มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 9/2552 (ครั้งที่ 46)
เมื่อวันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 เวลา 10.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. การขอขยายเวลาดำเนินการโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง)
2. การขออนุมัติให้ใช้หลักเกณฑ์เพื่อคำนวณต้นทุนราคาเอทานอลเป็นการชั่วคราว
5. โครงการส่งเสริมรถยนต์ Flex Fuel Vehicle (FFV)
6. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
7. การส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การขอขยายเวลาดำเนินการโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง โดยให้รัฐบาลจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจำหน่ายให้ชาวประมงชายฝั่งทดแทนน้ำมันที่ได้รับจากโครงการช่วยเหลือราคาน้ำมันให้ชาวประมง (น้ำมันม่วง) ในราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบกไม่น้อยกว่า 2 บาทต่อลิตร โดยจำหน่ายในพื้นที่ทะเลอาณาเขตห่างฝั่งไม่น้อยกว่า 5 ไมล์ทะเล ยกเว้นรอบเกาะไม่น้อยกว่า 1 ไมล์ทะเล ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2551 คณะรัฐมนตรีได้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 โดยเพิ่มเติมในข้อ 2.1.1 ดังนี้ "กรณีพื้นที่ที่มีปัญหาในการให้บริการจำหน่ายน้ำมันให้ชาวประมง เนื่องจากสภาพภูมิประเทศให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ขององค์การสะพานปลา ในการที่จะนำน้ำมันในโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่งเข้ามาจำหน่ายบริเวณใกล้ฝั่ง หรือสถานีที่องค์การสะพานปลากำกับดูแลบนฝั่ง" โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการฯ 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่เริ่มจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ และปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายในโครงการฯ ไม่เกิน 15 ล้านลิตรต่อเดือน และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงานพิจารณาความเหมาะสมในการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ และปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายในโครงการฯ ในกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่คลี่คลาย
2. เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2551 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบในการจัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ได้รับการช่วยเหลือจากโรงกลั่นโดยมีราคาต่ำกว่าน้ำมันดีเซลปกติ 3 บาทต่อลิตร มาจำหน่ายให้ชาวประมงชายฝั่ง 15 ล้านลิตรต่อเดือน (แทนการจัดหาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในราคาต่ำกว่าดีเซลปกติ 2 บาทต่อลิตร โดยใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการบริหารจัดการ) และให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง 7 ล้านลิตรต่อเดือน รวมเป็น 22 ล้านลิตรต่อเดือน โดยกำหนดเวลาในการช่วยเหลือถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2551 และให้มีมาตรการตรวจสอบและควบคุมเป็นไปตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนด
3. ผลการดำเนินงานโครงการฯ โดยจำหน่ายน้ำมันรวมทั้งสิ้น 7,917,000 ลิตร สรุปได้ ดังนี้
3.1 โครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (ลด 2 บาทต่อลิตร) (ตั้งแต่มิถุนายน 2551- 14 สิงหาคม 2551) รวม 2,094,000 ลิตร ดังนี้ (1) เริ่มจำหน่ายน้ำมันบนฝั่ง เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2551 (2) สถานีบริการน้ำมันเข้าร่วมโครงการฯ 56 สถานี (3) น้ำมันที่สั่งมาเพื่อจำหน่าย 2,094,000 ลิตร ในพื้นที่ 11 จังหวัด (จันทบุรี ชลบุรี ตราด นครศรีธรรมราช ปัตตานี ระนอง ระยอง สตูล สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และสุราษฎร์ธานี)
3.2 โครงการจำหน่ายน้ำมันที่ได้รับการช่วยเหลือจากโรงกลั่น (โครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่งและเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง) (ลด 3 บาทต่อลิตร) (ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2551- 30 พฤศจิกายน 2551) รวม 5,823,000 ลิตร ดังนี้
(1) โครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง รวม 5,242,242 ลิตร มีเรือเข้าร่วมโครงการ 3,339 ลำ สถานีบริการน้ำมันที่เข้าร่วมโครงการฯ 60 สถานี
(2) โครงการจำหน่ายน้ำมันให้แก่เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง รวม 580,758 ลิตร เริ่มจำหน่าย ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2551 มีเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งเข้าร่วมโครงการ 1,130 ราย สถานีบริการน้ำมัน เข้าร่วมโครงการฯ 10 สถานี
4. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีหนังสือขอขยายเวลาดำเนินการโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง เนื่องจากราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น และราคาสัตว์น้ำไม่เป็นไปตามสัดส่วนการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ส่งผลให้ชาวประมงประสบปัญหาการขาดทุนอย่างต่อเนื่องและต้องหยุดกิจการ จึงขอให้พิจารณาขยายเวลาดำเนินการโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง ออกไปอีก 1 ปี (ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2551 ถึง วันที่ 26 พฤศจิกายน 2552)
5. เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2552 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้หารือร่วมกับกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กรมประมง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ประชุมพิจารณาเห็นว่าจำเป็นที่ชาวประมงชายฝั่ง ต้องขอขยายระยะเวลาโครงการฯ ออกไปอีก 1 ปี เนื่องจากต้นทุนของประมงน้ำลึกจะต่ำกว่าประมงชายฝั่ง (ราคาน้ำมันเขียวต่ำกว่าน้ำมันม่วงประมาณ 3 บาทต่อลิตร) และประมงน้ำลึกเป็นเรือขนาดใหญ่ ประสิทธิภาพการจับปลาสูงกว่าประมงชายฝั่ง ทำให้สัตว์น้ำที่จับได้มีขนาดใหญ่กว่าและมีราคาสูงกว่าประมงชายฝั่งที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันในอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่งในราคาต่ำกว่าปกติ 2 บาทต่อลิตร ออกไปอีก 1 ปี และมอบหมายให้กรมประมงจัดส่งข้อมูลราคาสัตว์น้ำของชาวประมงชายฝั่ง และราคาสัตว์น้ำเปรียบเทียบระหว่างประมงน้ำลึก (น้ำมันเขียว) และประมงน้ำตื้น (น้ำมันม่วง) ให้ สนพ. เพื่อนำเสนอ กบง. โดยราคาน้ำมันที่จุดคุ้มทุนของประมงทะเล แยกตามประเภทและขนาดของเรือ เป็น 3 ประเภท คือราคาน้ำมันที่จุดคุ้มทุนรวมเฉลี่ย 16.99 บาทต่อลิตร ราคาน้ำมันที่จุดคุ้มทุนขนาดเรือน้อยกว่า 14 เมตร 16.39 บาทต่อลิตร และราคาน้ำมันที่จุดคุ้มทุนขนาดเรือมากกว่า 14 เมตร 17.18 บาทต่อลิตร (ณ ราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 19.59 บาท เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552)
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ขยายเวลาการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่งออกไปอีก 6 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2552 ถึง 14 พฤศจิกายน 2552) และเมื่อสิ้นสุดการขยายระยะเวลาดังกล่าวแล้ว มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงานพิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการฯ ต่อไป
เรื่องที่ 2 การขออนุมัติให้ใช้หลักเกณฑ์เพื่อคำนวณต้นทุนราคาเอทานอลเป็นการชั่วคราว
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 กบง. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาเอทานอล ดังนี้
ราคาเอทานอล = ราคาเอทานอลตลาดบราซิล + Freight + Insurance + Loss + Survey
จากหลักเกณฑ์ดังกล่าว ให้นำไปใช้เป็นเกณฑ์ในการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล โดยมอบหมายให้ สนพ. ออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
2. การกำหนดราคาเอทานอลของประเทศไทยให้สะท้อนกับราคาตลาดโลก จะอ้างอิงราคาเอทานอลของบราซิล โดยบราซิลได้กำหนดคุณสมบัติเอทานอลเพื่อใช้ในการค้าระหว่างประเทศคือ US Dollar-Denominated Ethanol Futures Contract Specifications โดยใช้รหัส ETN แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันและเอทานอลเพื่อใช้ในรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาลดลง จนไม่มีความจำเป็นต้องนำเข้าเอทานอลจากต่างประเทศโดยเฉพาะจากบราซิล ทำให้ไม่มีรายงานการซื้อขายเอทานอล ในตลาดบราซิล ตามรหัส ETN ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2552 เป็นต้นมา ส่งผลให้ สนพ. ไม่สามารถออกประกาศราคาเอทานอลที่ใช้อ้างอิงสำหรับการซื้อขายเอทานอลระหว่างผู้ผลิตเอทานอลและผู้ค้ามาตรา 7 ในไตรมาส 2 ปี 2552 ได้
3. เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2551 สมาคมการค้าผู้ผลิตเอทานอลไทย ได้มีหนังสือถึงกระทรวงพลังงาน เรื่องสถานการณ์เอทานอล ราคาอ้างอิง และความอยู่รอด เพื่อให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมเอทานอลของประเทศ โดยเฉพาะราคาเอทานอลอ้างอิงที่ประกาศใช้ไม่สะท้อนต้นทุนการผลิต ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่สามารถดำเนินการผลิตได้
4. เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2552 คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงได้มีมติเห็นควรปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาเอทานอล เพื่อใช้อ้างอิงในการซื้อ-ขายในประเทศImport Parity) มาเป็นระบบการคำนวณต้นทุนการผลิต (Cost Plus) เนื่องจากการใช้ราคาอ้างอิงจากบราซิลไม่สะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริง โดยราคาต้นทุนการผลิตของบราซิลต่ำกว่าต้นทุนการผลิตของไทย ทั้งจากปัจจัยทางด้านขนาดการผลิตของบราซิลใหญ่กว่าของไทย และรัฐบาลบราซิลอุดหนุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเกษตรกร รวมทั้งการกำหนดคุณภาพเอทานอลของบราซิล (95%) อยู่ในระดับต่ำกว่าคุณภาพเอทานอลของไทย (99.5%) ต่อมาเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2552 คณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบต้นทุนการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล และมันสำปะหลัง โดยมีหลักเกณฑ์การกำหนดราคาเอทานอล ดังนี้
โดยที่ PEth คือ ราคาเอทานอลอ้างอิง (บาท/ลิตร) ประกาศราคาเป็นรายเดือนทุกเดือน
PMol คือ ราคาเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาล (บาท/ลิตร)
PCas คือ ราคาเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลัง (บาท/ลิตร)
QMol คือ ปริมาณการผลิตจากกากน้ำตาล (ล้านลิตร/วัน) ใช้ปริมาณการผลิตย้อนหลัง 1 เดือนเช่น ใช้ปริมาณการผลิตเดือนที่ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
QCas คือ ปริมาณการผลิตจากมันสำปะหลัง (ล้านลิตร/วัน) ใช้ปริมาณการผลิตย้อนหลัง 1 เดือน เช่น ใช้ปริมาณการผลิตเดือนที่ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
QTotal คือ ปริมาณการผลิตทั้งหมด (ล้านลิตร/วัน) ใช้ปริมาณการผลิตย้อนหลัง 1 เดือน เช่น ใช้ปริมาณการผลิตเดือนที่ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
โดยที่ คือ ต้นทุนกากน้ำตาลที่ใช้ในการผลิตเอทานอล (บาท/ลิตร)
คือ ต้นทุนการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล (บาท/ลิตร) เท่ากับ 6.125 บาท/ลิตร
หมายเหตุ : 1) ราคากากน้ำตาล เป็นราคาส่งออกตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากรโดยใช้ราคาเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง (บาท/กิโลกรัม) เช่น ราคาเฉลี่ยเดือนที่ 1, 2 และ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
2) กากน้ำตาล 4.17 กก. ที่ค่าความหวาน 50% เท่ากับเอทานอล 1 ลิตร อ้างอิงรายงานจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
โดยที่ คือ ต้นทุนมันสำปะหลังที่ใช้ในการผลิตเอทานอล (บาท/ลิตร)
คือ ต้นทุนการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง (บาท/ลิตร) เท่ากับ 7.107 บาท/ลิตร
หมายเหตุ : 1) ใช้ราคามันสด เชื้อแป้ง 25 % ตามประกาศเผยแพร่โดยกรมการค้าภายใน เฉลี่ย 1 เดือนย้อนหลัง (บาท/กิโลกรัม) เช่น ราคามันสดเฉลี่ยวันที่ 16 เดือน 3 ถึง วันที่ 15 เดือน 4 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
2) มันเส้น 2.63 กิโลกรัม เปอร์เซ็นต์แป้งไม่น้อยกว่า 65 เท่ากับเอทานอล 1 ลิตร อ้างอิงรายงานจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
3) หัวมันสด 2.38 กิโลกรัม ที่เชื้อแป้ง 25 % แปรสภาพเป็นมันเส้น 1 กิโลกรัม ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์
4) ค่าใช้จ่ายในการแปลงสภาพจากหัวมันสดเป็นมันเส้น 300 บาท/ตันมันเส้น ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์
5. ต้นทุนการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล และมันสำปะหลังเป็น ดังนี้
ต้นทุน (หน่วย: บาท/ลิตร) | กากน้ำตาล (CMol) | มันสำปะหลัง(CCas) |
Total Initial Investment Cost (ค่าลงทุนเบื้องต้น : ค่าเครื่องจักร ค่าที่ดิน ค่าระบบบำบัด ค่าใช้จ่ายและเงินทุนแรกเริ่ม และค่าอาคาร) 1) | 2.029 | 1.975 |
Chemicals and Process Water (ค่าสารเคมีและน้ำดิบ) 1) | 0.219 | 1.041 |
Utilities (ค่าพลังงาน/สาธารณูปโภค) 2) | 1.546 | 1.779 |
Maintenances (ค่าซ่อมบำรุง) 1) | 0.381 | 0.380 |
Insurances (ค่าประกันภัย) 1) | 0.173 | 0.174 |
Labor (ค่าแรงทางตรง) 3) | 0.434 | 0.434 |
Sales, General & Administrative Expenses (ค่าบริหารจัดการ) 1) | 0.496 | 0.499 |
Ethanol Production Cost (ต้นทุนการผลิต) | 5.278 | 6.282 |
Marketing Margin (ค่าการตลาด) | 0.847 4) | 0.825 4) |
Total Cost (ต้นทุนการผลิตรวม) | 6.125 | 7.107 |
หมายเหตุ
1) อ้างอิงข้อมูลจาก BOI ของโรงผลิตเอทานอลจากวัตถุดิบแต่ละชนิด
2) ข้อมูลเฉลี่ยจาก พพ. , BOI และประมาณการตามสัดส่วนที่เสนอโดยสมาคมการค้าผู้ผลิตเอทานอล
3) ประมาณการจากงบดุลปี 2550 ที่เสนอต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำหรับกำลังการผลิต 150,000 ลิตร/วัน คิดแรงงาน 100 คน ที่รายได้เฉลี่ย 15,000 บาทต่อเดือนและเงินเพิ่ม 1 เดือน โดยมีการปรับรายได้ร้อยละ 5 ต่อปี
4) IRR = 12.50 %
6. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอเพื่อขอความเห็นชอบให้ใช้หลักเกณฑ์เพื่อคำนวณต้นทุนราคาเอทานอล ตามข้อ 4 เป็นการชั่วคราว และหากมีการประกาศราคาซื้อขายเอทานอลของประเทศบราซิลแล้วให้ฝ่ายเลขานุการนำเสนอ กบง. พิจารณาหลักเกณฑ์เพื่อคำนวณต้นทุนราคาเอทานอลอีกครั้ง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ใช้หลักเกณฑ์เพื่อคำนวณต้นทุนราคาเอทานอลตามข้อ 4 เป็นการชั่วคราว 6 เดือน และหากมีการประกาศราคาซื้อขายเอทานอลของประเทศบราซิลหรือมีข้อมูลใหม่ ให้ฝ่ายเลขานุการนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาก่อน 6 เดือนก็ได้
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัจจุบันภาครัฐได้มีการกำกับดูแลต้นทุนของก๊าซ LPG โดยในส่วนของโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ กำกับดูแลโดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ส่วนราคาก๊าซ ณ ปากหลุม กำกับดูแลโดยคณะกรรมการปิโตรเลียม และส่วนอัตราค่าบริการส่งก๊าซทางท่อ กำกับดูแลโดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน อย่างไรก็ตาม ในส่วนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นต้นทุนที่นำมาใช้ในการคำนวณราคาก๊าซ LPG โดยตรง ยังไม่มีการกำกับดูแลโดยหน่วยงานภาครัฐ
2. เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2552 คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงได้มีมติให้ สนพ. รับไปศึกษาต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่เหมาะสม
3. เพื่อให้การกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซ LPG มีความเหมาะสม และทราบถึงต้นทุนของโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่แท้จริง สนพ. ได้จัดทำแผนงานการศึกษาต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติตามต้นทุนการผลิตที่แท้จริง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติสำหรับการกำหนดราคาก๊าซ LPG ตามต้นทุนการผลิตที่แท้จริง และเพื่อกำหนดราคาขายก๊าซ LPG ในประเทศอย่างเป็นธรรมและเหมาะสม โดยมีขอบเขตการศึกษาวิจัยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1) การศึกษาวิจัยต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติ โดยศึกษาและรวบรวมข้อมูลแหล่งวัตถุดิบก๊าซ LPG ในระดับประเทศและต่างประเทศ ศึกษาวิจัยเทคโนโลยีและขบวนการผลิตก๊าซ LPG ในโรงแยกก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งศึกษาวิจัยค่าใช้จ่ายและต้นทุนการผลิตก๊าซ LPG ของโรงแยกก๊าซธรรมชาติในประเทศและต่างประเทศ เพื่อนำมาวิเคราะห์ต้นทุนเชิงเปรียบเทียบ ศึกษาทบทวนระเบียบ กฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้อง และเสนอแนะรูปแบบและโครงสร้างต้นทุนการผลิตก๊าซ LPG จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ที่เหมาะสม วิเคราะห์ความต้องการ ความคาดหวัง และอิทธิพลของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย พร้อมทั้งเสนอแนะกลยุทธ์การบริหารจัดการผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อลดอุปสรรค และเพิ่มแรงเสริมเพื่อพัฒนานโยบายการกำหนดราคาก๊าซ LPG และ 2) จัดประชุมสัมมนาทางวิชาการและดูงาน ทั้งนี้มีลักษณะการดำเนินการเป็นการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อทำการศึกษาวิจัยต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติ โดยมีระยะเวลาดำเนินงาน 6 เดือน (180 วัน) นับจากวันที่ลงนามในสัญญา และใช้งบประมาณในวงเงิน 35,000,000 บาท โดยมี สนพ. เป็นผู้รับผิดชอบ
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการศึกษาวิจัย เรื่องการศึกษาต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติสำหรับการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ตามต้นทุนการผลิตที่แท้จริง ในวงเงิน 35,000,000 บาท (สามสิบห้าล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาดำเนินงาน 6 เดือน (180 วัน) นับจากวันที่ลงนามในสัญญา
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 กบง.ได้มีมติอนุมัติแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2552 - 2555 ให้หน่วยงานต่างๆ เป็นจำนวนเงินรวม 162.8855 ล้านบาท พร้อมทั้งสนับสนุนเงินในงบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2552 - 2555 ปีละ 300 ล้านบาท รวม 1,200 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป ซึ่งกรมสรรพสามิตได้รับอนุมัติเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ในปีงบประมาณ 2552 เป็นจำนวนเงิน 2.6068 ล้านบาท
2. ปัจจุบัน กรมสรรพสามิตได้มีการปรับโครงสร้างของหน่วยงาน โดยแยกหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลงานเกี่ยวกับกองทุนน้ำมันฯ ออกเป็นหน่วยงานใหม่ เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบและรวบรวมระบบฐานข้อมูลเกี่ยวกับการส่งเงิน การขอรับเงินคืน และการขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ของผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศ ซึ่งจำเป็นจะต้องมีระบบฐานข้อมูลการรับ-จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ เพื่อรองรับในการตรวจสอบ กำกับ และติดตาม ทั้งในหน่วยงานของกรมสรรพสามิต และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับอัตรากำลังของผู้ปฏิบัติงานในปัจจุบันมีไม่เพียงพอกับปริมาณงาน
3. เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2552 กรมสรรพสามิตได้มีหนังสือเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ประจำปีงบประมาณ 2552 ในการดำเนินโครงการการจัดทำระบบฐานข้อมูลการรับ-จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กรมสรรพสามิต ในวงเงิน 450,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 9 เดือน (เมษายน 2552 - ธันวาคม 2552) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางระบบข้อมูลและจัดสร้างฐานข้อมูลในการตรวจสอบการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ การขอรับเงินคืน และการขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ของผู้ค้าน้ำมันทั่วประเทศ ให้เป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งการดำเนินงานเป็น 4 ส่วน คือ
3.1 สร้างฐานข้อมูลการรับเงินจากผู้ผลิตน้ำมันทั่วประเทศ ในกรณีที่ กบง. ประกาศกำหนดให้มีการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ
3.2 สร้างฐานข้อมูลการจ่ายเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ที่จ่ายให้กับผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศ ในกรณีที่ กบง. กำหนดให้มีการจ่ายเงินชดเชยให้ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง
3.3 นำระบบฐานข้อมูลไปใช้วิเคราะห์ข้อมูลการส่งเงิน การขอรับเงินคืน และการขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ กรณีตรวจพบความผิดปกติ เพื่อแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบ
3.4 นำระบบฐานข้อมูลไปใช้ในการตรวจปฏิบัติการและการติดตามตรวจสอบผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศที่ส่งเงินและ/หรือขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 ให้กรมสรรพสามิต เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการการจัดทำระบบฐานข้อมูลการรับ-จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กรมสรรพสามิต ในวงเงินรวม 400,000 บาท (สี่แสนบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2552 - ธันวาคม 2552
เรื่องที่ 5 โครงการส่งเสริมรถยนต์ Flex Fuel Vehicle (FFV)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งได้มีมติดังนี้
1.1 เห็นชอบให้มีการส่งเสริมการใช้น้ำมัน E85 เป็นวาระแห่งชาติ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดผลทางปฏิบัติในระยะเวลาที่กำหนดตามแผนปฏิบัติการการส่งเสริมการใช้ E85 ครบวงจร โดยให้กระทรวงพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินงานและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
1.2 เห็นชอบให้กระทรวงการคลัง ลดอากรนำเข้าจากร้อยละ 80 เหลือเป็นร้อยละ 60 สำหรับรถยนต์ Flex Fuel Vehicle (FFV) ขนาดไม่เกิน 2,000 ซีซี และไม่เกิน 2,500 ซีซี จำนวนไม่เกิน 2,000 คัน ที่จะนำเข้าประเทศไทย ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2552
1.3 เห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV อัตราร้อยละ 3 ให้กับรถยนต์ FFV ขนาดไม่เกิน 2,000 ซีซี และไม่เกิน 2,500 ซีซี ที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักร จำนวนไม่เกิน 2,000 คัน ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 และใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV อัตราร้อยละ 3 ให้กับรถยนต์ FFV ที่ผลิต และต้องจำหน่ายภายในราชอาณาจักร ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2553 และหลังจากวันที่ 31 ธันวาคม2553 เป็นต้นไป มอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาโครงสร้างภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ FFV ให้สอดคล้องกับโครงสร้างภาษีรถยนต์ประเภทอื่นทั้งระบบต่อไป
2. ปัจจุบันโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV ใช้อัตราเดียวกันกับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง E20 โดย
กรณีนำเข้า คิดอัตราร้อยละ 25 หรือ 30 แล้วคำนวณตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิต สำหรับรถยนต์ขนาดความจุของกระบอกสูบ ไม่เกิน 2,000 ซีซี หรือไม่เกิน 2,500 ซีซี ตามลำดับ และกรณีผลิตในประเทศ คิดอัตราร้อยละ 25 30 หรือ 35 แล้วคำนวณตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิต สำหรับรถยนต์ขนาดความจุของกระบอกสูบ ไม่เกิน 2,000 ซีซี ไม่เกิน 2,500 ซีซี หรือไม่เกิน 3,000 ซีซี ตามลำดับ
3. กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) จะดำเนินโครงการส่งเสริมรถยนต์ FFV โดยจะออกประกาศเชิญชวนให้ผู้นำเข้าและผู้ผลิตรถยนต์เข้าร่วมโครงการฯ โดยแบ่งเป็น2 ช่วง คือช่วงที่ 1 เริ่มตั้งแต่ประกาศเชิญชวนของ พพ. มีผลบังคับใช้ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2552 โดยส่งเสริมการนำเข้ารถยนต์ FFV โดยจำกัดขนาดความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 2,000 ซีซี และไม่เกิน 2,500 ซีซี จำนวนรวมไม่เกิน 2,000 คัน และส่งเสริมการผลิตรถยนต์ FFV ภายในประเทศโดยไม่จำกัด ซีซี และจำนวนคัน และช่วงที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 - 31 ธันวาคม 2553 เป็นการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ FFV ภายในประเทศโดยไม่จำกัด ซีซี และจำนวนคัน
4. จากข้อมติคณะรัฐมนตรีฯ ในข้อ 1.3 เห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV ในอัตราร้อยละ 3 และจากโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ในเบื้องต้น ประมาณการงบประมาณในการชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV ร้อยละ 3 รวมเป็นเงิน 352,528,850 บาท และ ค่าบริหารจัดการโครงการฯ เพื่อดำเนินการและเผยแพร่ข้อมูลโครงการฯ คิดเป็นเงินรวม 4,500,000 บาท ดังนั้น ค่าใช้จ่ายรวมของโครงการ คิดเป็นเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 357 ล้านบาท
5. การชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV ร้อยละ 3
5.1 กรณีนำเข้า
(1) ผู้นำเข้ารถยนต์ FFV ยื่นเอกสารภายใน 30 กันยายน 2552 เพื่อขอเป็นผู้เข้าร่วมโครงการต่อ พพ. หากเอกสารครบถ้วนและถูกต้อง พพ. จะมีหนังสือเห็นชอบให้เข้าร่วมโครงการ
(2) การนำเข้าแต่ละครั้ง ผู้นำเข้าต้องยื่นเอกสารต่อ พพ. เพื่อขอรับสิทธิในโครงการภายใน 10 วันทำการนับแต่วันที่ส่งออกจากประเทศต้นทาง หากเอกสารครบถ้วนและถูกต้อง พพ. จะมีหนังสือเห็นชอบ ให้ผู้นำเข้ารับสิทธิในโครงการฯ และระบุลำดับที่รถยนต์ FFV ที่ได้รับสิทธิ โดยผู้ที่ยื่นเอกสารถูกต้องและครบถ้วนก่อนย่อมได้รับสิทธิก่อน และ พพ.จะใช้เวลาพิจารณาเอกสารไม่เกิน 10 วันทำการ ทั้งนี้หากเกิดค่าใช้จ่ายใดๆ ขึ้น ผู้นำเข้าต้องเป็นผู้รับผิดชอบเพียงฝ่ายเดียว
(3) ผู้นำเข้ายื่นหนังสือที่ พพ. เห็นชอบตามข้อ 5.1(1) และ 5.1(2) และชำระอากรนำเข้า ภาระภาษีต่างๆ ต่อกรมศุลกากร กรมศุลกากรคำนวณส่วนต่างภาษีสรรพสามิตร้อยละ 3 และอนุญาตการตรวจปล่อย ทั้งนี้หากผู้นำเข้าไม่นำหนังสือที่ พพ. เห็นชอบไปยื่นต่อกรมศุลกากรภายใน 30 วัน นับจากวันที่รถยนต์ FFV เข้ามาในราชอาณาจักร หนังสือฉบับนั้นเป็นอันยกเลิกต้องเริ่มต้นขอรับสิทธิใหม่เพื่อป้องกันการกันสิทธิผู้อื่น และหนังสือเห็นชอบ 1 ฉบับ ให้ใช้ได้กับการนำเข้าเพียง 1 ครั้งเท่านั้น หากมีรถยนต์มาไม่พร้อมกัน ให้ใช้กับรถยนต์ชุดแรกก่อน ที่เหลือต้องเริ่มใหม่
(4) ผู้นำเข้าต้องนำเข้ารถยนต์ FFV ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 และยื่นเอกสารการชำระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV ที่ออกโดยกรมศุลกากร เอกสารระบุ ยี่ห้อ รุ่น สี ขนาดความจุกระบอกสูบ หมายเลขเครื่องยนต์ หมายเลขตัวถัง ประเทศผู้ผลิต โดยต้องเป็นยี่ห้อ รุ่น ที่บริษัทผู้ผลิตและออกแบบรถยนต์รับรองตามข้อ 5.1(1) เอกสารเห็นชอบให้เข้าร่วมโครงการ เอกสารเห็นชอบขอรับสิทธิในโครงการ และเอกสารแสดงการจำหน่ายให้ พพ. ตรวจสอบภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553 เพื่อจ่ายเงินชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตร้อยละ 3 ตามที่กรมศุลกากรแจ้ง และ พพ. จะเผยแพร่สถานภาพโครงการ ราคารถยนต์ FFV ทั้งกรณีที่มิได้เข้าร่วมและเข้าร่วมโครงการ ให้ผู้เข้าร่วมโครงการและประชาชนทราบ
5.2 กรณีผลิตภายในประเทศ
(1) ผู้ผลิตรถยนต์ FFV ยื่นเอกสารภายในวันที่ 30 กันยายน 2553 เพื่อขอเป็นผู้เข้าร่วมโครงการและขอรับสิทธิในโครงการต่อ พพ. หากเอกสารครบถ้วนและถูกต้อง พพ. จะมีหนังสือเห็นชอบให้เข้าร่วมโครงการและขอรับสิทธิในโครงการ โดยจะใช้เวลาพิจารณาเอกสารไม่เกิน 10 วันทำการ
(2) ผู้ผลิตยื่นหนังสือที่ พพ.เห็นชอบให้เข้าร่วมโครงการและขอรับสิทธิตาม ข้อ 5.2(1) และชำระภาษีสรรพสามิต ภาระภาษีต่างๆ ต่อกรมสรรพสามิต กรมสรรพสามิตคำนวณส่วนต่างภาษีสรรพสามิต ร้อยละ 3 และอนุญาตการตรวจปล่อย
(3) ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ผู้ผลิตรถยนต์ FFV ต้องยื่นเอกสารการชำระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV ที่ออกโดยกรมสรรพสามิต เอกสารระบุ ยี่ห้อ รุ่น สี ขนาดความจุกระบอกสูบ หมายเลขเครื่องยนต์ หมายเลขตัวถัง โดยต้องเป็นยี่ห้อ รุ่น ที่บริษัทผู้ผลิตและออกแบบรถยนต์รับรองตามข้อ 5.2(1) เอกสารเห็นชอบให้เข้าร่วมโครงการและขอรับสิทธิในโครงการ และเอกสารแสดงการจำหน่ายให้ พพ. ตรวจสอบ เพื่อจ่ายเงินชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตร้อยละ 3 ตามที่กรมสรรพสามิตแจ้ง และ พพ. จะเผยแพร่สถานภาพโครงการ ราคารถยนต์ FFV ทั้งกรณีที่มิได้เข้าร่วมและเข้าร่วมโครงการ ให้ผู้เข้าร่วมโครงการและประชาชนทราบ
6. การติดตามความก้าวหน้า จัดตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามความก้าวหน้าการส่งเสริมรถยนต์ FFV เพื่อประเมินผลและรายงานให้ กบง. ทราบทุกไตรมาสจนเสร็จสิ้นโครงการฯ
มติของที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับโครงการส่งเสริมรถยนต์ FFV ในวงเงิน 357 ล้านบาท (สามร้อยห้าสิบเจ็ดล้านบาทถ้วน) โดยแบ่งเป็นเงินชดเชยภาษีสรรพสามิตส่วนต่างจากอัตราภาษีสรรพสามิตปกติสำหรับรถยนต์ FFV ร้อยละ 3 จำนวน 352.5 ล้านบาท และเป็นเงินเพื่อบริหารจัดการโครงการฯ จำนวน 4.5 ล้านบาท ให้กับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานดำเนินการด้วยการว่าจ้าง และหรือ ดำเนินการเอง ซึ่งแต่ละวิธีสามารถแยกดำเนินการเป็นหลายรายการได้
2. มอบให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานดำเนินโครงการส่งเสริมรถยนต์ FFV และเป็นผู้จ่ายเงินชดเชยภาษีสรรพสามิตส่วนต่างจากอัตราภาษีสรรพสามิตปกติสำหรับรถยนต์ FFV ร้อยละ 3 ทั้งนี้ให้สามารถปรับรายละเอียดและแนวทางการบริหารจัดการของโครงการได้ เพื่อให้ถูกต้องครบถ้วนตามระเบียบของกระทรวงการคลัง
3. เนื่องจากรถยนต์ FFV มีหลายยี่ห้อ หลายรุ่น และหลายซีซี (ยกเว้นรถนำเข้าต้องไม่เกิน 2,000 ซีซี และไม่เกิน 2,500 ซีซี เท่านั้น) ราคารถยนต์ FFV จึงมีความแตกต่างกัน ทำให้จำนวนเงินชดเชยภาษีสรรพสามิตส่วนต่างจากอัตราภาษีสรรพสามิตปกติสำหรับรถยนต์ FFV ร้อยละ 3 ต่อคัน แตกต่างกันด้วย ดังนั้นการเบิกจ่ายเงินชดเชยฯ ให้เบิกจ่ายตามจริงตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิต และเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มีนาคม 2554
4. การชดเชยภาษีสรรพสามิตส่วนต่างจากอัตราภาษีสรรพสามิตปกติสำหรับรถยนต์ FFV ร้อยละ 3 ให้มีผลตั้งแต่วันที่ประกาศกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เรื่อง "การขอรับเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV อัตราร้อยละ 3 พ.ศ. 2552" มีผลบังคับใช้
5. มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน จัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาข้อกำหนดลักษณะของรถยนต์ FFV ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบมลพิษที่จะต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทุกประเภทที่บริษัทผู้ผลิตให้การรับรอง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในเรื่องการ ไม่ก่อให้เกิดมลพิษและการประหยัดพลังงาน
เรื่องที่ 3.6 การแต่งตั้งและยกเลิกคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. ขอแต่งตั้งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยและการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิต
1.1 จากมาตรการลดภาษีสรรพสามิต เป็นระยะเวลา 6 เดือน ส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการขาดทุนในปริมาณน้ำมันคงเหลือที่มีอยู่ก่อนวันดังกล่าว และทำให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการได้กำไรส่วนเกินจากปริมาณน้ำมันคงเหลือที่มีอยู่ก่อนวันที่ราคาปรับเพิ่มขึ้น นายกรัฐมนตรีจึงได้มีคำสั่ง ที่ 2/2551 ลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2551 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อจ่ายเงินชดเชยให้เจ้าของสถานีบริการในกรณีปรับลดภาษีสรรพสามิต ซึ่งกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการยื่นหนังสือขอรับเงินชดเชยจากสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ลงในหนังสือของ ธพ. ซึ่งแจ้งจำนวนเงินชดเชยที่พึงได้รับจากกองทุนน้ำมันฯ
1.2 หลังสิ้นสุดมาตรการลดภาษีสรรพสามิตในวันที่ 31 มกราคม 2552 ซึ่งภาษีสรรพสามิตและราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงจะต้องปรับเพิ่มขึ้น นายกรัฐมนตรีจึงได้มีคำสั่งที่ 1/2552 ลงวันที่ 28 มกราคม 2552 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันทยอยปรับเพิ่มขึ้นหลายครั้งตามความเหมาะสม แทนการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 เพียงครั้งเดียว
1.3 จากการดำเนินการ ได้พบปัญหาเกี่ยวกับการขอรับเงินชดเชยที่ทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินให้กับผู้ค้าน้ำมันได้ ได้แก่ ปัญหาเรื่องความไม่ครบถ้วนของเอกสารประมาณ 2,000 ราย และปัญหาทางข้อกฎหมายของผู้ประกอบการ ธพ. จึงเห็นควรแต่งตั้งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยและการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิต ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, กรมบัญชีกลาง, สบพน., สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน, สนพ. และ ธพ. เพื่อทำหน้าที่วินิจฉัยปัญหาดังกล่าว แล้วจึงนำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป ซึ่งเป็นไปตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2551 ข้อ 11 ที่กำหนดว่า ในกรณีที่มีปัญหาในการตีความเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่งนี้ ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาวินิจฉัยและให้ถือว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นที่สุด
2. ขอแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2552 กพช. ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับปรุงการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งเห็นควรให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยมีอำนาจหน้าที่ในการศึกษา วิเคราะห์ และเสนอนโยบายมาตรการสนับสนุนการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งติดตามการดำเนินงานตามนโยบายเพื่อเสนอ กพช. ให้ความเห็นชอบ สนพ. จึงได้ยกร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ดังนี้
2.1 องค์ประกอบ มีปลัดกระทรวงพลังงาน หรือรองปลัดกระทรวงพลังงานที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธานอนุกรรมการ อนุกรรมการประกอบด้วย ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทน ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทน ผู้อำนวยการ สนพ. หรือผู้แทน อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานหรือผู้แทน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานหรือผู้แทน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือผู้แทน ผู้ว่าการการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งหรือผู้แทน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้อำนวยการสำนักนโยบายไฟฟ้า สนพ. เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ และผู้แทน สนพ. เป็นอนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
2.2 อำนาจหน้าที่ เพื่อศึกษา วิเคราะห์ เสนอแนะนโยบายและมาตรการสนับสนุนการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อเสนอ กพช. ให้ความเห็นชอบ และติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาจากการดำเนินงานตามนโยบาย ทั้งนี้ การปฏิบัติงานของคณะอนุกรรมการฯ ให้รายงานผลการดำเนินงานต่อ กบง. ทราบเป็นระยะตามความเหมาะสม
3. การยกเลิกคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
3.1 เพื่อช่วยปฏิบัติงานการเสนอนโยบายและการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า กบง. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 7 คณะ ดังนี้ (1) คณะอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้าและค่าบริการ (2) คณะอนุกรรมการการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า (3) คณะอนุกรรมการพิจารณาระเบียบการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า (4) คณะอนุกรรมการประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (5) คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า (6) คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก และ (7) คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน
3.2 ต่อมาได้มีการปรับโครงสร้างบริหารกิจการพลังงาน โดยแยกงานนโยบาย งานกำกับดูแล และการประกอบกิจการพลังงานออกจากกันให้ชัดเจนตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 และมีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลอัตราค่าบริการ มาตรฐานการให้บริการ และมาตรฐานทางวิศวกรรมและความปลอดภัย และกำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน ให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรม ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการภายใต้ กบง. ไม่ซ้ำซ้อนกับการดำเนินการกำกับกิจการไฟฟ้าของ กกพ. ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอยกเลิกคณะอนุกรรมการ 4 คณะ จาก 7 คณะ ดังนี้ (1) คณะอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้าและบริการ (2) คณะอนุกรรมการพิจารณาระเบียบการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า (3) คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก และ (4) คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยและการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิต
2. เห็นชอบร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
3. เห็นชอบให้ยกเลิกคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน จำนวน 4 คณะ ดังนี้
3.1 คณะอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้าและบริการ
3.2 คณะอนุกรรมการพิจารณาระเบียบการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า
3.3 คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก
3.4 คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน
เรื่องที่ 6 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยเดือนมีนาคม 2552 อยู่ที่ระดับ 45.59 และ 48.00 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 2.50 และ 8.84 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1 - 27 เมษายน 2552 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 50.26 และ 49.68 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 เฉลี่ยเดือนมีนาคม 2552 อยู่ที่ระดับ 54.20 และ 53.14 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 3.77 และ 2.28 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และในช่วงวันที่ 1 - 27 เมษายน 2552 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95และ 92 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 61.20, 59.01 และ 58.39 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและคาดว่าโรงกลั่นในเอเชียจะลดอัตราการกลั่นในเดือนพฤษภาคมเนื่องจากค่าการกลั่นที่อ่อนตัวลง
2. เดือนมีนาคม 2552 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร, เบนซิน 91 เพิ่มขึ้น 2.10 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล 95 E10, แก๊สโซฮอล 91 เพิ่มขึ้น 2.60 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล 95 E20, E85 และดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 1.60 บาทต่อลิตร ส่วนดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 3.10 บาทต่อลิตร ต่อมาในช่วงวันที่ 1 - 28 เมษายน 2552 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิดเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 28 เมษายน 2552 อยู่ที่ระดับ 37.14, 30.04, 26.24, 23.94, 21.29, 25.44, 22.79 และ 19.79 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
3. สถานการณ์ก๊าซ LPG เดือนเมษายน 2552 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวลดลง 63 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 399.00 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามราคาน้ำมันดิบ ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในประเทศอยู่ที่ระดับ 10.9960 บาทต่อกิโลกรัม และราคาขายส่ง ณ คลัง ที่ระดับ 14.6443 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีก ณ กรุงเทพฯ อยู่ที่ระดับ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ มีการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 - เมษายน 2552 รวมทั้งสิ้น 497,719.56 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 8,180 ล้านบาท
4. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล เดือนมีนาคม 2552 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตจริง 10 ราย และมีปริมาณผลิตจริง 1.27 ล้านลิตรต่อวัน และราคาเอทานอลแปลงสภาพ ไตรมาส 2 ปี 2552 อยู่ที่ 17.18 บาทต่อลิตร ในเดือนมีนาคมและช่วงวันที่ 1-18 เมษายน 2552 มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 12.10 และ 12.50 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากสถานีบริการรวม 4,178 แห่ง ส่วนการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ในช่วงเวลาเดียวกัน มีปริมาณ 0.17 ล้านลิตรต่อวัน จากสถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 จำนวน 188 แห่ง ซึ่งราคาขายปลีกต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล 95 E10 อยู่ที่ 2.30 บาทต่อลิตร
5. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล เดือนมีนาคม 2552 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 13 ราย กำลังการผลิตรวม 5.60 ล้านลิตรต่อวัน ปริมาณความต้องการเฉลี่ยในเดือนมีนาคมและในช่วงวันที่ 1-18 เมษายน 2552 อยู่ที่ 1.71 และ 1.62 ล้านลิตรต่อวัน ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ที่ 26.96 และ 24.96 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ปริมาณ 21.89 และ 21.68 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ สถานีบริการรวม 2,866 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เท่ากับ 0.20 บาทต่อลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 3.00 บาทต่อลิตร
6. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 23 เมษายน 2552 มีเงินสดในบัญชี 25,252 ล้านบาท หนี้สินกองทุนน้ำมันฯ 10,669 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 10,259 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 410 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 14,583 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 7 การส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2552 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ดังนี้ (1) เห็นชอบในหลักการให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นกลไกในการรักษาระดับค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ให้ไม่ต่ำกว่าค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 ประมาณ 1.20 บาทต่อลิตร และ (2) เห็นชอบในหลักการให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 ประมาณร้อยละ 30
2. จากโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงวันที่ 1 พฤษภาคม 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 (18.02 บาทต่อลิตร) ต่ำกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 (25.74 บาทต่อลิตร) ร้อยละ 30 และอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ชดเชยอยู่ 5.70 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 และ E85 อยู่ที่ 2.59 และ 0.85 บาทต่อลิตร ตามลำดับ เนื่องจากราคาเอทานอลปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้น เพื่อให้โครงสร้างน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เป็นไปตามมติ กบง. ตามข้อ 1 จึงเห็นควรปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เป็นชดเชย 8 บาทต่อลิตร ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2552 ซึ่งจะส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 อยู่ที่ 3.15 บาทต่อลิตร สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 เพื่อเป็นการส่งเสริมผู้ค้าน้ำมันให้ขยายโครงข่ายให้กว้างขวางมากขึ้น
3. ยอดขายน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ณ เดือนมีนาคม 2552 มีปริมาณประมาณ 12,000 ลิตร คิดเป็นภาระการชดเชยในระดับ 5.70 บาทต่อลิตร เทียบเท่า 68,400 บาทต่อเดือน หากปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เป็นชดเชย 8.00 บาทต่อลิตร จะทำให้ภาระชดเชยเพิ่มขึ้นอีก 27,600 บาทต่อเดือน เป็นยอดชดเชยทั้งสิ้น 96,000 บาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 โดยเพิ่มการชดเชย 2.30 บาทต่อลิตร จากเดิมชดเชย 5.70 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 8.00 บาทต่อลิตร
ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2552 เป็นต้นไป