มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 16/2555 (ครั้งที่ 113)
วันจันทร์ที่ 2 กรกฏาคม 2555 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. แนวทางและแผนงานการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ
2. การชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง
3. การปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 แนวทางและแผนงานการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2555 โดยรับทราบเหตุผล ความจำเป็นและแนวทางการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศในเบื้องต้น และเห็นชอบในหลักการให้มีการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานดำเนินการศึกษาในรายละเอียดเพื่อจัดตั้งการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศต่อไป
2. กระทรวงพลังงาน กำหนดแนวทางการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
(1) ภาคเอกชน ตามพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 มาตรา 20 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ทุกขณะโดยต้องสำรองไม่เกินร้อยละ 30 ของปริมาณการค้าประจำปี ซึ่งปัจจุบัน มีอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงของภาคเอกชนอยู่ที่ร้อยละ 5 โดยได้พิจารณาให้เพิ่มอัตราสำรองตามกฎหมายเป็นร้อยละ 6 จะทำให้ประเทศไทยมีน้ำมันสำรองตามกฎหมายจากเดิม 36 วันของความต้องการใช้ในประเทศ หรือประมาณ 23.3 ล้านบาร์เรล เป็น 43 วันของความต้องการใช้ในประเทศ หรือประมาณ 28 ล้านบาร์เรล และ
(2) ภาครัฐ เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยไม่มีการสำรองน้ำมันอื่นนอกเหนือไปจากการสำรองของภาคเอกชน แต่จากภาวะความผันผวนของราคาน้ำมันตลาดโลก จึงจำเป็นต้องมีการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น ควรเพิ่มเติมการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงภาครัฐโดยจัดตั้งองค์กรเพื่อกำกับดูแล และบริหารจัดการน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ รวมทั้งจัดหาแหล่งเงินทุน
3. การพิจารณาเพิ่มอัตราสำรองตามกฎหมายจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 6 ส่งผลให้ภาคเอกชนจำเป็นต้องก่อสร้าง หรือจัดหาสถานที่สำหรับเก็บสำรองตามอัตราใหม่ และเพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อผู้ที่มีหน้าที่เก็บสำรองน้ำมันจนกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน จึงเห็นควรให้ภาคเอกชนมีเวลาในการเตรียมความพร้อม โดยให้ออกประกาศการเพิ่มอัตราสำรองตามกฎหมายภายในเดือนกรกฎาคม 2555 และให้มีผลบังคับใช้ใน 2 ปี หรืออย่างช้าภายในเดือนกรกฎาคม 2557 รวมถึงควรชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของโรงกลั่นน้ำมันจากการเก็บสำรองเพิ่มขึ้น โดยปรับราคาหน้าโรงกลั่น เพื่อมิให้เป็นภาระของผู้ค้าน้ำมันมากเกินไป และในส่วนของภาครัฐให้พิจารณารูปแบบองค์กรและการบริหารจัดการที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย และนำเสนอต่อ กพช. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ภายในเดือนกันยายน 2555 และยกร่างกฎหมายจัดตั้งสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงภาครัฐและนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2555
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ปรับเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายของภาคเอกชนจากเดิมร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 6 และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศกรมธุรกิจพลังงานเพื่อปรับเพิ่มอัตราสำรอง โดยให้มีผลบังคับใช้ภายใน 90 วัน และกรณีมีผู้ค้าน้ำมันที่ไม่สามารถดำเนินการได้ทันตามกำหนด ให้ขอผ่อนผันเป็นรายไป
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปพิจารณากำหนดราคาหน้าโรงกลั่น ให้เหมาะสม เพื่อชดเชยภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการปรับอัตราสำรอง
3. เห็นชอบ แผนงานการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน และสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงานรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เรื่องที่ 2 การชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง
สรุปสาระสำคัญ
คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2555 มีมติเห็นชอบแนวทางการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง โดย (1) การชดเชยราคาแก๊สโซฮอลที่สูงขึ้นจากการใช้เอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังในโครงการมาผสม เมื่อเทียบกับเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาลให้แก่ผู้ค้ามาตรา 7 ที่เข้าร่วมโครงการ โดยคำนวณจากปริมาณเอทานอลที่ขอชดเชยแล้วจะไม่เกินกว่าปริมาณเอทานอลที่รับซื้อจากผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังที่ซื้อจากคลังกลาง (อคส.) (ปตท. ไม่เกิน 16.2 ล้านลิตร บางจาก ไม่เกิน 7.4 ล้านลิตร และไทยออยล์ไม่เกิน 0.8 ล้านลิตร) (2) อัตราการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล โดยใช้ราคามันเส้นที่โรงงานเอทานอล จากคลังกลางเฉลี่ยในเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม 2555 เท่ากับ 7.3165 บาทต่อกิโลกรัม และ (3) อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลัง ในวงเงิน 180 ล้านบาท
2. เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติในหลักการให้ระบายมันเส้นจากสต๊อคของรัฐบาลที่จำนำไว้ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2554/55 เพื่อนำไปผลิตเอทานอลจำนวนประมาณ 65,000 ตัน ในราคาตันละ 7,947.90 บาท ซึ่งเป็นราคาตามที่คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังได้มีมติเห็นชอบไว้ ในส่วนการชดเชยต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้พิจารณาดำเนินการตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอเพิ่มเติม ซึ่งกระทรวงพลังงานคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายสำหรับเป็นค่าชดเชยส่วนต่างราคาเอทานอล ในวงเงินประมาณ 180 ล้านบาท ส่วนการชดเชยต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เป็นส่วนต่างของราคา (7,947.90-7,316.50) คาดว่าจะต้องใช้เงินชดเชยเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 40 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงพลังงานจะพิจารณาใช้เงินชดเชยส่วนต่างดังกล่าวจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้กระทรวงพาณิชย์หารือในรายละเอียดกับกระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วดำเนินการต่อไปได้ แล้วให้รายงานผลการดำเนินการให้ คณะรัฐมนตรี ทราบต่อไป
3. กบง. เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2555 มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลัง ในวงเงินเดิม 180 ล้านบาท ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2555 ซึ่งใช้ราคามันเส้นที่โรงงานเอทานอลซื้อจากคลังกลางในราคา 7,316.50 บาทต่อตัน ซึ่งต่อมา กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้มีหนังสือแจ้งให้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ทราบถึงมติคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังในการประชุมครั้งที่ 8/2555 วันที่ 22 มิถุนายน 2555 เห็นชอบการจำหน่ายมันเส้นให้โครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง โดยใช้มันเส้นตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2554/2555 ในราคาตันละ 7,947.90 บาท เพื่อใช้ผลิตเอทานอลตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2555
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ตรวจสอบระเบียบการใช้เงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานแล้ว พบว่า มีประเด็นข้อกฎหมายในการที่นำเงินกองทุนไปชดเชยราคามันสำปะหลังที่ใช้ในโครงการผลิตเอทานอล อาจผิดวัตถุประสงค์การใช้จ่ายเงินของกองทุนอนุรักษ์พลังงานฯ จึงต้องพิจารณาขอรับสนับสนุนเงินกองทุนน้ำมันฯ ในการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นจากเดิมในวงเงิน 180 ล้านบาท เป็นวงเงิน 222 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นจากเดิมในวงเงิน 180 ล้านบาท เป็นในวงเงิน 222 ล้านบาท (สองร้อยยี่สิบสองล้านบาทถ้วน) โดยใช้ราคามันเส้นที่โรงงานเอทานอลซื้อจากคลังกลางเฉลี่ยเท่ากับ 7.9479 บาทต่อกิโลกรัม
2. กำหนดระยะเวลาการชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลจากมันสำปะหลังเป็นเวลา 5 เดือน นับตั้งแต่วันที่มีการซื้อขายมันเส้นจากคลังกลางขององค์การคลังสินค้า (อคส.)
เรื่องที่ 3 การปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 ได้เห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 ดังนี้ (1) เห็นชอบให้ยกเลิกมติ กพช. เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2554 ที่เห็นชอบให้ทยอยปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคอุตสาหกรรมให้สะท้อนต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป โดยปรับราคาขายปลีกไตรมาสละ 1 ครั้ง จำนวน 4 ครั้งๆ ละ 3 บาทต่อกิโลกรัม และ (2) ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2555 เห็นชอบมอบหมายให้ กบง. พิจารณาการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม ให้ราคาไม่เกินต้นทุนก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมัน โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในแต่ละเดือนได้ตามความเหมาะสม ภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมายที่ว่า การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมให้พิจารณาจากต้นทุนก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมัน
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะกรรมการบริการนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้เห็นชอบในส่วนแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ดังนี้ (1) ถ้าราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นมาก ทำให้ต้นทุนราคาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันเกิน 30.13 บาทต่อกิโลกรัม ให้กำหนดราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมไว้ที่ 30.13 บาทต่อกิโลกรัม และ (2) ถ้าราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกปรับตัวลดลง ทำให้ต้นทุนราคาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมัน ต่ำกว่า 30.13 บาทต่อกิโลกรัม ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมเป็นไปตามต้นทุนโรงกลั่น
3. เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามมติ กบง. ดังกล่าว สนพ. ได้ออกประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้โรงงานอุตสาหกรรม จำนวน 2 ฉบับ ดังนี้ (1) ฉบับที่ 86 เดือนมิถุนายน 2555 ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) อยู่ที่ 714 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ส่งผลให้ต้นทุนก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นอยู่ที่ 27.89 บาทต่อกิโลกรัม สนพ. จึงออกประกาศกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวให้โรงงานอุตสาหกรรมต้องส่งเงินเข้ากองทุนเพิ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ถึง 30 มิถุนายน 2555 ในอัตรา 9.12 บาทต่อกิโลกรัม และ (2) ฉบับที่ 90 เดือนกรกฎาคม 2555 ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) อยู่ที่ 593 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ส่งผลให้ต้นทุนก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นอยู่ที่ 24.86 บาทต่อกิโลกรัม สนพ. จึงออกประกาศกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวให้โรงงานอุตสาหกรรมต้องส่งเงินเข้ากองทุนเพิ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 31 กรกฎาคม 2555 ในอัตรา 6.29 บาทต่อกิโลกรัม
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ