มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2561 (ครั้งที่ 48)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม 2561 เวลา 09.30 น.
1. สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
2. กลไกการบริหารนโยบายพลังงาน โดยคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
5. บันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2561
6. การใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบริหารจัดการราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(นายศิริ จิระพงษ์พันธ์)
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายทวารัฐ สูตะบุตร)
เรื่องที่ 1 สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
สรุปสาระสำคัญ
เจ้าหน้าที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ได้สรุปภาพรวมของสถานการณ์ราคาพลังงานในปี 2017 และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2018 ดังนี้ (1) ราคาน้ำมันดิบ ในช่วงปี 2017 มีความผันผวนจากปัจจัยต่างๆ โดยปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง เช่น ประเทศสหรัฐฯ เพิ่มปริมาณการสำรองน้ำมันดิบ และค่าเงินสหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้น ส่วนปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มโอเปคได้ปรับลดและขยายระยะเวลาในการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ เป็นต้น ส่วนราคาน้ำมันดิบในปี 2018 ยังคงมีความผันผวน โดยในช่วงต้นปีราคาน้ำมันดิบมีทิศทางปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอยู่ในช่วง 66 – 69 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และคาดว่าจะขึ้นถึง 70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากเหตุความไม่สงบภายในประเทศลิเบียและประเทศอิหร่าน แหล่งผลิตน้ำมันดิบในประเทศสหรัฐฯ เกิดเหตุขัดข้องทำให้มีน้ำมันดิบรั่วไหล ปริมาณน้ำมันดิบสำรองของประเทศสหรัฐฯ ต่ำที่สุดในรอบ 2 ปี และสภาพอากาศของประเทศสหรัฐฯ หนาวเย็นกว่าที่คาดการณ์ (2) ราคาก๊าซ LPG ในช่วงปี 2017 มีความผันผวนตามราคาน้ำมันดิบ และมีปัจจัยสนับสนุนจากความหนาวเย็นของประเทศสหรัฐฯ และปริมาณความต้องการของประเทศจีนที่เพิ่มขึ้น โดยราคาก๊าซ LPG (ราคา CP (Contract Price)) ในเดือนมกราคม 2018 ยังทรงตัวอยู่ที่ 580 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เท่ากับเดือนธันวาคม 2017 แต่ในภาพรวมคาดการณ์ว่าราคาก๊าซ LPG ในปี 2018 ยังคงมีความผันผวนตามราคาน้ำมันดิบ (3) ราคาก๊าซ LNG ในช่วงปี 2017 มีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณความต้องการของประเทศญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ และอินเดีย เพิ่มขึ้นและปริมาณการผลิตก๊าซ LNG จากโครงการกอร์กอนของประเทศออสเตรเลียผลิตลดลง ส่วนราคาก๊าซ LNG ในปี 2018 ยังมีทิศทางที่จะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากความต้องการโดยรวมเพิ่มมากขึ้น และประเทศจีนใช้ LNG ในการผลิตไฟฟ้าแทนถ่านหินเพิ่มขึ้น และ (4) ราคาถ่านหินในช่วงปี 2017 ค่อนข้างมีความผันผวน และในปี 2018 คาดการณ์ว่าราคาถ่านหินจะมีทิศทางปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากปริมาณความต้องการของประเทศอินเดียเพิ่มขึ้น ประเทศเกาหลีใต้มีการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเพิ่มขึ้น และประเทศจีนเพิ่มปริมาณการสำรองถ่านหินสำหรับช่วงเทศกาลตรุษจีน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 กลไกการบริหารนโยบายพลังงาน โดยคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) แต่งตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ มีรัฐมนตรีและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการและมีสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่เสนอแนะนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนาพลังงานของประเทศต่อคณะรัฐมนตรี ต่อมาในปี 2545 กพช. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ขึ้นเพื่อช่วยปฏิบัติงาน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธานกรรมการ มีหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ และมีผู้อำนวยการ สนพ. เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่การเสนอแนะนโยบาย แผนการบริหารและพัฒนามาตรการทางด้านพลังงาน บริหารกองทุนน้ำมันฯ กำหนดราคาและอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ตามกรอบและแนวทางที่ กพช. มอบหมาย รวมทั้งเสนอความเห็นต่อ กพช. เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และปฏิบัติงานอื่นๆ ตามที่ กพช. หรือประธาน กพช. มอบหมาย ต่อมาเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้ามาบริหารประเทศ และได้แต่งตั้ง กบง. ขึ้นใหม่ โดยมีรองหัวหน้า คสช. เป็นประธานกรรมการ ส่วนองค์ประกอบกรรมการอื่นและอำนาจหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง ต่อมาในเดือนสิงหาคม 2557 ได้มีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นเพื่อบริหารประเทศ และหัวหน้า คสช. มีนโยบายให้คณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นโดยคำสั่งของ คสช. บางคณะ ซึ่งในส่วนของกระทรวงพลังงานประกอบด้วย กพช. กบง. และคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ยังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไป สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงยกร่างกฎหมายเพื่อยกสถานะคำสั่ง คสช. ขึ้นเป็นพระราชบัญญัติการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการที่แต่งตั้งตามประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับ พ.ศ. 2558 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2558 และต่อมาหัวหน้า คสช. ได้มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงตำแหน่งประธาน กบง. จากรองหัวหน้า คสช. เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยองค์ประกอบกรรมการอื่นและอำนาจหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง โดยกลไกการบริหารนโยบายพลังงานของ กบง. ประกอบด้วย การบริหารนโยบายพลังงานตามที่ กพช. มอบหมาย และการพิจารณานโยบายพลังงานใหม่ตามอำนาจหน้าที่ของ กบง. นอกจากนี้ กบง. สามารถแต่งตั้งคณะอนุกรรมการช่วยปฏิบัติงานตามความจำเป็น ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 13 คณะ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
การดำเนินงานตามแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2558 – 2579 (Oil Plan 2015) ไตรมาสที่ 3 ถึง 4 ปี 2560 สรุปสถานะความก้าวหน้าการดำเนินงานได้ดังนี้ (1) มาตรการบริหารจัดการชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสม มีความก้าวหน้า ประกอบด้วย 1) การบริหารจัดการชนิดของเชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้ใช้ต่างๆ (NGV) โดยให้จัดตั้งศูนย์พักรถขนส่งสินค้าพร้อมสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ (NGV Terminal Hub) ผลดำเนินงานคือได้มีการเปิดสถานีบริการก๊าซ NGV แล้ว จำนวน 1 สถานี คือ สถานีสมาคมขนส่งทางบก อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 2 สถานี 2) การบริหารจัดการชนิดของเชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้ใช้ต่างๆ (NGV) โดยสนับสนุนให้มีสถานีบริการก๊าซธรรมชาติเฉพาะตามแนวท่อก๊าซ ผลการดำเนินงานคือ ได้มีการเปิดให้บริการสถานีบริการก๊าซธรรมชาติเฉพาะตามแนวท่อก๊าซ จำนวน 1 สถานี (สยามเบสท์ จังหวัดชลบุรี) และก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยอยู่ระหว่างทดสอบระบบความปลอดภัย จำนวน 1 สถานี (จังหวัดปทุมธานี) (2) มาตรการสนับสนุนการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันเชื้อเพลิง ประกอบด้วย 1) สนับสนุนระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพโดยการพัฒนาระบบขนส่งน้ำมันทางท่อ มีความคืบหน้าดังนี้ สายเหนือ ระบบขนส่งน้ำมันทางท่อ บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด (FPT) ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างแล้ว ส่วนคลังน้ำมัน ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างคลังน้ำมันทั้ง 2 แห่งแล้ว (จังหวัดพิจิตร และจังหวัดลำปาง) สายตะวันออกเฉียงเหนือ บริษัท ไทย ไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (TPN) อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) รวมทั้งได้ดำเนินการจัดกิจกรรมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 1 เสร็จแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการนำข้อมูลที่ได้รับจากการจัดกิจกรรมฯ มาศึกษาผลกระทบในด้านต่างๆ ในพื้นที่โครงการ 2) การสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ โดยเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2560 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ได้อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2561 จำนวน 12,724,012 บาท ให้ ธพ. ดำเนินโครงการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ ระยะเวลาดำเนินโครงการ 9 เดือน ปัจจุบัน ธพ. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณากำหนดขอบเขตและรายละเอียด (TOR) และทบทวนรายละเอียดให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. สถานการณ์ก๊าซ LPG ในเดือนมกราคม 2561 สรุปได้ดังนี้ (1) ปริมาณการผลิตภายในประเทศอยู่ที่ประมาณ 535,827 ตัน ความต้องการใช้ภายในประเทศอยู่ที่ประมาณ 541,215 ตัน ทำให้มีส่วนที่ขาดอยู่ประมาณ 27,613 ตัน ซึ่งจะถูกชดเชยด้วยการนำเข้า โดยมีปริมาณการนำเข้าอยู่ที่ประมาณ 36,500 ตัน โดยในจำนวนนี้เป็นการนำเข้ามาเพื่อการส่งออก (re – export) จำนวน 3,500 ตัน และในเดือนมกราคม 2561คาดว่าจะมีปริมาณการส่งออกก๊าซ LPG ซึ่งมาจากการผลิตภายในประเทศประมาณ 3,500 ตัน (2) สถานการณ์ราคาก๊าซ LPG ในเดือนมกราคม 2561 ราคาก๊าซ LPG (CP) อยู่ที่ 580 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ราคาไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนธันวาคม 2560 (3) ราคาก๊าซ LPG Cargo เฉลี่ยเดือนธันวาคม 2560 อยู่ที่ 557.80 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 11.52 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ราคาก๊าซ LPG นำเข้า (LPG cargo + X) เฉลี่ยเดือนธันวาคม 2560 อยู่ที่ 20.0406 บาทต่อกิโลกรัม ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน 0.4672 บาทต่อกิโลกรัม (4) ต้นทุนราคาก๊าซ LPG จากกลุ่มโรงแยกฯ (เดือนพฤศจิกายน 2560 – มกราคม 2561) ได้แก่ ต้นทุนของโรงแยกก๊าซธรรมชาติ อยู่ที่ 13.3723 บาทต่อกิโลกรัม (406.22 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) ต้นทุนของบริษัท ปตท. สผ. สยาม จำกัด อยู่ที่ 14.50 บาทต่อกิโลกรัม (441.14 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) และต้นทุนของบริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) อยู่ที่ 14.50 บาทต่อกิโลกรัม (441.14 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) และ(5) อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยของเดือนธันวาคม 2560 อยู่ที่ 32.8293 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจากเดือนก่อนที่ 0.2627 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ในส่วนของกรอบราคาสำหรับกำกับการแข่งขันเท่ากับ 0.67 บาทต่อกิโลกรัม
2. สนพ. ได้ออกประกาศ กบง. ฉบับที่ 30, 32, 33, 34, 35 พ.ศ. 2560 เรื่องการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุน อัตราเงินชดเชย และอัตราเงินคืนกองทุนสำหรับก๊าซตามหลักเกณฑ์การคำนวณโครงสร้างราคาก๊าซ โดยมีอัตราเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 1-5 ของเดือนธันวาคม 2560 ของโรงแยกฯ ดังนี้ (1) อัตราเงินเก็บกองทุนจากโรงแยกฯ 1-6 ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รายสัปดาห์ตามลำดับ ดังนี้ 6.3840, 6.3100, 5.9912, 5.4810, 5.9362 บาทต่อกิโลกรัม (2) อัตราเก็บเงินเข้ากองทุนจากบริษัทยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) รายสัปดาห์ตามลำดับ ดังนี้ 5.2563, 5.1823, 4.8623, 4.3575, 4.8085 บาทต่อกิโลกรัม และ (3) อัตราเก็บเงินเข้ากองทุนจากบริษัท ปตท. สผ. สยามจำกัด รายสัปดาห์ตามลำดับ ดังนี้ 1.2908, 1.2168, 0.8980, 0.3878, 0.8430 บาทต่อกิโลกรัม
3. จากการกำหนดอัตราเงินเข้ากองทุนดังกล่าวข้างต้นส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ในเดือนธันวาคม 2560 ในส่วนการผลิตและจัดหา (กองทุนน้ำมันฯ#1) มีรายรับ 1,175 ล้านบาทต่อเดือน และในส่วนการจำหน่ายภาคเชื้อเพลิง (กองทุนน้ำมันฯ #2) มีรายจ่าย 2,257 ล้านบาทต่อเดือน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 1,082 ล้านบาทต่อเดือน และราคาขายปลีกก๊าซ LPG ระหว่างสัปดาห์ที่ 1 - 5 มีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ ราคาขายปลีกฯ ระหว่างสัปดาห์ 1 - 2 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากราคาขายปลีกฯเดือนพฤศจิกายน 2560 คืออยู่ที่ 21.15 บาทต่อกิโลกรัม แต่ราคาขายปลีกฯ ระหว่างสัปดาห์ที่ 3-5 มีการเปลี่ยนแปลงโดยอยู่ที่ 20.95, 20.42 และ 20.89 บาทต่อกิโลกรัม ในส่วนของการแจ้งราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนและภาคขนส่งมีผู้ค้ามาตรา 7 จำนวน 11 ราย แจ้งต่อ สนพ. ซึ่งมีรายละเอียดราคาขายปลีกก๊าซ LPG บรรจุถังและราคาขายปลีกก๊าซ LPG สถานีบริการบรรจุถัง แสดงอยู่บนหน้าเว็บไซต์ สนพ.
มติของที่ประชุม
1. รับทราบรายงานความเคลื่อนไหวราคาก๊าซ LPG ในรอบเดือนธันวาคม 2560
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานประสานกับกรมการค้าภายในศึกษาแนวทางการกำหนดราคาขายปลีกก๊าซ LPG แนะนำของกรมการค้าภายในให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ด้วยการอ้างอิงราคาก๊าซ LPG นำเข้า
3. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานศึกษาแนวทางการเปิดเสรีการส่งออกก๊าซ LPG และความจำเป็นในการควบคุมราคาก๊าซ LPG ที่ได้มาจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ
เรื่องที่ 5 บันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2561
สรุปสาระสำคัญ
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 เห็นชอบให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีเงินนอกงบประมาณถือปฏิบัติตามมาตรการกำกับดูแลเงินนอกงบประมาณตามที่กระทรวงการคลังเสนออย่างเคร่งครัด ซึ่งรวมถึงการ นำระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนที่เป็นมาตรฐานสากล และมีการกำหนดตัวชี้วัดการดำเนินงาน (KPI) มาใช้เพื่อวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนด้วย ซึ่งกรมบัญชีกลางได้เห็นชอบให้ทุนหมุนเวียนที่อยู่ในกำกับของกระทรวงพลังงาน คือ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เข้าสู่ระบบประเมินผลฯ ตั้งแต่ปีบัญชี 2551 เป็นต้นไป ทั้งนี้ การกำกับดูแลและประเมินผลจะดำเนินการโดยคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน กรมบัญชีกลาง โดยมีการกำหนดกรอบหลักเกณฑ์การประเมินผลฯ ประกอบด้วย4 ด้าน คือ ด้านการเงิน ด้านการสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ด้านการปฏิบัติการ และด้านการบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน สำหรับการประเมินผลในปี 2561 คณะกรรมการประเมินผลฯ ได้เห็นชอบเกณฑ์การประเมินผลฯ ประจำปีบัญชี 2561 ของกองทุนน้ำมันฯ เรียบร้อยแล้ว และขอส่งบันทึกข้อตกลงการประเมินผลฯ ประจำปีบัญชี 2561 ให้กองทุน น้ำมันฯ เพื่อเสนอให้ผู้มีอำนาจลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินผลฯ ภายใน 30 วัน นับจากวันที่กรมบัญชีกลางส่งบันทึกข้อตกลงฯ หากดำเนินการล่าช้ากว่าที่กำหนดจะถูกปรับลดคะแนนวันละ 0.05 คะแนน โดยเกณฑ์การประเมินผลฯ จะคิดคะแนนรวมร้อยละ 100 ประกอบด้วย ด้านที่ 1 การเงิน (ร้อยละ 10) ด้านที่ 2 การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (ร้อยละ 10) ด้านที่ 3 การปฏิบัติการ (ร้อยละ 50) และด้านที่ 4 การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน (ร้อยละ 30) และกรมบัญชีกลางขอให้กองทุนน้ำมันฯ ให้ความสำคัญกับแผนการเตรียมความพร้อมต่อพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงฉบับใหม่ เพื่อให้เกิดการบริหารกองทุนน้ำมันฯ อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ทั้งนี้ สนพ. จะนำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลฯ ประจำปีบัญชี 2561 เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบง. พิจารณาลงนาม และส่งคืนกรมบัญชีกลาง ภายในวันที่ 21 มกราคม 2561 ต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 6 บันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2561
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2560 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติรับทราบหลักการการใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการบริหารจัดการราคาน้ำมัน ดังนี้ (1) กองทุนน้ำมันฯ ช่วยครึ่งหนึ่งและราคาขายปลีกรับภาระฝ่ายละกึ่งหนึ่ง (Half – Half Concept) โดยเมื่อราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้นจนกระทั่งแตะราคาเริ่มต้น (Trigger Point) ที่ 60 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล กองทุนน้ำมันฯ จะเริ่มเข้าไปบริหารจัดการ ดังนี้ ครั้งที่ 1 กองทุนน้ำมันฯ จะเริ่มเข้าไปช่วยที่ 0.40 – 0.60 บาทต่อลิตร ครั้งที่ 2 ถ้าราคาน้ำมันดิบดูไบยังคงปรับเพิ่มขึ้น ราคาขายปลีกปรับขึ้นที่ 0.40 – 0.60 บาทต่อลิตร เพื่อให้กลไกตลาดเสรีทำงาน และครั้งที่ 3 กรณีราคาน้ำมันดิบดูไบยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาขายปลีกจะขยับขึ้นและกองทุนน้ำมันฯ จะเข้าช่วยสลับกันเช่นนี้ไปเรื่อยๆ (2) กองทุนน้ำมันฯ จะช่วยเหลือราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลและน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 สูงสุดที่ไม่เกิน 3 บาทต่อลิตร ขณะที่น้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลชนิดอื่น ให้กองทุนน้ำมันฯ รักษาระดับราคาขายปลีกเพื่อส่งเสริมการใช้เอทานอลต่อไป (3) การกำหนดเพดานราคาขายปลีกน้ำมัน เพื่อให้ภาคขนส่ง รถโดยสารสาธารณะ ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงประชาชนมีเวลาเตรียมพร้อมรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเมื่อราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น โดยมีหลักการ คือ กำหนดเพดานราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่ไม่เกิน 29.99 บาทต่อลิตร เนื่องจากหากราคาขายปลีก สูงกว่านี้อาจส่งผลกระทบต่อภาคขนส่ง รถโดยสารสาธารณะ ภาคอุตสาหกรรม และประชาชน หากราคาน้ำมันดิบดูไบยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ จะต้องมีการปรับเพดานราคาทุกๆ 3 เดือน แต่ทั้งนี้จะไม่กำหนดเพดานราคา ขายปลีกน้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล เนื่องจากไม่ส่งผลกระทบต่อภาคขนส่ง รถโดยสารสาธารณะ ภาคอุตสาหกรรม และประชาชนอีกทั้งผู้บริโภคมีทางเลือกและศักยภาพที่สามารถจ่ายได้ (4) กรอบวงเงินการช่วยเหลือ ตามร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... กำหนดให้กองทุนน้ำมันฯ มีเงินกองทุนได้ไม่เกิน 40,000 ล้านบาท และกู้เงินได้ไม่เกิน 20,000 ล้านบาท ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าวมีไว้สำหรับแก้ไขวิกฤตราคาน้ำมันเชื้อเพลิง รักษาเสถียรภาพราคา ส่งเสริมพลังงานทดแทน และช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาพลังงาน ดังนั้น การใช้เงินกองทุนในการรักษาเสถียรภาพราคาจึงควรกำหนดกรอบวงเงินไว้ไม่เกิน 15,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น การช่วยเหลือกลุ่มน้ำมันดีเซลที่ 10,000 ล้านบาท และการช่วยเหลือกลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ 5,000 ล้านบาท (5) ใช้การปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิต เมื่อกองทุนน้ำมันฯ ช่วยเหลือราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลจนถึง 3 บาทต่อลิตร หรือระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลแตะ 29.99 บาทต่อลิตร หรือช่วยเหลือจนเต็มกรอบวงเงินตามที่กำหนดจำนวน 15,000 ล้านบาท (6) การถอนกองทุนน้ำมันฯ (Exit Strategy) โดยจะเริ่มทยอยลดการช่วยเหลือเมื่อกรณีที่ 1 หากราคาน้ำมันดิบดูไบทรงตัวอยู่ในระดับสูงหรือปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกองทุนน้ำมันฯ ช่วยเหลือราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลจนถึง 3 บาทต่อลิตร หรือเต็มกรอบวงเงิน รวมทั้งลดอัตราภาษีสรรพสามิตแล้ว จะปรับราคาขายปลีกขึ้นพร้อมกับปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จนกระทั่งการช่วยเหลือเป็นศูนย์ โดยจะต้องมีวงเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมอีกประมาณ 15,000 ล้านบาท เพื่อให้การถอนกองทุนน้ำมันฯ เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และกรณีที่ 2 หากราคาน้ำมันดิบดูไบเริ่มปรับตัวลดลง กองทุนน้ำมันฯ จะปรับเพิ่มครึ่งหนึ่งและราคาขายปลีกลดลงครึ่งหนึ่ง (Half – Half Concept) โดยให้ตัวที่ปรับล่าสุดเริ่มปรับลงก่อน และหากราคาน้ำมันดิบดูไบยังคงปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง จะทยอยถอนการช่วยเหลือเช่นนี้สลับกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งการช่วยเหลือเป็นศูนย์
2. สรุปสถานการณ์ราคาตลาดโลก ณ วันที่ 9 มกราคม 2561 น้ำมันดิบดูไบปิดตลาดอยู่ที่ 65.55 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 77.40 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 79.24 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยน อยู่ที่ 32.3545 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน ลิตรละ 23.44 บาท และราคาเอทานอล เดือนมกราคม 2561 เฉลี่ยลิตรละ 24.57 บาท สำหรับฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 7 มกราคม 2561 กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 34,814 ล้านบาท โดยแยกเป็นของน้ำมัน 31,712 ล้านบาท และก๊าซ LPG 3,102 ล้านบาท
3. จากราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเลยจุด Trigger Point (60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล) ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2560 เป็นต้นมา และปัจจุบันวันที่ 10 มกราคม 2561 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 65.55 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 27.59 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 27.95 บาทต่อลิตร ตามลำดับ เพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาสูงเกินไปจนกระทบต่อค่าครองชีพ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เสนอหลักการว่า หากราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลตลาดโลก อัตราแลกเปลี่ยน ราคาพลังงานทดแทน ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันทั้งกลุ่มแก๊สโซฮอลและดีเซล ต้องปรับราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร ให้กองทุนน้ำมันฯ เริ่มเข้าไปบริหารจัดการราคา โดยลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันทุกชนิด 0.50 บาทต่อลิตร ตามหลักเกณฑ์ Half – Half Concept และผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ เฉพาะส่วนของน้ำมันมีสภาพคล่องลดลงประมาณ 1,346 ล้านบาทต่อเดือน (หรือ 43.41 ล้านบาทต่อวัน) จากมีรายจ่าย 309 ล้านบาทต่อเดือน (หรือ 9.96 ล้านบาทต่อวัน) เป็นมีรายจ่าย 1,654 ล้านบาทต่อเดือน (หรือ 53.37 ล้านบาทต่อวัน)
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการหากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วแตะราคาเริ่มต้น (Trigger Point) ที่ประมาณ 30 บาทต่อลิตร เพื่อให้กองทุนน้ำมันฯเริ่มเข้าไปบริหารจัดการราคา ตามหลักเกณฑ์ Half – Half Concept และหากราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้นให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการเชิญประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ในทางกลับกันหากราคาน้ำมันลดลงต่ำกว่าราคา 30 บาทต่อลิตร ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการเชิญประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อปรับอัตราเงินคืนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง