มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 37/2554 (ครั้งที่ 95)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องบัญชาการยุทธศาสตร์ ชั้น 25 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid)
2. โครงการฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง
3. แผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2555
4. ผลการตรวจสอบการเบิก-จ่ายและควบคุมเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2553 มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2553 โดยเห็นชอบแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2553-2573 (PDP2010) ซึ่งเป็นแผนหลักในการพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้ากำลัง การรักษาสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านพลังงานที่ยั่งยืน และการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เพื่อให้การวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้จัดประชุมหารือเรื่อง แนวทางการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (ระบบ Smart Grid) ในประเทศไทย เพื่อร่วมระดมความคิดในการวางแนวทางศึกษาและพัฒนาระบบ Smart Grid ที่ชัดเจน และมีประสิทธิภาพ โดยวางแนวทางศึกษาและพัฒนาให้สอดคล้องกับนโยบายพลังงาน และเป้าหมายของแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2553-2573 (PDP2010) ที่ใช้ในปัจจุบัน
3. ระบบ Smart Grid หมายถึง ระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และสื่อสาร มาบริหารจัดการ การควบคุมการผลิต การส่ง และการจ่ายพลังงานไฟฟ้า สามารถรองรับการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานทางเลือกที่สะอาด หรือระบบแหล่งผลิตไฟฟ้ากระจายตัว (Distributed Generation: DG) และระบบบริหารการใช้สินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งให้บริการกับผู้เชื่อมต่อกับโครงข่ายผ่านมิเตอร์อัจฉริยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความมั่นคง และมึคุณภาพเชื่อถือได้
4. การพัฒนาระบบ Smart Grid ตั้งอยู่บนพื้นฐานความจำเป็นหลัก 2 ด้าน คือ (1) สถานการณ์ทางด้านพลังงานและด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงจากทรัพยากรธรรมชาติ การช่วยส่งเสริมการผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทน และการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (2) โครงสร้างพื้นฐานทางด้านพลังงาน ได้แก่ การเพิ่มความมั่นคงของระบบกำลังไฟฟ้า การเพิ่มคุณภาพในการให้บริการ และการรองรับการพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในอนาคต
5. ระบบ Smart Grid ประกอบด้วยเทคโนโลยีหลายอย่าง ได้แก่ เทคโนโลยีด้านการตรวจวัด การรับส่งสัญญาณข้อมูลและการทำงานร่วมกับอุปกรณ์และระบบไฟฟ้าอื่นๆ โดยองค์ประกอบทางด้านเทคโนโลยีของระบบ Smart Grid ทั้งหมด ประกอบด้วย เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technology, ICT) เทคโนโลยีการผลิตพลังงานไฟฟ้า การส่งจ่ายไฟฟ้า (Distributed Generation) เทคโนโลยีการควบคุมโครงข่ายไฟฟ้าอัตโนมัติ (Substation Automation) และเทคโนโลยีมิเตอร์อัจฉริยะ (Advanced Metering Infrastructure: AMI) โดยประโยชน์ที่ได้จากการพัฒนาระบบ Smart Grid คือ (1) เพิ่มความเชื่อถือและความมั่นคงของระบบส่งจ่ายไฟฟ้า ผู้ใช้ไฟฟ้ามีส่วนร่วมในการทำงานของระบบ Smart Grid มากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของการไฟฟ้า ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดปริมาณการใช้น้ำมัน
6.เพื่อให้การศึกษาแนวทางการพัฒนา และการจัดทำร่างแผนการพัฒนาระบบ Smart Grid ในประเทศมีความสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาด้านพลังงานของประเทศ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบ Smart Grid ภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) โดยมีผู้อำนวยการ สนพ. เป็นประธานอนุกรรมการ และอนุกรรมการประกอบด้วย ผู้แทน สนพ. ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้แทนกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ผู้แทนการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ผู้แทนกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้แทนสภาอุตสาหกรรม ผู้ทรงคุณวุฒิ (3 ท่าน) โดยมีผู้อำนวยการสำนักนโยบายไฟฟ้า สนพ. อนุกรรมการและเลขานุการ และผู้อำนวยการกลุ่มจัดหาพลังงานไฟฟ้า สนพ. เป็นอนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ โดยคณะอนุกรรมการฯ มีอำนาจหน้าที่เพื่อศึกษาแนวทางและจัดทำร่างแผนการพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ของประเทศไทย และปฏิบัติงานอื่น ๆ ตามที่ กบง. หรือประธาน กบง. มอบหมาย รวมทั้งรายงานผลการปฏิบัติงานต่อ กบง. ทราบ หรือพิจารณาเป็นระยะๆ ตามความเหมาะสม
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบ Smart Grid โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ตามข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการฯ
เรื่องที่ 2 โครงการฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. การเกิดปัญหาอุทกภัยรุนแรงในหลายพื้นที่ของประเทศ ส่งผลกระทบให้สถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง (สถานีบริการน้ำมัน สถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว สถานีบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว รถขนส่งน้ำมัน และรถขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว) ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เห็นว่าควรจะต้องสนับสนุนและช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการซ่อมแซมและฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง ให้กลับมาให้บริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยโดยเร็ว โดยจากการประเมินสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับผลกระทบและเสียหายจากน้ำท่วม ประกอบด้วย สถานีบริการน้ำมัน สถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว สถานีบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว ประมาณ 1,200 แห่ง รถขนส่งน้ำมันและรถขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว ประมาณ 900 คัน โดยประมาณการค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงินประมาณ 600 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2554 ธพ. ได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อขอความเห็นชอบโครงการฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง โดยขออนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อดำเนินงาน ในวงเงิน 180 ล้านบาท และนำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป
2. โครงการฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ให้สามารถซ่อมแซมอุปกรณ์ที่ได้รับความเสียหายให้กลับคืนสู่สภาพการใช้งานปกติ สามารถเปิดให้บริการจำหน่ายน้ำมันที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัยต่อประชาชนโดยเร็ว เป็นการป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศ ลักษณะโครงการเป็นการช่วยเหลือภาระดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยแก่สถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ได้แก่ (1) สถานีบริการน้ำมัน ขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ จำนวน 270 500 และ 200 แห่ง ตามลำดับ (2) สถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว ขนาดเล็ก 120 แห่ง และขนาดใหญ่ 70 แห่ง (3) สถานีบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว ขนาดเล็ก 30 แห่ง และขนาดใหญ่ 10 แห่ง (4) รถขนส่งน้ำมัน แบ่งเป็น รถสิบล้อ 500 คัน และรถกึ่งพ่วง 300 คัน และ (5) รถขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว แบ่งเป็น รถสิบล้อ 50 คัน และรถกึ่งพ่วง 50 คัน
3. กระทรวงพลังงานโดย ธพ. ขออนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 180 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือภาระดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจฯ ซึ่งคิดดอกเบี้ยในอัตราคงที่ร้อยละ 8 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา โดยกระทรวงพลังงานจะชดเชยดอกเบี้ยให้ในอัตราคงที่ร้อยละ 5 ต่อปี เรียกเก็บดอกเบี้ยจากผู้กู้ในอัตราคงที่ร้อยละ 3 ต่อปี ระยะเวลากู้ยืมสูงสุดไม่เกิน 6 ปี โดยมีระยะเวลาปลอดชำระคืนเงินต้น (Grace Period) ไม่เกิน 2 ปี ในวงเงินอนุมัติสินเชื่อรวมของโครงการ จำนวน 600 ล้านบาท แก่สถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยซึ่งกู้เงินเพื่อนำไปฟื้นฟูและซ่อมแซมสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิงให้กลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว โดยระยะเวลาดำเนินการให้สถานประกอบการยื่นกู้เงิน ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2554 - มีนาคม 2555
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อดำเนินงาน "โครงการฟื้นฟูสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง" ในวงเงิน 180 ล้านบาท (หนึ่งร้อยแปดสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อจ่ายชดเชยภาระดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่สถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งกู้เงินจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ในวงเงินอนุมัติสินเชื่อรวมของโครงการจำนวนเงิน 600 ล้านบาท โดยชดเชยดอกเบี้ยให้ในอัตราคงที่ร้อยละ 5 ต่อปีของยอดหนี้โครงการ ระยะเวลาชดเชยไม่เกิน 6 ปีนับตั้งแต่วันเบิกเงินกู้งวดแรกของผู้กู้แต่ละราย โดยให้กรมธุรกิจพลังงาน ตรวจสอบเอกสารเบิกเงินชดเชยที่ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยเรียกเก็บ กับข้อมูลการกู้เงินที่พลังงานจังหวัดจัดส่งให้ แล้วจัดส่งให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ดำเนินการจ่ายเงินชดเชยให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยโดยตรงต่อไป
ทั้งนี้ ในกรณีที่ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ให้นำอัตราดังกล่าวไปปรับลดอัตราดอกเบี้ยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จ่ายชดเชย โดยในส่วนของผู้ประกอบการให้จ่ายดอกเบี้ยในอัตราคงที่ร้อยละ 3 ต่อปี
เรื่องที่ 3 แผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2555
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 กบง. ได้มีมติอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2551-2555 ให้หน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 173,679,300 บาท พร้อมทั้งสนับสนุนเงินในงบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน 350 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2552 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2553 กบง. ได้อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2554 ให้หน่วยงานต่างๆ ข้างต้น เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 39,376,9000 บาท ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. เป็นจำนวนเงิน 21,635,700 บาท, 9,957,000 บาท, 3,850,700 บาท, 1,494,400 บาท, 1,635,100 บาท ตามลำดับ และอนุมัติค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร 804,000 บาท
2. สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. ได้รายงานผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารตามที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ 2554 จำนวน 39,376,900 บาท โดย ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2554 มีจำนวนเงินที่ใช้จ่ายจริงรวมทั้งสิ้น 18,826,175 บาท คิดเป็นร้อยละ 47.81 โดยพบว่า สป.พน. และ สบพน. มีจำนวนเงินที่ใช้จ่ายจริงต่ำกว่าที่ได้รับอนุมัติ โดย สป.พน. และ สบพน. มีการใช้จ่ายเงินเพียงร้อยละ 31.42 และ 4.88 ตามลำดับ โดยที่ สป.พน. ได้รับอนุมัติเงินในหมวดค่าตอบแทนใช้สอย และวัสดุ รวมเป็นเงิน 12.1678 ล้านบาท แต่มีการใช้จ่ายไปเพียง 3.089 ล้านบาท และในส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ได้แก่ ค่าเดินทางไปราชการต่างประเทศและค่าใช้จ่ายในโครงการศึกษาวิจัย ที่ขออนุมัติไว้รวมทั้งสิ้น 7.6370 ล้านบาท สป.พน. ไม่มีการเบิกจ่ายเงินในส่วนนี้ ส่วน สบ.พน. มีจำนวนเงินที่ใช้จ่ายจริงต่ำกว่าที่ได้รับอนุมัติมาก เนื่องจากไม่มีการใช้จ่ายเงินในหมวดค่าจ้างชั่วคราว (อัตราจ้างตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการ สบพน.) จำนวนเงิน 1.1123 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 รายงานผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2554
(ข้อมูล ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2554)
หน่วย : บาท
หน่วยงาน | งบประมาณปี 2554 | ||
ได้รับอนุมัติ | จำนวนเงินที่ใช้จ่ายจริง | ||
1. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) | 21,635,700 | 6,798,393 | (31.42%) |
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) | 9,957,000 | 7,404,342 | (74.36%) |
3. กรมสรรพสามิต | 3,850,700 | 3,612,518 | (93.81%) |
4. กรมศุลกากร | 1,494,400 | 690,144 | (46.18%) |
5. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) | 1,635,100 | 79,828 | (4.88%) |
6. ค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร | 804,000 | 240,950 | (29.97%) |
รวม | 39,376,900 | 18,826,175 | (47.81%) |
หมายเหตุ สบพน. ได้ตั้งเบิกงบค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตรในปี 2554 จำนวน 804,000 บาท แต่ยังมีผู้ถือพันธบัตรบางรายยังไม่ได้มาทำการไถ่ถอนพันธบัตร
3. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2554 มียอดเงินคงเหลือตามบัญชีจำนวน 6,048ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 18,159 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 18,008 ล้านบาท และงบบริหารโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 151 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 12,111 ล้านบาท
4. เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2554 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีหนังสือถึงหน่วยงานต่างๆ ให้ทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ในปี 2555 ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ได้ขอปรับปรุงประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2555 ใหม่ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 53,638,400 บาท ทั้งนี้ ทุกหน่วยงานยกเว้น สบพน. ได้ปรับเพิ่มอัตราเงินเดือนในหมวดค่าจ้างชั่วคราวตามโครงสร้างอัตราเงินเดือนใหม่ และปรับเพิ่มเงินค่าครองชีพพิเศษ เพื่อให้อัตราจ้างบุคลากรเท่ากับ 15,000 บาทต่อเดือน ตามนโยบายของรัฐบาล
5. เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2554 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ได้มีการพิจารณาเรื่อง แผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2555 และได้มีมติดังนี้ (1) รับทราบผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2554 ของหน่วยงานต่างๆ (2) มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงแผนการใช้จ่ายเงินงบริหารกองทุนน้ำมันฯปีงบประมาณ 2555 ตามความเห็นของที่ประชุม และให้นำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป และ (3) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ จัดทำคำขอรับการสนับสนุนเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ เพื่อจัดส่งให้ฝ่ายเลขานุการฯ ภายในเดือนมิถุนายนของทุกปี เพื่อให้สามารถอนุมัติเงินค่าใช้จ่ายได้ทันก่อนถึงปีงบประมาณถัดไป
6. หน่วยงานต่างๆ ได้ปรับปรุงแผนการใช้จ่ายเงินฯ ใหม่ ตามมติ อบน. ดังนี้ (1) ปรับอัตราจ้างบุคลากรของทุกหน่วยงานไว้คงเดิมตามกรอบแผนการใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ 2553 - 2555 ที่ได้เคยอนุมัติไว้แต่ให้ปรับเพิ่มอัตราเงินเดือนในหมวดค่าจ้างชั่วคราวตามอัตราเงินเดือนใหม่ และปรับเพิ่มเงินเพิ่มค่าครองชีพพิเศษ เพื่อให้อัตราจ้างบุคลากรเท่ากับ 15,000 บาทต่อเดือน ตามนโยบายของรัฐบาล (2) ในส่วนของ สป.พน. ให้คงจำนวนรถยนต์เช่า 12 ที่นั่ง จำนวน 1 คันตามเดิม และให้ตัดรายการในหมวดค่าครุภัณฑ์ออก พร้อมทั้งปรับลดค่าเดินทางไปราชการต่างประเทศเหลือ 6 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในโครงการศึกษาวิจัยคงเหลือ 2 ล้านบาท (3) ในส่วนของ สนพ. ให้ปรับลดค่าเดินทางไปราชการต่างประเทศและค่าใช้จ่ายโครงการศึกษาวิจัย คงเหลือรายการละ 2 ล้านบาท และ (4) นำ โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลการรับ-จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ของกรมสรรพสามิต งบประมาณ 2 ล้านบาท บรรจุเข้าในแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ หมวดค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของกรมสรรพสามิต ทั้งนี้ ทำให้ยอดรวมการขอรับการสนับสนุนเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2555 เพิ่มขึ้น 1.9015 ล้านบาท ซึ่งสรุปประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2555 ได้ตามตารางที่ 2
ตารางที่ 2 ประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2555
หน่วย : ล้านบาท
หน่วยงาน | หมวดค่าจ้างชั่วคราว | หมวดค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ |
หมวดค่าครุภัณฑ์ | หมวดค่าใช้จ่ายอื่นๆ | รวม |
1. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน | 2.4945 | 12.4522 | - | 8.0600 | 23.0067 |
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | 0.5400 | 2.2303 | - | 6.7200 | 9.4903 |
3. กรมสรรพสามิต | 3.2601 | 1.3436 | 0.0650 | 2.0240 | 6.6927 |
4. กรมศุลกากร | 0.6841 | 0.3442 | - | - | 1.0283 |
5. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน | - | 1.1272 | - | - | 1.1272 |
รวม | 6.9787 | 17.4975 | 0.0650 | 16.8040 | 41.3452 |
หมายเหตุ : งบประมาณทุกหมวดรายจ่ายให้สามารถนำมาถัวจ่ายได้ทุกรายการ
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประจำปีงบประมาณ 2554 ของหน่วยงานต่างๆ
2. เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2555 ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เป็นจำนวนเงินรวม 41,345,200 บาท (สี่สิบเอ็ดล้านสามแสนสี่หมื่นห้าพันสองร้อยบาทถ้วน) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 เป็นต้นไป ตามตารางที่ 2
เรื่องที่ 4 ผลการตรวจสอบการเบิก-จ่ายและควบคุมเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2549 หมวด 6 การตรวจสอบภายใน ข้อ 18 "ให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง แล้วรายงานให้ปลัดกระทรวงพลังงานเพื่อนำเสนอคณะกรรมการทราบ" แเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2554 คณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ได้มีมติรับทราบสรุปผลการตรวจสอบดังกล่าว โดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1.1 การตรวจสอบการจ่ายเงินงบโครงการ-ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ของกองทุนน้ำมันฯ ทุกโครงการที่ยังมิได้ปิดโครงการ สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2554 พบว่ามีการปฏิบัติงานเป็นไปตามที่ระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2549 กำหนดไว้ ทั้งนี้ โครงการที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ 2554 จำนวน 5 โครงการ จำนวนเงินรวม 125,717,500 บาท ณ วันที่ตรวจสอบ ยังไม่มีการเบิกค่าใช้จ่าย
1.2 โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ และปิดโครงการแล้วระหว่างปีงบประมาณ 2553 ถึงเดือนมีนาคม 2554 มีการคืนเงินให้กองทุนน้ำมันฯ ถูกต้องครบถ้วนเป็นจำนวนเงิน 3,466,409.01 บาท และมีการใช้จ่ายเงินอยู่ในวงเงินที่ได้รับอนุมัติ และส่วนใหญ่เอกสารการส่งดอกผลและเงินเหลือจ่ายมิได้ระบุวันสิ้นสุดโครงการชัดเจน เพียงแต่ระบุว่า "การดำเนินการดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว" ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามีการส่งเงินคืนพร้อมดอกผลหรือรายรับอื่นใดทั้งหมดคืนกองทุนภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันสิ้นสุดการดำเนินงาน ตามที่ระเบียบกำหนดไว้
2. คณะกรรมการตรวจสอบได้มีข้อเสนอแนะว่า สบพน. ควรประสานกับหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ให้ระบุวันที่สิ้นสุดโครงการที่ชัดเจนในเอกสารการนำส่งดอกผลและคืนเงินเหลือจ่าย เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2549
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ