มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 28/2556 (ครั้งที่ 162)
วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. แนวทางและหลักเกณฑ์การดำเนินการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชุมชน
2. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3. ประกาศกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคครัวเรือน
5. การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) นำเข้า
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง แนวทางและหลักเกณฑ์การดำเนินการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชุมชน
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2556 โดยเห็นชอบให้ดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจาก “โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชุมชน” (โครงการฯ) โดยมีเป้าหมายกำลังผลิตติดตั้งรวม 800 เมกะวัตต์ ซึ่งกำหนดให้จ่ายไฟฟ้า เชิงพาณิชย์ (COD) ภายในปี 2557 และมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปดำเนินการออกระเบียบหลักเกณฑ์ในการดำเนินการพัฒนาโครงการฯ รวมถึงดำเนินการคัดเลือกหมู่บ้านที่มีศักยภาพเพื่อสมัครเข้าร่วมโครงการโดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ความสามารถรองรับของระบบส่ง และรายงานผลการคัดเลือกให้ กพช. ทราบ ต่อมา สนพ. ได้ประชุมหารือร่วมกับผู้แทนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีมติมอบหมายให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ร่วมกันหารือเพื่อกำหนดพื้นที่ที่มี ความพร้อมของระบบสายส่งไฟฟ้าและสายจำหน่ายไฟฟ้าเพื่อรองรับโครงการฯ ทั้งนี้ ปัจจุบันการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้จัดทำข้อมูลพื้นที่ที่มีความพร้อมดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว และสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาโครงการขั้นตอนต่อไปได้
2. แนวทางการพัฒนาโครงการ เพื่อให้การดำเนินการพัฒนาโครงการฯ เกิดผลสัมฤทธิ์ตามมติ กพช. ควรให้ความสำคัญกับเรื่องต่างๆ ดังนี้ (1) ความสามารถในการพัฒนาโครงการให้แล้วเสร็จ และการดำเนินการ จ่ายไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 800 เมกะวัตต์ เข้าระบบภายในปี 2557 ตามกรอบระยะเวลาที่ กพช. กำหนด (2) การจัดทำกลไกการบริหารจัดการโครงการให้มีความคล่องตัว สามารถบริหารงานและบริหารสัญญาที่จะเกิดขึ้นจากการพัฒนาโครงการฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ (3) การกำหนดมาตรฐานการพัฒนาระบบทางวิศวกรรม ในด้านอุปกรณ์ การก่อสร้างและความปลอดภัย โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าที่ครอบคลุมตลอดอายุโครงการ 25 ปี รวมทั้งควรมีการรับประกันประสิทธิภาพของแผงเซลล์แสงอาทิตย์
3. ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชุมชน ภายใต้ กบง. เพื่อทำหน้าที่ประสานดำเนินการโครงการฯ และเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ รวมทั้งกำหนดเงื่อนไขหลักเกณฑ์การคัดเลือกกองทุนฯ เข้าร่วมโครงการ เป็นต้น โดยมีผู้ว่าการ กฟภ. ทำหน้าที่ประธานคณะอนุกรรมการฯ เนื่องจาก กฟภ. เป็นหน่วยงานที่มีความสามารถและความพร้อมในการพัฒนาโครงการภายใต้กรอบแนวคิดข้างต้น และควรเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ โดยคณะอนุกรรมการฯ มีองค์ประกอบได้แก่ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ผู้แทนกระทรวงพลังงาน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น รองเลขาธิการสำนักงาน กกพ. ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และมีผู้แทนจากสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กฟผ. กฟน. และมีผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนระบบไฟฟ้า กฟภ. ทำหน้าที่อนุกรรมการและเลขานุการฯ
4. ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอหลักเกณฑ์การพัฒนาโครงการฯ เพื่อให้ กบง.กำหนดหลักเกณฑ์ในการพัฒนาโครงการฯ ให้คณะอนุกรรมการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชุมชนที่จะแต่งตั้งขึ้นใช้เป็นแนวทาง ในการดำเนินการต่อไป ดังนี้ (1) ให้กองทุนหมู่บ้านหรือกองทุนชุมชนเมืองตามพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. 2547 เป็นเจ้าของโครงการ (2) ให้ กฟภ. และธนาคารออมสินเป็นผู้สนับสนุนและพัฒนาโครงการ จนโครงการฯ สามารถขายไฟฟ้าเข้าระบบได้ (3) ให้ กฟภ. เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจากโครงการฯ 800 เมกะวัตต์ และเป็นผู้ดูแลบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า (Operation and Maintenance) ตลอดอายุโครงการฯ (4) การคัดเลือกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองเข้าร่วมโครงการฯ ควรอยู่ในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่เหมาะสม และมีระบบจำหน่ายไฟฟ้ารองรับเพียงพอ ตามที่ กฟผ. กฟน. และ กฟภ. กำหนด และจะต้องไม่อยู่ในบริเวณพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการประสบภัยพิบัติหรือภัยธรรมชาติ (5) โรงไฟฟ้าในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชุมชน ควรต้องมีมาตรฐานและคุณภาพทางวิศวกรรมการก่อสร้าง อุปกรณ์ และความปลอดภัย โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าครอบคลุมตลอดอายุโครงการ 25 ปี และ (6) ให้มีการรับประกันประสิทธิภาพของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ในการผลิตไฟฟ้าตลอดอายุโครงการ โดยบริษัทที่ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์ในการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชุมชน ดังนี้
(1) ให้กองทุนหมู่บ้านหรือกองทุนชุมชนเมืองตามพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. 2547 เป็นเจ้าของโครงการ(2) ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและธนาคารออมสินเป็นผู้สนับสนุนและพัฒนาโครงการ จนโครงการฯสามารถขายไฟฟ้าเข้าระบบได้(3) ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือการไฟฟ้านครหลวงเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจากโครงการฯ และเป็นผู้ดูแลบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า (Operation and Maintenance) ตลอดอายุโครงการฯ(4) การคัดเลือกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองเข้าร่วมโครงการฯ ควรอยู่ในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่เหมาะสม และมีระบบจำหน่ายไฟฟ้ารองรับเพียงพอ ตามที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กำหนด และจะต้องไม่อยู่ในบริเวณพื้นที่ที่เสี่ยง ต่อการประสบภัยพิบัติหรือภัยธรรมชาติ(5) โรงไฟฟ้าในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชุมชน ควรต้องมีมาตรฐานและคุณภาพทางวิศวกรรมการก่อสร้างอุปกรณ์และความปลอดภัย โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าครอบคลุม ตลอดอายุโครงการ 25 ปี(6) ให้มีการรับประกันประสิทธิภาพของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ในการผลิตไฟฟ้าและอุปกรณ์ประกอบในการผลิตไฟฟ้าตลอดอายุโครงการ 25 ปี โดยสถาบันการเงินหรือบริษัทที่ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัย
2. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชุมชน ภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อดำเนินการพัฒนาโครงการฯ ตามหลักเกณฑ์ในการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชุมชน
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2556 กบง. ได้พิจารณาโครงสร้างราคา และค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ราคาปิดตลาดของน้ำมันตลาดโลก และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่อ่อนค่าลง ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 22 สิงหาคม 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และ น้ำมันดีเซลอยู่ที่ 108.45, 117.30 และ 123.40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.06, 1.47 และ 0.15 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการประชุมเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2556 (ราคาปิดตลาดวันที่ 20 สิงหาคม 2556) ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 26 สิงหาคม 2556 อยู่ที่ 32.0604 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.3105 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 20 สิงหาคม 2556 ซึ่งอยู่ที่ 31.7499 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ โดยตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2556 ผู้ค้าน้ำมันฯ ไม่มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 21,367 ล้านบาท หนี้สินรวม 14,355 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นบวก 7,032 ล้านบาท
6. จากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง และอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง มีผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2556 เป็นดังนี้
จากโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2556 พบว่าค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล อยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นเพื่อให้ค่าการตลาดน้ำมันอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันเบนซิน กลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 0.30, 0.50 และ 0.20 บาท ตามลำดับ ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.44 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินอยู่ที่ประมาณ 1.63 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.49 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 21.99 ล้านบาท จากมีรายรับวันละ 28.46 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 6.48 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2556 เป็นต้นไป
เรื่อง ประกาศกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคครัวเรือน
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2556 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้พิจารณาเรื่อง แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน และได้มีมติดังนี้เห็นชอบแนวทางปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน โดยให้ปรับขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 เป็นต้นไป จนสะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม และเห็นชอบเกณฑ์การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ทั้งในส่วนของครัวเรือนรายได้น้อย และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร โดยครัวเรือนรายได้น้อย ช่วยเหลือตามการใช้จริงแต่ไม่เกิน 18 กิโลกรัมต่อ 3 เดือน ส่วนร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ช่วยเหลือตามการใช้จริงไม่เกิน 150 กิโลกรัมต่อเดือน ทั้งนี้ ผู้ได้รับการช่วยเหลือสามารถเลือกใช้ถังขนาดใดก็ได้ แต่ไม่เกินขนาดถัง 15 กิโลกรัม
2. การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ทั้งในส่วนของครัวเรือนรายได้น้อย และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร อาศัยอำนาจตามข้อ 5 ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงและข้อ 9/1 ของคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2554 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งนี้ กองทุนน้ำมันฯ ไม่สามารถจ่ายเงินตรงให้กับผู้ได้รับผลกระทบฯ ดังกล่าวได้ การช่วยเหลือต้องเป็นการดำเนินการผ่านผู้ค้ามาตรา 7 หรือผู้นำเข้าเท่านั้น
3. แนวทางการช่วยเหลือผ่านผู้ค้าตามมาตรา 7 ทำได้โดยการยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนให้แก่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานกำหนดเงื่อนไขในใบอนุญาตเกี่ยวกับการจำหน่ายก๊าซให้กลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย ได้แก่ ครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงพลังงาน ซึ่งผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ต้องจ่ายเงินให้กับร้านค้าก๊าซเพื่อจำหน่ายก๊าซให้ครัวเรือนรายได้น้อย และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ตามหลักเกณฑ์การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ที่คณะกรรมการกำหนด ทั้งนี้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้จัดทำร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคครัวเรือน และเพื่อให้สามารถดำเนินการตามแนวทางการช่วยเหลือผ่านผู้ค้าตามมาตรา 7 ดังกล่าวได้
4. ปัจจุบันโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงแบ่งเป็น 3 ภาค ได้แก่ ภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง และภาคอุตสาหกรรม โดยรัฐได้ทยอยลดการชดเชยภาระกองทุนน้ำมันฯ ในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้สะท้อนต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ทำให้ในปัจจุบันราคาขายปลีกก๊าซ LPG ของแต่ละภาคไม่เท่ากัน ในขณะที่ ภาคครัวเรือนยังคงตรึงราคาขายปลีกอยู่ การดำเนินการออกประกาศฯ ตามข้อ 3 จึงเป็นการดำเนินการเพื่อทยอยลดการชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ ในภาคครัวเรือน เพื่อให้ราคาขายปลีกภาคครัวเรือนไปสู่ต้นทุนโรงแยกก๊าซ ในขณะที่ภาคครัวเรือนรายได้น้อยและร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร จะได้รับการช่วยเหลือให้ซื้อก๊าซ LPG ได้ในราคาเดิม โดยการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยลดภาระกองทุนน้ำมันฯ และแก้ไขปัญหาการลักลอบจำหน่ายก๊าซ LPG ข้ามสาขา รวมทั้งการลักลอบส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งโดยรวมจะช่วยแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ในระดับหนึ่ง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคครัวเรือน โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556 ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2556 ดังนี้
1.1 เห็นชอบการกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติจากแนวท่อสำหรับภาคขนส่ง เป็นดังนี้
1.2 มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณาค่าบริหารจัดการในการขายส่งก๊าซธรรมชาติจากแนวท่อสำหรับภาคขนส่ง (X) ที่เหมาะสมสำหรับนำไปใช้ในการคำนวณราคาก๊าซธรรมชาติจากแนวท่อสำหรับภาคขนส่ง
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้พิจารณาการคำนวณค่าบริหารจัดการในการขายส่งก๊าซธรรมชาติจากแนวท่อสำหรับภาคขนส่ง (X) โดยมีหลักเกณฑ์ คือ ค่าบริหารจัดการในการขายส่งก๊าซธรรมชาติจากแนวท่อสำหรับภาคขนส่ง (X) เท่ากับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร บวกกับ ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาระบบท่อ สถานีควบคุมความดันและวัดปริมาตรก๊าซธรรมชาติ โดยที่ (1) ข้อมูลค่าใช้จ่ายที่นำมาใช้ในการคำนวณ ทั้งในส่วน การขายและบริหาร การบำรุงรักษาระบบท่อ สถานีควบคุมความดันและวัดปริมาตรก๊าซธรรมชาติ ต้องได้รับการตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และ (2) ให้ กบง. ทบทวนค่าบริหารจัดการในการขายส่งก๊าซธรรมชาติจากแนวท่อสำหรับภาคขนส่ง (X) เป็นระยะตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
3. สนพ. ได้นำข้อมูลค่าใช้จ่ายย้อนหลัง 3 ปี (ปี 2553 - 2555) ทั้งในส่วนของการขายและบริหาร และการบำรุงรักษาระบบท่อ สถานีควบคุมความดันและวัดปริมาตรก๊าซธรรมชาติ ที่ได้รับการตรวจสอบจาก สตง. แล้วมาคำนวณตามหลักเกณฑ์ตามข้อ 2 แล้วได้ผลดังนี้ (1) ค่าบริหารจัดการในการขายส่งก๊าซธรรมชาติจากแนวท่อสำหรับภาคขนส่ง (X) เท่ากับ 3.7336 บาทต่อล้านบีทียู (2) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร เท่ากับ 3.3900 บาทต่อล้านบีทียู และ (3) ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาระบบท่อ สถานีควบคุมความดันและวัดปริมาตรก๊าซธรรมชาติ เท่ากับ 0.3436 บาทต่อล้านบีทียู
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณค่าบริหารจัดการในการขายส่งก๊าซธรรมชาติจากแนวท่อสำหรับ ภาคขนส่ง (X)
โดยที่(1) ข้อมูลค่าใช้จ่ายที่นำมาใช้ในการคำนวณ ทั้งในส่วนการขายและบริหาร การบำรุงรักษาระบบท่อสถานีควบคุมความดันและวัดปริมาตรก๊าซธรรมชาติ ต้องได้รับการตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)(2) ให้ กบง. ทบทวนค่าบริหารจัดการในการขายส่งก๊าซธรรมชาติจากแนวท่อสำหรับภาคขนส่ง (X) เป็นระยะตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
2. เห็นชอบอัตราค่าบริหารจัดการในการขายส่งก๊าซธรรมชาติจากแนวท่อสำหรับภาคขนส่ง (X) ดังนี้
2.1 ค่าบริหารจัดการในการขายส่งก๊าซธรรมชาติจากแนวท่อสำหรับภาคขนส่ง (X) เท่ากับ 3.7336 บาทต่อล้านบีทียู2.2 ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 3.3900 บาทต่อล้านบีทียู2.3 ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาระบบท่อ สถานีควบคุมความดันและวัดปริมาตรก๊าซธรรมชาติ เท่ากับ0.3436 บาทต่อล้านบีทียู
3. เห็นชอบในหลักการให้มีการทบทวนค่าบริหารจัดการในการขายส่งก๊าซธรรมชาติจากแนวท่อสำหรับภาคขนส่ง (X) เป็นระยะตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมอบให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน จัดทำรายละเอียดเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณา
เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) นำเข้า
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2551 ได้พิจารณาเรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) นำเข้า และได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า โดยให้อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า เท่ากับ ส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG นำเข้าและราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นที่ทำในราชอาณาจักรและเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ LPG นำเข้า โดยกำหนดให้ราคาก๊าซ LPG นำเข้า เท่ากับราคา CP บวกค่า Premium บวกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ โดยที่ (1) ราคา CP เท่ากับราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบีย เป็นสัดส่วนระหว่างโพรเพนกับบิวเทน 60 ต่อ 40 ณ เดือนที่มีการนำเข้า (2) ค่า Premium เท่ากับค่าขนส่งและค่าธรรมเนียม ณ เดือนที่นำเข้า (3) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ได้แก่ ค่า Insurance, Loss, Demurrage, Import duty, Surveyor/witness fee & Lab expenses, Management Fee และ Depot Operating Expenses และ (4) อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยเดือนก่อนหน้าเดือนที่นำเข้า
2. เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2552 กบง. ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการนำเข้า ก๊าซ LPG ในรูป Refrigerated Propane และ Butane โดยการใช้คลังลอยน้ำ (Floating Storage Unit: FSU) โดย กบง. ได้เห็นชอบค่าใช้จ่ายในการเช่าเรือ Refrigerated มาใช้เป็นคลังลอยน้ำ FSU และค่าใช้จ่ายอื่นในการดำเนินการ โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) พิจารณาปรับเพิ่มหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราการชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าเพิ่มเติมให้ครอบคลุมภาระค่าใช้จ่ายและการลงทุน ในการดำเนินการนำเข้าโดยการใช้ FSU และการขนถ่ายระหว่างเรือ ตามที่เกิดขึ้นจริง
3. ค่าเสียเวลาเรือ (Demurrage) เป็นค่าใช้จ่ายที่คิดคำนวณหลังจากเรือนำเข้าทำการสูบถ่ายเสร็จสิ้น ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 - 6 เดือน เพื่อเจรจาให้ได้ข้อยุติ ดังนั้น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จึงได้ประมาณการค่าเสียเวลาเรือเป็นตัวเลขเบื้องต้นแจ้งแก่ สนพ. เพื่อใช้คำนวณอัตราชดเชยสำหรับก๊าซ LPG นำเข้า หลังจากที่ ปตท. เจรจาค่าเสียเวลากับผู้ขายจนได้ข้อยุติแล้ว ค่าเสียเวลาเรือในบางเที่ยวเรือที่ ปตท. แจ้ง สนพ. กับค่าเสียเวลาเรือจริง ไม่ตรงกัน ซึ่งมีทั้งประเมินไว้ต่ำกว่าหรือสูงกว่าความเป็นจริง
4. เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2556 ปตท. ได้มีหนังสือถึง สนพ. เพื่อคืนเงินส่วนต่างค่าเสียเวลาเรือจากการนำเข้าก๊าซ LPG ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 ถึงปัจจุบัน โดยเสนอแนวทาง ดังนี้ (1) เที่ยวเรือนำเข้าช่วงเดือนเมษายน 2551 ถึงเดือนกรกฎาคม 2555 จากเรือนำเข้าทั้งหมด 200 ลำเรือ ต้องปรับปรุงค่าเสียเวลาเรือจำนวน 88 ลำ (คำนวณเกิน 76 ลำ และคำนวณขาด 12 ลำ) สุทธิคิดเกินประมาณ 2.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปตท. จะนำมาหักออกจากเที่ยวเรือที่เป็นคลังลอยน้ำที่จะนำเข้าในอนาคต และ (2) เที่ยวเรือนำเข้าตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2555 เป็นต้นไป ปตท. จะนำมาหักออกจากค่าเสียเวลาของเรือเที่ยวใหม่
5. สนพ. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) และกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้หารือกับ ปตท. จำนวน 3 ครั้ง เพื่อหาแนวทางดำเนินการคืนเงินส่วนต่างค่าเสียเวลาจากการนำเข้าก๊าซ LPG มีข้อสรุปผลการหารือ ดังนี้ (1) จำนวนเที่ยวเรือนำเข้าตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 ถึงเดือนธันวาคม 2555 จากเรือนำเข้าทั้งหมด 217 ลำเรือ ต้องปรับปรุงค่าเสียเวลาเรือจำนวน 102 ลำ (คำนวณเกิน 85 ลำ และคำนวณขาด 17 ลำ) สุทธิคิดเกินประมาณ 2.772 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 90,800,903 บาท (2) ให้ ปตท. คืนเงินส่วนต่างระหว่างค่า Demurrage ที่เกิดขึ้นจริงกับค่าประมาณการจากเที่ยวเรือที่นำเข้าช่วงในเดือนเมษายน 2551 ถึงธันวาคม 2555 โดยนำมาหักราคาก๊าซ LPG ในการนำเข้าในเดือนกันยายน 2556 และ (3) ให้ ปตท. คืนเงินส่วนต่างระหว่างค่า Demurrage ที่เกิดขึ้นจริงกับค่าประมาณการตั้งแต่เดือนมกราคม 2556 เป็นต้นไป ที่สามารถเจรจาจนได้ข้อยุติแล้ว โดยนำมาหักราคาก๊าซ LPG นำเข้าในแต่ละเดือนตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 เป็นต้นไป
6. เพื่อให้การคืนเงินส่วนต่างค่าเสียเวลาจากการนำเข้าก๊าซ LPG เป็นไปตามแนวทางดำเนินการตาม ข้อ 4 ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) นำเข้า โดยหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ LPG นำเข้า ให้เพิ่มเติมค่า Adjust Demurrage (ส่วนต่างระหว่างค่า Demurrageที่เกิดขึ้นจริงกับค่าประมาณการของเที่ยวเรือก่อนหน้าที่สามารถเจรจาจนได้ข้อยุติแล้ว) ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) นำเข้า ดังนี้
1.1 อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า เท่ากับ ส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG นำเข้าและราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นที่ทำในราชอาณาจักร
1.2 หลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ LPG นำเข้า โดยที่
2. เห็นชอบแนวทางคืนเงินส่วนต่างค่าเสียเวลาเรือ (Demurrage) จากการนำเข้าก๊าซ LPG โดยมอบให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินการ ดังนี้
2.1 คืนเงินส่วนต่างระหว่างค่าเสียเวลาเรือที่เกิดขึ้นจริงกับค่าประมาณการจากเที่ยวเรือที่นำเข้าในช่วงเดือนเมษายน 2551 ถึงธันวาคม 2555 โดยนำมาหักราคาก๊าซ LPG ในการนำเข้าในเดือนกันยายน 25562.2 คืนเงินส่วนต่างระหว่างค่าเสียเวลาเรือ ที่เกิดขึ้นจริงกับค่าประมาณการตั้งแต่เดือนมกราคม 2556 เป็นต้นไป ที่สามารถเจรจาจนได้ข้อยุติแล้ว โดยนำมาหักราคาก๊าซ LPG นำเข้าในแต่ละเดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. มื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 กบง. ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2554 ให้ ธพ. ดำเนินงานโครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน กระทรวงพลังงานเพื่อก่อสร้างอาคารทดสอบน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงิน 67,217,500 บาท แบ่งเป็นวงเงินค่าก่อสร้าง 58,450,000 บาท และค่า K (Escalation Factor) ในวงเงิน 8,767,500 บาท มีระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน นับถัดจากวันลงนามในสัญญา
2. ธพ. ได้จัดจ้าง บริษัท ไจแอ็นท คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างอาคารทดสอบน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงิน 58,450,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 180 วัน คือตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2554 ถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2554 ต่อมา ธพ. ได้อนุมัติให้แก้ไขเพิ่มเติมสัญญาจ้างจำนวน 4 ครั้ง ดังนี้ (1) เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2555 โดยเปลี่ยนแปลงบัญชีการจ่ายเงินค่าจ้าง (2) เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2555 เนื่องจากบริษัท ไจแอ็นทฯ ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในช่วงปลายปี 2554 ทำให้การก่อสร้างอาคารล่าช้า ธพ. จึงได้อนุมัติให้ขยายเวลาดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2555 เรื่องมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย เพิ่มอีก 189 วัน เป็นสิ้นสุดวันที่ 22 พฤษภาคม 2555 (3) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2555 แก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการก่อสร้าง 4 รายการ และขยายระยะเวลาก่อสร้างเป็นสิ้นสุดวันที่ 20 สิงหาคม 2555 และ (4) เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2555 แก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการก่อสร้าง 3 รายการ ทำให้ค่าก่อสร้างลดลง 1,796,655.55 บาท จากเดิม 58,450,000 บาท เป็น 56,653,344.45 บาท และขยายระยะเวลาก่อสร้างเพิ่มอีก 30 วัน เป็นสิ้นสุดวันที่ 19 กันยายน 2555
3. เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2555 ธพ. ได้มีหนังสือขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการฯ เนื่องจากการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาจ้างในข้างต้น ทำให้เกินระยะเวลาดำเนินการที่ กบง. ได้อนุมัติไว้ คือสิ้นสุดการดำเนินงานวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 จึงได้ขอขยายเพิ่มอีก 9 เดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2555 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน กระทรวงพลังงาน เพื่อใช้ก่อสร้างอาคารทดสอบน้ำมันเชื้อเพลิง จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 เป็นสิ้นสุดวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2556
4. เนื่องจากผู้รับจ้างไม่สามารถก่อสร้างอาคารทดสอบน้ำมันเชื้อเพลิง ให้แล้วเสร็จตามกำหนด ซึ่งได้สิ้นสุดสัญญาการก่อสร้างแล้วตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2555 โดยผู้รับจ้างยินยอมเสียค่าปรับตามสัญญา ดังนั้นเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2556 ธพ. ได้มีหนังสือขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ซึ่งเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2556 อบน. ได้มีมติให้นำเรื่องขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน กระทรวงพลังงาน เพื่อใช้ก่อสร้างอาคารทดสอบน้ำมันเชื้อเพลิง เสนอ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป
5. เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2556 ธพ. ได้มีหนังสือแจ้งว่า ธพ. ได้บอกเลิกสัญญาจ้างก่อสร้างอาคารทดสอบน้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากผู้รับจ้างไม่สามารถปฏิบัติงานให้แล้วเสร็จตามสัญญาภายในระยะเวลาที่กำหนดได้ และ ธพ. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อทบทวนแบบและประมาณราคาค่าก่อสร้างใหม่ และปัจจุบันอยู่ระหว่างการประเมินปริมาณงานและราคาค่าก่อสร้างใหม่ ดังนั้น ธพ. จึงขอเปลี่ยนแปลงการขอขยายระยะเวลาดำเนินงานโครงการจากเดิมขอขยายเวลาเป็นสิ้นสุดโครงการวันที่ 31 สิงหาคม 2556 เป็นสิ้นสุดโครงการวันที่ 30 มิถุนายน 2557
6. เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2556 อบน. ได้มีมติรับทราบการบอกเลิกสัญญาจ้างก่อสร้างอาคารทดสอบน้ำมันเชื้อเพลิง ในโครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเรื่องการขอเปลี่ยนแปลงการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน กระทรวงพลังงาน เพื่อใช้ก่อสร้างอาคารทดสอบน้ำมันเชื้อเพลิงเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการจัดตั้งสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน กระทรวงพลังงาน เพื่อใช้ก่อสร้างอาคารทดสอบน้ำมันเชื้อเพลิง ดำเนินการโดยกรมธุรกิจพลังงาน จากเดิมสิ้นสุดโครงการวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นสิ้นสุดโครงการวันที่ 30 มิถุนายน 2557 ภายใต้กรอบวงเงินเดิมที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554