มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 3)
วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุม 603 อาคาร 7
กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. สถานการณ์พลังงานในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2546
3. ยุทธศาสตร์พลังงานเพื่อการแข่งขันของประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในเดือนสิงหาคมปรับตัวสูงขึ้น 0.90 - 2.05 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อการร้ายในอิรัก และเริ่มมีการสะสมน้ำมันเพื่อความอบอุ่น ส่วนในเดือนกันยายนราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลง 1.35 - 3.17 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานในช่วง ฤดูหนาวผ่อนคลายลง หลังจากปริมาณสำรองน้ำมันดิบของโลกเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ในช่วงปลายเดือนราคาได้ปรับตัวสูงขึ้น หลังจากกลุ่มโอเปคมีมติปรับลดเพดานการผลิตมาอยู่ที่ระดับ 24.5 ล้านบาร์เรล/วัน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2546 เดือนตุลาคมราคาได้ปรับตัวสูงขึ้น 1.99 - 2.60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากตลาดคาดว่าอุปทานน้ำมันดิบจะตึงตัวในช่วงฤดูหนาว ประกอบกับมีปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ต่างๆ เช่น อิสราเอลและ ปาเลสไตน์ ปากีสถาน และอินเดีย โดยราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 27.15 และ 28.65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ในเดือนสิงหาคม ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 2546 ปรับตัวสูงขึ้น 2.88 และ 2.65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากจีนและไต้หวันได้ลดการส่งออกและโรงกลั่นน้ำมันของญี่ปุ่น 3 แห่ง ปิดดำเนินการจากเหตุไฟไหม้และปิดซ่อมบำรุง ส่วนราคาน้ำมันดีเซลได้ปรับตัวสูงขึ้น 3.21 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการซื้อของเวียดนามและฮ่องกงเพื่อใช้ในการทำประมง ในเดือนกันยายนราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ปรับตัวลดลง 4.19 และ 3.81 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ อุปสงค์น้ำมันเบนซินในสหรัฐอเมริกาลดลง เนื่องจากสิ้นสุดฤดูท่องเที่ยว ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลง 1.12 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อุปทานเพิ่มขึ้นจากประเทศในตะวันออกกลาง จีน ไต้หวัน และอินเดีย ประกอบกับอินโดนีเซียชะลอการซื้อน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และในเดือนตุลาคมราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ปรับตัวสูงขึ้น 2.41 และ 2.32 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการที่จีนและไต้หวันลดการส่งออก ประกอบกับโรงกลั่นสิงคโปร์ลดการเดินเครื่อง และโรงกลั่น SPRC ของไทยมีแผนปิดซ่อมบำรุง ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ปรับตัวสูงขึ้น 1.26 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จีนและเกาหลีใต้ลดการส่งออกประกอบกับความต้องการซื้อของญี่ปุ่นเนื่องจากโรงกลั่นปิดซ่อมหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 35.93 34.53 และ 32.25 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันของไทย ในเดือนสิงหาคมทุกผลิตภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 2 ครั้ง รวม 0.60 และ 0.50 บาท/ลิตร ในเดือนกันยายน ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 91 ปรับลง 4 ครั้ง รวม 1.20 และ 1.10 บาท/ลิตร ส่วนดีเซลหมุนเร็วปรับลง 3 ครั้ง รวม 0.70 บาท/ลิตร ในเดือนตุลาคม 2546 มีการปรับราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ปรับขึ้น 3 ครั้ง รวม 0.90, 0.90 และ 0.80 บาท/ลิตร ตามลำดับ โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซล หมุนเร็ว ณ วันที่ 29 ตุลาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 16.69, 15.79 และ 14.09 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดในเดือนสิงหาคม กันยายน และตุลาคม อยู่ที่ระดับ 0.8572, 1.2742 และ 1.1350 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนค่าการกลั่นเฉลี่ยของเดือนสิงหาคม กั นยายน และตุลาคม อยู่ที่ระดับ 0.6482, 0.7279 และ 0.4525 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกเดือนตุลาคม 2546 ได้ปรับตัวลดลง 14.8 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ ในระดับ 258.0 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 9.56 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจาก กองทุนน้ำมันฯ อยู่ในระดับ 1.36 บาท/กก. กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายชดเชยรวม 661 ล้านบาท/เดือน ยอดเงิน คงเหลือกองทุนน้ำมันฯ หลังหักภาระผูกพัน ณ วันที่ 13 ตุลาคม 2546 อยู่ในระดับ 1,646 ล้านบาท โดยมีเงิน ชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2546 รวม 4,556 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 สถานการณ์พลังงานในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2546
สรุปสาระสำคัญ
1. ภาวะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2545 ส่งผลให้ช่วง 8 เดือนแรกของปี 2546 มีความต้องการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 6.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีการใช้พลังงานปิโตรเลียมมากที่สุดในสัดส่วนถึงร้อยละ 45 รองลงมาได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน/ลิกไนต์ และไฟฟ้าพลังน้ำ/ไฟฟ้านำเข้า ตามลำดับ ในขณะเดียวกันการผลิตพลังงานเชิงพาณิชย์ได้ เพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 6.9 โดยเฉพาะการผลิตน้ำมันดิบซึ่งสูงถึงร้อยละ 31.8 รองลงมาคือ ก๊าซธรรมชาติและลิกไนต์ ตามลำดับ สำหรับการนำเข้าพลังงานเชิงพาณิชย์ได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 12.7 สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากสหภาพพม่ามาใช้ในการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. และผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ นอกจากนี้ มาจากการนำเข้าถ่านหินเพื่อใช้ทดแทนลิกไนต์ในภาคอุตสาหกรรม ส่งผลให้อัตราการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 62 ในปีก่อน เป็นร้อยละ 66 ในปีนี้ ทั้งนี้ โดยมีมูลค่าการนำเข้าพลังงานเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2545 ถึงร้อยละ 27.9 โดยมีมูลค่าการนำเข้าพลังงานทั้งหมดประมาณ 279,979 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นมากในช่วงต้นปี และการเพิ่มการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากพม่า
2. ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2546 ปริมาณการผลิตและการใช้ก๊าซธรรมชาติได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดยมีปริมาณการผลิตอยู่ที่ระดับ 2,105 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 และนำเข้าจากสหภาพพม่าเพื่อนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. และผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) โดยนำเข้าจำนวน 701 ล้านลูกบาศก์ฟุต ต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.6 สำหรับน้ำมันดิบปริมาณการผลิตได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 97.0 พันบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.8 แต่เนื่องจากปริมาณการผลิตน้ำมันดิบและคอนเดนเสทของประเทศคิดเป็นร้อยละ 18 ของความต้องการใช้ในการกลั่น จึงต้องมีการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศจำนวน 785 พันบาร์เรลต่อวัน คิดเป็นมูลค่า 236,593 ล้านบาท ส่วนปริมาณการผลิตลิกไนต์ได้ลดลงร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และการใช้ลิกไนต์เพื่อการผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากการติดตั้งเครื่องกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (FGD) เสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนการใช้ลิกไนต์ในภาคอุตสาหกรรมลดลงถึงร้อยละ 51.4 เนื่องจากถูก ทดแทนด้วยถ่านหินนำเข้าซึ่งมีปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 59.9 โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 3,478 พันตัน เป็น 5,561 พันตัน
3. การใช้น้ำมันสำเร็จรูปในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2546 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปริมาณการใช้อยู่ที่ระดับ 655 พันบาร์เรลต่อวัน โดยมีปริมาณการใช้น้ำมันเบนซิน ดีเซล และก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพิ่มขึ้นร้อยละ
4.3, 7.4 และ 2.1 ตามลำดับ ในขณะที่ปริมาณการใช้น้ำมันเตาและน้ำมันเครื่องบินลดลงร้อยละ 1.8 และ 2.4 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปริมาณการใช้ในช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ปริมาณการผลิตยังคงสูงกว่าความต้องการภายในประเทศเป็นผลให้มีการส่งออกมากกว่านำเข้า โดยผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปที่มีการส่งออกมาก ได้แก่ LPG น้ำมันดีเซล เบนซิน และน้ำมันเครื่องบิน โดยมีการส่งออกสุทธิจำนวน 26, 20, 18 และ 3 พันบาร์เรลต่อวัน ตามลำดับ ทั้งนี้ โดยมีการนำเข้า (สุทธิ) น้ำมันสำเร็จรูปจำนวน 9 พันบาร์เรลต่อวัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ยุทธศาสตร์พลังงานเพื่อการแข่งขันของประเทศ
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงพลังงานได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ "ยุทธศาสตร์พลังงาน ครั้งที่ 1 : พลังงานเพื่อการแข่งขันของประเทศไทย" ขึ้น เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2546 ณ โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัลพลาซ่า โดยมี ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร) เป็นประธาน ซึ่งผลการประชุมดังกล่าวนำไปสู่การกำหนดเป้าหมายการใช้พลังงานของประเทศด้วยการลดสัดส่วนอัตราการเติบโตของการใช้พลังงานต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Energy Elasticity) จาก 1.4:1 เป็น 1:1 ภายในปี 2550 และได้กำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศ 4 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ 1) ยุทธศาสตร์การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในภาคคมนาคมขนส่งและภาคอุตสาหกรรม 2) ยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานทดแทน 3) ยุทธศาสตร์การสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และ 4) ยุทธศาสตร์การปรับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค
2. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2546 เห็นชอบในหลักการของยุทธศาสตร์พลังงานดังกล่าว พร้อมทั้งให้ข้อสังเกตแก่กระทรวงพลังงานเพื่อนำไปประกอบการปรับปรุงยุทธศาสตร์ฯ เพิ่มเติมต่อไป โดยการดำเนินงานในปัจจุบันกระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการประสานงานและร่วมมือกับส่วนราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณานำเอายุทธศาสตร์พลังงานมาปรับเป็นแผนปฏิบัติการด้านต่างๆ และเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์ฯ ให้มีผลออกมาเป็นรูปธรรมอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ได้มีนโยบายรวมศูนย์การดำเนินงานด้านการประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานต่างๆ ภายใต้กระทรวงพลังงาน เพื่อให้การประชาสัมพันธ์ดำเนินไปอย่างมีเอกภาพและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เป็น หน่วยงานกลางในการประสานงานและบริหารจัดการงานด้านประชาสัมพันธ์ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม มีเอกภาพ และเกิดประสิทธิผลสูงสุด นอกจากนี้ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งโฆษกกระทรวงพลังงาน เพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดข้อมูล ข่าวสารเกี่ยวกับนโยบาย ด้านพลังงานของกระทรวงไปสู่สาธารณชน รวมทั้งรับผิดชอบดูแลการบริหารจัดการงานด้านประชาสัมพันธ์ของกระทรวงพลังงาน
2. แม้กระทรวงพลังงานจะมีการดำเนินงานมา 1 ปีแล้ว ชื่อและภาพลักษณ์ของกระทรวงยังไม่เป็นที่รู้จักของประชาชนและสาธารณชนมากนัก ประกอบกับนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านพลังงานที่จะดำเนินการ ต่อไปหลายเรื่องมีความซับซ้อน อาทิ ยุทธศาสตร์การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม ยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานทดแทน ยุทธศาสตร์การสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงาน และยุทธศาสตร์การส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานในภูมิภาค เป็นต้น ดังนั้น การประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องดำเนินไปอย่างเข้มข้น ต่อเนื่อง และมีช่องทางในการสื่อสารที่มากเพียงพอที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมายมีความรู้ ความเข้าใจ ด้านนโยบายพลังงานเป็นอย่างดี อันจะส่งผลให้ ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นและตระหนักถึงบทบาทและความสำคัญของการดำเนินงานของกระทรวงพลังงาน
3. การดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์จะดำเนินการในวงเงิน 15,000,000 บาท (สิบห้าล้านบาทถ้วน) เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยจะจัดจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ที่มีความรู้ ความเข้าใจในบทบาท ภารกิจ และนโยบาย พลังงานต่างๆ ของกระทรวงพลังงานเป็นอย่างดี ตลอดจนมีความชำนาญและมีประสบการณ์ในการประชาสัมพันธ์ด้านนโยบายพลังงาน เพื่อให้สามารถสนับสนุนภารกิจของการดำเนินนโยบายต่างๆ ของกระทรวงพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกิจกรรมประชาสัมพันธ์ที่จะดำเนินงานจะต้องมีความหลากหลาย และครอบคลุม สื่อมวลชนทุกแขนง ทั้งนี้ กิจกรรมที่ดำเนินการควรประกอบด้วย การผลิตสื่อวิทยุ โทรทัศน์ และสื่อสิ่งพิมพ์ การผลิตและเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ การโต้ตอบข่าว การตอบข้อสงสัยของสื่อมวลชน การจัดสัมภาษณ์ ผู้บริหาร จัดให้ผู้บริหารออกรายการในสื่อต่างๆ การจัดสัมมนาและดูงานสำหรับสื่อมวลชน การจัดแถลงข่าว การจัดทำรายการทางวิทยุ การพัฒนาบุคลากรด้านประชาสัมพันธ์ของกระทรวงพลังงาน และการประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์ภายในกระทรวงพลังงานทั้ง 12 ภูมิภาค ฯลฯ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงชื่อระเบียบวาระเป็น "การขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงาน" ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในการดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อให้สถานการณ์พลังงานมีเสถียรภาพ
2. อนุมัติการสนับสนุนค่าใช้จ่าย ในวงเงิน 15,000,000 บาท (สิบห้าล้านบาทถ้วน) เพื่อดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงาน ทั้งนี้ โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปพิจารณาจัดทำรายละเอียดการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้มีความเหมาะสม ตลอดจนรับผิดชอบดูแลการจัดจ้างให้เป็นไปตามระเบียบราชการ โดยให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้พิจารณาอนุมัติโครงการ
3. ให้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์ ต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นระยะๆ ตามความเหมาะสม
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2546 เห็นชอบการเร่งรัดพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานกำหนดแนวทางแผนงานและโครงการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาศูนย์กลางพลังงานฯ ครอบคลุมพื้นที่ Sriracha Hub และพื้นที่ Strategic Energy Landbrige ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2546 ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานการพัฒนายุทธศาสตร์ศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค (กพภ.) ขึ้น เพื่อประสานการพัฒนาตามแผนยุทธศาสตร์ศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาคให้สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
2. คณะกรรมการ กพภ. ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2546 และได้กำหนดแนวทางการ ดำเนินงานและประมาณการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ 2547 ซึ่งต่อมาสำนักงานปลัด
กระทรวงพลังงานได้จัดทำรายละเอียดประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินการบริหารโครงการพัฒนาศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค และเสนอขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในวงเงิน 4,998,370 บาท โดยแบ่งเป็นงบบุคลากร งบดำเนินการ (ค่าตอบแทนใช้สอยวัสดุ) งบลงทุน (ค่าครุภัณฑ์) และงบรายจ่ายอื่นๆ จำนวน 1,279,520 บาท 2,159,250 บาท 407,000 บาท และ 1,152,600 บาท ตามลำดับ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าค่าใช้จ่ายที่เสนอมาจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานในภูมิภาค ได้ในอนาคต นอกจากนั้นยังสามารถเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน ดังนั้นจึงเห็นควรให้ความเห็นชอบในการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์กลางพลังงาน (Strategic Energy Landbridge) ในวงเงินดังกล่าวให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงานตามที่เสนอมา
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในวงเงิน 4,998,370 บาท (สี่ล้านเก้าแสนเก้าหมื่นแปดพันสามร้อยเจ็ดสิบบาทถ้วน) ให้คณะกรรมการประสานการพัฒนายุทธศาสตร์ศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค (กพภ.) สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการบริหารโครงการพัฒนาศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค (Strategic Energy Landbridge) ประจำปีงบประมาณ 2547
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2545 รับทราบผลการดำเนินงานและการบริหารงาน เงินนอกงบประมาณของกระทรวงการคลัง ในการโอนงานเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของกองทุนต่างๆ จากกระทรวงการคลังให้เจ้าของโครงการที่รับผิดชอบเป็นผู้ดำเนินการ ต่อมากระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางได้ประสานกับกระทรวงพลังงานเพื่อโอนงานตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ซึ่งกระทรวงพลังงานโดยความเห็นชอบของ ปลัดกระทรวงพลังงาน เห็นควรให้โอนงานเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเข้ามาอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงพลังงานโดยให้สถาบันบริหารกองทุน พลังงาน (องค์การมหาชน) รับไปดำเนินงานต่อไป
2. กรมบัญชีกลาง และ สนพ. ได้หารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางขั้นตอนในการดำเนินงานเพื่อโอนงานการเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยการโอนงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับกระทรวงพลังงานจะต้องมีการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2546 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2546 เพื่อให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้จัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแทนปลัดกระทรวงการคลัง และนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีลงนามในคำสั่งต่อไป หลังจากนั้นต้องประสานกับกรม บัญชีกลางในการแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เพื่อให้ปลัดกระทรวงพลังงานมีอำนาจในการออกระเบียบกระทรวงพลังงานแทน ทั้งนี้โดยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2546 สำหรับการดำเนินงานโอนงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้กับกระทรวงพลังงานจะต้องมีการขอแก้ไขพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งอาจใช้ระยะเวลานานเพราะต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาด้วย
3. สนพ. ได้ยกร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ../2546 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาก่อนนำกราบเรียนนายกรัฐมนตรีลงนามต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้มีการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ .. /2546 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานได้ยกร่างขึ้น โดยมีสาระสำคัญคือ เพื่อให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้จัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแทนปลัดกระทรวงการคลัง พร้อมทั้งให้แก้ไขบางข้อความตามข้อสังเกตของที่ประชุม
2. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อทำหน้าที่พิจารณาเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแทนคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) และให้ กบง. ทำหน้าที่พิจารณาเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายด้านพลังงานเพื่อกลั่นกรองก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ทั้งนี้ โดยให้รองปลัดกระทรวงพลังงานซึ่งได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานอนุกรรมการ และอนุกรรมการประกอบด้วยผู้แทนจากกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน