มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2554 (ครั้งที่ 60)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 9.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. การจัดหาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า
2. การเก็บภาษีบำรุงองค์การบริหารส่วนจังหวัด สำหรับการจำหน่ายก๊าซ NGV
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การจัดหาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า
สรุปสาระสำคัญ
1. ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 ปริมาณการจัดหาเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 484 พันตันต่อเดือน โดยเป็นการจัดหาในประเทศที่ระดับ 358 พันตันต่อเดือน และมีความต้องการใช้ก๊าซ LPG เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 483 พันตันต่อเดือน ทำให้ต้องมีการนำเข้าเฉลี่ยอยู่ในระดับ 127 พันตันต่อเดือน ในปี 2554 คาดว่าโรงแยกก๊าซธรรมชาติ 6 จะเริ่มดำเนินการผลิตจะส่งผลให้การผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 96,000 ตันต่อเดือน แต่จะจำหน่ายให้ปิโตรเคมี ซึ่งเป็นไปตามสัญญาในการสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติ 6 จึงเหลือมาจำหน่ายให้ภาคครัวเรือน/ขนส่ง/อุตสาหกรรม ไตรมาส 1- 2 ที่ระดับ 60,000 ตัน/เดือน และไตรมาส 3-4 อยู่ที่ระดับ 30,000 ตัน/เดือน เนื่องจากความต้องการใช้ในส่วนปิโตรเคมีได้เพิ่มขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องนำเข้าเฉลี่ย 123 พันตันต่อเดือน ในขณะที่ ปตท. มีความจำเป็นต้องหยุดใช้งานถังโพรเพนเหลวและบิวเทนเหลวจำนวน 2 ถัง ขนาดความจุถังละ 10,000 ตัน ที่ใช้ในการนำเข้า LPG ทำให้ถังก๊าซของ ปตท. ไม่สามารถรองรับการนำเข้า LPG ได้ อีกทั้งในช่วงมกราคม - มิถุนายน 2554 ปตท. มีแผนซ่อมท่อส่งก๊าซ LPG จากเรือขึ้นถังเก็บ และหากต้องหยุดซ่อมทั้งคลังและท่อส่งก๊าซ LPG ท่าเรือจะสามารถรองรับเรือได้เพียง 3 ลำต่อเดือน ทำให้ต้องเพิ่มคลังลอยน้ำจำนวน 2 ลำ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวอาจจะเกิดปัญหาเกี่ยวกับการจัดหาเรือให้เพียงพอในการรองรับการขนถ่ายก๊าซ LPG และทำให้มีค่าใช้จ่ายในการใช้เรือเป็นคลังลอยน้ำลำละ 30,000 เหรียญสหรัฐฯต่อวัน คาดว่าจะมีค่าใช้จ่าย 52 ล้านบาทต่อเดือน
2. เพื่อให้ปริมาณก๊าซ LPG เพียงพอกับความต้องการใช้ รัฐต้องเพิ่มแรงจูงใจให้โรงกลั่นน้ำมันนำก๊าซ LPG ในส่วนที่ใช้เองในโรงกลั่น (Own Used) มาขายให้กับประชาชน โดยรัฐจะต้องให้ราคาก๊าซ LPG สูงกว่าราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ทดแทน LPG และในส่วนก๊าซ LPG ที่ขายให้ปิโตรเคมี รัฐจะต้องให้ราคาที่เท่ากับหรือสูงกว่าราคาที่จำหน่ายให้ภาคปิโตรเคมี เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้ผลิตนำมาจำหน่าย ให้แก่ภาคประชาชน โดยปริมาณการจำหน่ายในส่วนนี้ควรกำหนดราคา ณ โรงกลั่นอ้างอิงกับราคาในตลาดโลกคือราคาปิโตรมิน (CP) ซึ่งหากมีการดำเนินการเพิ่มแรงจูงใจดังกล่าวจะทำให้ลดการนำเข้าในปี 2554 ได้ประมาณ 638,000 ตันต่อปี
3. เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติเห็นชอบการจัดหาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า โดยเพิ่มแรงจูงใจให้โรงกลั่นน้ำมันนำก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้กับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และใช้ในกระบวนการกลั่น (Own Used) มาจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิงให้กับประชาชนและเพิ่มการผลิตก๊าซ LPG ให้มากขึ้นกว่าปัจจุบัน โดยมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปดำเนินการพิจารณาในรายละเอียดต่อไป และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานและ ปตท. รับไปดำเนินการศึกษาจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการนำเข้า LPG ในอนาคต เช่น ท่าเรือ คลัง และระบบขนส่ง เป็นต้น
4. เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2554 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมธุรกิจพลังงาน กรมสรรพสามิต และกลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อจัดทำร่างประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดราคา อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ทำในราชอาณาจักรและนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซ เพื่อให้สามารถจ่ายชดเชยให้กับโรงกลั่นน้ำมันเพื่อจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิงในประเทศได้
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีข้อเสนอเพื่อขอความเห็นชอบให้จ่ายเงินชดเชยให้กับโรงกลั่นน้ำมันเพื่อจำหน่าย LPG เป็นเชื้อเพลิงในประเทศ ตามหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ของโรงกลั่น และขอความเห็นชอบร่างประกาศ กบง. โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้จ่ายเงินชดเชยให้กับโรงกลั่นน้ำมันเพื่อจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิงในประเทศ ตามหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ของโรงกลั่นดังนี้
หลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ LPG ของโรงกลั่น
LPGWT = | (333 × Q1) + (CP × Q2) |
(Q1 + Q2) |
โดยที่
LPGWT คือ ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นของโรงกลั่น (เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) ราคาเป็นรายเดือน
CP คือ ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียเป็นสัดส่วนระหว่างโพรเพนกับบิวเทน 60 ต่อ 40 (เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) ราคาเป็นรายเดือน
Q1 คือ ปริมาณที่จำหน่ายให้กับภาคครัวเรือน/ขนส่ง/อุตสาหกรรม กำหนดให้คงที่ 34,069 ตันต่อเดือน
Q2 คือ ปริมาณที่จำหน่ายให้กับปิโตรเคมีและ Own Used กำหนดให้คงที่ 107,977 ตันต่อเดือน
หลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ของโรงกลั่น
X = | ( LPGWT - 333 ) × Ex |
1,000 |
โดยที่
X คือ อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ของโรงกลั่น (บาทต่อกิโลกรัม)
Ex คือ อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย โดยใช้ค่าเฉลี่ยย้อนหลังในเดือนที่ผ่านมา
โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงานและบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับไปดำเนินการศึกษาจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการนำเข้าก๊าซ LPG ในอนาคต เช่น ท่าเรือ คลัง และระบบขนส่ง เป็นต้น
2. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดราคา อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ทำในราชอาณาจักรและนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซ
3. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2554
เรื่องที่ 2 การเก็บภาษีบำรุงองค์การบริหารส่วนจังหวัด สำหรับการจำหน่ายก๊าซ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2545 อนุมัติในเรื่องมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคการขนส่งในช่วงปี 2546-2551 โดยกำหนดราคาจำหน่าย NGV ไว้ ดังนี้
ปี 2546-2549 : ราคา NGV = 50% ของราคาน้ำมันดีเซล
ปี 2550 : ราคา NGV = 55% ของราคาน้ำมันเบนซิน 91
ปี 2551 : ราคา NGV = 60% ของราคาน้ำมันเบนซิน 91
ปี 2552 เป็นต้นไป : ราคา NGV = 65% ของราคาน้ำมันเบนซิน 91
ทั้งนี้ ได้กำหนดเพดานราคาขายปลีก NGV ภายในประเทศไว้ที่ระดับไม่เกิน 10.34 บาทต่อกิโลกรัม แม้ว่าน้ำมันจะมีการปรับราคาเพิ่มสูงขึ้นในระดับใดก็ตาม
2. เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2550 กพช. ได้เห็นชอบในหลักการของการกำหนดราคา NGV ตามต้นทุน โดยให้ใช้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติ ณ ราคาก๊าซเฉลี่ย POOL 2 บวกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ซึ่งรวมค่าการตลาดแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2552 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2552 ที่เห็นชอบให้ปรับสูตรการคำนวณและแนวทางการกำกับดูแลราคาขายปลีก NGV โดยให้ต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติ (P) = [(WHPool 2) × (1+0.0175)] + TdZone 1+3 + Tc โดยสูตรต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาตินี้ถูกกำกับดูแลโดย กพช. เช่นเดียวกับก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงแยกก๊าซธรรมชาติและโรงไฟฟ้า ในส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินการ ซึ่งประกอบด้วย ต้นทุนสถานีแม่ ต้นทุนสถานีลูก ค่าขนส่ง และค่าการตลาดให้กำกับดูแลโดย กบง. โดย กบง. จะเป็นผู้พิจารณาหลักเกณฑ์การคำนวณราคาขายปลีก NGV ต่อไป
3. เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2553 กบง. ได้มีมติให้นำภาษีบำรุงองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) บวกเพิ่มในราคาขายปลีก NGV ได้ตามข้อบัญญัติ อบจ. ของจังหวัดนั้นๆ แต่ต้องไม่สูงกว่าเพดานราคา NGV ที่กำหนดไว้ที่ 10.34 บาทต่อกิโลกรัม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป ทั้งนี้ หากการเก็บภาษีบำรุง อบจ. มีผลทำให้ราคาขายปลีก NGV สูงกว่าเพดานราคาที่กำหนดไว้ ให้นำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป
4. เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2554 บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้มีหนังสือถึง สนพ. แจ้งว่า อบจ. จังหวัดแพร่ ได้ขอเก็บภาษีบำรุง อบจ. จากสถานีบริการ NGV ในจังหวัดแพร่ ซึ่งปัจจุบันมี 1 สถานี ในอัตรา 0.051 บาทต่อกิโลกรัม และภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 ของภาษี อบจ. ในอัตรา 0.004 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้เมื่อบวกเพิ่มในราคาขายปลีก NGV ที่ขายอยู่ที่จังหวัดแพร่ที่ 10.34 บาทต่อกิโลกรัม จะเพิ่มขึ้นเป็น 10.395 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งสูงกว่าเพดานราคาที่กำหนดไว้ ปัจจุบันจังหวัดแพร่มีปริมาณการขายก๊าซ NGV อยู่ที่ประมาณ 8 ตันต่อวัน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอให้ปรับเพดานราคาขายปลีก NGV ของสถานีบริการ NGV จังหวัดแพร่เพิ่มขึ้นจาก 10.34 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 10.395 บาทต่อกิโลกรัม
มติของที่ประชุม
1. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานไปศึกษาต้นทุน NGV ที่เหมาะสมและนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานต่อไป
2. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเรื่องการขอยกเลิกเพดานราคาขายปลีก NGV ที่ระดับไม่เกิน 10.34 บาทต่อกิโลกรัม เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณา ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
เรื่องที่ 3 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 กพช. มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราวประมาณ 2 - 3 เดือน โดยมอบหมายให้ กบง. รับไปดำเนินการ และถ้าหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ และเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ไม่เพียงพอ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม และให้นำเสนอ กพช. พิจารณาต่อไป
2. การดำเนินการที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2553 ได้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลง 0.50 บาทต่อลิตร จาก 0.65 บาทต่อลิตร เป็น 0.15 บาทต่อลิตร ทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาขายปลีกลง 0.30 บาทต่อลิตร โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ลดลง อยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร การดำเนินการดังกล่าวทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องติดลบประมาณ 17.3 ล้านบาทต่อวัน เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2553 ได้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ลง 0.50 บาทต่อลิตร จาก 0.15 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 0.35 บาทต่อลิตร และชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่ม 0.50 บาทต่อลิตร จากชดเชย 0.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.00 บาทต่อลิตร ซึ่งทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกลง 0.30 บาทต่อลิตร โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ลดลง อยู่ที่ 29.69 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ลดลง อยู่ที่ 29.09 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องติดลบประมาณ 40.5 ล้านบาทต่อวัน และเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2554 เพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 0.85 บาทต่อลิตร และชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.50 บาทต่อลิตร โดยผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ลง 0.20 บาทต่อลิตร อยู่ที่ 29.39 บาทต่อลิตร ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องติดลบประมาณ 63.77 ล้านบาทต่อวัน
3. ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 13 มกราคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องติดลบประมาณ 1,321 ล้านบาท โดยเป็นภาระชดเชยในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลประมาณ 1,241 ล้านบาท และถ้าหากไม่มีการดำเนินการลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 จะอยู่ที่ 31.49 บาทต่อลิตร
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 11 มกราคม 2554 มีเงินสดในบัญชี 36,313 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 8,696 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 8,405 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 291 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 27,617 ล้านบาท
5. ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2554 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 93.94 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ระดับ 107.17 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ระดับ 108.91 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันขายปลีกน้ำมัน ณ วันที่ 13 มกราคม 2554 น้ำมันเบนซิน 91 อยู่ที่ระดับ 38.64 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ระดับ 34.34 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 อยู่ที่ระดับราคา 29.99 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดอยู่ที่ 0.7592 บาทต่อลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 อยู่ที่ระดับราคา 29.39 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดอยู่ที่ 0.5521 บาทต่อลิตร (ค่าการตลาดที่เหมาะสมอยู่ที่ระดับ 1.50 บาทต่อลิตร) ซึ่งอาจจะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ปรับขึ้นเกิน 30.00 บาทต่อลิตร ได้
6. จากปัญหาค่าการตลาดที่อยู่ในระดับต่ำ เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาทต่อลิตร ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอปรับอัตราเงินชดเชยของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 เพิ่มขึ้น 0.80 บาทต่อลิตร จากชดเชย 0.85 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.65 บาทต่อลิตร และอัตราเงินชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร จากชดเชย 1.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 2.50 บาทต่อลิตร ซึ่งจะส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 และ บี5 อยู่ในระดับ 1.5592 และ 1.5521 บาทต่อลิตร ตามลำดับ และกองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องลดลงจากติดลบ 63.8 ล้านบาทต่อวัน เป็น ติดลบ 104.4 ล้านบาทต่อวัน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 เพิ่มขึ้น 0.80 บาทต่อลิตร จากชดเชย 0.85 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.65 บาทต่อลิตร และอัตราเงินชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร จากชดเชย 1.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 2.50 บาทต่อลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2554 เป็นต้นไป