มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 36/2554 (ครั้งที่ 94)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องบัญชาการยุทธศาสตร์ ชั้น 25 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ
3. การปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิง
4. แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 เรื่อง นโยบายการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ดังนี้
(1) ขยายระยะเวลาตรึงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในระดับราคา 8.50 บาทต่อกิโลกรัม และคงอัตราเงินชดเชยในอัตรา 2 บาทต่อกิโลกรัม ต่อไปตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 จนถึงวันที่ 15 มกราคม 2555 เพื่อเตรียมความพร้อมเรื่องบัตรเครดิตพลังงานและการปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ LPG เป็น NGV (2) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึงเดือนธันวาคม 2555 เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ใช้ NGV มากเกินไป (3) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - เมษายน 2555 (4) เพื่อบรรเทาผลกระทบจากแนวทางการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ โดยมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปพิจารณาหาแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มดังกล่าวต่อไป
2. ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 ปริมาณการจำหน่ายก๊าซ NGV 6,903 ตันต่อวัน (ประมาณ 248 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน) และมีสถานีบริการก๊าซ NGV 457 สถานี แบ่งเป็นสถานีแม่ 19 สถานี สถานีลูก 438 สถานี ครอบคลุม 52 จังหวัด โดยมีรถก๊าซ NGV สะสม 291,180 คัน แบ่งเป็นรถเบนซิน 196,889 คัน รถดีเซล 39,194 คัน และรถ OEM 55,097 คัน ทั้งนี้ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระเงินชดเชยราคาขายปลีกก๊าซ NGV ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2553 - กันยายน 2554 สะสมประมาณ 6,621 ล้านบาท
3. เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอ ดังนี้
3.1 การปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 ดังนี้
(1) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึงเดือนธันวาคม 2555
(2) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยของก๊าซ NGV ลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - เมษายน 2555
3.2 การบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊ก และรถตู้ร่วมโดยสาร ขสมก.) ดังนี้
(1) ให้มีการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะจากผู้ค้าน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 16 -31 มกราคม 2555 ในอัตรา 0.50 บาทต่อกิโลกรัม และให้ทยอยปรับขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 3 ครั้ง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน 2555
(2) ให้คงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะจากผู้ค้าน้ำมันเดือนละ 2.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - ธันวาคม 2555
ทั้งนี้ เงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามข้อ 3.2(1) และ 3.2(2) สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะที่เก็บได้ จะนำไปใช้เป็นเงินส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในโครงการบัตรเครดิตพลังงานต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบข้อเสนอแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้
1.1 การปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 ดังนี้
(1) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึงเดือนธันวาคม 2555
(2) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยของก๊าซ NGV ลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - เมษายน 2555
1.2 การบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊ก และรถตู้ร่วมโดยสาร ขสมก.)
(1) ให้มีการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะจากผู้ค้าน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 16 -31 มกราคม 2555 ในอัตรา 0.50 บาทต่อกิโลกรัม และให้ทยอยปรับขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 3 ครั้ง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน 2555
(2) ให้คงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะจากผู้ค้าน้ำมันเดือนละ 2.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - ธันวาคม 2555
ทั้งนี้ เงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามข้อ 1.2 สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะที่เก็บได้ จะนำไปใช้เป็นเงินส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในโครงการบัตรเครดิตพลังงานต่อไป
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังางน เรื่อง อัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ และอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ให้เป็นไปตามแนวทางตามข้อ 1 ต่อไป
3. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นผู้ตรวจสอบปริมาณการจำหน่ายก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ
เรื่องที่ 2 โครงการบัตรเครดิตพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. คำแถลงนโยบายของรัฐบาลเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ข้อ 1 นโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการในปีแรก ข้อ 1.7 แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.2 จัดให้มีบัตรเครดิตพลังงานและบัตรคูปองสำหรับผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะในวงเงินที่เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้จริงต่อเดือน และ ข้อ 3 นโยบายเศรษฐกิจ ข้อ 3.5 นโยบายพลังงาน ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีราคาเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่ง และส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 เรื่อง นโยบายการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ดังนี้ (1) ขยายระยะเวลาตรึงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในระดับราคา 8.50 บาทต่อกิโลกรัม และคงอัตราเงินชดเชยในอัตรา 2 บาทต่อกิโลกรัม ต่อไปตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 จนถึงวันที่ 15 มกราคม 2555 เพื่อเตรียมความพร้อมเรื่องบัตรเครดิตพลังงานและการปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ LPG เป็น NGV (2) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึงธันวาคม 2555 เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ใช้ NGV มากเกินไป (3) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม- เดือนเมษายน 2555 (4) เพื่อบรรเทาผลกระทบจากแนวทางการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ โดยมอบให้ กบง. รับไปพิจารณาหาแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มดังกล่าวต่อไป
3. เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล จึงจำเป็นต้องดำเนินการจัดทำโครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะในวงเงินที่เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้จริงต่อเดือน เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊ก และรถตู้ร่วมโดยสาร ขสมก.) ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอแนวทางการดำเนินการจัดทำบัตรเครดิตพลังงาน ดังนี้
(1) หลักการการให้บัตรเครดิตพลังงาน จัดทำบัตรเครดิตพลังงานให้กับคนขับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะที่ใช้ก๊าซ NGV เป็นเชื้อเพลิงเป็น "รายบุคคล" โดยสถานีบริการก๊าซ NGV ที่เข้าร่วมโครงการอยู่ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล ประมาณ 200 แห่ง เริ่มโครงการใช้บัตรเครดิตพลังงานได้ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2554
(2) วิธีการใช้บัตรเครดิตพลังงาน ต้องใช้บัตร 2 ใบ ควบคู่กัน ดังนี้ (1) บัตรเติมก๊าซ NGV เป็นบัตร Magnetic ประจำรถแต่ละคัน (2) บัตรเครดิตพลังงาน เป็นบัตร Magnetic + Chip รายบุคคล
(3) เงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตพลังงาน วงเงินเครดิต 3,000 บาทต่อบัตร ผู้ใช้บัตรจะได้รับเครดิตพร้อมส่วนลดตามกำหนดจนครบวงเงิน เมื่อใช้วงเงินครบ 3,000 บาท แต่ยังไม่ถึงรอบการชำระเงิน ผู้ใช้บัตรยังคงได้รับส่วนลดตามกำหนด แต่ต้องชำระเป็นเงินสดแทน โดยธนาคารจะตัดยอดชำระเงินทุกวันที่ 25 ของทุกเดือน และกำหนดวันที่ต้องชำระเงินภายในสิ้นเดือน ทั้งนี้ การชำระเงินต้องชำระเต็มวงเงินเท่านั้น (ไม่สามารถชำระบางส่วนได้) เมื่อชำระเงินแล้ววงเงินจะกลับไปที่ 3,000 บาท หากไม่ชำระเงินตามระยะเวลาที่กำหนด ให้ถือว่าผิดเงื่อนไขการใช้บัตรฯ และต้องเสียค่าธรรมเนียมในการชำระล่าช้า ดังนั้น ผู้ใช้บัตรจะไม่ได้รับส่วนลดและต้องชำระค่าก๊าซ NGV ด้วยเงินสด ในกรณีที่ผู้ใช้บัตรไม่ชำระเงินตามกำหนดเกิน 2 เดือน ธนาคารจะยกเลิกสิทธิการใช้บัตรดังกล่าว และขึ้นบัญชีไม่สามารถสมัครได้อีก
(4) อัตราเงินชดเชยส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้เท่ากับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะจากผู้ค้าน้ำมัน
(5) การใช้บัตรเครดิตพลังงานเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2558 และการให้ส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - 31 ธันวาคม 2558
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบโครงการบัตรเครดิตพลังงาน ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ
2. เห็นชอบอัตราเงินชดเชยส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
เรื่องที่ 3 การปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิง
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2554 ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิงจากต้นทุนการผลิต (Cost Plus) เช่นเดิมต่อไปอีก 3 เดือน จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554 โดยมอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ หารือกับกรมการค้าภายใน เพื่อพิจารณาการนำหลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงโครงการประกันรายได้ของกรมการค้าภายในมาปรับใช้กับการกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอล และรายงานผลให้ กบง. พิจารณาต่อไป
2. เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2554 กรมการค้าภายใน (คน.) และ สนพ. ได้หารือร่วมกัน เพื่อศึกษาถึงวิธีการประกาศราคาล่วงหน้า และการสืบราคาซื้อขายจริงในตลาด โดยกรมการค้าภายในชี้แจ้งว่าลักษณะของสินค้าของทางเกษตรต่างกันกับสินค้าพลังงาน ซึ่งอาจมีปัญหาในการให้ข้อมูลที่แท้จริง เนื่องจากกระทรวงพลังงานไม่มีกฎหมายบังคับให้รายงานข้อมูล และที่ประชุมเห็นว่า หากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 และโรงงานเอทานอลไม่ยินดีให้ความร่วมมือ สนพ. ควรนำข้อมูลหารือกับทางกรมสรรพสามิต เพื่อขอข้อมูลปริมาณและราคาซื้อขายเฉลี่ยของผู้ค้าเอทานอล เป็นข้อมูลในการกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอล
3. เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2554 สนพ. ได้ประชุมหารือร่วมกับกรมสรรพสามิต โดยกรมสรรพสามิตยินดีให้ข้อมูลการซื้อขายเอทานอลระหว่างผู้ผลิตเอทานอลกับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ซึ่งตามปกติผู้ผลิตต้องแจ้งราคา และปริมาณการขายล่วงหน้าของแต่ละเดือนต่อกรมสรรพสามิตก่อนสิ้นเดือนก่อนหน้า เพื่อใช้ในการขอยกเว้นภาษีสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 8 เบญจ ให้ผู้รับใบอนุญาตทำสุราแจ้งราคาขาย ณ โรงงานสุราต่ออธิบดีตามแบบ และภายในระยะเวลาที่อธิบดีกำหนด
4. กรมสรรพสามิตจะจัดข้อมูลส่งให้ สนพ. ซึ่งข้อมูลการขายเอทานอลรายบริษัท (ไม่ระบุชื่อบริษัท) โดย สนพ. จะนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการคำนวณ โดยสามารถออกประกาศราคาอ้างอิงเอทานอลล่วงหน้าได้ ทุกวันที่ 1 ของเดือนถัดไป
5. หลักเกณฑ์การคำนวณราคาประกาศเอทานอลอ้างอิงใหม่ เป็นดังนี้
6. จากการเปรียบเทียบราคาเอทานอลอ้างอิงสูตรเดิมกับสูตรใหม่ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - กันยายน 2554 พบว่าราคาเอทานอลอ้างอิงสูตรใหม่จะมีราคาต่ำกว่าสูตรเดิมประมาณ 2 บาทต่อลิตร ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิงใหม่แทนการใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคาจากต้นทุนการผลิต (Cost Plus) โดยออกประกาศทุกวันที่ 1 ของเดือน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิงใหม่ โดยใช้ข้อมูลการซื้อขายเอทานอลระหว่างผู้ผลิตเอทานอล กับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 จากกรมสรรพสามิต แทนที่การใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิงจากต้นทุนการผลิต (Cost-plus) โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานออกประกาศทุกวันที่ 1 ของเดือน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 4 แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล
สรุปสาระสำคัญ
1. จากมติ กบง. เมื่อวันที่ 26 และ 30 สิงหาคม 2554 เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และน้ำมันแก๊สโซฮอล ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 มีราคาเท่ากับน้ำมันเบนซิน 91ที่ระดับราคา 35.87 บาทต่อลิตร โดยปริมาณการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลในเดือนกันยายน 2554 อยู่ที่ 9.90 ล้านลิตรต่อวัน ลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2.63 ล้านลิตรต่อวัน ขณะที่ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินเดือนกันยายน อยู่ที่ 10.16 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2.92 ล้านลิตรต่อวัน จากปริมาณการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลที่ลดลงทำให้ปริมาณการใช้ปริมาณการใช้เอทานอลเดือนกันยายน อยู่ที่ 1.08 ล้านลิตรต่อวัน ลดลงจากเดือนกรกฎาคม 0.26 ล้านลิตรต่อวัน
2. เนื่องจากค่าความร้อนของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน 91 ประมาณร้อยละ 3 ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันเบนซิน 91 อยู่ที่ 35.87 บาทต่อลิตร ดังนั้น ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ควรมีราคาต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน 91 ประมาณ 1.08 บาทต่อลิตร และเพื่อส่งเสริมให้มีการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลมากขึ้น จึงควรปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 เพื่อทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ถูกกว่าน้ำมันเบนซิน 91 โดยปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ลง 1.20 บาทต่อลิตร จาก 1.40 บาทต่อลิตร เป็น 0.20 บาทต่อลิตร ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน 91 ที่ 1.28 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกลุ่มเบนซินมีภาระชดเชยเพิ่มขึ้นจาก 103 ล้านบาทต่อเดือน เป็น 256 ล้านบาทต่อเดือน โดยคาดว่าผู้ใช้น้ำมันจะหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลเพิ่มขึ้นส่งผลให้ปริมาณการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.14 ล้านลิตรต่อวัน
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ลง 1.20 บาทต่อลิตร จาก 1.40 บาทต่อลิตร เป็น 0.20 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2554 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 ได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 โดยเห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานต่อประชาชนตามนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับ "มาตรการช่วยเหลือกลุ่มรถแท็กซี่" โดยให้กระทรวงพลังงานจัดทำมาตรการช่วยเหลือรถแท๊กซี่โดยปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนเป็น NGV ประมาณ 30,000 คัน ให้มาใช้ NGV โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ คันละ 40,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 1,200 ล้านบาท
2. กบง. เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2552 มีมติเห็นชอบแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาเป็น NGV จำนวนประมาณ 30,000 คัน และอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อบริหารโครงการฯ เป็นเงิน 12,400,000 บาท รวมทั้งอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ สำหรับแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาเป็น NGV จำนวน 30,000 คัน คันละประมาณ 40,000 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,200 ล้านบาท
3. เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2552 กบง. ได้มีมติเห็นชอบเรื่อง ขอปรับปรุงแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท๊กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ดังนี้ 1) จัดสรรค่าใช้จ่ายเป็น 2 ส่วน คือ (1) จัดซื้อโดยวิธี e-auction ถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ โดยแบ่งเป็น 3 งวดคือ งวดแรก 15,000 ชุด งวดที่สอง 10,000 ชุด และงวดที่สาม 5,000 ชุด (2) เงินสนับสนุนค่าติดตั้งถัง NGV และประกันหลังการขาย 1 ปี ของอู่ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินคันละ 5,000 บาท 2) ให้แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการในการให้เงินสนับสนุนสำหรับค่าบริการการติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ และการประกันหลังการขาย และ 3) ให้เปลี่ยนแปลงระยะเวลาการดำเนินการเป็นประมาณ 10 เดือน และเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2554 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ได้มีมติอนุมัติให้กรมธุรกิจพลังงานยกเลิกการดำเนินงานโครงการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารโครงการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
4. การดำเนินการที่ผ่านมา สป.พน. ได้เปิดรับสมัครรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ที่มีความประสงค์จะเปลี่ยนอุปกรณ์เป็น NGV จำนวน 2 ครั้ง ปรากฏว่ามีรถแท็กซี่ยื่นสมัคร จำนวน 5,649 คัน ซึ่งน้อยกว่าถัง NGV ที่จะจัดหาจำนวน 9,351 คัน ทั้งนี้ ในการจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) ได้บอกเลิกสัญญากับบริษัท ออโต้แพน จำกัด (ผู้ขาย) เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2554 เนื่องจากผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของตามระยะเวลาที่กำหนด และได้ยึดหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาจำนวน 12,525,000 บาท
5. เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2554 กระทรวงพลังงานได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงาน (TOR) และร่างเอกสารประกวดราคาจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ จำนวน 15,000 ชุด ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ และคณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงานฯ ได้มีความเห็นดังนี้
1) ปัจจุบันมีรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ได้ยื่นความประสงค์ที่จะขอเปลี่ยนอุปกรณ์ LPG ให้เป็นรถแท็กซี่ NGV จำนวน 5,649 คัน หาก สป.พน. ประสงค์ที่จะดำเนินการจัดซื้อจำนวน 15,000 คัน อาจมีจำนวนถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ ที่สั่งซื้อเกินกว่าจำนวนแท็กซี่ที่สมัครเข้าร่วมโครงการ ซึ่งอาจเกิดความเสียหายแก่รัฐ
2) การจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ 15,000 ชุด ในวงเงิน 525,000,000 บาท เป็นราคาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ปัจจุบันราคาของอุปกรณ์ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ลดลง หากใช้วงเงินเดิมอาจทำให้ สป.พน. ต้องจัดซื้ออุปกรณ์ในราคาสูงกว่าราคาที่เหมาะสม
3) การจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ จำนวน 15,000 ชุด ได้ใช้ขอบเขตของงาน (TOR) ที่มีสาระสำคัญแตกต่างจาก เดิม ดังนี้ (1) เปลี่ยนสัญญาเป็นแบบ "สัญญาจะซื้อจะขายแบบราคาคงที่ไม่จำกัดปริมาณ" (2) ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการส่งมอบของ การตรวจรับ และการจ่ายเงิน โดย สป.พน. จะเป็นผู้กำหนดจำนวนการส่งมอบเป็นครั้งๆ และจ่ายเงินภายใน 20 วัน หลังจากการตรวจรับถูกต้องครบถ้วน และ (3) ทบทวนวงเงินจัดซื้อใหม่ให้เป็นราคาอ้างอิงกับสถานการณ์ปัจจุบัน
6. เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2554 สป.พน. ได้แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำราคาถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ เพื่อดำเนินงานตามแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ฯ ซึ่งคณะทำงานฯ ได้จัดทำราคาถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบฯ ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ค่าดำเนินการรวมผลกำไรและภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมเป็นเงิน 366,455,756.7 บาท คิดเป็นเงินประมาณการสำหรับจำนวน 15,000 ชุด เป็นเงิน 366,455,000 บาท
7. เพื่อให้แผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV สามารถดำเนินงานได้ตามวัตถุประสงค์ กระทรวงพลังงานขอเสนอดังนี้
7.1 อนุมัติให้จัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ จำนวน 15,000 ชุด งวดแรก ดำเนินการด้วยวิธี e-auction โดยทำสัญญาเป็นแบบ "สัญญาจะซื้อจะขายแบบราคาคงที่ไม่จำกัดปริมาณ" ภายใต้วงเงิน 366,455,000 บาท
7.2 อนุมัติให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อบริหารโครงการฯ เป็นเงิน 12,400,000 บาท ตามที่ กบง. ได้มีมติไว้ในการประชุมเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2552
7.3 ขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการฯ ออกไปอีก 10 เดือนนับถัดจากวันลงนามในสัญญาการบริหารโครงการ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานดำเนินงานตามแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ดังนี้
1. อนุมัติให้จัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ งวดที่ 1 จำนวน 15,000 ชุด ดำเนินการด้วยวิธี e-auction โดยทำสัญญาเป็นแบบ "สัญญาจะซื้อจะขายแบบราคาคงที่ไม่จำกัดปริมาณ" ภายใต้วงเงิน 366,455,000 บาท (สามร้อยหกสิบหกล้านสี่แสนห้าหมื่นห้าพันบาทถ้วน)
2. อนุมัติให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อบริหารงานโครงการตามแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV จำนวนเงิน 12,400,000 บาท ตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ได้มีมติเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2552 ทั้งนี้ ให้ใช้จ่ายเงินได้ภายในวงเงินคงเหลือจากที่เคยดำเนินการและเบิกจ่ายไปแล้ว โดยให้มีระยะเวลาการดำเนินงาน 10 เดือน นับถัดจากวันลงนามในสัญญาการบริหารโครงการ