มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 6/2550 (ครั้งที่ 23)
วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2550 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. การทบทวนงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการสนับสนุนประสานผลักดันนโยบาย และแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ
2. โครงการสนับสนุนการปลูกปาล์มน้ำมันของกระทรวงพลังงานร่วมกับ ธ.ก.ส.
4. แนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
5. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (กันยายน - 8 ตุลาคม 2550)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2549 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติอนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการสนับสนุน ประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงาน สู่การปฏิบัติให้กับสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จำนวนเงิน 23,500,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน โดยอนุมัติในส่วนงบรายจ่ายอื่นของโครงการให้เป็นค่าโครงการศึกษาวิจัย จำนวน 3,000,000 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2550 กบง. ได้มีมติให้ สนพ. แก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณค่าใช้จ่ายของโครงการฯ ในส่วนค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการศึกษาวิจัยเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการศึกษาวิจัย จำนวนเงิน 2,224,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปศึกษา ดูงานในต่างประเทศ จำนวนเงิน 776,000 บาท และเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2550 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ได้อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการดำเนินงานและเบิกค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อดำเนินโครงการฯ จากระหว่างเดือนธันวาคม 2549 - พฤศจิกายน 2550 เป็นระหว่างเดือนธันวาคม 2549 - มีนาคม 2551 ภายใต้วงเงินเดิมที่ได้รับอนุมัติ
2. ต่อมา กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 ได้เห็นชอบให้ สนพ. แก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณค่าใช้จ่ายในโครงการฯ ในหมวดรายจ่ายอื่นจากเดิม "ค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการศึกษาวิจัย จำนวน 2,224,000 บาท" เปลี่ยนเป็น "ค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาดูงานในต่างประเทศ จำนวน 2,224,000 บาท" แต่เนื่องจากบริษัท Platt’s จะจัดให้มีการสัมมนาเรื่อง Cellulosic Ethanol and 2nd Generation Biofuels Moving to industrial-Scale Production ระหว่างวันที่ 16-18 ตุลาคม 2550 ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีค่าลงทะเบียน 1,195 เหรียญสหรัฐฯ ต่อคน ซึ่ง สนพ. เห็นว่าการสัมมนาดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนารูปแบบการส่งเสริมการใช้เอทานอลในประเทศไทย จึงเห็นควรให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการสัมมนาดังกล่าวโดยใช้งบค่าใช้จ่ายโครงการสนับสนุนประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ ในหมวดงบรายจ่ายอื่น ค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาและดูงานในต่างประเทศ แต่ค่าใช้จ่ายดังกล่าวมิได้ระบุถึงการเข้าร่วมสัมมนาไว้ สนพ.จึงขอเสนอให้ทบทวนค่าใช้จ่ายในโครงการฯ ในหมวดรายจ่ายอื่น จาก "ค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาและดูงานในต่างประเทศ" เป็น "ค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษา ดูงานและสัมมนาในต่างประเทศ" จำนวน 2,224,000 บาท (สองล้านสองแสนสองหมื่นสี่พันบาทถ้วน) เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณดังกล่าวได้ และหากมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดภายในหมวดค่าใช้จ่าย ขอให้ สนพ. สามารถพิจารณาเปลี่ยนแปลงได้
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายในโครงการสนับสนุนประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ ในหมวดรายจ่ายอื่น ค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาและดูงานในต่างประเทศ จำนวน 2,224,000 บาท (สองล้านสองแสนสองหมื่นสี่พันบาทถ้วน) เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษา ดูงาน และสัมมนาในต่างประเทศจำนวน จำนวน 2,224,000 บาท (สองล้านสองแสนสองหมื่นสี่พันบาทถ้วน) และให้หัวหน้าส่วนราชการของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานสามารถพิจารณาเปลี่ยนแปลงรายการของงบประมาณดังกล่าวได้ภายในวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติตามความเหมาะสม โดยไม่เปลี่ยนแปลงหมวดค่าใช้จ่าย
เรื่องที่ 2 โครงการสนับสนุนการปลูกปาล์มน้ำมันของกระทรวงพลังงานร่วมกับ ธ.ก.ส.
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2550 กพช. ได้เห็นชอบเป้าหมายในการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล โดยการบังคับเติมน้ำมันไบโอดีเซล (B100) ผสมในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในอัตราร้อยละ 2 (B2) ภายในปี 2551 และจะเพิ่มจากร้อยละ 2 เป็นร้อยละ 5 (B5) ทั่วประเทศในปี 2554 นอกจากนี้ได้สนับสนุนส่งเสริมการผลิตและการใช้น้ำมันไบโอดีเซลทั้งระบบ ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การแปรรูป และการใช้น้ำมันไบโอดีเซลผสมกับน้ำมันดีเซลร้อยละ 2 และร้อยละ 5 ตามลำดับ
2. ปัจจุบันประเทศไทยปลูกปาล์มน้ำมันประมาณ 2 ล้านไร่ เพียงพอต่อการบริโภคและใช้ในประเทศ มีส่วนเกินเล็กน้อยสำหรับการส่งออก เมื่อรัฐมีนโยบายส่งเสริมการใช้น้ำมันไบโอดีเซล จึงต้องส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมันขึ้นอีกประมาณ 2.5 ล้านไร่ ดังนั้น กระทรวงพลังงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดทำโครงการส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมันขึ้น ซึ่งหากการดำเนินงานเป็นไปตามแผนโดยเฉพาะหากสามารถปลูกปาล์มน้ำมันเพิ่มได้อีกประมาณ 2.5 ล้านไร่ จะทำให้การจัดหาน้ำมันปาล์มดิบสำหรับการผลิต B100 ในปี 2551 และปี 2554 เท่ากับ 0.80 และ 1.87 ล้านตัน ตามลำดับ
3. ผลการดำเนินงานด้านการส่งเสริมการใช้น้ำมันไบโอดีเซลได้ผลดี เนื่องจากผู้ใช้น้ำมันให้ความสนใจในการใช้น้ำมันไบโอดีเซลผสมมากขึ้น ประกอบกับมาตรการกำหนดราคาช่วยจูงใจ สำหรับด้านการแปรรูปน้ำมันปาล์มดิบเป็นน้ำมันดีเซลได้ส่งเสริมการผลิตไบโอดีเซลในระดับการค้า โดยให้มีโรงงานขนาดใหญ่ที่สามารถผลิตไบโอดีเซลที่มีคุณภาพได้มาตรฐานตามที่รัฐกำหนดและมีกำลังการผลิตเพียงพอ ซึ่งโรงงานพร้อมเปิดดำเนินการได้ภายในปลายปี 2550 ส่วนการส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมันปรากฎว่าไม่ได้ผลตามเป้าหมาย เนื่องจากตั้งเป้าหมายไว้ที่ 2 ล้านไร่ แต่มีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นเพียง 400,000 ไร่ ซึ่งน้ำมันปาล์มดิบใน stock มีเพียงพอที่จะผลิตน้ำมันไบโอดีเซลได้ประมาณ 3 ปี สาเหตุที่การปลูกปาล์มน้ำมันไม่ขยายตัวเท่าที่ควรเนื่องจาก 1) เกษตรกรขาดความเชื่อมั่นในเรื่องการเลือกพื้นที่เพาะปลูก การจัดหาต้นพันธุ์ปาล์มน้ำมันที่เหมาะสม รวมทั้งแหล่งรับซื้อผลผลิตที่ให้ราคาที่เหมาะสมและรับซื้อปริมาณที่มากพอ และ 2) พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันส่วนใหญ่ทับซ้อนกับพื้นที่ปลูกยางพารา ขณะที่ยางพาราได้ราคาดีและได้รับการสนับสนุนจากกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางอย่างจริงจัง แต่เกษตรกรที่จะปลูกปาล์มน้ำมันต้องลงทุนเองทั้งหมด ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่หันไปปลูกยางพารา
4. ด้านการแปรรูปน้ำมันปาล์มดิบเป็นไบโอดีเซล พบว่าไม่มีปัญหาทั้งในแง่คุณภาพและปริมาณ เนื่องจากมีโรงงานดำเนินการ 9 ราย ขึ้นทะเบียนกับกรมธุรกิจพลังงาน 8 ราย และผลิตได้มาตรฐานกรมธุรกิจพลังงาน 6 ราย กำลังผลิตรวม 1.5 ล้านลิตรต่อวัน และโรงงานอยู่ระหว่างก่อสร้าง 26 ราย ส่วนด้านการส่งเสริมการใช้น้ำมันไบโอดีเซลผสมได้ผลดีพอสมควร เนื่องจากยังไม่เกิดปัญหาการไม่ยอมรับการใช้น้ำมันไบโอดีเซลในระดับที่จะมีผลกระทบต่อนโยบาย กลุ่มบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ไม่มีปฏิกิริยาในทางลบ ประกอบกับนักวิชาการส่วนใหญ่ให้การสนับสนุน ดังนั้นจึงคาดว่าปัญหาในการส่งเสริมให้ประชาชนหันใช้น้ำมันไบโอดีเซลผสมจะมีน้อยและอยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขได้
5. กระทรวงพลังงานและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะร่วมจัดทำโครงการปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อใช้ในการผลิตพลังงานทดแทน โดยจัดหาเงินทุนให้กู้ยืมแก่เกษตรกรเพื่อใช้ปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ที่เหมาะสม โดยมีข้อเสนอ ดังนี้ 1) กระทรวงพลังงานจะจัดหาเงินทุนเข้าฝากในบัญชี ธ.ก.ส. จำนวน 3,500 ล้านบาท และ ธ.ก.ส. จะสมทบเงินทุนของ ธ.ก.ส. อีกจำนวน 3,500 ล้านบาท เพื่อเป็นทุนให้กู้แก่เกษตรกรที่ต้องการเข้าร่วมโครงการนี้รวมเป็นเงิน 7,000 ล้านบาท 2) ธ.ก.ส. จะคิดดอกเบี้ยจากเกษตรกรในอัตราดอกเบี้ยต่ำคือ ร้อยละ 7 ต่อปี มีระยะเวลาปลอดต้นเงิน 3 ปี และในระยะเวลาปลอดต้นเงินนี้ให้ชำระดอกเบี้ยเพียงบางส่วน และ 3) กระทรวงพลังงานจะนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ฝากออมทรัพย์ไว้กับ ธ.ก.ส. เป็นจำนวน 3,500 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ต่อปี ระยะเวลา 10 ปี โดยมีเป้าหมายขยายการผลิตปาล์มน้ำมันในขั้นต้นอย่างต่ำ 700,000 ไร่ และเมื่อได้รับชำระเงินกู้บางส่วน ธ.ก.ส. สามารถนำหมุนเวียนกลับให้กู้ต่อไปอีกได้ ซึ่งจะทำให้พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันจริงเพิ่มสูงกว่า 700,000 ไร่
6. ส่วนการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ เข้าฝากออมทรัพย์ไว้กับ ธ.ก.ส. สามารถดำเนินการได้ตามระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและการจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2549 ในข้อ 4 และข้อ 5 โดยกองทุนน้ำมันฯ จะคงทรัพย์สินไว้ในรูปลูกหนี้เงินฝากธนาคารจำนวน 3,500 ล้านบาทเป็นระยะเวลา 10 ปี ได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.25 ต่อปี โดยไม่มีความเสี่ยงใดๆ จากประมาณการกระแสเงินของกองทุนน้ำมันฯ พบว่าตั้งแต่เดือนตุลาคม 2549 เป็นต้นมา กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 4,000 ล้านบาทต่อเดือน ขณะที่รายจ่าย (ชดเชยก๊าซ LPG และไบโอดีเซล (B100)) มีแนวโน้มลดลง โดยคาดว่าฐานะกองทุนน้ำมันฯ จะเป็นบวกประมาณกลางเดือนธันวาคม 2550 ทั้งนี้ ได้มีการสะสมเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับให้หนี้พันธบัตรงวดที่ 2 จำนวน 8,800 ล้านบาท ซึ่งมีกำหนดเวลาการจ่ายเงินคืนในเดือนตุลาคม 2551 ไว้ครบถ้วนแล้ว และมีการโอนเงินให้แก่กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 3,000 ล้านบาทแล้ว การคงทรัพย์สินของกองทุนน้ำมันฯ ไว้ในรูปเงินฝากตามข้อ 5 จึงไม่กระทบต่อสถานะของกองทุนน้ำมันฯ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนำเงินสด จำนวน 3,500 ล้านบาท (สามพันห้าร้อยล้านบาทถ้วน) เข้าฝากกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเป็นระยะเวลา 10 ปี ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากร้อยละ 0.25 ต่อปี โดยที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจะนำเงินเข้าสมทบอีก 3,500 ล้านบาท (สามพันห้าร้อยล้านบาทถ้วน) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 7,000 ล้านบาท (เจ็ดพันล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นทุนให้กู้แก่เกษตรกรที่ต้องการเข้าร่วมโครงการปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อใช้ในการผลิตพลังงานทดแทน
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2535 จำนวน 300 เมกะวัตต์ และได้มีการขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP เป็นลำดับ จนถึง 3,200 เมกะวัตต์ โดย กฟผ. จะรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนอกรูปแบบ กาก หรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานเชิงพาณิชย์ ด้วยระบบ Cogeneration ต่อมารัฐบาลได้ยุติการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ใช้พลังงานเชิงพาณิชย์เป็นเชื้อเพลิง แต่ยังคงให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP พลังงานหมุนเวียน และ SPP ประเภท Non-Firm ต่อไป โดยไม่กำหนดระยะเวลาและปริมาณ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของระบบส่งและระบบจำหน่ายที่จะรับได้
2. กพช. ได้มีมติเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2549 เห็นชอบให้ กฟผ. เปิดการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP โดยให้ขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากเดิม 3,200 เมกะวัตต์ เป็น 4,000 เมกะวัตต์ ต่อมา กพช. ได้มีมติเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2550 เห็นชอบร่างระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประเภทสัญญา Firm ระบบ Cogeneration ร่างระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประเภทสัญญา Firm สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และร่างระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประเภทสัญญา Non-Firm และเห็นชอบแนวทางการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายมากกว่า 10 เมกะวัตต์ ซึ่งขายไฟฟ้าเข้าระบบตามระเบียบ SPP ปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อทั้งสิ้น 530 เมกะวัตต์ โดยกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับ SPP ในอัตราคงที่ จากพลังงานลมและขยะ เท่ากับ 2.50 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อ 115 และ 100 เมกะวัตต์ ตามลำดับ และพลังงานแสงอาทิตย์ เท่ากับ 8.00 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อ 15 เมกะวัตต์ สำหรับ SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ให้ใช้วิธีประมูลแข่งขันในอัตราสูงสุดไม่เกิน 0.300 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อ 300 เมกะวัตต์ โดยกำหนดระยะเวลาสนับสนุน 7 ปี และกำหนดวันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้า (COD) ภายในเดือนธันวาคม 2555
3. กฟผ. ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2550 โดยกำหนดปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประเภทสัญญา Firm ระบบ Cogeneration จำนวน 500 เมกะวัตต์ และ SPP ประเภทสัญญา Firm สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และ SPP ประเภทสัญญา Non-Firm รวม 530 เมกะวัตต์ รวมปริมาณพลังไฟฟ้าที่ประกาศรับซื้อในรอบนี้ 1,030 เมกะวัตต์
4. เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2550 กบง. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก เพื่อดำเนินการตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2549 ซึ่งเห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก โดยวิธีประมูลแข่งขันส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า โดยมีผู้อำนวยการ สนพ. เป็นประธาน และคณะอนุกรรมการประกอบด้วย ผู้แทนกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ผู้แทนการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง นักวิชาการ และผู้แทน สนพ. เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ
5. การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก
5.1 คณะอนุกรรมการฯ ได้จัดทำร่างประกาศเชิญชวนผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อยื่นข้อเสนอขอรับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า และ สนพ. ได้ออกประกาศเชิญชวนผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อยื่นข้อเสนอส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า เปิดขายเอกสารเชิญชวนฯ วันที่ 1 พฤษภาคม - 15 มิถุนายน 2550 รับซองข้อเสนอโครงการ วันที่ 1 สิงหาคม 2550 โดยได้ประเมินข้อเสนอโครงการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2550
5.2 ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2550 ซึ่งเป็นวันปิดจำหน่ายเอกสารเชิญชวนฯ มีผู้สนใจซื้อเอกสาร เชิญชวนฯ จำนวน 11 ราย และเมื่อครบกำหนดการยื่นข้อเสนอโครงการเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ปรากฏว่ามีผู้ยื่นข้อเสนอโครงการทั้งสิ้น 9 ราย รวมพลังไฟฟ้าที่เสนอขาย 435 เมกะวัตต์ และข้อเสนอส่วนเพิ่มราคา รับซื้อไฟฟ้าอยู่ระหว่าง 0.295 - 0.300 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง
5.3 จัดทำคู่มือการประเมินข้อเสนอโครงการ สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนโดยกลไกการแข่งขัน
5.4 ในการประเมินข้อเสนอโครงการ คณะอนุกรรมการฯ ได้ลงพื้นที่สำรวจและเข้าเยี่ยมชมโครงการต่างๆ และนำความเห็นมาประกอบการพิจารณาประเมินโครงการ โดยพิจารณาถึงแนวทางการจัดหาเชื้อเพลิงและความเป็นไปได้ของโครงการ
6. หลักเกณฑ์การประเมินและคัดเลือกข้อเสนอโครงการ แบ่งเป็นการประเมินด้านเทคนิคและการเงิน โดยกำหนดสัดส่วนคะแนนและปัจจัยที่ประเมิน ดังนี้
6.1 การประเมินด้านเทคนิค (20 คะแนน) ประกอบด้วย 4 ปัจจัยๆ ละ 5 คะแนน ดังนี้ (1) ระบบการผลิตไฟฟ้า (2) ความพร้อมของแหล่งพลังงานหรือเชื้อเพลิง (3) ใบอนุญาตและการมีส่วนร่วมของชุมชน และ (4) ประสบการณ์ที่ผ่านมา
6.2 การประเมินด้านการเงิน (15 คะแนน) พิจารณาความเหมาะสมจากปัจจัยต่างๆ 3 ปัจจัยๆ ละ 5 คะแนน ดังนี้ (1) ความพร้อมด้านการเงิน (2) ความเสี่ยงด้านการเงิน และ (3) การวิเคราะห์ทางด้านการเงิน โดยพิจารณาจากอัตราส่วนทางการเงินที่เหมาะสม ได้แก่ NPV และ IRR เป็นต้น
6.3 การให้คะแนน แบ่งออกเป็น 6 ระดับ โดยจะขึ้นอยู่กับความครบถ้วนสมบูรณ์ของเอกสาร และลักษณะหรือคุณภาพของโครงการทั้งด้านเทคนิคและการเงิน ในส่วนความครบถ้วนสมบูรณ์ของเอกสารจะแบ่งคะแนนเป็นระดับ "0" ถึง "5" คะแนน ระดับ 0 หมายถึง ความเป็นไปได้ของโครงการดังกล่าวอยู่ในระดับน้อยมาก คะแนนระดับ 1 หมายถึง ความเป็นไปได้ของโครงการดังกล่าวอยู่ในระดับน้อย คะแนนระดับ 2-4 หมายถึง โครงการมีความเป็นไปได้ระดับ ตั้งแต่ "พอใช้" ถึง "ดีมาก" และคะแนนระดับ 5 หมายถึง โครงการมีความเป็นไปได้แน่นอนการผ่านเกณฑ์การพิจารณาของโครงการ ต้องได้คะแนนด้านเทคนิคมากกว่าหรือเท่ากับ 12 คะแนน และด้านการเงินมากกว่าหรือเท่ากับ 9 คะแนน และไม่มีประเด็นใดในด้านเทคนิคหรือการเงินได้คะแนนน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 คะแนน หลังจากนั้นจะคำนวณค่าเฉลี่ยของส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Average Levelized Adder : ALA) ของข้อเสนอที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาข้างต้นเพื่อจัดเรียงลำดับตามค่า ALA จากต่ำสุดไปหาสูงสุด
7. ผลการประเมินข้อเสนอโครงการด้านเทคนิคและการเงิน
7.1 จากการตรวจสอบเอกสารของผู้ยื่นข้อเสนอโครงการแต่ละราย พบว่ามี 1 โครงการ คือ บริษัท อีโคเอนเนอร์จี พลัส จำกัด เอกสารยื่นข้อเสนอโครงการไม่ถูกต้อง โดยหนังสือรับรองของบริษัทระบุการลงนามต้องดำเนินการโดยกรรมการ 2 ท่าน พร้อมประทับตราของบริษัทเป็นสำคัญ แต่เอกสารที่บริษัท อีโคเอนเนอร์จี พลัส จำกัด ยื่นมีการลงนามโดยกรรมการเพียง 1 ท่าน และประทับตราของบริษัท โดยไม่มีการมอบอำนาจเป็นลายลักษณ์อักษร จึงถือได้ว่าข้อเสนอโครงการไม่สมบูรณ์ สำหรับเอกสารข้อเสนอโครงการของรายอื่นๆ มีเอกสารครบถ้วน และการประเมินข้อเสนอโครงการทางเทคนิคและการเงินในรอบแรก ได้พิจารณาเอกสารตามที่ผู้ยื่นข้อเสนอโครงการนำเสนอ และรวบรวมข้อมูลที่ไม่ชัดเจน และจำเป็นต้องขอเพิ่มเติมจากผู้ยื่นข้อเสนอโครงการ โดยมีข้อเสนอโครงการที่ให้ข้อมูลไม่ชัดเจน จำนวน 8 โครงการ เมื่อได้รับข้อมูลเพิ่มเติมครบถ้วนแล้ว ได้พิจารณาปรับคะแนนและเปรียบเทียบคะแนนของแต่ละโครงการ รวมทั้งคณะอนุกรรมการฯ ได้ลงสำรวจพื้นที่ด้วย ซึ่งพบว่าโครงการของบริษัทไทยเพาเวอร์เจนเนอเรติ้ง 2 จำกัด ไม่ผ่านเงื่อนไขด้านเทคนิค เนื่องจากพื้นที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ระบุไว้ยังไม่ชัดเจน และยังไม่มีวัตถุดิบของโครงการ ดังนั้น ผลการประเมินข้อเสนอโครงการ สามารถสรุปได้ดังนี้
ชื่อโครงการ | จังหวัดที่ตั้ง โรงไฟฟ้า | ปริมาณพลังงานไฟฟ้าเสนอขาย (MW) | เชื้อเพลิง | คะแนนด้านเทคนิค (> 12 คะแนน) | คะแนนด้านการเงิน (> 9 คะแนน) |
1. ไฟฟ้าชีวมวล | ปราจีนบุรี | 90 | ชิ้นไม้ยูคาสับ, แกลบ | 12 | 9 |
2. ภูเขียวไบโอ-เอ็นเนอร์ยี่ | ชัยภูมิ | 10 | ชานอ้อย | 17 | 13 |
3. อีโคเอนเนอร์จี พลัส | กำแพงเพชร | 30 | เศษไม้ | 6 | 0 |
4. ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย | ฉะเชิงเทรา | 65 | ชิ้นไม้ยูคาสับ | 13 | 13 |
5. ด่านช้าง ไบโอ-เอ็นเนอร์ยี่ | สุพรรณบุรี | 10 | ชานอ้อย | 17 | 13 |
6. ไทยเพาเวอร์เจนเนอเรติ้ง 1 | ปราจีนบุรี | 70 | น้ำมันยางดำ | 12 | 9 |
7. ไทยเพาเวอร์เจนเนอเรติ้ง 2 | บุรีรัมย์ | 70 | น้ำมันยางดำ | 11 | 9 |
8. แอ๊ดวานซ์ อะโกร | ปราจีนบุรี | 25 | น้ำมันยางดำ | 16 | 13 |
9. เนชั่นแนล เพาเวอร์ซัพพลาย | ปราจีนบุรี | 65 | ชิ้นไม้ยูคาสับ | 12 | 9 |
7.2 การจัดลำดับข้อเสนอโครงการที่ผ่านการประเมินคัดเลือก โดยจัดเรียงลำดับตามค่า ALA จากต่ำสุดไปหาสูงสุด ได้ดังนี้
ลำดับ | ชื่อโครงการ | วันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้า (COD) | ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง) | ALA | ปริมาณพลังงานไฟฟ้าเสนอขาย (MW) | เมกะวัตต์สะสม |
1 | ภูเขียวไบโอ-เอ็นเนอร์ยี่ | ม.ค. 2552 | 0.295 | 0.136425 | 10 | 10 |
2 | ด่านช้าง ไบโอ-เอ็นเนอร์ยี่ | ม.ค. 2552 | 0.295 | 0.136425 | 10 | 20 |
3 | เนชั่นแนล เพาเวอร์ซัพพลาย | ม.ค. 2553 | 0.300 | 0.138987 | 65 | 85 |
4 | ไฟฟ้าชีวมวล | เม.ย. 2553 | 0.300 | 0.139061 | 90 | 175 |
5 | ไทยเพาเวอร์เจนเนอเรติ้ง 1 | ก.ค. 2553 | 0.300 | 0.139167 | 70 | 245 |
6 | แอ๊ดวานซ์ อะโกร | ม.ค. 2554 | 0.300 | 0.139221 | 25 | 270 |
7 | ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย | ม.ค. 2554 | 0.300 | 0.139531 | 65 | 335 |
8. คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2550 ได้พิจารณาผลการประเมินข้อเสนอโครงการด้านเทคนิคและการเงิน และมีความเห็นว่าปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าที่เกินกว่ากำหนดมี 35 เมกะวัตต์ ประกอบกับกลุ่มโครงการที่เสนอส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าในอัตรา 0.300 บาท ต่อกิโลวัตต์ - ชั่วโมง เป็นกลุ่มเดียวกัน ดังนั้น หากสามารถเจรจาให้ลดราคาส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าลงได้ จะทำให้ประเทศได้ประโยชน์โดยรวมจากการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และลดภาระในการสนับสนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าของภาครัฐ จึงมีมติ ดังนี้
8.1 เห็นชอบผลการประเมินและคัดเลือกผู้ยื่นข้อเสนอขอรับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนจำนวน 7 โครงการ มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 335 เมกะวัตต์
8.2 เห็นควรกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าของโครงการที่ผ่านการประเมินคัดเลือกทุกรายเท่ากับ 0.295 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการเจรจากับผู้ลงทุนต่อไป
8.3 เห็นชอบให้นำผลการประเมินคัดเลือกผู้ยื่นข้อเสนอขอรับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เสนอ กบง. พิจารณาอนุมัติต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบผลการประเมินคัดเลือกผู้ยื่นข้อเสนอขอรับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนจำนวน 7 โครงการ ปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อรวม 335 เมกะวัตต์
2. เห็นชอบส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าเท่ากับ 0.295 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง สำหรับโครงการ (1) บริษัท ภูเขียวไบโอ-เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (2) บริษัท ด่านช้าง ไบโอ-เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด และ (3) บริษัทไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด และส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าเท่ากับ 0.300 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง สำหรับโครงการ (1) บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด (2) บริษัท ไฟฟ้าชีวมวล จำกัด (3) บริษัท ไทยเพาเวอร์เจนเนอเรติ้ง 1 จำกัด และ (4) บริษัท แอ๊ดวานซ์ อะโกร จำกัด (มหาชน)
3. มอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กตามข้อ 2 ต่อไป
เรื่องที่ 4 แนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1. ระบบราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในปัจจุบันเป็นแบบ "กึ่งลอยตัว" โดยได้มีการยกเลิกควบคุมราคาขายปลีกก๊าซ LPG ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2544 เป็นต้นมา รัฐควบคุมเพียงราคาขายส่ง ส่วนราคาขายปลีกและค่าการตลาดผู้ค้าก๊าซเป็นผู้กำหนด โดย สนพ. และกรมการค้าภายใน มีหน้าที่กำกับดูแลมิให้มีการกำหนดราคาเพื่อเอาเปรียบผู้บริโภค ให้สอดคล้องกับต้นทุน รวมถึงส่งเสริมการแข่งขันเพื่อกดดันไม่ให้ราคาสูงขึ้นจนกระทบผู้บริโภคมากเกินไป
2. คณะรัฐมนตรีได้มีมติในการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซ LPG โดยเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 ได้เห็นชอบแนวทางและขั้นตอนการยกเลิกควบคุมราคาก๊าซ LPG และระบบการค้าและมาตรฐานความปลอดภัยก๊าซ LPG ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การเตรียมการ 2) การยกเลิกควบคุมราคาขายปลีก 3) การดำเนินการภายหลังการยกเลิกควบคุมราคาขายปลีกและการเตรียมการสู่การลอยตัวเต็มที่ และ 4) การใช้ระบบ "ลอยตัวเต็มที่" โดยสมบูรณ์ และต่อมาเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2544 ได้เห็นชอบให้ใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" ดังนี้ 1) รัฐยกเลิกการควบคุมราคาขายปลีกแต่ยังคงควบคุมราคาในระดับขายส่ง 2) รัฐกำหนดราคา ณ โรงกลั่น/ราคานำเข้าให้สะท้อนสภาพตลาด 3) รัฐกำหนดระดับอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG คงที่ในระดับหนึ่ง 4) รัฐกำหนดราคาขายส่งให้เปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับราคาตลาดโลก มีผลให้ราคาขายปลีกเปลี่ยนแปลงตาม และ 5) ในระหว่างนี้จะมีการปรับปรุงระบบการค้าก๊าซ LPG และเพิ่มการแข่งขัน ในตลาดโดยเปิดเสรีในด้านการจัดหาของผู้ค้าและให้โอกาสผู้ค้าก๊าซฯ สามารถใช้บริการคลังก๊าซฯ และระบบขนส่งก๊าซฯ ของ ปตท. ได้ โดยให้ ปตท. เป็นผู้ให้บริการรับจ้าง
3. ในการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2546 ได้มีมติเรื่องการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซ LPG ดังนี้ 1) เพื่อหยุดเงินไหลออกของกองทุนน้ำมันฯ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ราคา ณ โรงกลั่น/ราคานำเข้า เท่ากับราคาประกาศเปโตรมิน (CP) ที่ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบีย เป็นสัดส่วนระหว่างโพรเพนกับบิวเทนเป็น 60 ต่อ 40 ลบ 16 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มีราคาต่ำสุดในระดับ 185 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และสูงสุดในระดับ 315 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน 2) จำกัดภาระการจ่ายชดเชยไม่สูงกว่ารายได้ ดังนี้ เดือนกรกฎาคม 2546 จำกัดอัตราชดเชยไม่เกิน 3 บาทต่อกิโลกรัม เดือนกรกฎาคม 2547 จำกัดอัตราชดเชยไม่เกิน 2 บาทต่อกิโลกรัม และเดือนกรกฎาคม 2548 ให้ยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ยกเลิกการควบคุมราคาระบบ "ลอยตัวเต็มที่" อย่างไรก็ตามในช่วงปี 2547 - 2549 ได้เกิดวิกฤติการณ์ปัญหาราคาน้ำมันแพง เพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าว กบง. ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซ LPG และฐานะกองทุนน้ำมันฯ 8 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ได้พิจารณาเห็นชอบให้ขยายเวลาการจำกัดอัตราชดเชยราคาก๊าซ LPG ไม่เกิน 2 บาทต่อกิโลกรัม และการยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG และการควบคุมราคาสู่ระบบ "ลอยตัวเต็มที่" จากเดือนกรกฎาคม 2548 เป็นวันที่ 31 ธันวาคม 2550 และเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2549 กบง. ได้พิจารณาเรื่อง ข้อเสนอมาตรการป้องกันการขาดแคลนก๊าซ LPG ในประเทศ และได้มีมติให้เก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการส่งออกก๊าซ LPG เพื่อนำมาชดเชยให้แก่ก๊าซ LPG ที่จำหน่ายในประเทศ โดยการปรับราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น/โรงแยกก๊าซฯ ที่ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศให้สูงขึ้น รายจ่ายของกองทุนน้ำมันฯ ที่เพิ่มขึ้นในส่วนนี้จะเท่ากับรายรับของกองทุนน้ำมันฯ ที่ได้จากการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการส่งออกก๊าซ LPG
4. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG ประกอบด้วยราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นและราคาขายปลีก ในส่วนของราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นประกอบด้วย ราคา ณ โรงกลั่นหรือราคา ณ โรงแยกก๊าซฯ/ราคานำเข้า ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล กองทุนน้ำมันฯ และภาษีมูลค่าเพิ่ม และในส่วนของราคาขายปลีก ประกอบด้วย ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น ค่าการตลาดและภาษีมูลค่าเพิ่ม และรัฐได้กำหนดให้ราคาขายส่ง ณ คลังก๊าซฯ ของ ปตท. มีราคาเท่ากัน ทั่วประเทศ โดยใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ จ่ายชดเชยค่าขนส่งก๊าซฯ ไปยังคลังก๊าซฯ ซึ่งหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นและราคานำเข้า ปัจจุบัน กบง. ได้กำหนดหลักเกณฑ์การกำหนดราคาก๊าซฯ ที่ผลิตในประเทศและราคานำเข้าเป็นหลักเกณฑ์เดียวกัน และจะเปลี่ยนแปลงทุกสัปดาห์และทุกวันที่ 1 ของเดือน ทั้งนี้ในส่วนค่าการตลาด ภาครัฐไม่ได้ควบคุมผู้ค้าก๊าซฯ มาตรา 7 โดยให้เป็นผู้กำหนดค่าการตลาดเอง ซึ่งกำกับดูแลโดยกรมการค้าภายใน
5. การผลิตการใช้และการส่งออกก๊าซ LPG ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2550 การผลิตก๊าซ LPG ผลิตได้ 2,754 ล้านกิโลกรัม แยกเป็นการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ร้อยละ 56 โรงกลั่นร้อยละ39 และอื่นๆ ร้อยละ 5 ขณะที่ความต้องการใช้อยู่ที่ 2,369 ล้านกิโลกรัม แยกเป็นความต้องการใช้ในครัวเรือนร้อยละ 52 อุตสาหกรรมร้อยละ 16 รถยนต์ร้อยละ 16 และปิโตรเคมีร้อยละ 16 โดยที่ความต้องการใช้ในรถยนต์เพิ่มขึ้นมากสุดร้อยละ 31.8 เทียบจากช่วงเวลาเดียวกันในของปีที่ผ่านมา ในส่วนของปริมาณการส่งออกก๊าซ LPG อยู่ที่ 299 ล้านกิโลกรัม ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 46.7 เนื่องจากใช้มาตรการกำหนดปริมาณการส่งออก เพื่อป้องกันการขาดแคลนก๊าซ LPG ในประเทศ
6. ปัญหาจากราคาก๊าซ LPG ในประเทศไม่สะท้อนต้นทุน มีดังนี้ 1) ราคาก๊าซฯ ในตลาดโลกสูงกว่าในประเทศ 200 - 300 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน จูงใจให้มีการส่งออกมากกว่าขายภายในประเทศ ภาครัฐต้องจัดการการส่งออก 2) ราคา LPG ต่ำกว่าน้ำมันชนิดอื่น ทำให้มีการเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้ LPG แทน ซึ่งหากการใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะทำให้เกิดการขาดแคลนก๊าซ LPG ในอนาคต โดยในภาคขนส่ง ผู้ใช้รถยนต์เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ LPG แทนน้ำมันเบนซินเพิ่มมากขึ้นและภาคอุตสาหกรรมเปลี่ยนมาใช้ก๊าซ LPG แทนน้ำมันเตา 3) ราคา LPG ภายในประเทศต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเกิดการลักลอบส่งออก LPG ทำให้สูญเสียเงินเข้ากองทุนฯ 4) การใช้เป็นเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ขาดรายได้จากการส่งออกและสูญเสียโอกาสจากการนำไปใช้ในอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี และ 5) กองทุนน้ำมันฯ รับภาระจ่ายชดเชยราคา LPG ปัจจุบันมีหนี้เงินชดเชยก๊าซ LPG ค้างชำระประมาณ 7,500 ล้านบาท
7. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2550 มีเงินสดสุทธิ 16,408 ล้านบาท มีหนี้สินค้างชำระ 26,919 ล้านบาท แยกเป็น 1) หนี้พันธบัตร 17,600 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 งวด ๆ ละ 8,800 ล้านบาท ซึ่งจะครบกำหนดในเดือนตุลาคม 2550 และตุลาคม 2551 ตามลำดับ 2) หนี้เงินชดเชยตรึงราคาน้ำมันค้างชำระ 990 ล้านบาท 3) หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 7,568 ล้านบาท 4) ภาระดอกเบี้ย (ดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 2 และ 3 ปี) 761 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 7,511 ล้านบาท
8. แนวทางการแก้ไขปัญหา มีดังนี้ 1) ยกเลิกการชดเชยราคาก๊าซ LPG โดยปรับขึ้นราคาขายส่ง (โดยมีผลพร้อมกับการลดราคาขายปลีกเบนซินและดีเซล 0.50 บาทต่อลิตร) 2) ปรับหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG ให้สะท้อนต้นทุนการผลิตก๊าซ LPG ที่แท้จริง 3) ยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการส่งออกก๊าซ LPG 4) ยังคงนโยบายราคาก๊าซ ณ คลังเท่ากันทั่วประเทศ โดยเก็บเงินเข้ากองทุนฯ จากก๊าซ LPG ในระดับหนึ่ง (0.24 บาทต่อกิโลกรัม) สำหรับชดเชยค่าขนส่งไปยังคลังก๊าซฯ ภูมิภาค
9. ข้อเสนอหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG ได้จากการคำนวณตามสูตร ดังนี้
ต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ < ราคา ณ โรงกลั่น < ต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ 60% + ราคาส่งออกก๊าซ LPG 40%
- พฤศจิกายน - ธันวาคม 2550
ราคา ณ โรงกลั่น = ราคา ณ โรงกลั่นของเดือนก่อนหน้า
- มกราคม - มีนาคม 2551
ราคา ณ โรงกลั่น = ต้นทุนการผลิตโรงแยกก๊าซ 95% + ราคาส่งออก 5%
- เมษายน - มิถุนายน 2551
ราคา ณ โรงกลั่น = ต้นทุนการผลิตโรงแยกก๊าซ 90% + ราคาส่งออก 10%
- กรกฎาคม - กันยายน 2551
ราคา ณ โรงกลั่น = ต้นทุนการผลิตโรงแยกก๊าซ 80% + ราคาส่งออก 20%
- ตุลาคม - ธันวาคม 2551
ราคา ณ โรงกลั่น = ต้นทุนการผลิตโรงแยกก๊าซ 70% + ราคาส่งออก 30%
- มกราคม 2552 เป็นต้นไป
ราคา ณ โรงกลั่น = ต้นทุนการผลิตโรงแยกก๊าซ 60% + ราคาส่งออก 40%
ถ้าราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกปรับลดลงมาก การปรับเปลี่ยนสัดส่วนสามารถทำได้เร็วขึ้น
โดยที่
1) ต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ = ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงแยกก๊าซฯ + ค่าใช้จ่ายของโรงแยกก๊าซฯ
1.1 ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงแยกก๊าซฯ ใช้ราคาเดือนก่อนหน้า 2 เดือน
1.2 ค่าความร้อน 1 ตันของก๊าซ LPG = 46.74 ล้านบีทียู
1.3 ค่าใช้จ่ายของโรงแยกก๊าซฯ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายการลงทุนโรงแยกก๊าซฯ ค่าเชื้อเพลิง (3% of Feed) ค่าบำรุงรักษา (3.5% of Investment) ค่าดำเนินการ (3% of Investment) ค่าประกันภัย (1% of Investment) และค่าขนส่งก๊าซ LPG จากโรงแยกก๊าซฯ มาบตาพุดไปคลังชลบุรี 11 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
2) ราคาส่งออกก๊าซ LPG = CP - 19
ราคา CP = ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียเป็นสัดส่วนระหว่างโพรเพนกับบิวเทน 60 ต่อ 40 เฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลังจากเดือนปัจจุบัน
3) หน่วย : เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
4) อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เฉลี่ยเดือนก่อนหน้า
5) ประกาศเปลี่ยนแปลงราคาทุกวันที่ 5 ของเดือน
10. ผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG 1.29 บาทต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 19 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ส่งผลทำให้รายจ่ายของกองทุนน้ำมันฯ ลดลง 324 ล้านบาทต่อเดือน ค่าใช้จ่ายของประชาชนเพิ่มขึ้นเป็น 347 ล้านบาทต่อเดือน ค่าใช้จ่ายของโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 57 ล้านบาทต่อเดือน ค่าใช้จ่ายของ รถแท็กซี่ (600 กิโลเมตรต่อ 25.92 ลิตร) 52 บาทต่อวัน ค่าใช้จ่ายของครัวเรือน (1 เดือนต่อถัง 15 กิโลกรัม) 19 บาทต่อเดือน อาหารสำเร็จรูป (1,440 จานต่อถัง 48 กิโลกรัม) 0.04 บาทต่อจาน ผลกระทบค่าใช้จ่ายต่อครัวเรือน กรณีที่ลดราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลลง 0.50 บาทต่อลิตร และปรับราคาก๊าซ LPG เพิ่มขึ้น 1.29 บาทต่อกิโลกรัม มีผลทำให้ค่าใช้จ่ายต่อครัวเรือนเฉลี่ยทั้งประเทศลดลง 9.45 บาทต่อเดือน
11. มาตรการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ได้แก่ 1) กลุ่มอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงานได้จัดทำโครงการปรับเปลี่ยนเป็นเตาประสิทธิภาพสูง วงเงินรวม 600 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็น เงินช่วยเหลือสำหรับค่าใช้จ่ายปรับปรุงเตาอบลำไย เตาเผาเซรามิค และเตาอบกุนเชียง ในอัตราร้อยละ 40, 30 และ 30 ซึ่งคิดเป็นวงเงิน 380 ล้านบาท 217 ล้านบาท และ 3 ล้านบาท ตามลำดับ นอกจากนี้ในโครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม ได้ส่งที่ปรึกษาให้คำแนะนำแก่โรงงานเรื่องการจัดการพลังงานและการสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำในการปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงาน และ 2) กลุ่มรถแท็กซี่ ได้ส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) ในรถแท็กซี่
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการยกเลิกการชดเชยราคาก๊าซ LPG โดยให้ปรับขึ้นราคาขายส่งก๊าซ LPG ขึ้น (โดยให้ดำเนินการไปพร้อมกับการลดราคาขายปลีกเบนซินและดีเซลลง 0.50 บาทต่อลิตร เมื่อกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มีฐานะเป็นบวกแล้ว ประมาณเดือนธันวาคม 2550) ด้วยการให้ยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการส่งออกก๊าซ LPG และให้คงนโยบายราคาก๊าซ LPG ณ คลังเท่ากันทั่วประเทศ โดยให้จัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากก๊าซ LPG ในระดับที่เพียงพอและเหมาะสมสำหรับชดเชยค่าขนส่งไปยังคลังก๊าซภูมิภาค (0.24 บาทต่อกิโลกรัม)
2. เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG โดยกำหนดเพดานที่ต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ร้อยละ 60 บวกราคาส่งออกก๊าซ LPG ร้อยละ 40 และราคาฐานที่ต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ทั้งนี้ ให้ราคา ณ โรงกลั่นคำนวณจากสัดส่วนของต้นทุนการผลิตระหว่างโรงแยกก๊าซฯ และราคาส่งออกก๊าซ LPG โดยให้ทยอยปรับสัดส่วนการผลิตระหว่างโรงแยกก๊าซฯ และโรงกลั่นน้ำมันไปสู่ระดับจริง คือ 60 ต่อ 40 ซึ่งมีสูตรการคำนวณ ดังนี้
ต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ < ราคา ณ โรงกลั่น < ต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ 60% + ราคาส่งออกก๊าซ LPG 40%
- - พฤศจิกายน - ก่อนวันที่ปรับราคาขายส่ง
ราคา ณ โรงกลั่น = ราคา ณ โรงกลั่นของเดือนก่อนหน้า - - วันที่ปรับราคาขายส่ง - มีนาคม 2551
ราคา ณ โรงกลั่น = ต้นทุนการผลิตโรงแยกก๊าซ 95% + ราคาส่งออก 5% - - เมษายน - มิถุนายน 2551
ราคา ณ โรงกลั่น = ต้นทุนการผลิตโรงแยกก๊าซ 90% + ราคาส่งออก 10% - - กรกฎาคม - กันยายน 2551
ราคา ณ โรงกลั่น = ต้นทุนการผลิตโรงแยกก๊าซ 80% + ราคาส่งออก 20% - - ตุลาคม - ธันวาคม 2551
ราคา ณ โรงกลั่น = ต้นทุนการผลิตโรงแยกก๊าซ 70% + ราคาส่งออก 30% - - มกราคม 2552 เป็นต้นไป
ราคา ณ โรงกลั่น = ต้นทุนการผลิตโรงแยกก๊าซ 60% + ราคาส่งออก 40% - - (หมายเหตุ : ถ้าราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกปรับลดลงมาก การปรับเปลี่ยนสัดส่วนสามารถทำได้เร็วขึ้น)
โดยที่ - 1) ต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ = ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงแยกก๊าซฯ + ค่าใช้จ่ายของโรงแยกก๊าซฯ
- 1.1 ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงแยกก๊าซฯ ใช้ราคาเดือนก่อนหน้า 2 เดือน
- 1.2 ค่าความร้อน 1 ตันของก๊าซ LPG = 46.74 ล้านบีทียู
- 1.3 ค่าใช้จ่ายของโรงแยกก๊าซฯ
- - ค่าใช้จ่ายการลงทุนโรงแยกก๊าซฯ
- - ค่าเชื้อเพลิง (3 % of Feed)
- - ค่าบำรุงรักษา (3.5 % of Investment)
- - ค่าดำเนินการ (3 % of Investment)
- - ค่าประกันภัย (1 % of Investment)
- - ค่าขนส่งก๊าซ LPG จากโรงแยกก๊าซมาบตาพุดไปคลังชลบุรี 11 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
- 2) ราคาส่งออกก๊าซ LPG = CP - 19 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
ราคา CP = ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียเป็นสัดส่วนระหว่างโพรเพนกับบิวเทน 60 ต่อ 40 เฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง จากเดือนปัจจุบัน - 3) หน่วย : เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
- 4) อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เฉลี่ยเดือนก่อนหน้า
- 5) ประกาศเปลี่ยนแปลงราคาทุกวันที่ 5 ของเดือน
1. ในการดำเนินการตามข้อ 1 และ 2 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้มอบอำนาจให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบในการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว ในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม
เรื่องที่ 5 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (กันยายน - 8 ตุลาคม 2550)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยเดือนกันยายน 2550 อยู่ที่ระดับ 73.36 และ 76.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 5.98 และ 5.61 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากข่าวโอเปคจำกัดการเพิ่มปริมาณการผลิตเพียง 500,000 บาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่ระดับ 27.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2550 รวมทั้งข่าวพายุเฮอริเคน Humberto ขึ้นฝั่งที่รัฐเท็กซัสส่งผลให้โรงกลั่น 3 แห่ง ปิดทำการฉุกเฉิน และต่อมาในช่วงวันที่ 1 - 8 ตุลาคม ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 73.72 และ 77.50 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากรัฐมนตรีน้ำมันของกาตาร์ได้กล่าวเกี่ยวกับการเพิ่มปริมาณการผลิตของโอเปคจะไม่ส่งผลต่อราคาน้ำมันให้ลดลง เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกาที่อ่อนตัวลงลงอย่างต่อเนื่องและมีค่าระดับต่ำสุดในสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งเป็นปัจจัยให้เงินทุนไหลเข้าในตลาดน้ำมันต่อไป โดยโอเปคยังไม่มีแผนที่จะเพิ่มปริมาณการผลิต รวมทั้งข่าวโรงกลั่น Schwedt (210,000 บาร์เรลต่อวัน) ในเยอรมันปิดฉุกเฉินจากปัญหาทางเทคนิค และข่าวบริษัท Gazprom ของรัสเซียกำหนดเส้นตายจะหยุดส่งออกให้ยูเครน หากยูเครนไม่ชำระหนี้ค่าก๊าซฯ 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในสิ้นเดือนตุลาคม 2550
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนกันยายน 2550 อยู่ที่ระดับ 82.51, 81.35 และ 90.72 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 5.35, 5.30 และ 7.72 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอินโดนีเซียและเวียดนามเพื่อรองรับเทศกาล Ramadan และ Eid al-Fitr ประกอบกับข่าวโรงกลั่น Pak-Arab Refinery Co. ของปากีสถานงดส่งออกน้ำมันเบนซินออกเทน 90 ปริมาณ 85,000 - 170,000 บาร์เรลต่อเดือน ตั้งแต่เดือนกันยายน - ธันวาคม 2550 เนื่องจากปิดซ่อมบำรุง และในช่วงวันที่ 1 - 8 ตุลาคม ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 83.23, 82.03 และ 91.30 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและข่าวโรงกลั่น Yokkaichi ของประเทศญี่ปุ่นปิดซ่อมฉุกเฉิน (กำลังการผลิต 45,000 บาร์เรลต่อวัน) และข่าว Chinese Petroleum Corp. ของไต้หวันลดการส่งออกน้ำมันเบนซินเดือนตุลาคมจาก 90,000 ตัน มาอยู่ที่ 60,000 ตัน ในเดือนพฤศจิกายน
3. ในระหว่างเดือนกันยายนถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2550 ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91แก๊สโซฮอล์ 95, 91 เพิ่มขึ้น 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 4 ครั้ง และปรับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็วบี 5 เพิ่มขึ้น 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 5 ครั้ง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 แก๊สโซฮอล์ 95, 91 ดีเซลหมุนเร็ว และดีเซลหมุนเร็วบี 5 ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2550 อยู่ที่ระดับ 29.99, 29.19, 26.49, 25.69, 27.34 และ 26.64 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. แนวโน้มราคาน้ำมันเดือนตุลาคม 2550 คาดว่าราคาน้ำมันยังคงมีความผันผวนตามกระแสข่าวที่กระทบต่ออุปสงค์และอุปทานของน้ำมันในตลาดโลก โดยจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 70 - 75 และ 75 - 80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองในประเทศผู้ผลิต/ส่งออก การเข้าสู่ช่วงฤดูมรสุมและสิ้นสุดฤดูท่องเที่ยวในสหรัฐอเมริกา สำหรับราคาน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 75 - 85 และ 85 - 95 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและความต้องการใช้น้ำมันดีเซลที่เพิ่มมากขึ้นในฤดูหนาว และสภาวะเศรษฐกิจที่อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมัน
5. สำหรับสถานการณ์ LPG ช่วงเดือนกันยายน 2550 ถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2550 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 60.00 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 650.00 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามต้นทุนราคาน้ำมันดิบและความต้องการในภูมิภาคเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและความอบอุ่น โดยเฉพาะจากประเทศจีน ขณะที่อุปทานในภูมิภาคตึงตัวจากโรงกลั่นในประเทศไทยปิดซ่อมบำรุงประจำปี อย่างไรก็ตามจากระดับราคาที่สูงส่งผลให้ปริมาณความต้องการเริ่มปรับตัวลดลง ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 11.0248 บาทต่อกิโลกรัม อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายในประเทศอยู่ในระดับ 0.9549 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็น 264.06 ล้านบาทต่อเดือน อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ส่งออก อยู่ที่ระดับ 5.6539 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็น 53.71 ล้านบาทต่อเดือน สำหรับการคาดการณ์ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2550 คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 636 - 661 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลใช้ก๊าซ LPG เพื่อความอบอุ่น
6. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล์ เดือนกันยายน 2550 การผลิตและจำหน่ายเอทานอลมีปริมาณรวม 0.69 และ 0.57 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากผู้ประกอบการที่ผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 7 ราย โดยราคา เอทานอลแปลงสภาพไตรมาส 1, 2, 3 และ 4 ในปี 2550 อยู่ที่ลิตรละ 19.33, 18.62, 16.82 บาท และ 15.29 บาท ตามลำดับ ขณะที่มีปริมาณเอทานอลสำรองของผู้ค้าน้ำมันรวม 21.38 ล้านลิตร ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 เดือนกันยายนมีปริมาณ 4.29 ล้านลิตรต่อวัน จากบริษัทค้าน้ำมันที่จำหน่าย จำนวน 11 บริษัท และสถานีบริการ 3,592 แห่ง โดยที่ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ในช่วงเวลาเดียวกันมีปริมาณ 0.79 ล้านลิตรต่อวัน จากบริษัทค้าน้ำมันที่จำหน่ายจำนวน 3 บริษัท และสถานีบริการน้ำมัน 719 แห่ง ปัจจุบันราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 อยู่ที่ 26.49 และ 25.69 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 อยู่ที่ 3.50 บาทต่อลิตร
7. สำหรับน้ำมันไบโอดีเซล เดือนกันยายนมีผู้ผลิตไบโอดีเซลที่ได้คุณภาพตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงานจำนวน 6 ราย มีกำลังการผลิตรวม 1,250,000 ลิตรต่อวัน และราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนกันยายนและช่วงวันที่ 1 - 8 ตุลาคม 2550 อยู่ที่ 27.99 และ 29.78 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เดือนกันยายน มีจำนวน 1.92 ล้านลิตรต่อวัน หรือมีการใช้ไบโอดีเซล (B100) เฉลี่ย 96,000 ลิตรต่อวัน โดยมีบริษัทน้ำมันที่จำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 จำนวน 2 ราย คือ ปตท. และบางจาก สถานีบริการรวม 801 แห่ง ปัจจุบันอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เท่ากับ 1.00 บาทต่อลิตร และราคาขายปลีกอยู่ที่ 26.64 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 0.70 บาทต่อลิตร
8. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 5 ตุลาคม 2550 มีเงินสดสุทธิ 19,408 ล้านบาท มีหนี้สินค้างชำระ 26,919 ล้านบาท แยกเป็นหนี้พันธบัตร 17,600 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยตรึงราคาน้ำมันค้างชำระ 990 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 7,568 ล้านบาท ภาระดอกเบี้ย (ดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 2 และ 3 ปี) 761 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิติดลบ 7,511 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ