มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 25/2561 (ครั้งที่ 72)
วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 13.30 น.
1. สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
3. โครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ประกอบอาชีพขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ
4. แนวทางการส่งเสริมน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20
5. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(นายศิริ จิระพงษ์พันธ์)
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายเพทาย หมุดธรรม)
แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผน
เรื่องที่ 1 สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
สรุปสาระสำคัญ
สนพ. ได้รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ให้ที่ประชุมทราบ ดังนี้ (1) ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ มีทิศทางปรับตัวลดลง ปัจจัยหลักมาจากการที่รัฐมนตรีพลังงานประเทศซาอุดิอาระเบียได้ให้สัมภาษณ์ว่าพร้อม ที่จะผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนปริมาณน้ำมันดิบที่หายไปจากมาตรการคว่ำบาตรประเทศอิหร่าน ของประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ประเทศสหรัฐฯ มีมาตรการผ่อนปรนให้หลายประเทศสามารถนำเข้าน้ำมันดิบจากประเทศอิหร่านได้ โดยประเทศจีนและอินเดียสามารถนำเข้าน้ำมันดิบจากประเทศอิหร่านได้ประมาณร้อยละ 50 จากปริมาณที่เคยนำเข้า ประกอบกับสงครามทางการค้าระหว่างประเทศจีนและประเทศสหรัฐฯ มีแนวโน้มผ่อนคลายลง เนื่องจากผลการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร กลางเทอมของสหรัฐฯ ซึ่งพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากในสภาฯ ทั้งนี้ ปัจจัยที่ต้องจับตามองคือการที่ประเทศซาอุดิอาระเบียได้หารือกับประเทศรัสเซียเกี่ยวกับการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบลงในปีหน้า อย่างไรก็ดี ในระยะสั้นคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบในเดือนพฤศจิกายน 2561 จะปรับตัวลดลง (2) ราคาก๊าซ LPG มีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดยราคา CP เดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ 532.50 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 122.50 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน (3) ราคา LNG เดือนตุลาคม 2561 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากมีแหล่งผลิตใหม่จากประเทศออสเตรเลีย และมีแหล่งผลิตที่อยู่ระหว่างดำเนินการในประเทศสหรัฐฯ อีก 2 แหล่ง ส่วนราคา LNG เดือนพฤศจิกายน 2561 คาดการณ์ว่าจะยังคงปรับตัวลดลงจากปัจจัยข้างต้น (4) ราคาถ่านหินเดือนตุลาคม 2561 อยู่ที่ 109 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ลดลงจากเดือนก่อน แต่ทั้งนี้ ราคาถ่านหินในช่วงปลายปีมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากปัจจัย อาทิ เหมืองถ่านหินขนาดใหญ่ในเมืองเฉินตูประเทศจีนเกิดอุบัติเหตุ ประกอบกับธนาคารโลกไม่อนุมัติงบประมาณสนับสนุนการก่อสร้างเหมืองถ่านหินในประเทศโคโซโว รวมถึงนโยบายการควบคุมมลพิษของประเทศจีนทำให้มีการส่งออกถ่านหินลดลง และเข้าใกล้ฤดูหนาวทำให้หลายประเทศมีความต้องการถ่านหินมากขึ้น และ (5) โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2561 ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 1.92 บาทต่อลิตร สูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสมซึ่งอยู่ที่ 1.80 บาทต่อลิตร ส่วนค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 อยู่ที่ 2.42 บาทต่อลิตร สูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสมซึ่งอยู่ที่ 1.85 บาทต่อลิตร โดยค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์อยู่ที่ 2.15 บาทต่อลิตร อยู่ในระดับสูงกว่าค่าการตลาดเฉลี่ยที่เหมาะสมประมาณ 0.30 บาทต่อลิตร
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 ได้มีมติเห็นชอบ ขอความร่วมมือให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับผิดชอบโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน (ครัวเรือนรายได้น้อย ร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร และอื่นๆ) ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีแนวทางอื่นมาทดแทน และการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2560 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการจัดประชารัฐสวัสดิการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในวงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มจากร้านค้าตามที่กระทรวงพลังงานกำหนดจำนวน 45 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน (ใช้ 1 ครั้งต่อ 3 เดือน) กำหนดเริ่มใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2560 ซึ่งการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวซ้ำซ้อนกับแนวทางการให้ความช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยในโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน ที่ ปตท. ให้ความช่วยเหลืออยู่ กระทรวงพลังงานจึงได้มีหนังสือแจ้ง ปตท. ยกเลิกการช่วยเหลือและระงับการใช้สิทธิ์เฉพาะกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย (18 กิโลกรัมต่อ 3 เดือน) ในโครงการบรรเทาผลกระทบฯ ส่วนการช่วยเหลือร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร (150 กิโลกรัมต่อเดือน) ปตท. ยังคงดำเนินการตามเดิมในอัตรากิโลกรัมละ 2.50 บาท ผลจากการช่วยเหลือชดเชยส่วนต่างจากโครงการดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2561 คิดเป็นปริมาณก๊าซ LPG 510.94 ล้านกิโลกรัม จำนวนเงินชดเชย 1,546.94 ล้านบาท และต่อมาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2561 ปตท. ได้มีหนังสือแจ้งว่าคณะกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้มีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาการสนับสนุนช่วยเหลือโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน เฉพาะกลุ่มร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ภายในวงเงิน 500 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 โครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ประกอบอาชีพขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ
สรุปสาระสำคัญ
1. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกมีความผันผวน ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพ ของประชาชน รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงานศึกษาแนวทาง การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ประกอบอาชีพขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ และเป็นผู้มีรายได้น้อยที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ขึ้นทะเบียนกับกรมบัญชีกลาง ต่อมากรมการขนส่งทางบกได้แจ้งจำนวนผู้ที่ได้รับใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะทั่วประเทศ จำนวน 183,896 ราย แยกเป็น กรุงเทพฯ 101,391 ราย (ร้อยละ 55) และภูมิภาค 82,525 ราย (ร้อยละ 45) โดยกรมบัญชีกลางตรวจสอบจำนวนผู้ที่ได้รับใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะทั่วประเทศ จำนวน 183,896 ราย เป็นผู้ที่มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 40,096 ราย แบ่งเป็นในเขตกรุงเทพฯ จำนวน 8,660 ราย คิดเป็นร้อยละ 22 ของผู้ได้รับสิทธิ์ (หรือร้อยละ 8.5 ของผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะในเขตกรุงเทพฯ) และส่วนภูมิภาค จำนวน 31,436 ราย คิดเป็นร้อยละ 78 ของผู้ได้รับสิทธิ์ (หรือร้อยละ 37.8 ของผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะในส่วนภูมิภาค) แนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ประกอบอาชีพขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ โดยให้ส่วนลดราคาน้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอลหรือน้ำมันเบนซิน จำนวนลิตรละ 3 บาท ไม่เกิน 5 ลิตรต่อคนต่อวัน หรือไม่เกิน 150 ลิตรต่อคนต่อเดือน วงเงินช่วยเหลือไม่เกิน 450 บาทต่อคนต่อเดือน โดยผู้ใช้สิทธิ์จะต้องใช้เครื่องรูดบัตร (EDC) ณ สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่เข้าร่วมโครงการโดยต้องชำระค่าน้ำมันราคาปกติเต็มจำนวนไปก่อน จึงจะได้เงินช่วยเหลือคืนตามที่จ่ายจริง (Cashback) ไม่เกิน 450 บาท ณ ต้นเดือนถัดไป 1.5em;"> 2. กรมธุรกิจพลังงานได้เสนอแนวทางการดำเนินการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ประกอบอาชีพ ขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ ดังนี้ (1) ขอความร่วมมือให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สนับสนุนโครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ประกอบอาชีพขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ ระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2561 ถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2562 โดยประเมินจำนวนเงินให้ความช่วยเหลืออยู่ที่ประมาณ 18 ล้านบาทต่อเดือน และ (2) กรมธุรกิจพลังงานจะหารือกรมบัญชีกลางเพื่อขอใช้เงินงบประมาณในโครงการประชารัฐสวัสดิการ ให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แทนการช่วยเหลือจาก ปตท.
มติของที่ประชุม
มอบหมายกรมธุรกิจพลังงานหารือกระทรวงการคลังเพื่อหาแนวทางการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ประกอบอาชีพขับรถจักรยานยนต์สาธารณะผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และรายงานความคืบหน้าให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานทราบต่อไป
เรื่องที่ 4 แนวทางการส่งเสริมน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2561 ได้มีมติเห็นชอบ เรื่อง การส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 20 ดังนี้ (1) สนับสนุนการผลิตและการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 (ที่มีสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลไม่น้อยกว่าร้อยละ 19 และไม่เกินร้อยละ 20 โดยปริมาตร) ให้มีราคาต่ำ เพื่อลดภาระต้นทุนค่าบริการขนส่งและค่าโดยสารสาธารณะ จึงมีมติให้กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง พิจารณาเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 ในอัตรา 5.152 บาทต่อลิตร โดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกับน้ำมัน
แก๊สโซฮอลซึ่งจัดเก็บภาษีเฉพาะน้ำมันที่ผลิตจากฟอสซิล ในส่วนน้ำมันที่ได้รับจากเชื้อเพลิงชีวภาพจะยกเว้นภาษี
(2) เพื่อลดผลกระทบของการลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 ต่อประมาณการรายรับของงบประมาณแผ่นดินประจำปี 2561 และ 2562 จึงมีมติให้กรมสรรพสามิตพิจารณาเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 0.13 บาทต่อลิตร เป็น 5.980 บาทต่อลิตร และ (3) เพื่อไม่ให้ผู้ใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้รับผลกระทบจากการเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิต จึงมีมติให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 0.13 บาทต่อลิตร ต่อมาการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2561 ได้มีมติเห็นชอบเรื่องโครงสร้างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 ดังนี้ (1) หลักเกณฑ์การกำหนดราคา
ณ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 20 และ (2) การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 ถูกกว่าราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 3 บาทต่อลิตร
2. การดำเนินการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 ที่ผ่านมามี ดังนี้ (1) ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 จำนวน 8 ราย ได้จำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 ให้ผู้ประกอบการขนส่ง จำนวน 80 แห่ง โดยมีรถขนส่งจำนวน 2,100 คัน และเรือจำนวน 64 ลำ โดยมีปริมาณที่ได้รับความเห็นชอบจำหน่าย 13.105 ล้านลิตร
ต่อเดือน (2) ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2561 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2561 มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 10.446 ล้านลิตร ดูดซับไบโอดีเซล 2.088 ล้านลิตร เทียบเท่าน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) 1,816 ตัน คิดเป็นจำนวนเงินชดเชย 32.467 ล้านบาท และ (3) การขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มรถโดยสารสาธารณะขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ได้มีการเปิดตัวการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 ในรถของ ขสมก. และ บขส. เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2561 โดยเป็นการทดลองใช้ในรถของ ขสมก. จำนวน 5 คัน และ บขส. จำนวน 3 คัน ระยะเวลาในการทดลอง 1 เดือน ซึ่งหลังจากพ้นระยะการทดลองใช้แล้วจะขยายฐานการใช้ในรถสาธารณะ ดังนี้ (1) รถ ขสมก. จำนวน 2,105 คัน (รถโดยสารธรรมดา รถโดยสารปรับอากาศ สีน้ำเงิน และรถโดยสาร EURO) ปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 อยู่ที่ 5,040,000 ลิตรต่อเดือน ดูดซับไบโอดีเซลปริมาณ 1.008 ล้านลิตรต่อเดือน เทียบเท่า CPO 877,000 ตันต่อเดือน และ (2) รถ บขส. จำนวน 515 คัน
(ยังไม่รวมรถร่วมโดยสารปรับอากาศ) ปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 อยู่ที่ 2,100,000 ลิตรต่อเดือน
ดูดซับไบโอดีเซลปริมาณ 0.420 ล้านลิตรต่อเดือน เทียบเท่า CPO 365,000 ตันต่อเดือน ปัจจุบันการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในปี 2561 เฉลี่ย 63.03 ล้านลิตรต่อวัน ใช้ไบโอดีเซลอยู่ที่ 4.22 ล้านลิตรต่อวัน เทียบเท่า CPO 110,000 ตันต่อเดือน
3. ปัจจุบันมีมาตรการที่กำหนดให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 มีราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 3 บาทต่อลิตร ในขณะที่ผู้ประกอบการขนส่งซื้อน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในราคาที่ได้ส่วนลดอยู่แล้ว ซึ่งหากเปลี่ยนมาใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 20 จะได้ส่วนลดเพิ่มขึ้นประมาณ 1.00 - 1.50 บาทต่อลิตร และการเปลี่ยนมาใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 20 ในช่วงแรกจะมีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 10,000 บาทต่อคัน ดังนั้น หากมีการเพิ่มส่วนต่างราคาเป็น 5 บาทต่อลิตร เป็นเวลา 3 เดือน จะทำให้ผู้ประกอบการได้รับส่วนลดเพิ่มขึ้น ประมาณ 18,000 บาทต่อคันต่อ 3 เดือน (จากการใช้ประมาณ 3,000 ลิตรต่อคันต่อเดือน) ซึ่งจูงใจให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการมากยิ่งขึ้น
มติของที่ประชุม เห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 จากชดเชย
2.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 4.00 บาทต่อลิตร เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 ต่ำกว่าราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 5 บาทต่อลิตร เป็นระยะเวลา 3 เดือน และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ออกประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานเพื่อให้มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2561 ถึงวันที่
28 กุมภาพันธ์ 2562
เรื่องที่ 5 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สรุปสาระสำคัญ 1. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2561 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ 70.64 74.35 และ 88.39 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับลดลงจากวันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 2.76 4.09 และ 3.52 เหรียญสหรัฐฯ
ต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ 33.0779 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ราคาไบโอดีเซลช่วงวันที่ 5 พฤศจิกายน - 11 พฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ลิตรละ 22.30 บาท และราคาเอทานอล
ณ เดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ลิตรละ 23.31 บาท ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2561 มีสินทรัพย์รวม 39,582 ล้านบาท หนี้สินรวม 16,388 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 23,194 ล้านบาท แยกเป็นบัญชีน้ำมัน 28,105 ล้านบาท และบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 4,911 ล้านบาท
2. โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2561 ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 เป็นดังนี้ (1) อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อยู่ที่ 7.6800 1.7200 1.7200 -1.1800 -6.7800 0.2000 และ -2.5000 บาทต่อลิตร ตามลำดับ (2) ค่าการตลาด อยู่ที่ 3.2961 2.4250 2.5914 2.5163 3.6441 1.9198 และ 2.2762 บาทต่อลิตร ตามลำดับ และ (3) ราคาขายปลีก อยู่ที่ 36.84 29.45 29.18 26.44 20.94 29.59 และ 26.59 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ประมาณการสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2561 มีรายรับ
ในกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลประมาณ 929 ล้านบาทต่อเดือน มีรายรับจากกลุ่มน้ำมันดีเซลหมุนเร็วประมาณ 340 ล้านบาทต่อเดือน และภาพรวมกองทุนน้ำมันฯ มีรายรับ 1,279 ล้านบาทต่อเดือน
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่มีแนวโน้มราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้กองทุนน้ำมันฯ
มีเงินสะสมสำหรับสถานการณ์ที่ราคาน้ำมันตลาดโลกมีความผันผวน ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งจะส่งผลให้ค่าการตลาดเฉลี่ยของกลุ่มน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล และค่าการตลาดเฉลี่ยของน้ำมันทั้งหมด อยู่ที่ 2.27 และ 2.04 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ซึ่งจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของกลุ่มน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล ดังกล่าวจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเพิ่มขึ้น 279 ล้านบาทต่อเดือน จาก 1,311 ล้านบาทต่อเดือน เป็นมีรายรับ 1,590 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม เห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของกลุ่มน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล ดังนี้
น้ำมันเบนซิน เดิม 7.68 บาท/ลิตร ใหม่ 8.08 บาท/ลิตร เปลี่ยนแปลง +0.40 บาท/ลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 เดิม 1.72 บาท/ลิตร ใหม่ 2.12 บาท/ลิตร เปลี่ยนแปลง +0.40 บาท/ลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 เดิม 1.72 บาท/ลิตร ใหม่ 2.12 บาท/ลิตร เปลี่ยนแปลง +0.40 บาท/ลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 เดิม -1.18 บาท/ลิตร ใหม่ -0.78 บาท/ลิตร เปลี่ยนแปลง +0.40 บาท/ลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เดิม -6.78 บาท/ลิตร ใหม่ -6.38 บาท/ลิตร เปลี่ยนแปลง +0.40 บาท/ลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป