มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 21/2555 (ครั้งที่ 118)
วันศุกร์ที่ 20 กรกฏาคม 2555 เวลา 16.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายนที ทับมณี) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
1.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
1.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
2. ราคาน้ำมันตลาดโลกยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 102.79, 119.08 และ 121.48 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ น้ำมันดิบดูไบปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 17 กรกฎาคม 2555) 1.94, 3.51 และ 3.20 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศเพิ่มสูงตามไปด้วยโดยมีโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 20 กรกฎาคม 2555 ดังนี้
3. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 15 กรกฎาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 5,193 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 21,532 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 12,711 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 171 ล้านบาท และเงินกู้ยืม 8,650 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 16,339 ล้านบาท
4. จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาดีเซลตลาดโลก ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง ดังนั้นเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้กระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 22 ล้านบาท จากวันละ 115 ล้านบาท เป็นวันละ 93 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
(หน่วย : บาทต่อลิตร)
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 2.90 | 2.60 | -0.30 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | 1.30 | 1.00 | -0.30 |
น้ำมันดีเซล | 1.00 | 0.60 | -0.40 |
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2555 เป็นต้นไป
ปลัดกระทรวงคมนาคม (นายศิลปชัย จารุเกษมรัตนะ) ได้มีความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลจะส่งผลกระทบโดยตรงต่ออัตราค่าโดยสารรถขนส่งสาธารณะ โดยเมื่อมีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล จะมีการปรับเพิ่มอัตราค่าบริการของรถโดยสารนอกระบบ ซึ่งกระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างดำเนินการกำกับดูแลในส่วนนี้ ทั้งนี้ การที่รัฐบาลมีนโยบายรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลให้มีเสถียรภาพและราคาไม่สูงเกินไปจะส่งผลดีต่อประชาชน ซึ่งประธานฯ ได้ชี้แจงว่า ที่ผ่านมา กบง. ได้กำกับดูแลเกี่ยวกับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเป็นกรณีพิเศษ โดยในช่วงก่อนหน้านี้ที่ราคาน้ำมันตลาดโลกอยู่ในระดับสูง และกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะกองทุนติดลบ รวมทั้งมีการจ่ายเงินเพื่อชดเชยราคาน้ำมันและราคาก๊าซ LPG ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลปรับตัวสูงขึ้น แต่ในปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะกองทุนดีขึ้นและมีรายรับจากการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทำให้สามารถใช้กลไกของกองทุนน้ำมันฯ กำกับดูแลราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน