มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 18/2561 (ครั้งที่ 65)
วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2561 เวลา 13.30 น.
1. สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
3. แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2562
4. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
5. การปรับปรุงกลไกราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
6. รายงานผลการดำเนินการช่วงหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติแหล่ง JDA-A18
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(นายศิริ จิระพงษ์พันธ์)
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายทวารัฐ สูตะบุตร)
เรื่องที่ 1 สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
สรุปสาระสำคัญ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ดังนี้ (1) ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ และเวสต์เท็กซัสมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ปัจจัยหลักจากการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ดี มีปัจจัยสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่กดดันให้ราคาน้ำมันไม่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ทั้งนี้คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบในเดือนกันยายน 2561 จะยังคงทรงตัวในระดับสูงที่ 78 – 80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากการทยอยปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปค รวมทั้งผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของเวเนซุเอลาและตุรกี (2) ราคาก๊าซ LPG มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเวียดนามนำเข้า LPG เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 และปริมาณโพรเพน (C3) คงคลังของสหรัฐอเมริกาที่ลดลงต่ำสุดในรอบ 5 ปี รวมทั้งรัฐบาลอินเดียมีนโยบายสนับสนุนการใช้ก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนทำให้ปริมาณความต้องการใช้และนำเข้าก๊าซ LPG เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ราคาก๊าซ LPG เดือนกันยายน 2561 ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบและความต้องการในแต่ละภูมิภาค (3) ราคาก๊าซ LNG เดือนสิงหาคม 2561 ปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อน จากการที่หลายประเทศสำรองก๊าซ LNG เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการใช้ช่วงฤดูหนาว ประกอบกับรัสเซียหยุดการผลิตก๊าซ LNG แหล่ง Sakhalin เนื่องจากปัญหาทางเทคนิค ทั้งนี้คาดการณ์ว่าในระยะสั้นราคาก๊าซ LNG ยังมีทิศทางปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย โดยมีปัจจัยจากจีนปรับเพิ่มภาษีนำเข้าก๊าซ LNG จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้นำเข้าของจีนไม่สามารถแบกรับต้นทุนได้ (4) ราคาถ่านหิน เดือนสิงหาคม 2561 อยู่ที่ 118 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ปรับลดลงจากเดือนก่อน 1.4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เนื่องจากรัฐบาลเกาหลีใต้มีแผนปรับเพิ่มภาษีถ่านหิน และประเทศในทวีปยุโรปปรับเพิ่มราคาคาร์บอนเครดิตเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ทั้งนี้คาดการณ์ว่าในระยะสั้นราคาถ่านหินยังมีทิศทางปรับตัวลดลง และ (5) โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 5 กันยายน 2561 ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.26 บาทต่อลิตร ต่ำกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม ส่วนค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ 1.83 บาทต่อลิตร อยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยค่าการตลาดเฉลี่ยรายผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าการตลาดเฉลี่ยที่เหมาะสมประมาณ 0.30 บาทต่อลิตร
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. แผนอนุรักษ์พลังงานฯ กำหนดเป้าหมายผลการอนุรักษ์พลังงานจากการดำเนินงานทุกมาตรการในปี 2561 ได้แก่ EE1 มาตรการการจัดการโรงงานและอาคารควบคุม EE2 มาตรการใช้เกณฑ์มาตรฐานอาคาร EE3 มาตรการใช้เกณฑ์มาตรฐานและติดฉลากอุปกรณ์ EE4 มาตรการบังคับใช้เกณฑ์มาตรฐานการประหยัดพลังงานสำหรับผู้ผลิตและจำหน่ายพลังงาน (EERS) EE5 มาตรการสนับสนุนด้านการเงิน EE6 มาตรการส่งเสริมการใช้หลอด LED และ EE7 มาตรการอนุรักษ์พลังงานภาคขนส่ง รวมทั้งสิ้น 1,619 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ (ktoe) โดยแบ่งเป็นเป้าหมายที่ไม่รวมมาตรการอนุรักษ์พลังงานภาคขนส่ง (EE1 – EE6) ซึ่งเป็นมาตรการที่ไม่ได้อยู่ในส่วนการดำเนินงานของกระทรวงพลังงานโดยตรง 823 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และเป้าหมายเฉพาะมาตรการอนุรักษ์พลังงานภาคขนส่ง (EE7) 797 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ
2. ความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานฯ ณ ไตรมาสที่ 2 ปี 2561 เฉพาะมาตรการที่ไม่รวมมาตรการอนุรักษ์พลังงานภาคขนส่ง มีผลการอนุรักษ์พลังงานรวม 151.45 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ คิดเป็นร้อยละ 18.40 ของเป้าหมายปี พ.ศ. 2561 โดยบางมาตรการอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล ทั้งนี้ หากรวมมาตรการอนุรักษ์พลังงานภาคขนส่งซึ่งมีผลประหยัดอยู่ที่ 16.28 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ จะมีผลการอนุรักษ์พลังงานรวม 167.73 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ โดยสาเหตุส่วนหนึ่งที่ไม่สามารถดำเนินมาตรการอนุรักษ์พลังงานภาคขนส่งได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากมาตรการติดฉลาก ECO-Sticker ยังมีจำนวนรถใหม่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด และมาตรการรถไฟทางคู่ ยังมีการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จจึงยังไม่เปิดใช้งาน เป็นต้น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2562
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้จัดสรรเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ให้กับ 4 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันฯ และจัดสรรงบค่าใช้จ่ายอื่นเป็นจำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินสำรองกองกลาง โดยในปีงบประมาณ 2561 กบง. ได้อนุมัติแผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันฯ ดังนี้ (1) งบบริหาร ของ 4 หน่วยงาน เป็นจำนวนเงินรวม 10,063,800 บาท โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป และงบประมาณทุกรายจ่ายให้สามารถนำมาถัวจ่ายได้ทุกรายการ (2) งบค่าใช้จ่ายอื่น จำนวน 300,000,000 บาท เพื่อเป็นเงินสำรองกองกลาง และอนุมัติให้ดำเนินโครงการจำนวน 5 โครงการ จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 32,163,527 บาท ทั้งนี้ กรอบวงเงินคงเหลือของงบค่าใช้จ่ายอื่น มอบหมายให้คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) เป็นผู้พิจารณาอนุมัติต่อไป
2. ผลการเบิกจ่ายเงินงบบริหาร ปีงบประมาณ 2561 ของ 4 หน่วยงาน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561เป็นจำนวนเงิน 5,525,884.91 บาท คิดเป็นร้อยละ 54.90 ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติทั้งหมด และคาดว่า ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 จะมีผลการเบิกจ่ายรวม 8,367,800 บาท คิดเป็นร้อยละ 83.14 ส่วนเงินงบค่าใช้จ่ายอื่น ได้รับอนุมัติเงินจำนวน 5 โครงการ วงเงินรวม 29,915,157 บาท ได้แก่ (1) โครงการศึกษาสภาวะการแข่งขันในตลาดค้าปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ของ สนพ. ได้ทำการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว 2 รอบ แต่ไม่มีผู้ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก ปัจจุบันอยู่ระหว่างประกาศจัดซื้อจัดจ้างรอบที่ 3 (2) โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลสถานที่เก็บและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองของประเทศ ของกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเบิกจ่ายเงินงวดที่ 1 (3) โครงการจัดตั้งศูนย์สอบและทะเบียนผู้ปฏิบัติงานตามกฎหมายควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง ของ ธพ. มีการยกเลิกการประกวดราคาการจัดซื้อครุภัณฑ์ 2 ครั้ง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการประกวดราคาการจัดซื้อครุภัณฑ์ฯ รอบใหม่ โดยเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 อบน. ได้เห็นชอบให้ยกเลิกการดำเนินงานในส่วนที่ 2 และให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการ จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 19 มิถุนายน 2561 เป็นวันที่ 31 ธันวาคม 2561 (4) โครงการศึกษาการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศไทย (Strategic Petroleum Reserve: SPR) ของ ธพ. ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเบิกจ่ายเงินงวดที่ 1 และ (5) โครงการศึกษาทบทวนค่าการตลาดก๊าซ LPG ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ของ สนพ. ปัจจุบันอยู่ระหว่างการประกาศจัดซื้อจัดจ้าง
3. เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2561 อบน. ได้มีมติเห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2562 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป ดังนี้ (1) งบบริหาร ของ 4 หน่วยงาน เป็นจำนวนเงินรวม 16,597,000 บาท โดยงบประมาณทุกหมวดรายจ่ายให้สามารถนำมาถัวจ่ายได้ทุกรายการ ประกอบด้วย สนพ. จำนวน 4,601,000 บาท กรมสรรพสามิต จำนวน 5,905,100 บาท กรมศุลกากร จำนวน 1,001,900 บาท และ สบพน. จำนวน 5,089,000 บาท และ (2) งบค่าใช้จ่ายอื่น ในวงเงิน 300 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินสำรองกองกลาง ทั้งนี้ มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2561
2. เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2562 ดังนี้
(1) งบบริหาร ของ 4 หน่วยงาน เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 16,597,000 บาท (สิบหกล้านห้าแสนเก้าหมื่นเจ็ดพันบาทถ้วน) โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป และงบประมาณทุกรายจ่ายให้สามารถนำมาถัวจ่ายได้ทุกรายการ ดังนี้
(2) งบค่าใช้จ่ายอื่น ในวงเงิน 300 ล้านบาท (สามร้อยล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นเงินสำรองกองกลาง
ทั้งนี้ มอบหมายให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกำกับดูแลให้การใช้จ่ายเงินเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
เรื่องที่ 4 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2561 กบง. มีมติเห็นชอบแนวทางบรรเทาผลกระทบราคาน้ำมันดีเซล โดยมีเงื่อนไขว่าหากราคาขายปลีกขยับสูงเกินกว่า 30 บาทต่อลิตร ให้ดำเนินการดังนี้ (1) กำหนดค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่เกิน 1.75 บาทต่อลิตร (2) ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ บริหารราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร (3) หากอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วมากกว่า 1.00 บาทต่อลิตร ให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอต่อ กบง. เพื่อพิจารณาอัตราเงินชดเชยที่เหมาะสม
2. เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2561 กบง. มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล ดังนี้ (1) ระยะสั้น ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ เพื่อรักษาระดับค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสม และปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลให้สภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ มีค่าใกล้ศูนย์ (กลยุทธ์ ศูนย์-สุทธิ) (2) ระยะยาว ปรับราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลให้สะท้อนค่าความร้อน โดยการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ (ลดการชดเชย) ทั้งนี้ เมื่อวันที่8 มิถุนายน 2561 และวันที่ 25 กรกฎาคม 2561 กบง. ได้มีมติเห็นชอบปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E85 แล้วจำนวน 2 ครั้ง แต่ยังคงชดเชยราคาขายปลีกอยู่ ปัจจุบันสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ ในกลุ่มของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลเข้าใกล้ ศูนย์-สุทธิแล้ว โดยมีรายรับประมาณ 2 ล้านบาทต่อเดือน ส่วนกลุ่มน้ำมันดีเซลหมุนเร็วมีรายรับประมาณ 19 ล้านบาทต่อเดือน ภาพรวมกองทุนน้ำมันฯ มีรายรับ 25 ล้านบาทต่อเดือน โดย ณ วันที่ 2 กันยายน 2561 กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 26,022 ล้านบาท
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 4 กันยายน 2561 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 76.87 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 89.63 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 94.56 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 32.9242 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันวันที่ 3-9 กันยายน 2561 ลิตรละ 24.49 บาท และราคาเอทานอล ณ เดือน กันยายน 2561 ลิตรละ 23.40 บาท โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 5 กันยายน 2561 มีค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 อยู่ที่ 2.4432 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E85 อยู่ที่ 5.4637 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับสูง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรปรับลดอัตราเงินชดเชยของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 ลง 0.25 บาทต่อลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E85 ลง 1.00 บาทต่อลิตร เพื่อให้ค่าการตลาดน้ำมันทั้งสองชนิดอยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นไปตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2561 โดยจะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเพิ่มขึ้น 75 ล้านบาทต่อเดือน จาก 25 ล้านบาทต่อเดือน เป็น 100 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 เดิม -2.43 บาท/ลิตร ใหม่ -2.18 บาท/ลิตร เปลี่ยนแปลง +0.25 บาท/ลิตร
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E85 เดิม -8.78 บาท/ลิตร ใหม่ -7.78 บาท/ลิตร เปลี่ยนแปลง +1.00 บาท/ลิตร
น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เดิม 0.01 บาท/ลิตร ใหม่ -0.15 บาท/ลิตร เปลี่ยนแปลง -0.16 บาท/ลิตร
2. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ฉบับที่ 57 พ.ศ. 2561 เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุน อัตราเงินชดเชย อัตราเงินคืนกองทุน และอัตราเงินกองทุนคืนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2561 เป็นต้นไป
3. เห็นชอบแนวทางบรรเทาผลกระทบราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยมีเงื่อนไขว่า หากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วสูงเกินกว่า 30 บาทต่อลิตร ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบริหารราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร โดยปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลงอีก 0.15 บาทต่อลิตร จากเดิมชดเชยที่ 0.15 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยที่ 0.30 บาทต่อลิตร
เรื่องที่ 5 การปรับปรุงกลไกราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2561 กบง. ได้มีมติเห็นชอบหลักการกำหนดอัตราเงินชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซ LPG ที่จำหน่ายเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง เพื่อให้ราคาขายปลีก LPG อยู่ที่ 363 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ต่อมาเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 กบง. ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับกลไกราคาก๊าซ LPG โดยกำหนดกองทุนน้ำมันฯ บัญชีก๊าซ LPG ให้ติดลบได้ไม่เกิน 3,000 ล้านบาท ในการรักษาเสถียรภาพราคา และมอบหมายให้ สบพน. จัดทำรายงาน รายรับ/รายจ่าย และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG เพื่อรายงาน กบง. ทราบทุกเดือน และเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2561 กบง. ได้เห็นชอบปรับหลักเกณฑ์ราคานำเข้า โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (LPG Cargo) อ้างอิงข้อมูลจาก Platts ด้วยค่าเฉลี่ยของ Propane Cargo และ Butane Cargo (FOB Arab Gulf) ของสองสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ใช้ค่าเฉลี่ยเป็นรายสัปดาห์ โดยให้มีผล ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2561 สบพน. ได้มีหนังสือแจ้งว่าคณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ในการประชุมเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 มีข้อสังเกตว่ามติ กบง. เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 ยังขาดความชัดเจน และอาจก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ จึงขอให้ กบง. พิจารณาทบทวนมติเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 เป็นดังนี้ “เห็นชอบการใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาเสถียรภาพราคาก๊าซ LPG โดยให้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของบัญชีก๊าซ LPG ติดลบได้ไม่เกิน 3,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้นำเงินในส่วนของบัญชีน้ำมันสำเร็จรูปไปหมุนเวียนใช้ในบัญชีกลุ่มก๊าซ LPG และให้นำเงินส่งคืนบัญชีน้ำมันสำเร็จรูปในภายหลัง”
2. สถานการณ์ราคาก๊าซ LPG ในเดือนกันยายน 2561 ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) อยู่ที่ 617.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 30 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ราคาก๊าซ LPG Cargo ประจำวันที่ 13 – 24 สิงหาคม 2561 อยู่ที่ 583.00 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 5.2778 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ค่าใช้จ่ายนำเข้า (X) อยู่ที่ 57.2436 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.1701 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 33.2265 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากเดือนก่อน 0.1949 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาก๊าซ LPG นำเข้า (LPG Cargo + X) อยู่ที่ 21.2731 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.0907 บาทต่อกิโลกรัม
3. สถานภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 2 กันยายน 2561 มีฐานะสุทธิ 26,022 ล้านบาท แยกเป็นบัญชีน้ำมัน 29,359 ล้านบาท บัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 3,337 ล้านบาท ทั้งนี้ในส่วนการผลิตและจัดหา (กองทุนน้ำมันฯ#1) มีรายรับ 1,329 ล้านบาทต่อเดือน และในส่วนการจำหน่ายภาคเชื้อเพลิง (กองทุนน้ำมันฯ #2) มีรายจ่าย 2,133 ล้านบาทต่อเดือน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายสุทธิ 804 ล้านบาทต่อเดือน โดย สบพน. ได้รายงานฐานะกองทุนน้ำมันฯ บัญชีก๊าซ LPG ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จาก 99 ล้านบาท ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2561 เป็นติดลบ 3,337 ล้านบาท ณ วันที่ 2 กันยายน 2561 หรือมีรายจ่ายถึง 3,446 ล้านบาท ในระยะเวลาเพียง 2 เดือน ในขณะที่ สนพ. ประมาณรายจ่ายในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ที่ 1,305 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่ารายงานของ สบพน. ถึง 2,141 ล้านบาท ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เสนอแนวทางรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีก ก๊าซ LPG ขนาดถัง 15 กิโลกรัม ให้อยู่ที่ 363 บาท ต่อไปตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2561 ดังนี้ (1) ปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์โดยลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้า (X) ในส่วนของค่าคลังนำเข้า LPG โดยตัดค่าใช้จ่าย ในส่วนค่าคลังที่ประมาณ 20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตันออก ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการนำเข้า X อยู่ในระดับประมาณ 35 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน จากเดือนสิงหาคมซึ่งอยู่ที่ประมาณ 55 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายสุทธิลดลงประมาณ 100 ล้านบาทต่อเดือน เนื่องจากปัจจุบันไม่มีการนำเข้าผ่านคลัง เขาบ่อยาเพื่อจำหน่ายในประเทศ แต่ใช้เป็นคลังนำเข้าเพื่อส่งออกเท่านั้น โดยผู้นำเข้า LPG เหลือเพียงบริษัท สยามแก๊ส ซึ่งใช้วิธี Ship-to-Ship ในการนำเข้า และมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าการนำเข้าผ่านคลังเนื่องจากไม่มีค่าลงทุนคลัง และ (2) ให้กองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของบัญชีก๊าซ LPG ติดลบเพิ่มอีก 3,500 ล้านบาท เป็นติดลบได้ไม่เกิน 6,500 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้นำเงินในส่วนของบัญชีน้ำมันสำเร็จรูปไปหมุนเวียนใช้ในบัญชีกลุ่มก๊าซ LPG และให้นำเงินส่งคืนบัญชีน้ำมันสำเร็จรูปในภายหลัง ซึ่งหากมีการปรับหลักเกณฑ์ลดค่าใช้จ่ายนำเข้าในส่วนค่าคลังลง 20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ตามข้อ (1) จะสามารถรักษาเสถียรภาพราคาได้อีกประมาณ 4 เดือน ถึงสิ้นปี 2561
เรื่องที่ 6 รายงานผลการดำเนินการช่วงหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติแหล่ง JDA-A18
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2561 เวลา 6.00 น. ถึงวันที่ 2 สิงหาคม 2561 เวลา 06.00 น. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แจ้งว่าจะหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง JDA – A18 ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย – มาเลเซีย ให้ภาคการผลิตไฟฟ้า เนื่องจากผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งดังกล่าวมีการทำงานตรวจสอบ Flare Tips ที่แหล่งผลิตก๊าซ คิดเป็นปริมาณก๊าซธรรมชาติที่หายไปจากระบบ 440 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (MMSCFD)
2. เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2561 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้รายงานผล การดำเนินการช่วงหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติแหล่ง JDA – A18 ว่าเหตุการณ์ได้กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว โดย ปตท. ได้แจ้งว่าการทำงานของผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2561 เวลา 14.14 น. ซึ่งเร็วกว่ากำหนด และเริ่มเปิดวาล์วให้โรงไฟฟ้าจะนะใช้ก๊าซธรรมชาติได้ตามปกติเมื่อเวลา 21.00 น. พร้อมรายงานผลการดำเนินงานด้านระบบไฟฟ้า สรุปได้ดังนี้ (1) สภาพระบบไฟฟ้าภาคใต้ รวมถึงระบบสายส่งเชื่อมโยงระหว่างภาคกลาง และภาคใต้ของ กฟผ. อยู่ในเกณฑ์ปกติ สามารถผลิตและส่งจ่ายไฟฟ้าได้ตามมาตรฐานคุณภาพ โดยมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในเขตภาคใต้ที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงเวลาที่หยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติ 2,397.1 เมกะวัตต์ ต่ำกว่าแผนที่คาดการณ์ไว้ที่ 2,550 เมกะวัตต์ และมีกำลังสำรองไฟฟ้าเหลืออยู่ 538.9 เมกะวัตต์ คิดเป็นร้อยละ 18.4 เมื่อเทียบกับกำลังการผลิตไฟฟ้าในเขตพื้นที่ภาคใต้ 2,936 เมกะวัตต์ (2) โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมจะนะ ไม่หยุดเดินเครื่องในช่วงเวลาที่หยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติแหล่ง JDA - A18 เนื่องจาก กฟผ. ได้ปรับปรุงโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมจะนะชุดที่ 1 และ 2 ให้สามารถใช้น้ำมันดีเซลในการผลิตไฟฟ้าแทนก๊าซธรรมชาติได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2558 และเดือนมีนาคม 2561 ตามลำดับ (3) ช่วงหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติแหล่ง JDA - A18 มีการใช้น้ำมันดีเซลที่โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมจะนะชุดที่ 1 และ 2 รวม 7.9 ล้านลิตร มากกว่าแผนที่กำหนดไว้ที่ 6.1 ล้านลิตร (เฉพาะเครื่องกังหันก๊าซ 22) อยู่ 1.8 ล้านลิตร เนื่องจากมีการเดินเครื่องกังหันก๊าซ 12 เพิ่มเติมจากแผนในช่วงวันที่ 28 – 30 กรกฎาคม 2561 เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าพลังความร้อนกระบี่ที่ไม่สามารถเดินเครื่องได้ตามแผน และมีการใช้น้ำมันเตาที่โรงไฟฟ้าพลังความร้อนกระบี่รวม 2.6 ล้านลิตร ต่ำกว่าแผนที่กำหนดไว้ที่6.0 ล้านลิตร อยู่ 3.4 ล้านลิตร เนื่องจากไม่สามารถเดินเครื่องโรงไฟฟ้าได้ตามแผนตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2561 จากปัญหาระบบควบคุมโรงไฟฟ้า (Mark V) ขัดข้อง โดยสามารถแก้ไขปัญหาและขนานเครื่องเข้าระบบได้ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2561 เวลา 10.05 น. (4) มีการระบายน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนรัชชประภา และเขื่อนบางลาง ช่วงที่หยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติแหล่ง JDA - A18 เฉลี่ยวันละ 14.2 และ 10.0 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนท้ายน้ำ
3. สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ได้คำนวณต้นทุนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าแทนก๊าซธรรมชาติจากการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติแหล่ง JDA - A18 ในการประมาณการค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ประจำเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2561 แล้ว โดยมีต้นทุนเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น 180 ล้านบาท คิดเป็นผลกระทบต่อค่า Ft เพิ่มขึ้น 0.34 สตางค์ต่อหน่วย หรือ 0.0034 บาทต่อหน่วย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ