มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 14/2552 (ครั้งที่ 51)
เมื่อวันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 เวลา 11.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. การจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท
2. แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553-2555
3. แนวทางการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชยจากการปรับลดภาษีสรรพสามิต
4. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความภาคภูมิใจการพัฒนาพลังงานไทย
5. ขอปรับปรุงแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท๊กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท๊กซี่ NGV
6. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
7. รายงานผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2551
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2552 ได้พิจารณาเรื่องแนวทางการชำระเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จากการนำเข้า และได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ จ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 เป็นต้นไป ในวงเงินไม่เกินเดือนละ 500 ล้านบาท และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กรมสรรพสามิตและสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่นำเข้ามาใช้ในประเทศ ทั้งนี้ ในกรณีที่ยอดการจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเสนอ กบง. พิจารณาใหม่อีกครั้ง
2. ในช่วงเดือนเมษายน 2551 - ตุลาคม 2552 ปริมาณการนำเข้าก๊าซ LPG มีทั้งสิ้น 969,633 ตัน และจากการที่ราคาขายก๊าซ LPG ในประเทศ ต่ำกว่าราคาตลาดโลกทำให้ต้องชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า คิดเป็นเงินประมาณ 11,796 ล้านบาท LPG โดยในเดือนสิงหาคม, กันยายนและตุลาคม 2552 ชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าอยู่ที่ประมาณ 670, 845 และ 1,131 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าวงเงินที่ กบง. กำหนด อยู่ประมาณ 170 ล้านบาท 345 และ 631 ล้านบาท ตามลำดับ
3. ในเดือนพฤศจิกายน 2552 - มีนาคม 2553 ประมาณการใช้ก๊าซ LPG อยู่ที่ระดับ 423 - 491 พันตัน ปริมาณการผลิตในประเทศอยู่ที่ระดับ 310 - 382 พันตัน และปริมาณการนำเข้าอยู่ที่ระดับ 109 - 141 พันตัน จากการคาดการณ์ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในเดือนธันวาคม 2552 คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 668 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน และช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 650 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ซึ่งจากประมาณการนำเข้าก๊าซ LPG ที่เพิ่มขึ้นและราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้จำนวนเงินที่ต้องจ่ายชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2552 เป็นต้นไป เกินวงเงินที่มติ กบง. กำหนดไว้ที่ระดับ 500 ล้านบาท/เดือน
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 มีเงินสดในบัญชี 31,001 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 10,489 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 10,180 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 309 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 20,512 ล้านบาท
5. เพื่อให้ สบพน. สามารถจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ในส่วนที่เกินวงเงินที่มติ กบง. กำหนดไว้ได้ จึงขอความเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ จ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท ตามภาระเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละเดือน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน จ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ในส่วนที่เกินวงเงินที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานมีมติเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2552 โดยให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG เกินวงเงินเดือนละ 500 ล้านบาท ตามภาระเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละเดือน
เรื่องที่ 2 แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553-2555
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2551-2555 ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. รวมเป็นจำนวนเงิน 173,679,300 บาท พร้อมเงินสนับสนุนในงบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน 350 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2552 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 กบง. ได้อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2552 ให้ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. เป็นจำนวนเงิน 23,214,700 บาท, 12,595,200 บาท, 2,606,800 บาท, 911,900 บาท และ 1,486,800 บาท ตามลำดับ และรวมค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร 804,000 บาท เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 41,619,400 บาท ภายใต้กรอบงบประมาณปี 2552 - 2555 ที่ กบง. ได้อนุมัติ
2. สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. ได้รายงานแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารตามที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ 2552 จำนวน 41,619,400 บาท ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 กันยายน 2552 มีแผนการใช้จ่ายเงินรวมทั้งสิ้น 24,224,771 บาท เงินคงเหลือ 17,394,629 บาท โดยพบว่า สป.พน. และ สนพ. มีแผนการใช้จ่ายต่ำกว่างบประมาณที่ตั้งขอไว้มากเพียงร้อยละ 59.42 และ 37.03 ตามลำดับ เนื่องจากทั้งสองหน่วยงานได้ขอเงินเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางไปราชการต่างประเทศค่อนข้างสูง คือประมาณ 9.2 และ 6.6 ล้านบาท ตามลำดับ แต่ค่าใช้จ่ายดังกล่าวไม่ได้ถูกใช้ เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดพยายามหลีกเลี่ยงหรืองดเว้นการเดินทางไปดูงานและสัมมนาในต่างประเทศ ประกอบกับ สนพ. ยังไม่มีการใช้จ่ายเกี่ยวกับการจ้างที่ปรึกษา 2 อัตรา จำนวน 1.2 ล้านบาท ซึ่งเมื่อหักงบส่วนนี้ของทั้งสองหน่วยงานออก ทำให้งบประมาณของทั้งสองหน่วยงานจะเหลือเป็น 13.99 ล้านบาท และ 5.99 ล้านบาท ตามลำดับ ทำให้แผนการใช้จ่ายเงินของทั้งสองหน่วยงานคิดเป็นร้อยละ 98.54 และ 97.25 ตามลำดับ
3. ในปีงบประมาณ 2552 สป.พน. สนพ. ธพ. และกรมสรรพสามิต ได้จัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอเงินสนับสนุนจากงบค่าใช้จ่ายอื่น กองทุนน้ำมันฯ ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551 - 24 กันยายน 2552 ซึ่ง กบง. ได้อนุมัติเงินทั้งสิ้น 205.98 ล้านบาท โดยให้เงินสนับสนุน สป.พน. สนพ. ธพ. และกรมสรรพสามิต เป็นเงิน 47.4 ล้านบาท, 93 ล้านบาท, 65.18 ล้านบาท และ 0.40 ล้านบาท ตามลำดับ และผลการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ในปี 2552 ดังนี้
3.1 สป.พน. ได้รับเงินสนับสนุนดำเนินการจำนวน 2 โครงการ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการยังไม่แล้วเสร็จ
3.2 สนพ. ได้รับเงินสนับสนุนดำเนินการ 5 โครงการ อยู่ระหว่างการดำเนินงาน 4 โครงการ โครงการที่ไม่ได้ดำเนินการคือ แผนงานการประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (30 ล้านบาท) เนื่องจาก คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติให้ชะลอการพิจารณาปรับราคาก๊าซ LPG ออกไปก่อน
3.3 ธพ. ได้รับเงินสนับสนุน 10 โครงการ มีการดำเนินงาน 9 โครงการ และ 1 โครงการ ที่ไม่ได้ดำเนินการคือ แผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV (88.8 ล้านบาท) เนื่องจาก กพช. ได้มีมติให้ชะลอการพิจารณาปรับราคา NGV ออกไปก่อน ดังนั้น ปี 2552 ธพ. ได้ดำเนินการเสร็จสิ้น 2 โครงการ และมี 1 โครงการที่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการ คือ โครงการส่งเสริมสถานีบริการน้ำมันที่ได้รับเหรียญรางวัลให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีระยะเวลาดำเนินการอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม 2552 - เมษายน 2553
3.4 กรมสรรพสามิต ได้รับเงินสนับสนุนในโครงการจัดทำระบบฐานข้อมูลการรับ-จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กรมสรรพสามิต ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำระบบฐานข้อมูลและคาดว่าผลการดำเนินงานจะเป็นไปตามเป้าหมาย
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 มียอดเงินคงเหลือตามบัญชีจำนวน 31,001 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 10,489 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 10,180 ล้านบาท และงบบริหารโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 309 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 20,512 ล้านบาท
5. ปีงบประมาณ 2553 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ขอปรับปรุงประมาณการแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553 ใหม่ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 45,544,600 บาท และเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2552 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) - 2555 และได้มีมติดังนี้
6.1 รับทราบผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารและงบค่าใช้จ่ายอื่นของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552 ของหน่วยงานต่างๆ
6.2 เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2553 - 2555 ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานหน่วยงานดังกล่าว เพื่อปรับจำนวนเงินรวมในปีงบประมาณ 2553 - 2555 ให้เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 121.2661 ล้านบาท เท่ากับจำนวนเงินรวมของงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2553 - 2555 ที่ กบง. ได้อนุมัติไว้เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 และเห็นชอบงบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2553 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ตามตารางที่ 1
ตารางที่ 1 แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปี 2553 - 2555
หน่วย : ล้านบาท
หน่วยงาน | ปีงบประมาณ | รวม 2553 - 2555 |
||
พ.ศ. 2553 | พ.ศ. 2554 | พ.ศ. 2555 | ||
1. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน | 23.2147 | 23.2147 | 23.2147 | 69.6441 |
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | 9.9539 | 9.9570 | 9.9570 | 29.8679 |
3. กรมสรรพสามิต | 3.7701 | 3.7122 | 3.7122 | 11.1945 |
4. กรมศุลกากร | 0.9079 | 0.8579 | 0.8579 | 2.6237 |
5. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน | 3.7949 | 1.6351 | 1.7019 | 7.1319 |
6. ค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร | 0.8040 | - | - | 0.8040 |
รวมค่าใช้จ่ายงบบริหาร | 42.4455 | 39.3769 | 39.4437 | 121.2661 |
7. งบค่าใช้จ่ายอื่น | 300.0000 | 300.0000 | 300.0000 | 900.0000 |
รวมทั้งสิ้น (1 - 7) | 342.4455 | 339.3769 | 339.4437 | 1,021.2661 |
6.3 เห็นชอบงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2553 ของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. เป็นจำนวนเงินรวม 42.4455 ล้านบาท โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไป ตามตารางที่ 2
ตารางที่ 2 แผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553
หน่วย : ล้านบาท
หน่วยงาน | หมวดค่าจ้างชั่วคราว | หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ | หมวดค่าครุภัณฑ์ | หมวดค่าใช้จ่ายอื่นๆ | รวม |
1. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน | 1.8309 | 12.1678 | - | 9.2160 | 23.2147 |
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | 0.3399 | 0.9140 | - | 8.7000 | 9.9539 |
3. กรมสรรพสามิต | 2.1781 | 1.3150 | 0.2650 | 0.0120 | 3.7701 |
4. กรมศุลกากร | 0.5218 | 0.3361 | 0.0500 | - | 0.9079 |
5. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน | 1.0494 | 2.7455 | - | - | 3.7949 |
6. ค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร | - | - | - | 0.8040 | 0.8040 |
รวม | 5.9201 | 17.4784 | 0.3150 | 18.7320 | 42.4455 |
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารและงบค่าใช้จ่ายอื่นของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552 ของหน่วยงานต่างๆ
2. เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553 - 2555 ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เป็นจำนวนเงินรวม 121.2661 ล้านบาท (หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดล้านสองแสนหกหมื่นหกพันหนึ่งร้อยบาทถ้วน) และเห็นชอบงบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2553 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ตามรายละเอียดตารางที่ 1
3. อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2553 ของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เป็นจำนวนเงินรวม 42.4455 ล้านบาท (สี่สิบสองล้านสี่แสนสี่หมื่นห้าพันห้าร้อยบาทถ้วน) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไป ตามรายละเอียดตารางที่ 2
4. ให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รับข้อสังเกตของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการในการตั้งงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2554 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 3 แนวทางการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชยจากการปรับลดภาษีสรรพสามิต
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ได้กำหนดมาตรการเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นเวลา 6 เดือน (25 กรกฎาคม 2551 - 31 มกราคม 2552) ซึ่งส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการขาดทุนในปริมาณน้ำมันคงเหลือ ณ สิ้นวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการพยายามลดผลขาดทุนด้วยการลดปริมาณน้ำมันคงเหลือในสถานีบริการให้น้อยที่สุด จนเกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว รัฐบาลจึงใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ จ่ายชดเชยส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการ
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2552 กบง. ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยและการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิต เพื่อพิจารณาและเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชยจากการปรับภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2551 และปัญหาการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 และวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552
3. ณ วันที่ 24 กรกฎาคม 2551 มีสถานีบริการที่จดทะเบียนเป็นผู้ค้าน้ำมันมาตรา 11 จำนวน 18,131 ราย ในการปฏิบัติตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2551 ลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2551 เมื่อมีการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน พนักงานเจ้าหน้าที่จะไปตรวจสอบปริมาณน้ำมันคงเหลือ โดยผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการต้องลงลายมือชื่อรับรองผลการตรวจ จากนั้นพนักงานเจ้าหน้าที่รวบรวมข้อมูลที่ตรวจวัดได้จัดส่งให้ ธพ. เพื่อสรุปจำนวนเงินที่ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการแต่ละรายมีสิทธิได้รับเงินชดเชย แล้วจัดส่งหนังสือสรุปจำนวนเงินชดเชยให้ผู้ค้าน้ำมันและเจ้าของสถานีบริการเพื่อให้ยื่นเอกสารขอรับเงินชดเชยจาก สบพน. ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ ธพ. ลงในหนังสือ โดยสรุปมีจำนวนสถานีบริการที่พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าตรวจวัด 16,550 ราย มีสถานีบริการที่มีสิทธิรับเงินชดเชย 13,632 ราย และมีสถานีบริการที่ยื่นขอรับเงินชดเชย 10,545 ราย
4. สบพน. จ่ายเงินชดเชยโดยโอนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารเข้าบัญชีผู้มีสิทธิรับเงินชดเชย และได้ปฏิบัติตามวิธีการจ่ายเงินของส่วนราชการในการจ่ายเงินผ่านธนาคารให้ผู้มีสิทธิรับเงิน โดยห้ามโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงิน ซึ่ง ณ วันที่ 2 ตุลาคม 2552 สบพน. จ่ายเงินชดเชยให้ผู้ค้าน้ำมัน 10,135 ราย เป็นเงิน 2,903.07 ล้านบาท ประกอบด้วย ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 จำนวน 15 ราย ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 10 จำนวน 15 ราย และผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 11 (สถานีบริการ) จำนวน 10,105 ราย ซึ่งคณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยฯ ได้พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาที่ สบพน. ไม่สามารถจ่ายเงินชดเชยฯ ไปแล้ว 170 ราย คิดเป็นเงิน 2.47 ล้านบาท และนับตั้งแต่เริ่มประชุมคณะอนุกรรมการฯ คือตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2552 ถึงวันที่ 2 ตุลาคม 2552 มีความคืบหน้าในการจ่ายเงินชดเชยแล้ว 220 ราย คิดเป็นจำนวนเงิน 2.68 ล้านบาท
5. ประเด็นปัญหาและแนวทางแก้ไข มีดังนี้
5.1 กระทรวงการคลังกำหนดวิธีการและขั้นตอนการจ่ายเงินของส่วนราชการในการจ่ายเงินผ่านธนาคารให้แก่ผู้มีสิทธิรับเงิน โดยห้ามโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงิน ทำให้ สบพน. ไม่สามารถจ่ายเงินให้แก่ผู้ประกอบการในปัจจุบันได้เนื่องจากไม่เป็นผู้มีสิทธิรับเงินตามที่ ธพ. แจ้งไว้ต่อ สบพน.
5.2 จากคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 1/2552 ลงวันที่ 28 มกราคม 2552 ข้อ 3 วรรคสอง "ถ้าผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการรายใดที่ได้รับเงินชดเชยตามข้อ 2 ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ หรือปิดคลังน้ำมัน หรือสถานีบริการ หรือกระทำการใดๆ ทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปตรวจวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือสุทธิหรือคำนวณเงินส่งเข้ากองทุนตามวรรคหนึ่งได้ ให้ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนในจำนวนเงินที่คำนวณจากปริมาณน้ำมันคงเหลือสุทธิที่ตรวจวัดได้เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 คูณด้วยส่วนต่างราคาตามประกาศราคาขายปลีกตามวรรคหนึ่ง เว้นแต่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการรายนั้นยังไม่ได้รับเงินชดเชยจากส่วนต่างราคาในการลดภาษีสรรพสามิตเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2551" ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ วินิจฉัยแล้วว่า การไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนตามที่กล่าวข้างต้น หมายถึงเฉพาะกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการที่ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจวัดปริมาณน้ำมันคงเหลือเพื่อคำนวณเงินส่งเข้ากองทุนและยังไม่ได้รับเงินชดเชยจากการปรับลดภาษีสรรพสามิตเท่านั้น ดังนั้น ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการที่ไม่ได้รับเงินชดเชยด้วยเหตุอื่นจะถือเป็นเหตุอ้างที่ไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนมิได้
5.3 ที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชย ดังนี้
ปัญหา | แนวทางแก้ไขปัญหา |
(1) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการเสียชีวิต |
ให้ทายาทดำเนินการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกเพื่อขอรับเงินชดเชย |
(2) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการยื่นขอรับเงินชดเชยเกินระยะเวลาที่กำหนด |
ควรพิจารณาจากข้อเท็จจริง หากปัญหาที่เกิดขึ้นมิใช่ความบกพร่องของผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ เห็นสมควรจ่ายเงินชดเชยให้ได้ โดยต้องมีหลักฐานยืนยัน แต่หากปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการปล่อยปละละเลยโดยไม่มีเหตุอันสมควร ก็ไม่จำต้องจ่ายเงินชดเชย |
(3) กรณีผู้ประกอบการค้าน้ำมันในปัจจุบันเช่าสถานีบริการเพื่อดำเนินกิจการต่อจากผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ |
ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการที่มีรายชื่อในทะเบียน สามารถตั้งผู้แทนมาขอรับเงินได้ ซึ่งเป็นไปตามระเบียบการจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงิน ส่งคลัง พ.ศ.2551 ข้อ 36 |
(4) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการจดทะเบียนเลิกกิจการ |
ควรให้จ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการที่เป็นนิติบุคคลและจดทะเบียนเลิกกิจการแล้ว โดยจ่ายเงินเข้าบัญชีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ หากรายใดไม่มีบัญชีเงินฝากในนามนิติบุคคลนั้นๆ ควรพิจารณาจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ชำระบัญชีของนิติบุคคล |
(5) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่ขอรับเงินชดเชย 1 ราย และขอรับเงินชดเชยแต่ไม่สะดวกรับเงินผ่านบัญชีธนาคาร 5 ราย ดังนั้นหาก สบพน.จ่ายเงินชดเชยผ่านบัญชีธนาคาร จะขอไม่รับเงินชดเชย |
ควรให้จ่ายเงินชดเชยแก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการโดยสั่งจ่ายธนาณัติในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่สะดวกรับเงินผ่านบัญชีเงินฝากธนาคาร สำหรับกรณีที่แจ้งความประสงค์มาตั้งแต่ต้นว่าขอไม่รับเงินชดเชย จึงเป็นการสละสิทธิ์ สบพน. จึงไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย |
(6) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่ได้รับหนังสือสรุปจำนวนเงินชดเชยจาก ธพ. |
ควรให้จ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการหากปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่ได้รับหนังสือสรุปจำนวนเงินชดเชย เนื่องจากความผิดพลาดในการจัดส่งไปรษณีย์ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดของผู้จัดส่ง (ธพ.) หรือบุรุษไปรษณีย์ก็ตามซึ่งอาจดูได้จากซองจดหมายที่ตีกลับหรือ ธพ. ตรวจสอบแล้วว่าไม่มีจดหมายตีกลับ และผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการได้อุทธรณ์มาด้วย |
(7) กรณีผู้ประกอบการไม่จดทะเบียนเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 11 |
กรณีที่ผู้ประกอบการไม่ได้จดทะเบียนเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 11 ก่อนปรับลดภาษีสรรพสามิต ถือว่าไม่ได้เป็นผู้ค้าน้ำมันตามพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2543 จึงไม่สมควรได้รับเงินชดเชย |
(8) กรณีผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่ส่งเอกสารมาขอรับเงินชดเชย และอุทธรณ์มายังกรมธุรกิจพลังงาน |
เหตุที่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการไม่ส่งเอกสารมาขอรับเงินชดเชยเป็นความละเลยของผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ จึงไม่สมควรจ่ายเงินชดเชยให้ อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ ยังคงมีหน้าที่ต้องส่งเงินให้กองทุนเมื่อมีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิต |
5.4 คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาปัญหาการจ่ายเงินชดเชยในแต่ละรายแล้ว เห็นควรจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ 126 ราย และไม่เห็นควรจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการ จำนวน 44 ราย
5.5 คณะอนุกรรมการฯ ตั้งข้อสังเกตว่า การจ่ายเงินชดเชยไม่สามารถกระทำได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุมีการเปลี่ยนแปลงผู้ประกอบการ แต่มิได้ดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการทางทะเบียนให้ถูกต้อง ส่งผลให้ชื่อผู้ประกอบการที่ปรากฏในทะเบียนไม่ตรงกับชื่อผู้ประกอบการในปัจจุบัน ทำให้เกิดปัญหาในการเบิกจ่ายเงิน ซึ่งเป็นการละเลยการปฏิบัติ จึงสมควรให้ความรู้แก่ผู้ค้าน้ำมันหรือเจ้าของสถานีบริการในการประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง และกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจตราให้มีการปฎิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด
6. คณะอนุกรรมการฯ ขอเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชยจากการปรับลดภาษีสรรพสามิต ตามข้อ 5.3 และ 5.4 ต่อ กบง. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาการจ่ายเงินชดเชยจากการปรับภาษีสรรพสามิต ตามที่คณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจ่ายเงินชดเชยและการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการปรับภาษีสรรพสามิตเสนอ
เรื่องที่ 4 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความภาคภูมิใจการพัฒนาพลังงานไทย
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 กบง. ได้มีมติอนุมัติเงินสนับสนุนในงบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน 350 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2552 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ ทั้งนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ได้มีข้อเสนอโครงการเร่งด่วนเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความภาคภูมิใจการพัฒนาพลังงานไทย
2. ด้วยในวันที่ 5 ธันวาคม 2552 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในฐานะ "พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย" จะมีพระชนมายุครบ 82 พรรษา กระทรวงพลังงานซึ่งมีหน้าที่หลักในการรับผิดชอบด้านพลังงานของประเทศ จึงได้จัดทำโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อร่วมถวายพระพรและเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระอัจฉริยะภาพด้านพลังงาน ซึ่งทรงเป็นแบบอย่างที่ประชาชนคนไทยควรต้องตระหนักและปฏิบัติตามแนวทางเรื่องพลังงานที่พระองค์ได้ทรงวางไว้
3. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความภาคภูมิใจการพัฒนาพลังงานไทย เป็นโครงการจัดซื้อสื่อสิ่งพิมพ์ ประเภทหนังสือพิมพ์ เพื่อลงโฆษณาประชาสัมพันธ์ถวายพระพรชัยมงคลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย ในวโรกาสเฉลิมพระชนมายุครบ 82 พรรษาในปี 2552 และพระราชกรณียกิจด้านพลังงานในขนาด Cover jacket หรือขนาดที่เหมาะสมเพื่อให้สมพระเกียรติในประเภทหนังสือพิมพ์ที่หน่วยงานเห็นว่าเหมาะสม มีกลุ่มเป้าหมายคือประชาชน ผู้ประกอบการ หน่วยงานภาครัฐ/ภาคเอกชน สื่อมวลชนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ภายในสังกัดกระทรวงพลังงาน ใช้งบประมาณในวงเงิน. 4 ล้านบาท โดยขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ประจำปีงบประมาณ 2553 ระยะเวลาดำเนินการ 2 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา โดยจะต้องลงสื่อประชาสัมพันธ์ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 5 ธันวาคม 2552 ซึ่งมีสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
มติของที่ประชุม
เนื่องจากรัฐบาลได้ให้นโยบายด้านพลังงานทดแทนเป็นวาระแห่งชาติ รวมทั้งมีนโยบายส่งเสริมการอนุรักษ์และประหยัดพลังงาน สนับสนุนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในฐานะ "พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย" จะมีพระชนมายุครบ 82 พรรษา ในปี 2552 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานจึงมีมติดังนี้
1. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2553 ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความภาคภูมิใจการพัฒนาพลังงานไทย ในวงเงิน 4 ล้านบาท (สี่ล้านบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 2 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา
2. ให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการอนุมัติ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 ในเรื่องของมาตรการการช่วยเหลือกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงมาเป็นการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นเชื้อเพลิงแทนเพื่อลดปริมาณการนำเข้าก๊าซ LPG ในปัจจุบัน โดยปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่เหลืออยู่ 30,000 คัน ให้เปลี่ยนมาใช้ NGV ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณคันละ 40,000 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 1,200 ล้านบาท
2. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2552 ได้มีมติเห็นชอบแผนการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยสรุปหลักการที่สำคัญได้ดังนี้
2.1 การดำเนินการตามแผนดังกล่าวต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีส่วนร่วมจากผู้ที่เกี่ยวข้อง
2.2 ให้ สป.พน. เป็นผู้ดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ดังนี้
1) สป.พน. ธพ. ปตท. และเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ เตรียมความพร้อมด้านการติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยร่วมกันจัดทำบัญชีรายชื่ออู่ติดตั้ง NGV มาตรฐาน เพื่อสามารถติดตามและตรวจสอบในประเด็น ดังนี้ (1) อู่ติดตั้ง NGV ให้ใช้อู่มาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบก (2) ตรวจสอบมาตรฐานอุปกรณ์ NGV (ชุด Kit และถัง) ให้ได้ตามมาตรฐานของกรมการขนส่งทางบกและตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการรถแท็กซี่ (3) กำหนดให้มีผู้ตรวจและทดสอบที่ได้การรับรองจากกรมการขนส่งทางบก ซึ่งสามารถออกใบรับรองการติดตั้ง (4) ตรวจสอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถแท็กซี่ที่เข้าร่วมโครงการให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนด (5) ตรวจสอบความถูกต้องเอกสารการจดทะเบียนรถแท็กซี่ NGV ของกรมการขนส่งทางบก และ (6) กำหนดให้อู่ติดตั้งจะต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดปัญหาจากการติดตั้งในช่วงระยะเวลารับประกันการติดตั้ง 1 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง
2) ให้ สป.พน. และ ธพ. ร่วมกันในการกำหนดแนวทางและวิธีการในการจัดเก็บและทำลายอุปกรณ์และถัง LPG
3) ให้ สป.พน. ธพ. และ สบพน. ร่วมกันตรวจสอบเอกสารหลักฐานขั้นสุดท้ายสำหรับใช้ประกอบการเบิกจ่ายสำหรับแผนการสนับสนุนฯ ดังกล่าว
2.3 ให้ สนพ. ดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
2.4 เพื่อให้การดำเนินการตามแผนมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และการมีส่วนร่วม ให้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยมีผู้แทนเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่เป็นคณะทำงานด้วย
2.5 ให้คณะกรรมการติดตามการขยายบริการและการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เป็นผู้ติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV และรายงานให้ กบง. ทราบเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ
2.6 ระยะเวลาการดำเนินการประมาณ 9 เดือน แบ่งเป็น การประกวดราคา 2 เดือน การติดตั้ง 4 เดือน การตรวจสอบเอกสารและการเบิกจ่ายเงิน 3 เดือน
2.7 อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อบริหารโครงการตามแผนงานและการดำเนินการตามข้อ 2.2 เป็นจำนวนเงินรวม 12,400,000 บาท โดยแบ่งเป็น 1) ค่าบริหารโครงการ ค่าจ้างที่ปรึกษา 3,400,000 บาท และ 2) ค่าจัดจ้างทำลายชุดอุปกรณ์และถัง LPG ประมาณ 30,000 ชุด ชุดละประมาณ 300 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 9,000,000 บาท
2.8 อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันฯ สำหรับแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV จำนวนประมาณ 30,000 คัน โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคันละประมาณ 40,000 บาท รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,200,000,000 บาท ทั้งนี้ เมื่อติดตั้งครบ 30,000 คันแล้ว และมีเงินคงเหลือ หากมีรถแท๊กซี่ต้องการเปลี่ยนเป็น NGV เพิ่มเติม ก็ให้นำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป
3. เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2552 สป.พน. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการแผนการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ซึ่งเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2552 คณะทำงานฯ ได้มีการประชุมพิจารณาแนวทางการดำเนินการเพื่อติดตามการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวฯ โดยมีมติสรุปได้ดังนี้ 1) เห็นควรให้ดำเนินการตามระเบียบพัสดุ โดยใช้วิธี e-Auction และควรให้มีการกระจายให้เกิดผู้รับจ้าง 10 สัญญา เพื่อป้องกันการผูกขาด 2) เนื่องจากอาจมีข้อจำกัดในการติดตั้งจึงกำหนดระยะเวลาในการติดตั้งจาก 4 เดือน เป็น 6 เดือน 3) การเบิกจ่ายของผู้รับจ้างสามารถเบิกจ่ายได้เดือนละครั้ง และ 4) เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการร่าง TOR คณะกรรมการประกวดราคา และคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ โดยให้มีตัวแทนจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจากตัวแทนเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ และให้เป็นไปตามระเบียบราชการ
4. กระทรวงพลังงานได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงาน (Term of Reference: TOR) และร่างเอกสารการประกวดราคาของโครงการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV และเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2552 คณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงานฯ ได้ประชุมหารือถึงแนวทางการดำเนินการเพื่อให้เกิดการกระจายผู้รับจ้างเป็น 10 สัญญา และเห็นว่าแนวทางการกระจายผู้รับจ้างโดยแบ่งเป็นหลายสัญญา อาจทำให้เกิดปัญหาที่ผู้รับจ้างไม่สามารถจะดำเนินการติดตั้งเพื่อปรับเปลี่ยนจาก LPG มาเป็น NGV ได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญา เนื่องจากเจ้าของรถแท็กซี่สามารถตัดสินใจที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ จึงยากที่จะควบคุมปริมาณรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาได้ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความรับผิด อันเนื่องมาจากไม่สามารถติดตั้งได้ตามสัญญาและไม่เป็นที่จูงใจให้อู่ติดตั้งสนใจที่จะเข้าร่วมโครงการ
5. คณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงานฯ จึงได้ขอปรับปรุงแนวทางการดำเนินการฯ ดังกล่าว ดังนี้ 1) ให้จัดสรรเงินสนับสนุนเป็น 2 ส่วน คือส่วนของการจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบและส่วนของการสนับสนุนการติดตั้ง NGV 2) ในส่วนการประกวดราคา ให้เป็นการประกวดราคาเพื่อจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ และ 3) ในส่วนการสนับสนุนการติดตั้งเพื่อปรับเปลี่ยนจากรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG มาเป็นรถแท็กซี่ NGV ให้เป็นการสนับสนุนค่าบริการติดตั้งตามที่จ่ายจริงสำหรับรถแท็กซี่ที่ได้มีการเปลี่ยนจากรถแท็กซี่ LPG มาเป็นรถแท็กซี่ NGV
6. ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้วเห็นควรให้มีการปรับปรุงแนวทางการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV เพื่อให้กระบวนการการดำเนินการมีความเป็นไปได้และเป็นประโยชน์สูงสุดตามความเห็นของคณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงานฯ โดยฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาต่อ กบง. ดังนี้
6.1 ขอความเห็นชอบในหลักการ การจัดสรรค่าใช้จ่ายเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
1) เงินสนับสนุนสำหรับใช้ในการประกวดราคา (e-Auction) เพื่อจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ จำนวน 30,000 ชุด ชุดละ 35,000 บาท โดยแบ่งการประกวดราคาเป็น 3 งวด คือ 15,000 ชุด, 10,000 ชุด และ 5,000 ชุด ซึ่งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบจำนวน 18 รายการประกอบด้วย (1) ถังบรรจุก๊าซ ขนาด 100 ลิตรน้ำ พร้อมวาล์วหัวถัง (2) อุปกรณ์ปรับความดันก๊าซ (3) อุปกรณ์แสดงค่าความดันก๊าซ (4) ท่อก๊าซแรงดัน (5) อุปกรณ์รับเติมก๊าซ (6) วาล์วโซลินอยล์ความดันสูง (7) ท่อแรงดันต่ำ (8) สวิตซ์เลือกเชื้อเพลิง แบบ Automatic (9) กล่องฟิวส์และฟิวส์ (10) อุปกรณ์ควบคุมการผสมก๊าซกับอากาศ (11) ไส้กรองก๊าซ (12) ท่อระบายก๊าซ (13) ข้อต่อ (14) อุปกรณ์ปรับการไหลของก๊าซ (15) วาล์วป้องกันความเสียหายจากการเกิดระเบิดย้อนกลับ (16) อุปกรณ์หลอกหัวฉีด (17) รีเลย์ตัดปั๊ม และ (18) อุปกรณ์ปรับเวลาการจุดระเบิด
2) เงินสนับสนุนสำหรับค่าบริการการติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ รวมทั้งการประกันหลังการขายในช่วงระยะเวลารับประกันการติดตั้ง 1 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง ของอู่ติดตั้ง NGV ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินคันละ 5,000 บาท
6.2 มอบหมายให้ สป.พน. แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการในการให้เงินสนับสนุนสำหรับค่าบริการการติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ และการประกันหลังการขาย
6.3 ขอความเห็นชอบปรับระยะเวลาการดำเนินการสำหรับการประกวดราคา การติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ และการตรวจสอบเอกสารและการเบิกจ่ายเงิน จากเดิมที่กำหนดไว้ประมาณ 9 เดือน เป็นประมาณ 10 เดือน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการการจัดสรรค่าใช้จ่ายเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับการดำเนินการสนับสนุนกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ให้เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้
1.1 เงินสนับสนุนสำหรับใช้ในการประกวดราคา (e-Auction) เพื่อจัดซื้อถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ จำนวน 30,000 ชุด ชุดละ 35,000 บาท โดยแบ่งการประกวดราคาเป็น 3 งวด งวดแรก 15,000 ชุด งวดที่สอง 10,000 ชุด และงวดที่สาม 5,000 ชุด
1.2 เงินสนับสนุนสำหรับค่าบริการการติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ รวมทั้งการประกันหลังการขายในช่วงระยะเวลารับประกันการติดตั้ง 1 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง ของอู่ติดตั้ง NGV ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินคันละ 5,000 บาท
2. มอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการในการให้เงินสนับสนุนสำหรับค่าบริการการติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ และการประกันหลังการขาย
3. เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงระยะเวลาการดำเนินการสำหรับการประกวดราคา การติดตั้งถัง NGV และอุปกรณ์ส่วนควบ และการตรวจสอบเอกสารและการเบิกจ่ายเงิน จากเดิมที่กำหนดไว้ประมาณ 9 เดือน เป็นประมาณ 10 เดือน
เรื่องที่ 6 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส ในเดือนกันยายน 2552 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 67.64 และ 69.41 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 3.70 และ 1.64 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ส่วนในเดือนตุลาคม 2552 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 73.15 และ 75.73 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1-18 พฤศจิกายน 2552 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 77.78 และ 78.70 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 4.62 และ 2.98 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จาก Dow Jones Newires คาดการณ์โรงกลั่นขนาดใหญ่ของจีน 17 แห่ง จะเพิ่มอัตราการกลั่นมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 88.5 ประกอบกับรัฐบาลญี่ปุ่นมีนโยบายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ประธานโอเปกกล่าวว่ามีแนวโน้มที่จะไม่เพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมในเดือนธันวาคม 2552 เนื่องจากปริมาณสำรองน้ำมันดิบทั่วโลกอยู่ในระดับสูงที่ 62 Days Of Forward Cover (โอเปกต้องการให้ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 53 Days Of Forward Cover) นอกจากนี้กลุ่มผู้ก่อการประท้วงวัยรุ่นในไนจีเรียเข้าบุกยึดและปิดล้อมแหล่งผลิตน้ำมันดิบ Conoil (25,000 บาร์เรล/วัน) ของรัฐฯ Ondo ส่งผลให้ต้องหยุดดำเนินการ
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล ในเดือนกันยายน 2552 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 75.63, 73.84 และ 74.65 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 6.47, 6.29 และ 4.37 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ส่วนในเดือนตุลาคม 2552 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 77.71, 76.05 และ 79.64 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1-18 พฤศจิกายน 2552 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 81.94, 79.86 และ 84.29 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 4.23, 3.81 และ 4.65 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและรอยเตอร์รายงานยอดขายน้ำมันเบนซินของ Sinopec และ Petrochina เดือนตุลาคม 2552 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 มาอยู่ที่ระดับ 49.3 ล้านบาร์เรล ประกอบกับ Saudi Aramco ของซาอุดีอาระเบียนำเข้าน้ำมันเบนซิน 600,000 บาร์เรล ส่งมอบพฤศจิกายน 2552 รวมทั้งรัสเซียประกาศเพิ่มภาษีส่งออกน้ำมันดีเซลในเดือนธันวาคม 2552 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 26.8 เหรียญสหรัฐฯ/ล้านตัน
3. ในเดือนกันยายน 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวลดลง 1.04 บาท/ลิตร ,แก๊สโซฮอล 95 E85 ลดลง 0.80 บาท/ลิตร , ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลง 0.86 และ 1.09 บาท/ลิตร ตามลำดับ ในเดือนตุลาคม 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10 , E20, แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวลดลง 0.58 บาท/ลิตร,แก๊สโซฮอล 95 E85 ลดลง 3.20 บาท/ลิตร , ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลง 0.13 และ 0.10 บาท/ลิตร ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1 - 19 พฤศจิกายน 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.22 บาท/ลิตร, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มขึ้น 1.49 บาท/ลิตร ส่วนแก๊สโซฮอล 95 E85 ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 อยู่ที่ระดับ 40.94, 35.34, 31.74, 29.44, 18.72, 30.94, 28.19 และ 26.79 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. สถานการณ์ก๊าซ LPG เดือนพฤศจิกายน 2552 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 77 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 660 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามราคาน้ำมันดิบและอุปทานในภูมิภาคลดลงส่งผลให้ปริมาณส่งออกในตลาดจรน้อยลง ในขณะที่ผู้นำเข้าจากจีนเสนอซื้อปริมาณ 22,000 ตัน ส่งมอบเดือน พฤศจิกายน 2552 เนื่องจากปริมาณสำรองในโรงกลั่นหลายแห่งลดลงและจีนเข้าสู่ฤดูหนาว ส่วนราคา LPG ที่ผลิตได้ในประเทศ รัฐได้กำหนดราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น ที่ระดับ 11.1637 บาท/กิโลกรัม และกำหนดราคาขายส่ง ณ คลัง ที่ระดับ 13.6863 บาท/กิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีก ณ กรุงเทพฯ อยู่ที่ 18.13 บาท/กิโลกรัม สถานการณ์การนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เมษายน 2551 - 13 พฤศจิกายน 2552 ได้มีการนำเข้ารวม 1,009,989 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 12,334 ล้านบาท
5. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล ในเดือนตุลาคม 2552 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอล 17 ราย แต่ผลิตเป็นเชื้อเพลิง 12 ราย มีกำลังการผลิตรวม 2.73 ล้านลิตร/วัน มีปริมาณการผลิตจริง 1.04 ล้านลิตร/วัน และราคาเอทานอลแปลงสภาพเดือนพฤศจิกายน ปี 2552 อยู่ที่ 24.97 บาท/ลิตร ในเดือนตุลาคม 2552 มีปริมาณการจำหน่าย 11.6 ล้านลิตร/วัน จากสถานีบริการ 4,235 แห่ง ซึ่ง ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 91 3.60 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 91 4.40 บาท/ลิตร และในเดือนตุลาคม 2552 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 มีปริมาณการจำหน่าย 0.26 ล้านลิตร/วัน จากสถานีบริการ 237 แห่ง โดยราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ต่ำกว่าราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 2.30 บาท/ลิตร
6. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล เดือนตุลาคม 2552 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 13 ราย กำลังการผลิตรวม 4.45 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการไบโอดีเซลในเดือนตุลาคม อยู่ที่ 1.56 ล้านลิตร/วัน ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนตุลาคม 2552 อยู่ที่ 25.45 บาท/ลิตร มีปริมาณการจำหน่าย 20.70 ล้านลิตร/วัน สถานีบริการน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 3,571 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เท่ากับ 0.81 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.40 บาท/ลิตร
7. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 มีเงินสดในบัญชี 31,001 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 10,489 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 10,180 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 309 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 20,512 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 7 รายงานผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2551
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 เห็นชอบให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีเงินนอกงบประมาณถือปฏิบัติตามมาตรการกำกับดูแลเงินนอกงบประมาณตามที่กระทรวงการคลังเสนออย่างเคร่งครัด ซึ่งรวมถึงการนำระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน และการกำหนดตัวชี้วัดการดำเนินงาน (KPI) มาใช้เพื่อวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนด้วย และกรมบัญชีกลางได้เห็นชอบให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี 2551 เป็นต้นไป
2. ในปี 2551 บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ทริส) ร่วมกับกรมบัญชีกลางได้ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ เฉพาะที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการในส่วนรายรับและรายจ่ายของกองทุนน้ำมันฯ ที่สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) เป็นผู้รับผิดชอบเท่านั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2552 กรมบัญชีกลาง ได้รายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกระทรวงการคลัง ซึ่งเห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2551โดยผลการดำเนินงานตามเกณฑ์ด้านต่างๆ มีดังนี้ 1) ผลการดำเนินงานด้านการเงิน ได้ 4.9351 คะแนน 2) ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ ได้ 1 คะแนน 3) การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้ 5 คะแนน และ 4) การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน ได้ 5 คะแนน ซึ่งผลการดำเนินงานเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 3.5379 คะแนน (อยู่ในระดับดี คือสูงกว่าค่าปกติ/สูงกว่า 3 คะแนน) และได้ส่งรายงานดังกล่าวให้กระทรวงพลังงานเพื่อใช้ประกอบการติดตามผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ