มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2557 (ครั้งที่ 4)
วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.00 น.
1. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน จำนวน 11 คณะ
2. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ) พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายชวลิต พิชาลัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน จำนวน 11 คณะ
1. เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2557 กบง. ได้มีมติมอบหมายให้ สนพ. ไปจัดตั้งคณะอนุกรรมการที่มีภาระกิจต้องดำเนินการต่อเนื่อง โดยคณะอนุกรรมการที่มีอำนาจหน้าที่คล้ายกันให้รวมเป็นคณะเดียว และนำเสนอร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการให้ประธาน กบง. พิจารณาและลงนามแต่งตั้งต่อไป
2. สนพ. ได้ดำเนินการพิจารณาอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการภายใต้ กบง. โดยแบ่งออกเป็น 4 ด้าน ประกอบด้วย (1) ด้านแผน โครงสร้างราคา และความมั่นคงด้านพลังงาน (2) ด้านการอนุรักษ์พลังงานและประสิทธิภาพพลังงาน (3) ด้านการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก และ (4) ด้านการต่างประเทศ และต่อมาเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2557 ประธาน กบง. ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจำนวน 11 คณะ ได้แก่ (1) คณะอนุกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (2) คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (3) คณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน (4) คณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยและการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิต (5) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พลังงานของประเทศทั้งด้านความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (6) คณะอนุกรรมการด้านมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน (7) คณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) (8) คณะอนุกรรมการบริหารจัดการเชื้อเพลิงเอทานอลและไบโอดีเซล (9) คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตพลังงานจากขยะ (10) คณะอนุกรรมการประสานนโยบายและความร่วมมือพหุภาคีด้านพลังงานกับต่างประเทศ และ (11) คณะอนุกรรมการประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทยกับประเทศ เพื่อนบ้าน ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปอำนาจหน้าที่ และกรอบแผนการดำเนินงานเบื้องต้นของคณะอนุกรรมการทั้ง 11 คณะ ให้ที่ประชุมทราบ
เรื่องที่ 2 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ โดยให้คำนึงถึง (1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 16 กรกฎาคม 2557 พบว่าค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 2.5272 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าระดับที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 17 กรกฎาคม 2557 อยู่ที่ 1.5574 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกไม่เปลี่ยนแปลง
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 29 กรกฎาคม 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคา น้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 15 กรกฎาคม 2557 พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบและน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.50 และ 0.65 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 106.20 และ 118.99 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนน้ำมันเบนซิน 95 ปรับตัวลดลง 6.79 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 116.69 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 29 กรกฎาคม 2557 อยู่ที่ 31.9482 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.3520 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันของวันที่ 30 กรกฎาคม 2557 อยู่ที่ 29.85 บาทต่อลิตร ลดลง 1.36 บาทต่อลิตร เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่ 30 กรกฎาคม 2557 ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2557 อยู่ที่ 1.7832 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่า ค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 ประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่แข็งค่าขึ้น 0.3520 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.23 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันเบนซิน (MOPS) เฉลี่ย 3 วันลดลง 6.5667 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 1.23 บาทต่อลิตร (3) ราคาขายปลีกที่ลดลง 0.50 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.50 บาทต่อลิตร ส่วนปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่แข็งค่าขึ้น 0.3520 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.25 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันเพิ่มขึ้น 0.48 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดลดลง 0.08 บาทต่อลิตร (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 ลดลง 1.36 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดลดลง 0.08 บาทต่อลิตร ดังนั้น ต้นทุนน้ำมันที่ปรับตัวลดลงดังกล่าว เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ค่าการตลาดของน้ำมัน แก๊สโซฮอล 95 E10 และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น
ดังนั้น เพื่อรักษาค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน น้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน และกลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอลขึ้นลิตรละ 0.60 บาทต่อลิตร และปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.30 บาท ซึ่งผลจากการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาด ของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.48 บาทต่อลิตร น้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10, 91 E10, E20 และ E85 อยู่ที่ 2.7073 1.7772 1.8112 1.9219 และ 5.8016 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นประมาณ 31.40 ล้านบาท จากมีรายรับวันละ 27.79 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 59.19 ล้านบาท ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 27 กรกฎาคม 2557 มีทรัพย์สินรวม 8,176 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 17,116 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 8,940 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2557 เป็นต้นไป