มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2558 (ครั้งที่ 2)
วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 13.00 น.
1. เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 55/2557
2. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนเมษายน 2558
3. แนวทางการจัดสรรเงินประเดิมสำหรับกลุ่มน้ำมันสำเร็จรูปและก๊าซ LPG
4. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายชวลิต พิชาลัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 55/2557 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ลงวันที่ 6 มิถุนายน 2557 โดยมีรองหัวหน้า คสช. (หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ) เป็นประธานกรรมการ และมีผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นกรรมการและเลขานุการ ซึ่งต่อมา เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2557 ได้มีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีเพื่อบริหารประเทศแทน คสช. ส่งผลทำให้คณะกรรมการตามคำสั่ง คสช. ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน ดังนั้น การประชุม กบง. จึงเป็นไปตามคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ 1/2557 เรื่อง แต่งตั้ง กบง. ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2557 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (รมว.พน.) เป็นประธานกรรมการ
2. เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2557 สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) แจ้งว่า หัวหน้า คสช. มีนโยบายให้คณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นโดยประกาศหรือคำสั่งของ คสช. บางคณะยังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ได้มอบหมายให้ สคก. ยกร่างพระราชบัญญัติ ซึ่งต่อมา พระราชบัญญัติการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการที่แต่งตั้งตามประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับ พ.ศ. 2558 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2558 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2558 ส่งผลให้ กบง. ตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 55/2557 เป็น กบง. ที่ กพช. แต่งตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วย กพช. ดังนั้น เพื่อให้ กบง. สามารถบริหารงานได้อย่างต่อเนื่องและสอดคล้องกับโครงสร้างการบริหารราชการในปัจจุบัน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เสนอขอเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ กบง. ตำแหน่งประธานกรรมการ จากรองหัวหน้า คสช. (หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ) เป็น รมว.พน. ซึ่งหัวหน้า คสช. ได้ลงนามในคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 1/2558 เรื่อง เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ กบง. ตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 55/2557 แล้ว เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2558
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมีนาคม 2558
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 เห็นชอบการคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก และการนำเข้า) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนเมษายน 2558 อยู่ที่ 464 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน 20 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนมีนาคม 2558 อยู่ที่ 32.7798 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนมีนาคม 2558 ที่ 0.0602 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับลดลง 0.3753 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 16.5898 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 16.2145 บาท ต่อกิโลกรัม
2. จากราคาก๊าซ LPG Pool ของเดือนเมษายน 2558 ที่ปรับลดลง 0.3753 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อให้ราคาสะท้อนต้นทุนการจัดหาที่ลดลง จึงขอคงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของก๊าซ LPG ที่ 0.3460 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ปรับลดลงจาก 24.16 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 23.79 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับ 131 ล้านบาทต่อเดือน
3. การกำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจาก บริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร จากมติ กบง. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 ที่กำหนดให้ราคาต้นทุนก๊าซ LPG (LPG Pool) มาจาก 3 แหล่ง ได้แก่ ต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง และการนำเข้า แต่เนื่องจากก๊าซ LPG ที่ผลิตได้จากโรงแยกก๊าซ บริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด สำนักคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ตีความว่า ไม่ได้เป็นก๊าซที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติจึงไม่สามารถคำนวณรวมกับโรงแยกก๊าซธรรมชาติได้ ดังนั้น กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ จึงได้คำนวณต้นทุนก๊าซ LPG ที่ผลิตได้จากแหล่ง ปตท.สผ.ฯ ให้ใหม่ โดยมีต้นทุนอยู่ที่ระดับ 13.90 บาทต่อกิโลกรัม (ประมาณ 420 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน)
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบกำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร ณ ระดับราคา 13.90 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2558 เป็นต้นไป
2. เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันและโรงอะโรเมติก นำเข้า และ ปตท.สผ.) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือนเท่าที่มีการรายงานจากกรมธุรกิจพลังงาน โดยที่อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เฉลี่ยเดือนก่อนหน้า
หลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก (LPG Pool)
3. เห็นชอบกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 0.5344 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2558 เป็นต้นไป
เรื่อง แนวทางการจัดสรรเงินประเดิมสำหรับกลุ่มน้ำมันสำเร็จรูปและก๊าซ LPG
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ได้มีมติเห็นชอบกรอบและแนวทางในการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยให้ลดการชดเชยข้ามประเภทเชื้อเพลิง (Cross Subsidy) เพื่อให้เป็นไปตามมติดังกล่าว จึงจำเป็นต้องมีการจัดสรรเงินประเดิมจากกองทุนน้ำมันฯ ที่ 39,082 ล้านบาท ณ วันที่ 29 มีนาคม 2558 ให้กับกลุ่มน้ำมันสำเร็จรูปและกลุ่มก๊าซ LPG เพื่อใช้ในการรักษาระดับราคาในช่วงที่ราคาน้ำมันตลาดโลกผันผวน
2. แนวทางในการการจัดสรรเงินประเดิมมี 2 แนวทาง ดังนี้
2.1 การจัดสรรเงินประเดิมจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามสัดส่วนการใช้ โดยในปี 2557 มีความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปและก๊าซ LPG ประมาณ 104 ล้านลิตรต่อวัน แบ่งเป็นความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปประมาณ 79.65 ล้านลิตรต่อวัน หรือร้อยละ 76.57 และความต้องการใช้ก๊าซ LPG ประมาณ 24.38 ล้านลิตรต่อวัน หรือร้อยละ 23.43 ถ้าจัดสรรเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 39,082 ล้านบาท ให้กับกลุ่มน้ำมันสำเร็จรูปและกลุ่มก๊าซ LPG ตามสัดส่วนการใช้ จะทำให้กลุ่มน้ำมันสำเร็จรูปมีเงินประเดิมที่ 29,924 ล้านบาท และกลุ่มก๊าซ LPG มีเงินประเดิมที่ 9,158 ล้านบาท
2.2 การจัดสรรเงินประเดิมจากกองทุนน้ำมันฯ ตามมูลค่าการใช้ที่ระดับราคา ณ โรงกลั่น ในปี 2557 มีมูลค่าการใช้น้ำมันสำเร็จรูปและก๊าซ LPG ที่ระดับราคา ณ โรงกลั่นประมาณ 1,493 ล้านบาทต่อวัน โดยแยกเป็นมูลค่าการใช้น้ำมันของสำเร็จรูปประมาณ 1,274 ล้านบาทต่อวัน หรือร้อยละ 85 และมูลค่าการใช้ก๊าซ LPG ประมาณ 218 ล้านบาทต่อวัน หรือร้อยละ 15 ถ้าจัดสรรเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ 39,082 ล้านบาท ให้กับกลุ่มน้ำมันสำเร็จรูปและกลุ่มก๊าซ LPG ตามมูลค่าการใช้ที่ระดับราคา ณ โรงกลั่น จะทำให้กลุ่มน้ำมันสำเร็จรูปมีเงินประเดิมที่ประมาณ 33,365 ล้านบาท และกลุ่มก๊าซ LPG มีเงินประเดิมที่ประมาณ 5,717 ล้านบาท
ดังนั้น เพื่อให้การจัดสรรเงินประเดิมจากกองทุนน้ำมันฯ เป็นไปอย่างเหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า ควรใช้แนวทางที่ 2 เนื่องจากการจัดสรรเงินประเดิม โดยใช้สัดส่วนของมูลค่า ได้มีการคำนึงถึงปริมาณ และราคาของแต่ละชนิดน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้จัดสรรเงินประเดิมจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่กลุ่มน้ำมันสำเร็จรูปและกลุ่มก๊าซ LPG ตามมูลค่าการใช้ที่ระดับราคา ณ โรงกลั่นในปี 2557 โดยกลุ่มน้ำมันสำเร็จรูปมีเงินประเดิมที่ประมาณ 33,365 ล้านบาท และกลุ่มก๊าซ LPG มีเงินประเดิมที่ประมาณ 5,717 ล้านบาท โดยมอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานรับไปดำเนินการต่อไป ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2558
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ณ วันที่ 29 มีนาคม 2558 กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีฐานะสุทธิอยู่ที่ 39,082 ล้านบาท หากพิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเชื้อเพลิงบางชนิดลง จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันฯ ในประเทศปรับลดลงได้อีก ที่ประชุมฯ จึงเห็นสมควรพิจารณาปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและสอดคล้องกับกรอบและแนวทางในการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557
2. ข้อเสนอการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ มีดังนี้ (1) น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ปัจจุบันอยู่ที่ 2.05 บาทต่อลิตร หากปรับลดลง 1.00 บาทต่อลิตร จะทำให้ปรับลดราคา ขายปลีกน้ำมันลงได้ 1.00 บาทต่อลิตร (2) น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 ปรับลดลง 1.00 บาทต่อลิตร จากเดิม 2.25 บาทต่อลิตร เป็น 1.25 บาทต่อลิตร จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันลดลง 1.00 บาทต่อลิตร และ (3) น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 E10 ปรับลดลง 0.50 บาทต่อลิตร จากเดิม 1.25 บาทต่อลิตร เป็น 0.75 บาทต่อลิตร จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันลดลง 0.50 บาทต่อลิตร โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2558 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ในส่วนของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 และ E20 ปัจจุบันมีค่าการตลาดอยู่ในระดับที่ 3.9393 และ 2.2473 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ผู้ค้าน้ำมันควรพิจารณาปรับลดราคาขายปลีกลงเพื่อทำให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับที่เหมาะสม
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2558 เป็นต้นไป