตกลงปริมาณการซื้อขายที่ชัดเจน และผู้ใช้ก๊าซฯ ไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงชนิดอื่นได้ง่าย และ 2) สัญญาที่ไม่แน่นอน (Non-Firm) เป็นสัญญาซื้อขายก๊าซฯ ที่ปริมาณการซื้อขายสามารถเปลี่ยนแปลงได้และผู้ใช้มีทางเลือกในการใช้เชื้อ เพลิงอื่นแทนก๊าซธรรมชาติได้ ทั้งนี้ โดยได้มีการแยกบทบาทของ ปตท. เป็น 2 ส่วน คือ บทบาทในฐานะของผู้ดำเนินกิจการขนส่งก๊าซฯ และบทบาทในฐานะของผู้ดำเนินกิจการจัดหาและจำหน่ายก๊าซฯ โดยมีโครงสร้างราคาก๊าซฯ = ราคาซื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจากผู้รับสัมปทาน/นำเข้า + ค่าจัดหาและจำหน่าย (ให้เป็นบทบาทของธุรกิจการจัดหาและการจำหน่าย) + ค่าบริการส่งก๊าซฯ (ให้เป็นบทบาทของธุรกิจการขนส่ง)
4. เนื่องจากปัจจุบันสภาพเศรษฐกิจและสังคมได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ประกอบกับ ปตท. ได้เปลี่ยนแปลงสถานะจากรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทมหาชน โดยยังคงเป็นผู้จัดหาและจำหน่ายก๊าซฯ และผู้ขนส่งก๊าซฯ และยังอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ ทั้งในด้านกฎเกณฑ์การกำหนดราคาก๊าซฯ และค่าบริการส่งก๊าซฯ จึงควรมีการทบทวนและปรับปรุงนโยบายราคาก๊าซฯ และอัตราค่าบริการส่งก๊าซฯ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
5. เนื่องจากแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติของประเทศไทยในระยะยาวได้มีการกำหนดให้มี แผนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และประกาศ กพช. เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2544 ได้มีข้อกำหนดให้มีการนำ LNG เข้ามาเฉลี่ยรวมใน POOL 3 ประกอบกับในปัจจุบันยังไม่มีการกำกับดูแลอัตราค่าบริการสถานี LNG รวมทั้งยังไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณค่าบริการสถานี LNG ทั้งนี้ โครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ควรประกอบไปด้วยราคาก๊าซธรรมชาติเหลวที่เป็นราคาเจรจาระหว่างผู้ซื้อและผู้ ขาย ค่าใช้จ่ายในการนำเข้าและขนส่งเพื่อนำเข้า LNG และค่าบริการสถานี โดยมีสูตรดังต่อไปนี้
PLNG = ราคาเนื้อ LNG + ค่าบริการสถานี (LNG Terminal Tariff)
โดยกำหนดให้
ราคาเนื้อ LNG = ราคานำเข้า LNG ตามหลักการ First In First Out (FIFO) + ค่าใช้จ่ายในการนำเข้าและขนส่ง LNG
6. สนพ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นควรให้มีการกำหนด POOL ก๊าซธรรมชาติใหม่ โดยกำหนดให้ POOL 1 ยังคงเดิม แต่ให้รวม POOL 2 และ POOL 3 เป็น POOL เดียวกัน (โดยกำหนดให้เป็น POOL 2) ทั้งนี้ ราคาเฉลี่ยของเนื้อก๊าซธรรมชาติที่ ปตท. รับซื้อจากรับสัมปทาน/ นำเข้าจะเหลือเพียงสอง POOL
7. อัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติในปัจจุบัน แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1) Demand Charge ซึ่งคำนวณจากค่าใช้จ่ายการให้บริการที่คงที่ของระบบท่อส่งก๊าซฯ และ 2) Commodity Charge ซึ่งคำนวณจากค่าใช้จ่ายการให้บริการส่วนผันแปรของระบบท่อส่งก๊าซฯ โดยในส่วนของ Demand Charge ได้มีการกำหนดพื้นที่ในการคำนวณหาอัตราค่าบริการส่งก๊าซฯ โดยแบ่งออกเป็นสาม Zone คือ ระบบท่อส่งก๊าซฯ นอกชายฝั่งที่ระยอง ระบบท่อส่งก๊าซฯ นอกชายฝั่งที่ขนอม และระบบท่อส่งก๊าซฯ บนฝั่ง ตามลำดับ
8. จากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ตลอดจนสถานการณ์และนโยบายของรัฐเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติ ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 5 - 6 ปีที่ผ่านมา ทำให้ข้อกำหนดภายใต้หลักเกณฑ์การคำนวณค่าบริการส่งก๊าซฯ ไม่สะท้อนสภาพเศรษฐกิจและสถานการณ์ในปัจจุบัน ดังนั้น สนพ. จึงได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเห็นว่าข้อกำหนดภายใต้ หลักเกณฑ์การกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติ และอัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติตามประกาศ กพช. ฉบับที่ 1/2544 ที่ควรปรับปรุง เป็นดังนี้
8.1 อัตราผลตอบแทนการลงทุนที่แท้จริงในส่วนของทุน (IRR on Equity) ซึ่งถูกกำหนดไว้ที่ร้อยละ 16 อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง และเสนอให้ปรับลดลงจาก ร้อยละ16 เป็นร้อยละ13.5 โดยพิจารณาจากค่าเฉลี่ยผลตอบแทนการลงทุนในส่วนของกิจการสาธารณูปโภคประเภท เดียวกัน
8.2 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาว ซึ่งถูกกำหนดไว้ที่ร้อยละ 10.5 ตามประกาศ กพช. ฉบับที่ 1/2544 อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน โดยเสนอให้ปรับอัตราดอกเบี้ยระยะยาวจากเดิมร้อยละ 10.5 เป็นร้อยละ 7
8.3 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน ที่ถูกกำหนดไว้ที่ระดับ 75:25 อยู่ในระดับที่สูง และเสนอให้ปรับสัดส่วนหนี้สินต่อทุนที่เหมาะสมอยู่ที่ระดับ 60:40 โดยเห็นว่ากิจการก่อสร้างก๊าซธรรมชาติเป็นกิจการผูกขาดมีความเสี่ยงในการทำ ธุรกิจน้อย และในปี 2549 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของ ปตท. อยู่ในระดับ 53:47
8.4 ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดภายใต้หลักเกณฑ์การคำนวณอัตราค่าผ่านท่อ ก๊าซธรรมชาติ จะทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติปรับขึ้น 2.2510 บาทต่อล้านบีทียู และเห็นควรให้มีการทยอยปรับอัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติขึ้นแบบขั้นบันได ทุกปีเพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงโดยมีกำหนดระยะเวลา 5 ปี โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.50 บาทต่อล้านบีทียูต่อปี
9. ในการกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมสงขลา ของ กฟผ. (โรงไฟฟ้าจะนะ) ควรให้มีการกำกับดูแลท่อส่งก๊าซธรรมชาติดังกล่าว และกำหนดให้เงินลงทุนระบบท่อดังกล่าวเข้ามารวมอยู่ในแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซ ธรรมชาติ ฉบับที่ 3 โดยให้โครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ ประกอบด้วย
9.1 ราคาเฉลี่ยของเนื้อก๊าซธรรมชาติและค่าตอบแทนในการจัดหาและจำหน่ายก๊าซ ธรรมชาติ ให้เป็นไปตามโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยให้ใช้ราคาเฉลี่ยของเนื้อก๊าซธรรมชาติ POOL 2 และให้ค่าตอบแทนในการจัดหาและจำหน่ายก๊าซธรรมชาติในอัตราร้อยละ 1.75 ของราคาเฉลี่ยของเนื้อก๊าซธรรมชาติ POOL 2
9.2 อัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติให้ใช้ข้อกำหนดใหม่ตามที่ได้มีการพิจารณา และให้ค่าบริการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อของ TTM เป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการคำนวณค่าบริการ (โดย ปตท. ไม่ต้องรับภาระความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน)
10. ข้อเสนอการกำกับดูแลโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติไปยังโรงไฟฟ้าน้ำพอง โดยในส่วนของการคำนวณอัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน นั้นให้ใช้หลักเกณฑ์ตามเดิม แต่ในส่วนของเงินลงทุนเพิ่มเติมในโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติไปยังโรงไฟฟ้า น้ำพองนั้นให้ใช้หลักเกณฑ์ตามหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราค่าบริการส่งก๊าซ ธรรมชาติใหม่ที่ได้มีการพิจารณา โดยในส่วนของราคาเฉลี่ยของเนื้อก๊าซธรรมชาติจะเป็นไปตามที่ ปตท. รับซื้อจากผู้รับสัมปทาน และให้ค่าตอบแทนในการจัดหาและจำหน่ายเป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามข้อกำหนด
11. ควรมีการกำหนดพื้นที่ (Zone) ในการคำนวณอัตราค่าบริการส่วนที่เป็น Demand Charge เพิ่มเติมจากสาม Zone เป็น ห้า Zone โดยเพิ่มระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติไปยังโรงไฟฟ้าจะนะเป็น Zone 4 และระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติไปยังโรงไฟฟ้าน้ำพองเป็น Zone 5
12. ข้อเสนอการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ (NGV)
12.1 การกำหนดราคาก๊าซ NGV เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2545 โดยกำหนดราคาจำหน่าย NGV ในปี 2550, 2551 และ 2552 เป็นต้นไป เท่ากับ 55%, 60% และ 65% ของราคาน้ำมันเบนซิน 91 ตามลำดับ และกำหนดเพดานราคาขายปลีก NGV ที่ 10.34 บาท/กิโลกรัม ทั้งนี้ ปัจจุบัน ปตท. ได้กำหนดราคาขายปลีกก๊าซ NGV ณ สถานีบริการเท่ากับ 8.50 บาท/กิโลกรัม (สำหรับสถานีบริการ NGV ที่อยู่ในรัศมี 50 กิโลเมตร จากสถานีแม่) เพื่อให้แข่งขันได้กับราคาก๊าซ LPG
12.2 เนื่องจากข้อกำหนดตามมติ ครม. ตามข้อ 12.1 ทำให้ ปตท. ไม่สามารถกำหนดราคาขายปลีก NGV ให้สะท้อนกับต้นทุนที่แท้จริงได้ โดยที่ต้นทุนราคาก๊าซ NGV และราคาจำหน่าย NGV จะขึ้นอยู่กับต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติ ดังนั้น ปตท. จึงได้เสนอให้ปรับหลักเกณฑ์การกำหนดราคาก๊าซ NGV โดยให้ใช้ราคาก๊าซธรรมชาติ POOL 1 บวกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
12.3 สนพ. ได้พิจารณาแล้ว เห็นด้วยในหลักการที่ให้มีการปรับราคา NGV เพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง แต่ขอเสนอให้ใช้ราคาก๊าซธรรมชาติ POOL 2 แทน เนื่องจากการใช้ราคา POOL 1 ตามข้อเสนอของ ปตท. จะทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติที่ขายให้ผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติรายอื่นๆ สูงขึ้น อันเนื่องมาจากปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการคำนวณ POOL 2 จะลดลง และภาระต่อผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติรายอื่น โดยเฉพาะในส่วนของผู้ผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจะถูกส่งผ่านไปยังผู้ใช้ไฟฟ้า จึงเปรียบเสมือนเป็นการผลักภาระไปยังผู้ใช้ไฟฟ้า และเพื่อมิให้ราคา NGV ปรับสูงขึ้นจากเดิมในทันที อันจะส่งผลกระทบต่อแผนการขยายการใช้ NGV จึงเห็นควรให้มีการปรับราคา NGV ขึ้นแบบขั้นบันไดเพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงทุกปีโดยกำหนดระยะเวลา 4 ปี
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเฉลี่ยของเนื้อก๊าซธรรมชาติ ที่ ปตท. รับซื้อจากผู้ผลิตและ/ หรือผู้ขาย (POOL Price) เป็น 2 กลุ่ม (POOL) โดยให้ POOL 1 ยังคงเดิม แต่ให้รวม POOL 2 และ POOL 3 เป็น POOL เดียวกัน
2.เห็นชอบในหลักการการกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ตามข้อ 5 โดยมอบหมายให้ ปตท. นำเสนอผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงสร้างค่าบริการสถานี LNG ต่อ สนพ. เพื่อนำเสนอ กพช. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
3.เห็นชอบในหลักการการกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมสงขลาของ กฟผ. (โรงไฟฟ้าจะนะ) ตามข้อ 9
4.เห็นชอบในหลักการการกำกับดูแลโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติไปยังโรงไฟฟ้าน้ำพอง ตามข้อ 10
5.เห็นชอบให้มีการกำหนดพื้นที่ (Zone) ในการคำนวณอัตราค่าบริการส่วนที่เป็น Demand Charge เพิ่มเติมจากเดิมสาม Zone เป็นห้า Zone ตามข้อ 11
6.เห็นชอบให้ใช้หลักการในการกำหนดราคา NGV ตามต้นทุน โดยให้ใช้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติ ณ ราคาเฉลี่ย Pool 2 ในการคำนวณราคาตามโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ NGV ซึ่งประกอบไปด้วย ต้นทุนราคาก๊าซฯ Pool 2 ค่าผ่านท่อ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปจัดทำรายละเอียดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ เพื่อนำเสนอ กพช. พิจารณาให้ความเห็นชอบในครั้งต่อไป
7.มอบหมายให้ สนพ. รับไปพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติและการ กำกับดูแลอีกครั้งตามความเห็นของที่ประชุม พร้อมทั้งจัดทำร่างประกาศ กพช. ฉบับที่ ../2550 เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติและอัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำเสนอ กพช. พิจารณาในครั้งต่อไป
- กพช. ครั้งที่ 115 - วันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2550 (1703 Downloads)