มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2546 (ครั้งที่ 1)
วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2546 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ชั้น 6
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซปิโตรเลียมเหลว
2. การยกเลิกคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน และแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
3. โครงการ "รัฐช่วยราษฎร์ แลกถังขาวฟรี"
4. ผลการตรวจสอบบัญชีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
5. การยกเลิกคณะอนุกรรมการที่จัดตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) เป็นกรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานขึ้นแทนคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน การประชุมครั้งนี้จึงเป็นการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในช่วงเดือนมกราคม 2546 ได้ปรับตัวสูงขึ้น 1.1 - 2.4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากเหตุการณ์ประท้วงในเวเนซูเอล่าที่ยังคงยืดเยื้อ ทำให้ปริมาณน้ำมันดิบหายไปจากตลาดโลกประมาณ 2.5 ล้านบาร์เรล/วัน ส่วนอุปทานในตลาดโลกได้ตึงตัว เนื่องจากสถานการณ์ในตะวันออกกลางที่ยังคงตึงเครียด โดยสหรัฐอเมริกาและอังกฤษได้ส่งกำลังทหารเพิ่มเติมเข้าไปในอ่าวเปอร์เซีย แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มโอเปคได้มีมติเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2546 ได้ปรับโควต้าการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 24 ล้านบาร์เรล/วัน ราคาน้ำมันดูไบและเบรนท์ ณ วันที่ 10 มกราคม 2546 อยู่ในระดับ 27.13 และ 30.00 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ในช่วงเดือนมกราคม 2546 ได้ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ และการนำ Arbitrage Cargoes จากภูมิภาคเอเซียส่งออกไปจำหน่ายยังสหรัฐอเมริกา รวมทั้งโรงกลั่นน้ำมัน ของไต้หวันปิดซ่อมบำรุง ในขณะเดียวกันความต้องการในภูมิภาคได้เพิ่มสูงขึ้น ราคาเฉลี่ยของน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 และดีเซลหมุนเร็วได้เพิ่มขึ้น 2.5 และ 1.2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 10 มกราคม 2546 อยู่ในระดับ 32.45 และ 32.43 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินในช่วงเดือนมกราคม 2546 ได้ปรับตัวสูงขึ้น 0.30 บาท/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วราคาไม่เปลี่ยนแปลง โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 13 มกราคม 2546 อยู่ในระดับ 16.79, 15.79 และ 14.59 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนค่าการกลั่นและค่าการตลาด ในเดือนมกราคม 2546 อยู่ที่ระดับ 1.32 บาท/ลิตร และ 0.84 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในไตรมาสที่ 1 คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 26 - 32 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล จากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิรักและการประท้วงในเวเนซูเอล่ายังไม่ยุติ แต่ปัญหาในส่วนนี้อาจจะบรรเทาลงเนื่องจากปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปคจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.5 - 2.0 ล้านบาร์เรล/วัน สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ ในระดับ 28 - 35 และ 27 - 35 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ และราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็วในประเทศจะอยู่ที่ระดับ 15 - 17 , 14 - 16 และ 13 - 15 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลก เดือนมกราคม 2546 ได้ปรับตัวสูงขึ้น 12.2 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ในระดับ 339.2 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 13.97 บาท/กิโลกรัม อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ อยู่ในระดับ 5.77 บาท/กิโลกรัม คิดเป็นเงิน 975 ล้านบาท/เดือน และมีรายจ่ายในการชำระหนี้ 400 ล้านบาท/เดือน รวมกองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 1,375 ล้านบาท/เดือน โดย กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับจากน้ำมันชนิดอื่น 878 ล้านบาท/เดือน จึงมีเงินไหลออกจากกองทุนฯ สุทธิ 497 ล้านบาท/เดือน ยอดเงินคงเหลือกองทุนน้ำมันฯ หลังหักภาระผูกพัน ณ วันที่ 9 มกราคม 2546 อยู่ในระดับ 6,754 ล้านบาท โดยมีเงินชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2545 รวม 10,953 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การยกเลิกคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน และแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ขึ้น ซึ่งประกอบด้วย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (สั่งและปฏิบัติราชการในสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติแทนนายกรัฐมนตรี) เป็นประธานกรรมการ และหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านพลังงานเป็นกรรมการ โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ ทำหน้าที่เสนอแนะนโยบายการบริหารและพัฒนา และมาตรการทางด้านพลังงาน รวมทั้ง เสนอความเห็นต่อ กพช. ต่อมาเมื่อมีการปรับโครงสร้างและปฏิรูประบบราชการของประเทศและได้มีการจัดตั้งกระทรวงพลังงานขึ้น ส่งผลให้มีการปรับปรุงองค์ประกอบของ กพง. ให้มีความเหมาะสม
2. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุม ครั้งที่ 5/2545 (ครั้งที่ 92) เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2545 ได้มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้ง "คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน" ขึ้น เพื่อปฏิบัติหน้าที่แทนคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน โดยให้มีองค์ประกอบของคณะกรรมการ จำนวน 11 คน และต่อมา กพช. ได้ออกคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ 4/2545 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน โดยให้ยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ 4/2543 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2543 และให้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานขึ้น ประกอบด้วย ประธานกรรมการและหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เป็นกรรมการและเลขานุการ พร้อมทั้งผู้แทน สนพ. เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ทั้งนี้มีหน้าที่เสนอแนะนโยบาย แผนการบริหารและพัฒนา และมาตรการทางด้านพลังงาน และกำหนดราคาและอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามกรอบและแนวทางที่ กพช. มอบหมาย รวมทั้ง เสนอแนะนโยบายและมาตรการทางด้านราคาพลังงาน และกำกับการเปลี่ยนแปลงของอัตราค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ ทำหน้าที่พิจารณาและเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ เกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และมาตรการอื่นๆ ที่จะออกตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการช่วยปฏิบัติงานในหน้าที่ตามความจำเป็น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 โครงการ "รัฐช่วยราษฎร์ แลกถังขาวฟรี"
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ในการประชุม ครั้งที่ 4/2544 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการแลกเปลี่ยนถังขาวเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้เลิกใช้ถังขาว และให้จ่ายเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อช่วยเหลือผู้ค้าก๊าซฯ ในการแลกเปลี่ยนถังขาวในวงเงิน 600 ล้านบาท และได้ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินการขจัดถังก๊าซที่ไม่มีผู้รับผิดชอบดูแลซ่อมบำรุง (ถังขาว) ออกจากตลาด เพื่อทำหน้าที่กำหนดวิธีการ มาตรการ และเงื่อนไขการผ่อนผันการบรรจุก๊าซฯ ลงถังขาว รวมถึงทำหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนถังขาว และในการตรวจนับถังขาวเพื่อตรวจสอบความถูกต้องในการจ่ายเงินช่วยเหลือจากกองทุนน้ำมันได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ ส่วนจังหวัดขึ้น เพื่อทำหน้าที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนถังขาว และตรวจนับถังใหม่และถังขาวที่นำมาแลกเปลี่ยนในโครงการแลกเปลี่ยนถังขาวในแต่ละจังหวัด
2. การจ่ายเงินช่วยเหลือฯ ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ ทำหน้าที่ตรวจสอบหลักฐาน และรองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในฐานะประธานอนุกรรมการกำกับฯ รับรองผลการตรวจสอบ เพื่อเสนอต่อเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เพื่อสั่งจ่ายเงินช่วยเหลือส่งไปยังกรมบัญชีกลางต่อไป การเบิกจ่ายเงินดังกล่าวมีการยืนยันความถูกต้อง โดยมีการตรวจนับจำนวนถังขาวที่ทำลายแล้ว ณ ศูนย์ทำลายของผู้ค้าก๊าซฯ แต่ละราย หากพบว่าจำนวนถังขาวที่ทำลายแล้วต่ำกว่าจำนวนถังขาวที่ได้รับเงินช่วยเหลือ คณะอนุกรรมการกำกับฯ จะเรียกเงินคืนในส่วนถังขาวที่หายไป
3. ผลการดำเนินการแลกเปลี่ยนถังขาวภายใต้โครงการ "รัฐช่วยราษฎร์ แลกถังขาวฟรี" ใน 10 พื้นที่ ได้ดำเนินการสิ้นสุดไปแล้ว โดยมีจำนวนถังขาวที่แลกเปลี่ยนได้ในเบื้องต้น ณ 30 พฤศจิกายน 2545 จำนวน 1,065,738 ใบ จำนวนถังขาวที่แลกเปลี่ยนได้แยกตามรายพื้นที่ ดังนี้ กทม. และปริมณฑล 204,204 ถัง ภาคกลาง 130,671 ถัง ภาคตะวันออก 64,932 ถัง ภาคตะวันตก 87,005 ถัง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 70,298 ถัง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 59,597 ถัง ภาคเหนือตอนล่าง 65,160 ถัง ภาคเหนือตอนบน 35,851 ถัง ภาคใต้ตอนบน 66,957 ถัง ภาคใต้ตอนล่าง 99,064 ถัง และส่วนขยายเวลา กทม. และปริมณฑล 40,701 ถัง ภาคกลางและภาคตะวันออก 120,592 ถัง พื้นที่พิเศษ 20,706 ถัง และจำนวนถังขาวที่แลกเปลี่ยนได้และที่ทำลายแล้ว ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2545 มีถังขาวที่ถูกทำลายแล้ว 87,858 ถัง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 82 จากจำนวนถังขาวที่แลกได้ 1,065,738 ถัง
4. การเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ค้าก๊าซตามมาตรา 7 ได้เบิกจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ค้าก๊าซฯ ตามหลักฐานการตรวจนับถังของคณะอนุกรรมการส่วนจังหวัดฯ ไปแล้ว ณ วันที่ 6 มกราคม 2546 เป็นจำนวนเงิน 228,094,645 บาท แยกตามรายผู้ค้าก๊าซฯ พบว่า บริษัท สยามแก๊สฯ ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 43,606,180 บาท บริษัท ปตท.ฯ ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 106,932,000 บาท บริษัท เวิลด์แก๊สฯ ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 14,835,160 บาท บริษัท ยูเนี่ยนแก๊สฯ ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 40,236,405 บาท บริษัท ยูนิคแก๊สฯ ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 19,235,900 บาท และบริษัท แสงทองฯ ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 3,249,000 บาท
5. กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รายงานผลการจับกุมการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว ตั้งแต่เริ่มโครงการ " รัฐช่วยราษฎร์ แลกถังขาวฟรี" ในช่วงเดือนมกราคม - ตุลาคม 2545 ปรากฏว่าได้มีการจับกุมผู้กระทำความผิด จำนวน 220 ราย เป็นข้อหาการลักลอบบรรจุก๊าซฯ ลงถังก๊าซหุงต้มในสถานีบริการก๊าซฯ 65 ราย บรรจุข้ามยี่ห้อ 50 ราย บรรจุก๊าซฯ ลงในถังที่ไม่ได้มาตรฐาน มอก. (ถังเถื่อน) 37 ราย เก็บก๊าซฯ ไว้จำหน่ายเกินกว่าปริมาณที่กฎหมายกำหนด 20 ราย จำหน่ายหรือบรรจุก๊าซฯ โดยไม่ติดผนึกลิ้น (ซีล) หรือใช้ผนึกลิ้นของผู้อื่น 13 ราย บรรจุก๊าซหุงต้มลงในถังขาว 5 ราย และข้อหาอื่นๆ 30 ราย
6. เนื่องจากยังมีถังขาวที่ตกค้างในพื้นที่ที่ได้สิ้นสุดการดำเนินการแลกเปลี่ยนไปแล้ว คณะอนุกรรมการกำกับฯ จึงได้กำหนดศูนย์แลกถังขาวตกค้างในพื้นที่พิเศษ (กรุงเทพฯ และปริมณฑล) ขึ้นเพื่อขยายเวลารับแลกถังขาวตกค้างทั่วประเทศ จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2546 โดยมีศูนย์การแลกถังขาวของผู้ค้าก๊าซฯ ประกอบด้วย บริษัท ปตท.ฯ ณ คลังน้ำมัน ปตท. ลำลูกกา อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี บริษัท สยามแก๊สฯ ณ บริษัท อุตสาหกรรมแก๊สสยาม บางนา กรุงเทพฯ บริษัท เวิลด์แก๊สฯ ณ บริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) รังสิต กรุงเทพฯ บริษัท ยูนิคแก๊สฯ ณ บริษัท ยูนิคแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมิคัลส์ สาขานนทบุรี บริษัท ยูเนียนแก๊สฯ ณ โรงบรรจุพลังพัฒนา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม และบริษัท แสงทอง ณ บริษัท แสงทองอุตสาหกรรมถังแก๊ส จำกัด อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร
7. ความสำเร็จจากการดำเนินการโครงการ "รัฐช่วยราษฎร์ แลกถังขาวฟรี" ทั่วประเทศใน 10 พื้นที่รวมพื้นที่ส่วนขยาย ปรากฏว่าแลกถังขาวไปแล้วเป็นจำนวน 1,065,738 ใบ จากผลการแลกถังขาวดังกล่าว จะสามารถช่วยประชาชนให้เลิกใช้ถังขาวได้ประมาณ 1 ล้านครัวเรือน และเมื่อสิ้นสุดการรับแลกเปลี่ยนถังขาวในพื้นที่พิเศษ หรือโครงการนี้ดำเนินการแล้วเสร็จจะสามารถช่วยเหลือประชาชนให้เลิกใช้ถังขาวกว่า 1.2 ล้านครัวเรือน ก่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินจากการใช้ก๊าซหุงต้มในครัวเรือนของประชาชน ซึ่งความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุการใช้ก๊าซฯหากสามารถป้องกันไว้ล่วงหน้าจะช่วยลดความสูญเสียที่ไม่สามารถประมาณค่าได้ทั้งของผู้ที่เกี่ยวข้องและประเทศชาติ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 ผลการตรวจสอบบัญชีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 ได้มีมติให้นำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้ในการสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ต่อมาคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ได้มีมติให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันไปใช้จ่าย ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม แต่เนื่องจากในปี 2545 หน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ยังคงมีภาระผูกพันค้างจ่ายในปี 2546 ซึ่งคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2545 ได้มีมติเห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี โดยให้มีการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของหนี้ผูกพันที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ 2545 สามารถเบิกจ่ายหนี้ผูกพันเหลื่อมปีงบประมาณ 2546 ได้
2. จากการตรวจสอบบัญชีของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เกี่ยวกับส่วนราชการที่ได้รับเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2544 ได้ข้อสังเกตประกอบการตรวจบัญชีพบว่า เมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณแล้ว มีหน่วยงานที่ไม่ส่งเงินเหลือจ่ายพร้อมทั้งดอกผลคืนกองทุนน้ำมันฯ ภายใน 15 วัน นับแต่วันสิ้นสุดการดำเนินงานตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งประกอบด้วย
(1) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง) ได้ส่งเงินคืนสำหรับค่าใช้จ่ายในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง (งบปกติ) จำนวน 22,488,953.80 บาท พร้อมดอกผลจำนวน 278,862.59 บาท คืนกองทุนฯ หลังกลางเดือนพฤศจิกายน 2544 โดยครบถ้วนเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2545
(2) กรมศุลกากร ได้ส่งเงินคืนสำหรับค่าใช้จ่ายในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง (งบปกติ) จำนวน 452,476.24 บาท พร้อมดอกผล 7,175.44 บาท และค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน 28,056.75 บาท พร้อมดอกผลจำนวน 1,016.39 บาท คืนกองทุนฯ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2544
(3) กรมธุรกิจพลังงาน (กรมทะเบียนการค้าเดิมและกรมโยธาธิการเดิม) ซึ่งกรมทะเบียนการค้าเดิมได้ส่งเงินคืนสำหรับค่าใช้จ่ายในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง (งบปกติ) จำนวน 732,830.82 บาท พร้อมดอกผล 4,967.10 บาท คืนกองทุน เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2544 และในส่วนของกรมโยธาธิการเดิมได้ส่งเงินคืนสำหรับค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบโรงบรรจุก๊าซหุงต้ม จำนวน 1,322,395.20 บาท พร้อมดอกผลจำนวน 807.84 บาท คืนกองทุนฯ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2544
3. ในปีงบประมาณ 2543 สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจพบว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมธุรกิจพลังงาน หรือกรมทะเบียนการค้า (เดิม) ได้ส่งเงินคืนล่าช้ากว่ากำหนด และสำนักงานตำรวจ แห่งชาติได้ชี้แจงในการประชุมคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ครั้งที่ 1/2545 (ครั้งที่ 38) ได้มีการส่งเงินคืนตามกำหนดระยะเวลาที่กำหนดไว้ แต่เกิดความล่าช้าในขั้นตอนของการอนุมัติ ซึ่ง กพง. ได้กำชับให้ทั้งสองหน่วยงานปฏิบัติตามมติอย่างเคร่งครัด
4. สำหรับปีงบประมาณ 2545 การส่งเงินเหลือจ่ายคืนให้กับกองทุนน้ำมันฯ ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว แต่มีส่วนของหนี้ผูกพันที่เกิดขึ้นในปี 2545 ที่หน่วยงานสามารถเบิกจ่ายหนี้ผูกพันเหลื่อมปีงบประมาณ 2546 ได้ ซึ่งในส่วนการคืนเงินเหลือจ่ายงบผูกพันในปี 2546 สนพ. จะได้ดำเนินการประสานงานให้หน่วยงานที่ส่งเงินคืน ล่าช้า ให้ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังอย่างเคร่งครัดในการคืนเงินเหลือจ่ายงบผูกพัน ปี 2546
5. เพื่อให้เกิดความชัดเจนของการคืนเงินกองทุนน้ำมันฯ ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นสมควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมธุรกิจพลังงาน (ในส่วนของกรมโยธาธิการและกรมทะเบียนการค้า) และกรมศุลกากรได้ชี้แจงให้ กบง. ทราบเหตุผลการคืนเงินกองทุนน้ำมันฯ ล่าช้า
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 การยกเลิกคณะอนุกรรมการที่จัดตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ซึ่งแต่งตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 ของพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่างๆ จำนวน 21 คณะ ประกอบด้วย ด้านปิโตรเลียม, ไฟฟ้า, และอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 11, 9, และ1 คณะ ตามลำดับ เพื่อให้การดำเนินงานนโยบายด้านปิโตรเลียม ไฟฟ้า และอนุรักษ์พลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
2. เนื่องจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2545 ได้มีมติอนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ขึ้น เพื่อทำหน้าที่แทน กพง. และต่อมา ได้มีคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ 4/2545 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2545 ดังนั้นเพื่อให้เกิดความสอดคล้องและเหมาะสมกับอำนาจและหน้าที่ของ กบง. และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานจึงขอเสนอให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณายกเลิกคณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นโดย กพง. ที่หมดความจำเป็นออกไปรวม 16 คณะ ดังนี้
(1) คณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินการขจัดถังก๊าซหุงต้มที่ไม่มีผู้รับผิดชอบดูแลซ่อมบำรุง (ถังขาว) ออกจากตลาด (คำสั่ง กพง. ที่ 3/2543)
(2) คณะอนุกรรมการปรับปรุงแก้ไขกฎเกณฑ์ของรัฐเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง (คำสั่ง กพง. ที่ 2/2540)
(3) คณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการควบคุมไอระเหยของน้ำมันเบนซิน (คำสั่ง กพง. ที่ 4/2539)
(4) คณะอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (พิเศษ) (คำสั่ง กพง. ที่ 2/2539)
(5) คณะอนุกรรมการพิจารณาความปลอดภัยเกี่ยวกับธุรกิจปิโตรเลียมเหลว (คำสั่ง กพง. ที่ 1/2539)
(6) คณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายการปรับปรุงโครงสร้างของ ปตท. และการส่งเสริมการค้าเสรีในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม (คำสั่ง กพง. ที่ 4/2538)
(7) คณะอนุกรรมการร่างกฎหมายปฏิบัติงานศุลกากรในเขตต่อเนื่อง (คำสั่ง กพง. ที่ 3/2538)
(8) คณะอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงกฎเกณฑ์และส่งเสริมการตั้งสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง (คำสั่ง กพง. ที่ 2/2536)
(9) คณะอนุกรรมการประเมินผลกระทบน้ำมันลอยตัว (คำสั่ง กพง. ที่ 1/2536)
(10) คณะทำงานศึกษาการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในระยะยาว (คำสั่ง กพง. ที่ 2/2544)
(11) คณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) (คำสั่ง กพง. ที่ 1/2544)
(12) คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า (คำสั่ง กพง. ที่ 1/2541)
(13) คณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (คำสั่ง กพง. ที่ 1/2540)
(14) คณะอนุกรรมการเจรจารับซื้อไฟฟ้าจากประเทศมาเลเซีย (คำสั่ง กพง. ที่ 5/2538)
(15) คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าเอกชน (คำสั่ง กพง. ที่ 2/2538)
(16) คณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานหมุนเวียน (คำสั่ง กพง. ที่ 7/2539)
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ยกเลิกคณะอนุกรรมการฯ ที่แต่งตั้งขึ้นโดย กพง. ที่หมดความจำเป็นออกไปทั้ง16 คณะ โดยจะคงมีคณะอนุกรรมการฯ ภายใต้การกำกับ ดูแลของ กบง. อีก 5 คณะ ได้แก่
(1) คณะอนุกรรมการพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและคำสั่งนายกรัฐมนตรี (คำสั่ง กพง. ที่ 1/2543)
(2) คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (คำสั่ง กพง. ที่ 4/2545)
(3) คณะอนุกรรมการการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า (คำสั่ง กพง. ที่ 4/2544)
(4) คณะอนุกรรมการการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (คำสั่ง กพง. ที่ 2/2542)
(5) คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า (คำสั่ง ที่ กพง. 3/2544)
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ยกเลิกคณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน รวม 16 คณะ ตามข้อ 2 และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการที่เหลืออยู่ 5 คณะ ตามข้อ 3 ให้เหมาะสมตามสภาพการณ์ปัจจุบัน เพื่อนำเสนอคณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. จากคำสั่งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ที่ 3/2543 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินการขจัดถังก๊าซหุงต้มที่ไม่มีผู้รับผิดชอบดูแลซ่อมบำรุง (ถังขาว) ออกจากตลาดลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2543 เพื่อทำหน้าที่กำหนดวิธีการ มาตรการ และเงื่อนไขในการผ่อนผันการบรรจุก๊าซฯ ลงถังขาว รวมทั้งเร่งรัดการผลักดันให้เกิดการแลกเปลี่ยนถังขาวจากตลาด ตลอดจนทำหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนถังขาว
2. ในปัจจุบันหน้าที่รับผิดชอบของคณะอนุกรรมการกำกับฯ ประกอบด้วย การกำกับดูแลโครงการ "รัฐช่วยราษฎร์ แลกถังขาวฟรี" ซึ่งได้ดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2545 โดยขณะนี้ โครงการฯ ดังกล่าวได้เสร็จสิ้นแล้ว แต่เนื่องจากยังมีถังขาวตกค้างในมือประชาชน ในพื้นที่ที่ได้สิ้นสุดการแลกเปลี่ยนไปแล้ว คณะอนุกรรมการฯ จึงได้กำหนดศูนย์แลกถังขาวตกค้างในพื้นที่พิเศษ (กทม. ปริมณฑล) เพื่อขยายเวลารับ แลกถังขาวตกค้างทั่วประเทศ จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2546 นอกจากนี้ ทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องและเสนอจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ค้าก๊าซฯ จากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในการแลกเปลี่ยนถังขาวในวงเงิน 600 ล้านบาท โดยขณะนี้การดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือดังกล่าวยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ และยังคงค้างการจ่ายเงินของพื้นที่ 9 และ 10 และพื้นที่พิเศษที่ขยายเวลารับแลกถังขาวตกค้างทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าการดำเนินการเบิกจ่ายเงินในการแลกเปลี่ยนถังขาวจะแล้วเสร็จประมาณเดือนเมษายน 2546
3. พระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ทำให้การปฏิบัติงานตามโครงการ "รัฐช่วยราษฎร์ แลกถังขาวฟรี" ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง และไม่สามารถเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ ผู้ค้าก๊าซได้ เนื่องจากได้มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งของประธานคณะอนุกรรมการฯ และอนุกรรมการฯ บางส่วน มีการเปลี่ยนแปลงหน่วยงาน ทำให้องค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ เปลี่ยนไป และเพื่อให้คณะอนุกรรมการฯ สามารถปฏิบัติงานต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับฯ ขึ้นใหม่ ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้ดำเนินการยกร่างคำสั่งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ที่ .../2545 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินการขจัดถังก๊าซหุงต้มที่ไม่มีผู้รับผิดชอบดูแลซ่อมบำรุง (ถังขาว) ออกจากตลาด ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน สำนักงาน มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยมีอำนาจหน้าที่คงเดิม และให้บรรดาคำสั่ง มติ ประกาศ และการปฏิบัติงานทั้งหลายของคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินการขจัดถังก๊าซหุงต้มที่ไม่มีผู้รับผิดชอบดูแลซ่อมบำรุง (ถังขาว) ออกจากตลาด (เดิม) ที่มีผลใช้บังคับอยู่ในวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับ ยังคงมีผลใช้บังคับต่อไป จนกว่าจะได้มีคำสั่ง มติ หรือประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานตามคำสั่งนี้ออกใช้บังคับแทน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับการดำเนินการขจัดถังก๊าซหุงต้มที่ไม่มีผู้รับผิดชอบดูแลซ่อมบำรุง (ถังขาว) ออกจากตลาด ตามข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการฯ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 ให้นำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้ในการสนับสนุนการดำเนินการของหน่วยงานต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้เสนอให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน อนุมัติจัดสรรงบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสนับสนุนการปฏิบัติงานแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจากการจัดสรรงบประมาณในช่วงปี 2539 - 2545 ได้มีการสนับสนุนเงินแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กองทัพเรือ กรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสรรพสามิต กรมธุรกิจพลังงาน (กรมทะเบียนการค้า) และ สนพ. รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 2,279.3 ล้านบาท
2. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ได้มีมติเห็นชอบในการแก้ปัญหาภาระหนี้สินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 เป็นต้นไป ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลงานด้านการป้องกันและปราบปรามการกระความทำผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม และรับไปดำเนินการจัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมให้แก่หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 เป็นต้นไป และกรมสรรพสามิตได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลังให้ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2546 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม และสำนักงบประมาณได้จัดสรรยอดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2546 เพื่อการดังกล่าวให้กับ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 300,000,000 บาท
3. กรมธุรกิจพลังงานได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมประจำปี 2546 เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 15,450,000 บาท (สิบห้าล้านสี่แสนห้าหมื่นบาทถ้วน) ซึ่งได้เสนอขอรับการสนับสนุนเงินค่าจ้างเหมาลูกจ้างปฏิบัติงานเพื่อปฏิบัติงานในโครงการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ปีงบประมาณ 2546 เป็นเงิน 560,880 บาท (ห้าแสนหกหมื่นแปดร้อยแปดสิบบาทถ้วน) รวม 2 โครงการ ได้แก่
1) โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในการประเมินผลการปฏิบัติงานค่าจ้างเหมาเจ้าหน้าที่และพนักงาน จำนวน 5 อัตรา เวลา 1 ปี เป็นจำนวนเงิน 339,360 บาท ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานทะเบียนการค้า จำนวน 1 อัตรา และเจ้าพนักงานทะเบียนการค้า จำนวน 3 อัตรา รวมทั้งพนักงานขับรถ จำนวน 1 อัตรา
2) โครงการจัดเก็บ วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อสนับสนนุการปราบปรามลักลอบนำเข้าส่งออก และการปลอมปนน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าจ้างเหมาเจ้าหน้าที่และพนักงาน จำนวน 3 อัตรา เวลา 1 ปี เป็นจำนวนเงิน 221,520 บาท ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานทะเบียนการค้า จำนวน 2 อัตรา และเจ้าพนักงานทะเบียนการค้า จำนวน 1 อัตรา
4. ต่อมากรมสรรพสามิต ได้ประสานให้กรมธุรกิจพลังงานปรับค่าจ้างเหมาเป็นค่าจ้างชั่วคราว และจ้างได้เพียง 10 เดือน (ธันวาคม 2545 - กันยายน 2546) เป็นเงิน 450,800 บาท และสำนักงบประมาณได้อนุมัติเงินประจำงวดที่ 1 ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างลูกจ้างชั่วคราว ประมาณร้อยละ 50 เป็นเงิน 227,400 บาท เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2545 แต่เนื่องจากกรมธุรกิจพลังงานได้มีการจ้างลูกจ้างปฏิบัติงานแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 2545 เป็นต้นมา และภารกิจที่ปฏิบัติเป็นงานต่อเนื่องจากปีงบประมาณ 2545 แต่ไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุนในช่วงเดือนตุลาคม และพฤศจิกายน 2545 จึงขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นค่าจ้างลูกจ้างปฏิบัติงานในโครงการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม รวม 2 เดือน (ตุลาคม - พฤศจิกายน 2545) รวมเป็นเงิน 90,160 บาท
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีความเห็นว่า การขอเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อการดังกล่าวข้างต้น ของกรมธุรกิจพลังงานอาจจะขัดกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ซึ่งได้มีมติให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้จ่ายในการป้องกันการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 ทั้งนี้ให้กระทรวงการคลังประสานงานกับสำนักงบประมาณในการจัดสรรงบประมาณตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นไป และหากมีความจำเป็นคงต้องขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งจำนวนงบประมาณดังกล่าวไม่มากนัก การขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีอาจไม่คุ้มค่าและไม่เหมาะสม ดังนั้นกรมธุรกิจพลังงานควรจะขอโอนเงินจากงบประมาณที่ได้รับอนุมัติแล้ว มาเพื่อใช้จ่ายเป็นค่าจ้างชั่วคราวปฏิบัติงานของกรมธุรกิจพลังงานในช่วง 2 เดือนดังกล่าว
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กรมธุรกิจพลังงานไปหารือกับกรมสรรพสามิตจัดหาเงินเพื่อใช้เป็นค่าจ้างลูกจ้างปฏิบัติงานในโครงการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ของกรมธุรกิจพลังงาน จำนวน 8 อัตรา รวม 2 เดือน (ตุลาคม - พฤศจิกายน 2545) เป็นเงินทั้งสิ้น 90,160 บาท (เก้าหมื่นหนึ่งร้อยหกสิบบาท)