มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2552 (ครั้งที่ 38)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2552 เวลา 9.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ อาคาร 7 ชั้น 11 กระทรวงพลังงาน
1. การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100)
2. การเตรียมการเมื่อสิ้นสุดมาตรการลดภาษีสรรพสามิต
3. การขอรับเงินสนับสนุนโครงการตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิต
4. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) เป็นประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) เป็นกรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะรัฐมนตรีได้มีมติเกี่ยวกับการดำเนินงานตามนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน โดยให้ขยายการดำเนินการต่ออีก 6 เดือน ยกเว้นเรื่องการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งจะสิ้นสุดการดำเนินงานในวันที่ 31 มกราคม 2552 โดยจะมีการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงในอัตราเดิมในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552
เรื่องที่ 1 การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) โดยให้สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงในอุตสาหกรรม ไบโอดีเซล ซึ่งขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันปาล์มดิบเป็นหลักคิดเป็นร้อยละ 76 ของต้นทุนการผลิตไบโอดีเซล โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้
B100 = 0.97 CPO + 0.15 MtOH + 3.32
B100 คือ ราคาขายไบโอดีเซล (B100) ในกรุงเทพมหานคร หน่วย บาท/ลิตร
CPO คือ ราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร หน่วย บาท/กิโลกรัม
MtOH คือ ราคาขายเมทานอลในกรุงเทพมหานคร หน่วย บาท/กิโลกรัม
ทั้งนี้ ได้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 ถึง 27 มกราคม 2551 โดยที่ (1) CPO หรือราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร ใช้ราคาขายส่งสินค้าเกษตร น้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก (ตลาดมาเลเซีย) บวก 1 บาท/กิโลกรัม โดยราคาขายน้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ยในสัปดาห์ที่ผ่านมาจะนำมาใช้กำหนดราคาในสัปดาห์หน้า เช่น ราคาขายน้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ยในสัปดาห์ที่ 1 จะนำมาแทนค่าเพื่อกำหนดราคาไบโอดีเซลในสัปดาห์ที่ 3 เป็นต้น ยกเว้นกรณีราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าราคาตลาดโลกมาก จะนำมาพิจารณาร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง (2) MtOH หรือราคาขายเมทานอลในกรุงเทพมหานคร ใช้ราคาขายเมทานอลเฉลี่ยจากผู้ค้าเมทานอลในประเทศจำนวน 3 ราย เช่น Thai M.C., I.C.P. Chemicals และ Itochu (Thailand) โดยราคาขายเมทานอลเฉลี่ยในสัปดาห์ที่แล้วจะนำมาใช้กำหนดราคาในสัปดาห์หน้า เช่น ราคาขายเมทานอลเฉลี่ยในสัปดาห์ที่ 1 จะนำมาแทนค่าเพื่อกำหนดราคาไบโอดีเซลในสัปดาห์ที่ 3 เป็นต้น
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2551 กบง. ได้มีมติเห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ไบโอดีเซล (B100) โดยให้ปรับเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบเพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซียบวก 3 บาท/กิโลกรัม โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2551 เป็นต้นไป เพื่อแก้ไขปัญหาผลผลิตปาล์มในช่วงต้นปี 2551 ซึ่งเป็นช่วงที่ปริมาณผลปาล์มออกสู่ตลาดน้อย ในขณะที่ความต้องการใช้เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มตลาดมาเลเซียมีแนวโน้มสูงขึ้นในทิศทางเดียวกัน ส่งผลให้ราคาไบโอดีเซล (B100) ที่คำนวณตามสูตรต่ำกว่าราคาที่เป็นจริง ซึ่งเป็นการไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและทำให้ผู้ผลิตไบโอดีเซลไม่สามารถผลิตได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์มดิบปี 2551/2552 ดังนี้ 1) ให้รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ ในราคากิโลกรัมละ 22.50 บาท เป้าหมาย 100,000 ตัน และเก็บสต๊อกไว้จำหน่ายในช่วงเวลาที่เหมาะสม และให้โรงงานสกัดรับซื้อผลปาล์มทะลายจากเกษตรกรในราคากิโลกรัมละ 3.50 บาท (น้ำมันร้อยละ 17) ช่วงรับซื้อผลปาล์มเดือนพฤศจิกายน 2551 ถึง มกราคม 2552 2) เห็นชอบวิธีการจัดเก็บสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบว่าสมควรจะใช้วิธีการเช่าถังกลางในการจัดเก็บหรือฝากเก็บรักษาไว้ที่โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบ และ 3) อนุมัติงบกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ
3. เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 ชมรมผู้ผลิตไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์ได้มีหนังสือถึงกระทรวงพลังงานขอให้พิจารณาแก้ไขหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล เนื่องจากราคาน้ำมันปาล์มดิบที่นำมาคำนวณตามหลักเกณฑ์ที่ กบง. เห็นชอบเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2551 เป็นราคาน้ำมันปาล์มดิบที่ต่ำกว่าต้นทุนที่นำมาผลิตจริง ทำให้ผู้ผลิตไบโอดีเซลไม่สามารถจะผลิตและจำหน่ายได้ เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551เห็นชอบให้รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบในราคา 22.50 บาท/กิโลกรัม ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2551 ถึง มกราคม 2552 ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศตามประกาศของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เฉลี่ยตั้งแต่ 19 พฤศจิกายน 2551 เป็นต้นมา อยู่ที่ระดับประมาณ 19.55 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซียอยู่ที่ประมาณ 14.93 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าในตลาดมาเลเซีย 4.62 บาทต่อกิโลกรัม แต่หลักเกณฑ์การกำหนดราคา ไบโอดีเซล (B100) ที่ กบง. เห็นชอบเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2551 กำหนดให้ระดับราคาเพดานน้ำมันปาล์มดิบเพื่อใช้คำนวณราคาอ้างอิงไบโอดีเซล (B100) ไว้ที่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้การผลิตไบโอดีเซลมีราคาต้นทุนสูงกว่าราคาอ้างอิงและไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ทำให้ผู้ผลิตไบโอดีเซลไม่สามารถผลิตได้ อาจส่งผลให้เกิดการขาดแคลนน้ำมันไบโอดีเซลได้
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) จากเดิมกำหนดให้มีเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/กิโลกรัม เป็นกำหนดให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) โดยอิงราคาปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศชั่วคราวในช่วงการดำเนินการโครงการแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์มดิบปี 2551/2552 ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2552 ถึง 31 มกราคม 2552
มติของที่ประชุม
เห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) โดยกำหนดให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) อิงราคาน้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศชั่วคราวในช่วงการดำเนินการโครงการแทรกแซงตลาดน้ำมันปาล์มดิบปี 2551/ 2552 ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2552 ถึง 31 มกราคม 2552
เรื่องที่ 2 การเตรียมการเมื่อสิ้นสุดมาตรการลดภาษีสรรพสามิต
1. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ได้มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือประชาชนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาน้ำมันแพง โดยกำหนดเป็น 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน ซึ่งหนึ่งในมาตรการดังกล่าว คือ การลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันปรับลดลงเป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2551 และสิ้นสุดในวันที่ 31 มกราคม 2552
2. เพื่อป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงอันเนื่องจากผู้จำหน่ายหยุดการขายชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนในน้ำมันคงเหลือเมื่อมีการปรับลดภาษี นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งที่ 2/2551 ลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2551 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ให้ผู้ค้าน้ำมัน และเจ้าของสถานีบริการน้ำมันได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในน้ำมันคงเหลือที่มีอยู่ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 ตามส่วนต่างราคาที่เกิดขึ้นจากการลดอัตราภาษีสรรพสามิต และให้นำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เมื่อประกาศเพิ่มภาษีสรรพสามิต เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552
3. กระทรวงพลังงานมีนโยบายใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ เข้ามาบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต เพื่อให้ราคาขายปลีกทยอยปรับเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม แต่เนื่องจากคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2551 กำหนดให้มีการดำเนินการเมื่อมีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 เพียงครั้งเดียว ทำให้การดำเนินการเพื่อทยอยปรับราคาขายปลีกตามนโยบายของกระทรวงพลังงาน ไม่สอดคล้องกับคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2551 จึงจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ เพื่อให้สามารถดำเนินการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในน้ำมันคงเหลือจากส่วนต่างราคาที่เกิดขึ้นจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตตามที่ สนพ. ประกาศกำหนดราคาขายปลีกในแต่ละครั้ง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2552 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยไม่มีการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากน้ำมันพื้นฐานคงเหลือ
2. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานรับไปดำเนินการแก้ไขร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรี และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีลงนามต่อไป
เรื่องที่ 3 การขอรับเงินสนับสนุนโครงการตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิต
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือประชาชน โดยกำหนดเป็น 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน โดยการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2551 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2552 ทั้งนี้ การปรับลดภาษีสรรพสามิตดังกล่าว จะทำให้ผู้ประกอบการมีผลขาดทุนในน้ำมันคงเหลือที่ได้มาก่อนการปรับลดราคา และในทางกลับกันเมื่อมีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตกลับมาอยู่ในระดับปกติ ผู้ประกอบการจะมีกำไรส่วนเกินในน้ำมันคงเหลือที่ได้มาก่อนปรับเพิ่มราคา ดังนั้น จึงจำเป็นต้องจ่ายชดเชยผลขาดทุนในปริมาณน้ำมันคงเหลือของผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการเมื่อมีการปรับลดภาษีสรรพสามิต และเรียกเก็บกำไรส่วนเกินคืนให้กองทุนน้ำมันฯ เมื่อมีการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตสู่ระดับปกติ
2. นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งที่ 2/2551 ลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2551 ให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ในน้ำมันคงเหลือที่มีอยู่ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 ตามส่วนต่างราคาที่เกิดขึ้นจากการลดอัตราภาษีสรรพสามิต และให้นำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เมื่อประกาศเพิ่มภาษีสรรพสามิตกลับมาอยู่ในระดับเดิม ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 และเพื่อให้แน่ใจว่าปริมาณน้ำมันคงเหลือของผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการที่ได้รับเงินชดเชยและเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เป็นปริมาณที่ถูกต้องตามความเป็นจริง จึงมอบหมายให้เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือ ณ คลังน้ำมันและสถานีบริการทั่วประเทศ ดังนี้ 1) คลังน้ำมันทั่วประเทศ โดยเจ้าหน้าที่จากกระทรวงพลังงาน 2) สถานีบริการน้ำมันในเขตกรุงเทพฯ โดยเจ้าหน้าที่จากกระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ และตำรวจนครบาล และ 3) สถานีบริการน้ำมันในเขตต่างจังหวัด โดยผู้ว่าราชการจังหวัดจัดตั้งคณะทำงานของแต่ละจังหวัดร่วมกับเจ้าหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ และตำรวจภูธร
3. คำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ ได้มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นผู้แจ้งให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการทราบถึงจำนวนเงินชดเชยหรือจำนวนเงินที่เรียกเก็บเข้ากองทุนน้ำมันฯ ซึ่งคำนวณจากปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิที่ได้เสียภาษีสรรพสามิตแล้วของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดคูณด้วยส่วนต่างราคา
4. จากเรื่องที่ 3.2 การเตรียมการเมื่อสิ้นสุดมาตรการลดภาษีสรรพสามิต กระทรวงพลังงานมีนโยบายใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ เข้ามาบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต เพื่อให้ราคาขายปลีกทยอยปรับเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยต้องตรวจวัดปริมาณน้ำมันคงเหลือมากกว่า 1 ครั้ง จึงจำเป็นต้องขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ในการตรวจสอบน้ำมันคงเหลือในคลังน้ำมันและสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในวงเงินครั้งละ 5,114,100 บาท แบ่งเป็น 1) ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบน้ำมันคงเหลือในคลังน้ำมันเขตกรุงเทพมหานคร จังหวัดฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ และสมุทรสาคร (36,000 บาท) และในเขตจังหวัดสระบุรี ชลบุรี นครราชสีมา และระยอง (38,100 บาท) 2) ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบน้ำมันคงเหลือในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศ (4,872,000 บาท) และ 3) ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและจัดทำเอกสารแจ้งผู้ประกอบการเพื่อเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ (168,000 บาท)
มติของที่ประชุม
1. อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ให้กรมธุรกิจพลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือ จากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตกลับมาอยู่ในระดับเดิม เมื่อสิ้นสุด 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน ในวงเงินครั้งละ 5,114,100 บาท (ห้าล้านหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นสี่พันหนึ่งร้อยบาทถ้วน)
โดยให้สามารถเบิกถัวจ่ายระหว่างรายการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติและหากมีเงินเหลือจ่ายจากการดำเนินการโครงการ ให้นำเงินส่งคืนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป
2. เห็นชอบให้กรมธุรกิจพลังงานเบิกค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ตามการปฏิบัติงานตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตที่เกิดขึ้นจริง ไม่เกิน 3 ครั้ง หากจำเป็นต้องตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือดังกล่าวเกิน 3 ครั้ง ให้นำเรื่องเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป
เรื่องที่ 4 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยเดือนธันวาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 40.53 และ 41.45 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 9.31 และ 15.96 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยของสหรัฐ ต่อมาในช่วงวันที่ 1-9 มกราคม 2552 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 46.51 และ 44.83 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จากข่าวการสู้รบในฉนวนกาซาที่ทวีความรุนแรงขึ้นประกอบกับอิหร่านและคูเวตประกาศลดปริมาณส่งมอบน้ำมันดิบเดือนมกราคม 2552 แก่ลูกค้าเทอมในเอเชียลง
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนธันวาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 41.05, 38.88 และ 58.01 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 7.36, 8.57 และ 10.76 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากข่าวโรงกลั่น Reliance ของอินเดียเริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อ 25 ธันวาคม 2551 ประกอบกับ Pertamina ของอินโดนีเซียลดปริมาณนำเข้าน้ำมันดีเซล ในเดือนมกราคม 2552 ลงจากเดือนธันวาคม 2551 ประมาณร้อยละ 17 และต่อมาในช่วงวันที่ 1-9 มกราคม 2552 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 47.87, 44.87 และ 62.96 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากตลาดคาดว่าอุปสงค์น้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้นจากการที่เวียดนามและอินโดนีเซียจะเพิ่มการนำเข้าน้ำมันเบนซิน ประกอบกับ Arbitrage จากเอเชียไปยุโรปเปิดโดยมีการส่งออกน้ำมันดีเซลปริมาณ 670,000 บาร์เรล ไปยุโรปในช่วงปลายเดือนมกราคม
3. เดือนธันวาคม 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้น 1.40 บาท/ลิตร, เบนซิน 91ลดลง 2.20 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ลดลง 2.00 บาท/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลง 2.70 บาท/ลิตร ตามลำดับ ต่อมาในช่วงวันที่ 1 - 12 มกราคม 2552 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้น 1.40 บาท/ลิตร, เบนซิน 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 น้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้นชนิดละ 0.60 บาท/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 12 มกราคม 2552 อยู่ที่ระดับ 29.99, 21.39, 16.89, 15.59, 16.09, 18.94 และ 17.44 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. สถานการณ์ก๊าซ LPG ช่วงเดือนมกราคม 2552 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 42 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 380.00 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามราคาน้ำมันดิบและความต้องการในภูมิภาคเอเชียมีมาก ขณะที่อุปทานในตะวันออกกลางตึงตัว ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในประเทศ ณ วันที่ 6 มกราคม 2552 อยู่ที่ระดับ 10.9960 บาท/กิโลกรัม อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายในประเทศ อยู่ในระดับ 0.3033 บาท/กิโลกรัม คิดเป็น 48.95 ล้านบาท ทั้งนี้มีการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน -30 พฤศจิกายน 2551 รวม 446,414.46 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 7,947.68 ล้านบาท
5. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล เดือนธันวาคม 2551 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 11 ราย แต่ผลิตจริง 9 ราย กำลังการผลิตรวม 1.57 ล้านลิตร/วัน มีปริมาณผลิตจริง 0.92 ล้านลิตร/วัน และราคาเอทานอลแปลงสภาพ ไตรมาส 1 ปี 2552 อยู่ที่ 17.18 บาท/ลิตร เดือนธันวาคม 2551 มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 12.20 ล้านลิตร/วัน โดยมีสถานีบริการรวม 4,178 แห่ง ณ วันที่ 12 มกราคม 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และ 91 อยู่ที่ 16.89 และ 16.09 บาท/ลิตร ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 อยู่ที่ 4.50 และ 5.30 บาท/ลิตร ตามลำดับ และปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ในเดือนธันวาคม 2551 มีปริมาณ 0.14 ล้านลิตร/วัน มีสถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 188 แห่ง ราคาขายปลีก อยู่ที่ 15.59 บาท/ลิตร ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล 95 E10 อยู่ที่ 1.30 บาท/ลิตร
6. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล เดือนธันวาคม 2551 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 10 ราย กำลังการผลิตรวม 2.90 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการเฉลี่ย 1.57 ล้านลิตร/วัน ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนธันวาคม 2551 และในช่วงวันที่ 1 -18 มกราคม 2552 อยู่ที่ 25.11 และ 23.10 บาท/ลิตร ตามลำดับ การจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เดือนธันวาคม 2551 ปริมาณ 17.16 ล้านลิตร/วัน สถานีบริการรวม 2,866 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เท่ากับ 0.20 บาท/ลิตร มีราคาขายปลีกที่สถานี ปตท. ณ วันที่ 12 มกราคม 2552 อยู่ที่ 17.44 บาท/ลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.50 บาท/ลิตร
7. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 7 มกราคม 2552 มีเงินสดในบัญชี 16,593 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 4,543 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 4,217 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 326 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 12,050 ล้านบาท โดยมีหนี้นำเข้า LPG จาก ปตท. ถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2551 อยู่ประมาณ 7,948 ล้านบาท ซึ่งทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 4,102 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ