มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2554 (ครั้งที่ 59)
เมื่อวันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 9.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
2. ขอขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายชวลิต พิชาลัย) กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2553 มีมติเห็นชอบปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ลง 0.50 บาท/ลิตร จาก 0.65 บาท/ลิตร เป็น 0.15 บาท/ลิตร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2553 ทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาขายปลีกลง 0.30 บาท/ลิตร โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ลดลงอยู่ที่ 29.99 บาท/ลิตร การดำเนินการดังกล่าวทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีเงินไหลออกเพิ่มขึ้นจาก 89 ล้านบาท/เดือน เป็น 537 ล้านบาท/เดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2553 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 และ บี5 ลงชนิดละ 0.50 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 0.35 และ 1.00 บาท/ลิตร ตามลำดับ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ซึ่งทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกลง 0.30 บาท/ลิตร โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 และ บี5 ลดลงอยู่ที่ 29.69 และ 29.09 บาท/ลิตร ตามลำดับ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องติดลบประมาณ 40.5 ล้านบาท/วัน หรือ 1,257 ล้านบาท/เดือน
2. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร เป็นการชั่วคราวประมาณ 2 - 3 เดือน โดยมอบหมายให้ กบง. รับไปดำเนินการ และถ้าหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ และเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ไม่เพียงพอ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม และให้นำเสนอ กพช. พิจารณาต่อไป
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ได้ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2553 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ขึ้นอีก 0.50 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ปรับเพิ่มขึ้น 0.30 บาท/ลิตร ต่อมาเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 ขึ้นอีก 0.50 บาท/ลิตร ต่อมา ณ 4 มกราคม 2554 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ระดับ 91.58, 105.39 และ 106.37 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศปรับตัวสูงตาม และ ณ วันที่ 5 มกราคม 2554 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ระดับ 38.64 และ 34.34 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 อยู่ที่ระดับ 29.99 บาท/ลิตร มีค่าการตลาด 1.0239 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 อยู่ที่ระดับ 29.59 บาท/ลิตร มีค่าการตลาด 1.0217 บาท/ลิตร (ค่าการตลาดที่เหมาะสมอยู่ที่ระดับ 1.50 บาท/ลิตร) จากการที่ค่าการตลาดอยู่ในระดับต่ำ อาจทำให้ผู้ค้าปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ขึ้นเกิน 30 บาท/ลิตร ได้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2553 มีเงินสดในบัญชี 36,267 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 8,536 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 8,234 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 303 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 27,731 ล้านบาท และจากการดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 4 มกราคม 2554 กองทุนน้ำมันฯได้ใช้เงินเพื่อรักษาระดับราคาไปแล้วประมาณ 770 ล้านบาท
5. จากปัญหาค่าการตลาดที่อยู่ในระดับต่ำข้างต้น เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาท/ลิตร ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร ซึ่งจะส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 และ บี5 อยู่ในระดับ 1.5239 และ 1.5217 บาท/ลิตร ตามลำดับ และกองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องลดลง จากติดลบ 1,257 ล้านบาท/เดือน เป็น ติดลบ 1,977 ล้านบาท/เดือน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 เพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร จากชดเชย 0.35 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 0.85 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร จากชดเชย 1.00 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 1.50 บาท/ลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2554 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 ขอขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอล
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2553 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิต (Cost Plus) ไปจนถึงเดือนธันวาคม 2553
2. จากหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาลโดยใช้ราคากากน้ำตาลตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากรเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง (บาท/กิโลกรัม) เช่น ราคาเฉลี่ยเดือนที่ 1, 2 และ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5 โดยที่ราคากากน้ำตาลเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลเดือนธันวาคมอยู่ที่ 7.79 บาท/กิโลกรัม คำนวณจากราคาเฉลี่ยของราคากากน้ำตาลเดือนสิงหาคม กันยายน และตุลาคม ที่ 5.89 4.52 และ 12.96 บาท/กิโลกรัม ตามลำดับ ส่งผลให้ราคาอ้างอิงเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาลอยู่ที่ระดับ 38.61 บาท/ลิตร เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 12.18 บาท/ลิตร โดยมีสาเหตุจากเดือนตุลาคม 2553 มีการส่งออกกากน้ำตาลเพียง 40,584 กิโลกรัม แต่มีมูลค่าส่งออก 526,061 บาท ส่งผลให้ราคากากน้ำตาลในเดือนตุลาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าจาก 4.52 บาท/กิโลกรัม เป็น 12.96 บาท/กิโลกรัม ทั้งนี้ เนื่องจากวิธีการคำนวณเป็นการนำราคา 3 เดือน มาหารเฉลี่ย ดังนั้น ถ้ามีเดือนที่ราคาปรับสูงหรือต่ำผิดปกติจะมีผลทำให้ราคาเอทานอลอ้างอิงผันผวนอย่างมาก
3. เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2553 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้ราคากากน้ำตาลตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากรเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง ถ่วงน้ำหนักด้วยปริมาณการส่งออก (บาท/กิโลกรัม) เพื่อคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลของเดือนธันวาคม 2553 และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (คณะอนุกรรมการฯ) ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงของสาเหตุความผิดปกติของราคากากน้ำตาลพร้อมทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป
4. สาเหตุที่ราคาอ้างอิงเอทานอลของเดือนธันวาคมสูงผิดปกติ เกิดจากราคาส่งออกกากน้ำตาลเฉลี่ยในเดือนตุลาคมสูงขึ้นมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทน้ำตาลกุมภวาปี มีการส่งออกกากน้ำตาลชนิด Hi test molasses ซึ่งสามารถนำมาทำเป็นอาหารได้และมีราคาสูงกว่าชนิดอื่นโดยมีราคาประมาณ 12-14 บาท/กิโลกรัม มีการส่งออกประมาณ 20 ตัน/เดือน เมื่อเทียบกับปริมาณการส่งออกกากน้ำตาลทั้งหมดเฉลี่ยประมาณ 8,000 ตัน/เดือน ที่ระดับราคา 4-5 บาท/กิโลกรัม จึงทำให้ราคาส่งออกในช่วงก่อนหน้าไม่มีความผิดปกติ แต่ในเดือนตุลาคม 2553 มีการส่งออกเฉพาะบริษัทน้ำตาลกุมภวาปีเพียงบริษัทเดียว จึงส่งผลให้ราคากากน้ำตาลในเดือนตุลาคมสูงมากผิดปกติ
5. เพื่อให้การประกาศราคาอ้างอิงเอทานอล ถูกต้องเหมาะสมและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอความเห็นชอบขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิตเป็นการชั่วคราว โดยให้มีผลตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือน มีนาคม 2554 โดยขอใช้ราคากากน้ำตาลตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากร เฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง ถ่วงน้ำหนักด้วยปริมาณส่งออก (บาท/กิโลกรัม) เพื่อคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลในเดือนมกราคม ถึงเดือนมีนาคม 2554 และขอให้ กบง. มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการปรับปรุงราคากากน้ำตาลส่งออกให้สะท้อนต้นทุนในการผลิตเอทานอล โดยประสานกรมศุลกากร เพื่อขอแยก Hi Test Molasses ออกจากพิกัดส่งออกกากน้ำตาล หรือขอข้อมูลมาใช้ในการตัดออกจากการคำนวณ โดยนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อขอความเห็นชอบ ก่อนนำเสนอโครงสร้างฯ ใหม่ต่อ กบง. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิต (Cost Plus) โดยให้มีผลตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือนมีนาคม 2554
2. เห็นชอบให้ใช้ราคากากน้ำตาลตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากร เฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลังที่มีการส่งออก ถ่วงน้ำหนักด้วยปริมาณส่งออก (บาท/กิโลกรัม) เพื่อคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลในเดือนมกราคม ถึงเดือนมีนาคม 2554 ทั้งนี้ ให้แยกกากน้ำตาลส่งออกที่ไม่ได้ใช้ในการผลิตเอทานอล อาทิ Hi Test Molasses ออกจากการคำนวณ
3. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการปรับปรุงราคากากน้ำตาลส่งออกให้สะท้อนต้นทุนในการผลิตเอทานอล โดยประสานกับกรมศุลกากร เพื่อขอแยก Hi Test Molasses ออกจากพิกัดส่งออกกากน้ำตาล หรือขอข้อมูลมาใช้ในการตัดออกจากการคำนวณ และให้นำเสนอคณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อขอความเห็นชอบ ก่อนนำเสนอหลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลใหม่ต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป