มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 8/2550 (ครั้งที่ 25)
วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2550 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
2. มาตรการส่งเสริมให้มีการผลิตน้ำมันที่มีคุณภาพตามมาตรฐานยูโร 4
3. แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี2
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2550 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงภายหลังการใช้หนี้หมด โดยให้โอนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้แก่กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนงานปกติ ในระดับ 0.18 บาทต่อลิตร ค่าใช้จ่ายสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบขนส่ง 0.50 บาทต่อลิตร และลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.50 บาทต่อลิตร เพื่อนำไปลดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อกองทุนน้ำมันฯ ได้สะสมเงินไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว ให้เพิ่มการโอนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ สำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่งอีก 0.20 บาทต่อลิตร และต่อมา กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 ได้เห็นชอบให้เพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ และประกาศลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซล 0.25 และ 0.18 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2550 และให้เพิ่มอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ สำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซลอีก 0.50 บาทต่อลิตร เมื่อหนี้สินสุทธิของกองทุนน้ำมันฯ ลดลงเป็นศูนย์แล้ว และให้เพิ่มการเก็บเงินเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ อีก 0.20 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป โดยให้มีการประกาศลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในอัตราเท่ากันและในวันเดียวกัน
2. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2550 ได้มีมติเห็นชอบปรับอัตรากองทุนน้ำมันฯ ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 โดยให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 ลงเท่ากับอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ที่เพิ่มขึ้น และให้มีผลในวันเดียวกับการปรับขึ้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3. เนื่องจากขั้นตอนการออกประกาศ กพช. เกี่ยวกับการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จะต้องนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ประกอบกับจากประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันฯ คาดว่าจะเป็นบวกและสามารถโอนอัตราเงินให้แก่กองทุนอนุรักษ์ฯ สำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่งได้ประมาณวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ดังนั้น กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2550 จึงได้เห็นชอบให้โอนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ไปยังกองทุนอนุรักษ์ฯ สำหรับแผนงานปกติและเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการพัฒนาระบบขนส่ง ครั้งที่ 1 ไปพร้อมกัน
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2550 มีเงินสดสุทธิ 12,566 ล้านบาท หนี้สินค้างชำระ 12>,967 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 401 ล้านบาท โดยคาดว่าฐานะกองทุนน้ำมันฯ จะเป็นบวกประมาณวันที่ 23 ธันวาคม 2550
5. เพื่อเป็นการดำเนินการตามมติ กพช. จึงควรมีการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 ลง 0.6800, 0.1870, 0.6800 และ 0.1835 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้พร้อมกับการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป ให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็ว บี5 ลงอีก 0.20 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้สอดคล้องกับการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ลง 0.6800, 0.1870, 0.6800 และ 0.1835 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้พร้อมกับการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็ว บี5 ลงอีก 0.20 บาทต่อลิตร โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้พร้อมกับการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ประมาณเดือนตุลาคม 2551)
ทั้งนี้ มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้สอดคล้องกับการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานต่อไป
เรื่องที่ 2 มาตรการส่งเสริมให้มีการผลิตน้ำมันที่มีคุณภาพตามมาตรฐานยูโร 4
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2549 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานของประเทศ โดยได้กำหนดมาตรการด้านพลังงานสะอาดเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจการพลังงานในรูปแบบต่างๆ คือกำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมันสำเร็จรูปให้สูงขึ้นอย่างเหมาะสมเพื่อให้สอดคล้องกับการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2549 ได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2549 โดยเห็นชอบให้มีการกำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศไทยในอนาคต ตามแนวทางของมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงยูโร 4 โดยการปรับปรุงจากมาตรฐานคุณภาพน้ำมันที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน และให้กำหนดระยะเวลาในการบังคับใช้มาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ ปรับลดปริมาณกำมะถันจากไม่สูงกว่า 500 ppm เป็นไม่สูงกว่า 50 ppm ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป ทั้งนี้การกำหนดมาตรฐานไอเสียของรถยนต์มาตรฐานยูโร 4 ของประเทศ จะมีการประกาศบังคับใช้ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้ดำเนินการออกประกาศกำหนดลักษณะและคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับอนาคต เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2549 ให้มีผลบังคับใช้สำหรับน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เพื่อให้โรงกลั่นน้ำมันมีระยะเวลาในการปรับปรุงการผลิต
3. ปัจจุบันคุณภาพอากาศของประเทศไทยพบว่าปัญหาหลักคือ มลพิษฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM-10) และก๊าซโอโซนที่มีปริมาณสูงเกินกว่ามาตรฐานในหลายพื้นที่และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณริมถนนใหญ่ เนื่องจากการเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิง โดยที่ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กจะเกิดจากการเผาไหม้น้ำมันดีเซลที่มีกำมะถันสูง และก๊าซโอโซนเกิดจากปฏิกิริยาระหว่างก๊าซไฮโดรคาร์บอนกับออกไซด์ของไนโตรเจนจากไอเสียรถยนต์โดยมีแสงแดดเป็นตัวเร่ง ดังนั้นกระทรวงพลังงานและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ร่วมประชุมหารือเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2550 เสนอให้กระทรวงพลังงานพิจารณาส่งเสริมให้มีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณลักษณะเป็นไปตามมาตรฐานยูโร 4 ก่อนวันที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้
4. โรงกลั่นน้ำมันที่สามารถผลิตน้ำมันยูโร 4 ได้ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2555 มีจำนวน 2 โรง คือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) คาดว่าจะสามารถผลิตน้ำมันเบนซินและดีเซลมาตรฐานยูโร 4 ได้ประมาณเดือนเมษายน 2551 และ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) คาดว่าจะสามารถผลิตเฉพาะน้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 4 ได้ประมาณเดือนตุลาคม 2551 และจากการศึกษาต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในการผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ของสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พบว่าต้นทุนการผลิตน้ำมันเบนซิน จะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.81 - 1.20 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลประมาณ 0.40 - 1.01 บาทต่อลิตร และการประเมิน จากความแตกต่างของราคาขายในตลาดสากลพบว่าน้ำมันเบนซินมีส่วนต่างราคาประมาณ 0.24 - 0.45 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลประมาณ 0.25 - 0.65 บาทต่อลิตร
5. สนพ. ได้พิจารณาเปรียบเทียบราคาน้ำมันดีเซลตามมาตรฐานปัจจุบันกับน้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 4 ในตลาดจรสิงคโปร์ เฉลี่ยตั้งแต่ 1 มกราคม 2550 ถึง 14 ธันวาคม 2550 พบว่าราคาน้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 4 สูงกว่าประมาณ 1.61 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล หรือประมาณ 0.35 บาทต่อลิตร (ที่อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย 34.72 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ) ส่วนน้ำมันเบนซินมาตรฐานยูโร 4 ไม่มีการซื้อขายในตลาดจรสิงคโปร์ ทั้งนี้เมื่อพิจารณาผลการศึกษาต้นทุนการผลิตโดยการประเมินจากความแตกต่างของราคาขายในตลาดยุโรปที่ได้จากการศึกษาของสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 0.35 บาทต่อลิตร ซึ่งใกล้เคียงกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นของน้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 4
6. สำหรับต้นทุนผันแปรในการผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ที่เพิ่มขึ้นจากหน่วยกำจัดกำมะถันในการผลิตน้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 4 ประมาณ 0.24 บาทต่อลิตร ประกอบด้วยต้นทุนส่วนเพิ่มจากปริมาณการใช้ก๊าซไฮโดรเจนบริสุทธิ์ร้อยละ 1.2 เป็นร้อยละ 2.0 คิดเป็น 0.14 บาทต่อลิตร และต้นทุนส่วนเพิ่มจากอายุการใช้งานของสารเร่งปฏิกิริยาที่ลดลงจาก 2 ปี เป็น 1 ปี คิดเป็น 0.10 บาทต่อลิตร ส่วนต้นทุนผันแปรที่เพิ่มขึ้นจากการปรับลดกำมะถันและปรับลดสารเบนซีนในการผลิตน้ำมันเบนซินมาตรฐานยูโร 4 ประมาณ 0.65 บาทต่อลิตร ประกอบด้วยต้นทุนพลังงานที่ใช้เพิ่มขึ้นสำหรับการดึงสารเบนซีนออกจากน้ำมันเบนซิน คิดเป็น 0.10 บาทต่อลิตร และในส่วนของการปรับลดกำมะถันต้องจัดหาน้ำมันดิบที่มีกำมะถันต่ำเข้ามากลั่นทำให้มีต้นทุนผันแปรที่เพิ่มขึ้น 0.55 บาทต่อลิตร
7. การส่งเสริมให้มีการผลิตน้ำมันที่มีคุณภาพตามมาตรฐานยูโร 4 ก่อนวันมีผลบังคับใช้ โดยเฉพาะน้ำมันเบนซินจะช่วยลดการระบายก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ได้ประมาณ 31,432 ตัน ก๊าซไฮโดรคาร์บอน 7,024 ตัน ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน 5,332 ตัน และฝุ่นละออง 2,064 ตัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชน
8. ในการผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 โรงกลั่นน้ำมันจะมีต้นทุนในการผลิตที่สูงขึ้น ถ้าหากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐเพื่อให้สามารถแข่งขันกับน้ำมันมาตรฐานปัจจุบันที่มีต้นทุนที่ต่ำกว่าได้ โรงกลั่นน้ำมันอาจ ไม่ปรับเปลี่ยนการผลิตเพื่อผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ก่อนวันมีผลบังคับใช้ เนื่องจากขาดทุนจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งการจำหน่ายน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ก่อนกำหนด จะช่วยให้สามารถนำรถยนต์มาตรฐานยูโร 4 เข้ามาใช้ในประเทศได้เร็วขึ้น จะทำให้ลดการระบายมลพิษออกสู่บรรยากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันต้องลงทุนเพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำมันให้ได้ตามมาตรฐานยูโร 4 อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือเรื่องภาระการลงทุน แต่เพื่อให้โรงกลั่นน้ำมันควบคุมการผลิตเพื่อให้ได้น้ำมันมาตรฐาน ยูโร 4 จึงเห็นควรกำหนดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ในระดับเดียวกับต้นทุนผันแปรที่เพิ่มขึ้น โดยกำหนดอัตราชดเชยสำหรับน้ำมันดีเซลและเบนซินที่ได้ตามมาตรฐานยูโร 4 ในอัตราเดียวกันคือ 0.24 บาทต่อลิตร
9. ผลกระทบต่อกองทุนน้ำมันฯ จากประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันฯ หลังการดำเนินการโอนอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้แก่กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับแผนงานปกติ และเพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบการขนส่ง ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2550 พบว่า ประมาณการรายได้ของกองทุนน้ำมันฯ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป อยู่ที่ระดับ 845 ล้านบาท ต่อเดือน และเพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตน้ำมันที่มีคุณภาพตามมาตรฐานยูโร 4 กองทุนน้ำมันฯ ต้องจ่ายเงินชดเชยในส่วนของต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่สามารถผลิตน้ำมันดีเซลและเบนซินตามมาตรฐานยูโร4 ได้ก่อนวันที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ โดยโรงกลั่นน้ำมันคาดว่าจะสามารถผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ได้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 เป็นต้นไป ซึ่งกองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระจากการชดเชยในส่วนของต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ประมาณ 190 ล้านบาทต่อเดือน หรือเป็นจำนวนเงินชดเชยก่อนถึงวันบังคับใช้ประมาณ 8,718 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายเงินชดเชยให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่ผลิตน้ำมันดีเซลและเบนซินมาตรฐานยูโร 4 ได้ก่อนวันมีผลบังคับใช้ ในอัตราไม่เกิน 0.24 บาทต่อลิตร
2. มอบหมายให้กรมสรรพสามิต และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยและส่งเงินคืนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลและเบนซินมาตรฐานยูโร 4 โดยให้ กรมสรรพสามิตเป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบปริมาณการผลิตน้ำมันดีเซลและเบนซินมาตรฐานยูโร 4 และให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบด้านการจ่ายเงินชดเชยและรับเงินคืนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานไปดำเนินการตรวจสอบลักษณะและคุณภาพน้ำมันดีเซลและเบนซินให้ได้ตามมาตรฐานยูโร 4
4. มอบหมายให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้ให้ความเห็นชอบแทนคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ในการทบทวนอัตราเงินชดเชยให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่ผลิตน้ำมันดีเซลและเบนซินมาตรฐานยูโร 4 ได้ก่อนวันมีผลบังคับใช้ ได้ตามความเหมาะสม
ทั้งนี้ มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
เรื่องที่ 3 แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี2
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2550 กบง. ได้มีมติดังนี้ 1) เห็นชอบนโยบายการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์ โดย มอบหมายให้ ธพ. รับไปดำเนินการออกประกาศกำหนดคุณภาพของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้สามารถผสมไบโอดีเซลได้ในระดับไม่เกินร้อยละ 2 โดยปริมาตร โดยให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด และออกประกาศกำหนดคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้ต้องผสมไบโอดีเซลร้อยละ 2 โดยปริมาตร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2551 พร้อมทั้งเร่งดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพื่อให้กลุ่มผู้ประกอบการรถยนต์รับรองการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน ตลอดจนตรวจสอบการผลิตของโรงงานผลิตไบโอดีเซล(B100) และพิจารณากำหนดให้ผู้ผลิตไบโอดีเซล (B100) ต้องจดทะเบียนหรือขอความเห็นชอบจาก ธพ. ก่อน จึงจะสามารถจำหน่ายไบโอดีเซลได้ และ 2) เห็นชอบให้ใช้กองทุนน้ำมันฯ จ่ายชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาไบโอดีเซล (B100) กับราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผสมสำหรับไบโอดีเซล (B100) ที่นำมาผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ผสมไบโอดีเซลไม่เกินร้อยละ 2 และร้อยละ 5
2. สถานการณ์ของน้ำมันไบโอดีเซล เดือนพฤศจิกายน 2550 มีผู้ผลิตไบโอดีเซลที่ได้คุณภาพตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงานจำนวน 8 ราย กำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,500,000 ลิตรต่อวัน และปริมาณการผลิตจริง ณ เดือนตุลาคม 2550 จากผู้ผลิตจำนวน 6 ราย อยู่ที่ระดับ 349,700 ลิตรต่อวัน ส่วนราคาไบโอดีเซลเฉลี่ยเดือนพฤศจิกายน 2550 อยู่ที่ระดับ 35.03 บาทต่อลิตร การจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 อยู่ที่ระดับ 3.11 ล้านลิตรต่อวัน หรือมีการใช้ไบโอดีเซล (B100) เฉลี่ย 155,500 ลิตรต่อวัน และเดือนธันวาคม 2550 ราคาไบโอดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ 36.09 บาทต่อลิตร ในช่วงวันที่ 1 - 15 ธันวาคม การจำหน่ายอยู่ที่ระดับ 3.47 ล้านลิตรต่อวัน หรือมีการใช้ไบโอดีเซล 173,500 ลิตรต่อวัน โดยมีบริษัทน้ำมันที่จำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 จำนวน 4 ราย ได้แก่ ปตท. บางจาก เชลล์ และ ปตท.รีเทล (คอนอคโค) สถานีบริการรวมทั้งสิ้น 900 แห่ง แบ่งเป็น ปตท. 220 แห่ง บางจาก 679 แห่ง และ ปตท.(รีเทล) 1 แห่ง ส่วนเชลล์จำหน่ายให้กับอุตสาหกรรม
3. ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 ปัจจุบันใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เท่ากับ 0.10 บาทต่อลิตร และราคาขายปลีกอยู่ที่ 27.94 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.00 บาทต่อลิตร และกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยราคาไบโอดีเซล (B100) 18.51 บาทต่อลิตร หรือคิดเป็นอัตราเงินชดเชย 0.37 บาทต่อลิตร ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี2 และ อัตราเงินชดเชย 0.93 บาทต่อลิตร ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5
4. เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2550 กบง. ได้มีมติเห็นชอบนโยบายส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์ โดยกรมธุรกิจพลังงานได้ออกประกาศกำหนดคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้ต้องผสมไบโอดีเซลร้อยละ 2 โดยปริมาตร มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2551 เป็นต้นไป ซึ่งในปัจจุบันสามารถผลิตไบโอดีเซล (B100) ที่มีคุณภาพได้เพียงพอสำหรับการผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี2 ได้ทั้งหมด กระทรวงพลังงาน จึงเห็นควรเร่งการบังคับให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติต้องผสมไบโอดีเซล (B100) ในระดับร้อยละ 2 โดยปริมาตรให้เร็วขึ้นเป็นตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม โรงกลั่นและผู้ค้าน้ำมันยังมีข้อจำกัดของการผสมไบโอดีเซล (B100) ในน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยยังไม่มีความพร้อมของการใช้ระบบการผสมแบบอัตโนมัติ (Inline Blending) ดังนั้น ในช่วงแรกจึงจะอาจจะต้องให้มียืดหยุ่นในเรื่องการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
5. เมื่อการกำหนดคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี2 มีผลบังคับใช้แล้ว การใช้มาตรการกองทุนน้ำมันฯ เพื่อจูงใจให้มีการผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี2 จึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป แต่เห็นควรให้คงเหลือการใช้กองทุนน้ำมันฯเป็นกลไกในการรักษาระดับค่าการตลาดและส่วนต่างของราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ให้ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เช่นเดียวกับน้ำมันแก๊สโซฮอล โดยเห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และดีเซลหมุนเร็วบี 5 การรักษาระดับราคาขายปลีก และค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ดังต่อไปนี้
5.1 การกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และ
ดีเซลหมุนเร็ว บี5
ราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว | = | 98% ของราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว + 2% ของราคาไบโอดีเซล (B100) |
ราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 | = | 95% ของราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว + 5% ของราคาไบโอดีเซล (B100) |
โดยที่
- ราคาไบโอดีเซล (B100) อ้างอิงจากประกาศ กบง.
- ราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วคำนวณจาก
- (ราคา MOP GO 0.5% + พรีเมียม) ที่ 60° F x อัตราแลกเปลี่ยน / 158.984
- ใช้ Conversion factor 60° F / 86° F
- ราคาน้ำมันสำเร็จรูปเป็น MOPS (Mean of Platt's Singapore)
5.2 ให้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ถูกกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในระดับ 0.50 - 1.00 บาทต่อลิตร
5.3 เพื่อส่งเสริมและจูงใจให้ผู้ค้าน้ำมันจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 มากขึ้น จึงควรกำกับดูแลค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ให้อยู่ในระดับที่ไม่น้อยกว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยใช้กลไกอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ
6. จากนโยบายส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์โดยการจ่ายเงินชดเชยราคาไบโอดีเซล (B100) ที่นำมาผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ผสมไบโอดีเซลไม่เกินร้อยละ 2 เมื่อถึงกำหนดวันบังคับใช้ จะทำให้ความต้องการใช้ไบโอดีเซล (B100) อยู่ที่ระดับประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน และกองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระจ่ายชดเชยประมาณ 540 ล้านบาทต่อเดือน ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลเร็วใหม่ จะทำให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยในส่วนของไบโอดีเซล (B100) ที่นำมาผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ผสมไบโอดีเซลร้อยละ 2 โดยปริมาตร อย่างไรก็ตาม ราคาไบโอดีเซล (B100) ที่นำมาผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ผสมไบโอดีเซลร้อยละ 2 ได้ถูกส่งผ่านไปยังราคาขายปลีก ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ผสมไบโอดีเซลร้อยละ 2 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.28 บาทต่อลิตร
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ยกเลิกการกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาไบโอดีเซล (B100) ที่นำมาผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ผสมไบโอดีเซลไม่เกินร้อยละ 2 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5
2. เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และดีเซลหมุนเร็ว บี5 การรักษาระดับราคาขายปลีกและค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ดังต่อไปนี้
(1) การกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และดีเซลหมุนเร็วบี 5
ราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว | = | 98% ของราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว + 2% ของราคาไบโอดีเซล (B100) |
ราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 | = | 95% ของราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว + 5% ของราคาไบโอดีเซล (B100) |
โดยที่
- ราคาไบโอดีเซล (B100) อ้างอิงจากประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
- ราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วคำนวณจาก
- (ราคา MOP GO 0.5% + พรีเมียม) ที่ 60°F X อัตราแลกเปลี่ยน / 158.984
- ใช้ Conversion factor 60°F / 86°F
- ราคาน้ำมันสำเร็จรูปเป็น MOPS (Mean of Platt's Singapore)
(2) ให้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ถูกกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในระดับ 0.50 - 1.00 บาทต่อลิตร
(3) เพื่อส่งเสริมและจูงใจให้ผู้ค้าน้ำมันจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 มากขึ้น จึงเห็นควรกำกับดูแลค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ให้อยู่ในระดับที่ไม่น้อยกว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซล หมุนเร็วโดยใช้กลไกอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ทั้งนี้ มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อมีผลบังคับใช้พร้อมกับประกาศกำหนดคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงของกรมธุรกิจพลังงานต่อไป