มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2546 (ครั้งที่ 4)
วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2546 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 603 อาคาร 7
กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปีงบประมาณ 2547
3. การขยายระยะเวลาปรับลดค่าไฟฟ้าจากการปรับลดแผนการลงทุน จำนวน 7 สตางค์ต่อหน่วย
4. การรับภาระของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจากการตรึงค่า Ft
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ประธานกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ในเดือนพฤศจิกายน 2546 ราคาน้ำมันดิบโอมานและดูไบเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น 0.10 - 0.37 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในอิรัก และเหตุการณ์การก่อการร้ายอย่าง ต่อเนื่องในตะวันออกกลางและประเทศตุรกี ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์และ WTI ได้ปรับตัว ลดลง 0.27 - 0.56 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากการคาดว่ากลุ่มโอเปคจะผลิตเกินโควต้าอยู่ประมาณ 1 ล้านบาร์เรล/วัน ในช่วง ต้นเดือนธันวาคมราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลง 0.38 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ทรงตัว จากผลการประชุมของโอเปค เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2546 ให้คงการผลิต ไว้ที่ระดับ 24.5 ล้านบาร์เรล/วัน ประกอบกับอิรักสามารถส่งออกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 0.35 ล้านบาร์เรล/วัน มาอยู่ที่ระดับ 1.6 ล้านบาร์เรล/วัน โดยราคาน้ำมันดูไบและเบรนท์ ณ วันที่ 5 ธันวาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 27.52 และ 28.82 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ในเดือนพฤศจิกายน 2546 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และดีเซลหมุนเร็วปรับตัวสูงขึ้น 0.23 และ 1.27 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากจีนลดการส่งออกและโรงกลั่นปิดซ่อมบำรุง และอุปทานน้ำมันเข้ามาในภูมิภาคลดลง ประกอบกับความต้องการใช้ของออสเตรเลียเพิ่มขึ้น แต่ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 92 ปรับตัวลดลง 0.20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากการส่งออกของไต้หวัน อินเดีย และประเทศในตะวันออกกลาง ประกอบกับออสเตรเลียชะลอการนำเข้า ในช่วงต้นเดือนธันวาคม ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ปรับตัวสูงขึ้น 0.89 - 1.06 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความต้องการซื้อของเวียดนามและบังคลาเทศ ประกอบกับญี่ปุ่นลดการส่งออก เนื่องจากโรงกลั่นปิดซ่อมบำรุง ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวลดลง 0.24 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล โดยอุปทานในภูมิภาคเพิ่มขึ้นจากมีน้ำมันจากตะวันออกกลางเข้ามาขายในภูมิภาคเอเซีย ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 , น้ำมันก๊าด ดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันเตา ณ วันที่ 5 ธันวาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 37.48, 35.98, 37.78, 33.48 และ 25.84 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ในเดือนพฤศจิกายน ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ทรงตัว น้ำมันเบนซินออกเทน 91 สุทธิปรับขึ้น 0.10 บาท/ลิตร ดีเซลหมุนเร็วสุทธิปรับขึ้น 0.30 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกในช่วงต้นเดือนธันวาคม ไม่เปลี่ยนแปลง โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 16.69 , 15.89 และ 14.39 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดในเดือนพฤศจิกายน และช่วงต้นเดือนธันวาคมอยู่ที่ระดับ 1.2323 และ1.4320 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนค่าการกลั่นเฉลี่ยของเดือนพฤศจิกายนและช่วงต้นเดือนธันวาคม อยู่ที่ระดับ 0.7306 และ 0.9841 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกเดือนธันวาคม 2546 ปรับตัวสูงขึ้น 32 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ ในระดับ 312 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 11.84 บาท/กก. อัตราเงิน ชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ อยู่ในระดับ 3.64 บาท/กก. คิดเป็นเงิน 662 ล้านบาท/เดือน โดยกองทุนน้ำมันฯ มี รายรับจากน้ำมันชนิดอื่น 982 ล้านบาท/เดือน จึงมีเงินไหลออกกองทุนฯ สุทธิ 80 ล้านบาท/เดือน ยอดเงินคงเหลือกองทุนน้ำมันฯ หลังหักภาระผูกพัน ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2546 อยู่ในระดับ 2,449 ล้านบาท โดยมีเงินชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2546 รวม 5,292 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 2,843 ล้านบาท
6. เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2546 ให้จำกัดอัตราชดเชยราคาก๊าซ LPG ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2546 - มิถุนายน 2547 ไม่เกิน 3 บาท/กก. สนพ. จึงได้ดำเนินการออกประกาศ กบง. ฉบับที่ 70 พ.ศ. 2546 ปรับขึ้นราคาขายส่งก๊าซ LPG ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 0.9345 บาท/กก. ซึ่งจะทำให้ราคาขายส่ง/ราคาขายปลีกรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.00 บาท/กก. หรือ 15 บาท/ถัง 15 กก. เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2546 เป็นต้นไป
7. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะยังทรงตัวในระดับสูง ในช่วงปลายปี 2546 จึงคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์มีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 27 - 29 และ 29 - 32 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยปัจจัยที่จะมีผลต่อราคาน้ำมัน คือ สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง การส่งออกของอิรัก และการผลิตของประเทศนอกกลุ่มโอเปคที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรัสเซียและนอร์เวย์ ส่วนแนวโน้มของราคา น้ำมันเบนซินออกเทน 95 จะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 35 - 38 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากอุปสงค์ของออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ประกอบกับอุปทานในภูมิภาคลดลงจากจีนลดการส่งออก ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 32 - 36 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากอุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้นเนื่องจากประเทศต่างๆ ได้เริ่มเก็บสะสม น้ำมันเพื่อความอบอุ่น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปีงบประมาณ 2547
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 9/2543 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2543 เรื่องการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า โดยเห็นชอบข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) และการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วน ภูมิภาค (กฟภ.) โดยได้กำหนดให้มีการชดเชยรายได้จาก กฟน. ไปยัง กฟภ. เป็นระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2544-2546 ในลักษณะเหมาจ่าย (Lump Sum Financial Transfer) เท่ากับ 8,153 8,589 และ 9,041 ล้านบาทต่อปี ตามลำดับ ทั้งนี้ ให้นำจำนวนเงินชดเชยรายได้ดังกล่าวมาเฉลี่ยเป็นรายเดือน และให้ กฟน. นำส่งเงินชดเชยรายได้ให้แก่ กฟภ. เป็นรายเดือน ในปีงบประมาณนั้น ซึ่งอัตราการชดเชยรายได้ดังกล่าวสิ้นสุดลงในปีงบประมาณ 2546
2. ในการประชุมหารือเพื่อพิจารณาฐานะการเงินของการไฟฟ้า เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2546 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้ว่าการการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้พิจารณาเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า ซึ่งที่ประชุมเห็นควรให้มีการชดเชยรายได้ผ่านค่าไฟฟ้าขายส่ง โดยให้ กฟน. และ กฟภ. ซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. โดยมีส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าซื้อไฟฟ้าตั้งแต่ค่าซื้อไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคม 2546 และ กฟภ. ได้มีหนังสือถึง สนพ. ขอให้พิจารณาดำเนินการเร่งนำเรื่องเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อขอความเห็นชอบวิธีปฏิบัติในการจ่ายเงินชดเชย รายได้เป็นการชั่วคราวตามแนวทางการหารือเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2546 เนื่องจาก กฟภ. ประสบปัญหาการขาดสภาพคล่อง ซึ่งจะมีผลกระทบต่อฐานะการเงินและการดำเนินงานของ กฟภ.
3. การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าก่อนเดือนตุลาคม 2543 จะเป็นการชดเชยรายได้ผ่านค่าไฟฟ้าขายส่ง โดยการกำหนดเป็นส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง กล่าวคือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะขายไฟฟ้าให้กับ กฟน. ในราคาค่าไฟฟ้าขายส่ง บวกส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้า และขายให้ กฟภ. ในอัตรา ค่าไฟฟ้าขายส่ง และหักด้วยส่วนลดค่าไฟฟ้า
4. แนวทางการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปีงบประมาณ 2547 ให้มีการจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ในปีงบประมาณ 2547 เป็นการชั่วคราว ผ่านค่าไฟฟ้าขายส่ง จำนวน 9,041 ล้านบาท เท่ากับจำนวน เงินชดเชยรายได้ในปีงบประมาณ 2546 โดย กฟน. จะรับภาระการชดเชย 7,000 ล้านบาท และ กฟผ. รับภาระการชดเชยรายได้ด้วย จำนวน 2,041 ล้านบาท ดังนี้
ส่วนเพิ่มส่วนลดค่าไฟฟ้าขายส่ง (ไม่รวม VAT)
ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2546
หน่วยซื้อไฟฟ้า (ประมาณการปีงบประมาณ 2547) (ล้านหน่วย) |
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (บาทต่อหน่วย) |
|
กฟน. | 39,909 | 0.1754 |
กฟภ. | 73,563 | (0.1229) |
ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อยุติการกำหนดเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าแล้ว ให้นำมาปรับปรุงจำนวน เงินชดเชยรายได้ดังกล่าวย้อนหลังถึงเดือนตุลาคม 2546
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้มีการจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ในปีงบประมาณ 2547 เป็นการชั่วคราว ผ่านค่า ไฟฟ้าขายส่ง จำนวน 9,041 ล้านบาท โดย กฟน. รับภาระการชดเชยรายได้ จำนวน 7,000 ล้านบาท และ กฟผ. รับภาระการชดเชยรายได้ จำนวน 2,041 ล้านบาท ดังนี้
ส่วนเพิ่มส่วนลดค่าไฟฟ้าขายส่ง (ไม่รวม VAT)
ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2546
หน่วยซื้อไฟฟ้า (ประมาณการปีงบประมาณ 2547) (ล้านหน่วย) |
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (บาทต่อหน่วย) |
|
กฟน. | 39,909 | 0.1754 |
กฟภ. | 73,563 | (0.1229) |
ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อยุติการกำหนดเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าแล้ว ให้นำมาปรับปรุงจำนวน เงินชดเชยรายได้ดังกล่าวย้อนหลังถึงเดือนตุลาคม 2546
2. มอบหมายให้ สนพ. ดำเนินการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง ขายปลีก และการชดเชยรายได้ให้แล้วเสร็จก่อนการกระจายหุ้น กฟผ. เข้าตลาดหลักทรัพย์ และเตรียมการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อกำกับศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าต่อไป
3. มอบหมายให้คณะอนุกรรมการการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า เร่งรัดการปรับปรุงข้อมูลการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าของประเทศให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2546 เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่
เรื่องที่ 3 การขยายระยะเวลาปรับลดค่าไฟฟ้าจากการปรับลดแผนการลงทุน จำนวน 7 สตางค์ต่อหน่วย
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ในการประชุมครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 35) เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2544 เห็นชอบให้มีการปรับลดค่าไฟฟ้าจากการปรับลดแผนการลงทุน จำนวน 7 สตางค์/หน่วย เนื่องจากการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งปรับลดแผนการลงทุนในปีงบประมาณ 2544-2546 ลงจากแผนเดิม 55,000 ล้านบาท ส่งผลให้ความต้องการรายได้สมทบการลงทุนลดลง 14,000 ล้านบาท สามารถลดค่าไฟฟ้าให้ ประชาชนได้ 7 สตางค์/หน่วย เป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2544 - กันยายน 2546 โดยมอบหมายให้ คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไปดำเนินการ
2. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 86) เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2544 และในการประชุมครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 87) เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2544 ได้มีมติรับทราบผลการพิจารณาและผลการดำเนินการตามมติ กพง. ดังกล่าว
3. การปรับลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนจำนวน 7 สตางค์/หน่วย ตามมติ กพง. และ กพช. ข้างต้น ได้สิ้นสุดลงเมื่อเดือนกันยายน 2546 การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้มีหนังสือถึงสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ขอให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ขอความชัดเจนในการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย เพื่อเป็นหลักปฏิบัติสำหรับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ที่ยืดระยะเวลาไปจากมติ กพง. อีก 4 เดือน คือ เดือนตุลาคม 2546-มกราคม 2547 ทั้งนี้ กฟภ. เห็นว่า หากยังคงให้ กฟภ. รับภาระส่วนลดดังกล่าวต่อไปอีก สมควรให้มีการพิจารณาปรับโครงสร้างราคาขายส่งให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรมโดยเร็วต่อไป
4. การดำเนินการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์ต่อหน่วย ของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง
4.1 คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ในการประชุม ครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 100) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2544 ได้มีมติเห็นชอบให้มีการแบ่งรับภาระการปรับลดค่าไฟฟ้าจากการ ปรับลดแผนการลงทุนจำนวน 7 สตางค์/หน่วย โดยพิจารณาจากฐานะการเงินของการไฟฟ้า ในปี 2545 - 2546 ได้แก่ กฟผ. กฟน. และ กฟภ. รับภาระ 4.2 0.6 และ 22 สตางค์/หน่วย ตามลำดับ
4.2 จากการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย ผ่านการปรับค่า Ft เป็นระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่ตุลาคม 2544 - กันยายน 2546 การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้ลดค่าไฟฟ้าให้แก่ประชาชนรวม 14,170 ล้านบาท จำแนกเป็น กฟผ. กฟน. และ กฟภ. เท่ากับ 8,502 1,215 และ 4,453 ล้านบาท ตามลำดับ
5. ข้อเสนอแนวทางการขยายระยะเวลาการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย
5.1 เนื่องจากกระทรวงพลังงานมีนโยบายบรรเทาการเพิ่มขึ้นของค่าไฟฟ้า โดยการตรึงค่า Ft ณ ระดับ 26.12 สตางค์/หน่วย สำหรับการเรียกเก็บจากประชาชนในเดือนมิถุนายน 2546 ถึงมกราคม 2547 ดังนั้น จึงควรให้มีการขยายระยะเวลาการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย ออกไปอีก 4 เดือน ในช่วงเดือนตุลาคม 2546 - มกราคม 2547 ให้สอดคล้องกับระยะเวลาการตรึงค่า Ft ดังกล่าว โดยให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง แบ่งรับภาระในลักษณะเดิม คือ กฟผ. กฟน. และ กฟภ. เท่ากับ 4.2 6.6 และ 2.2 ล้านบาท ตามลำดับ โดย มอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไปดำเนินการต่อไป
5.2 การขยายระยะเวลาการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย ออกไปอีก 4 เดือน จะมีผลกระทบต่อรายได้ของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง รวม 2,550 ล้านบาท จำแนกเป็น กฟผ. กฟน. และ กฟภ. เท่ากับ 1,530 219 และ 801 ล้านบาท ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้มีการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย อันเนื่องมาจากการปรับลดการลงทุน ในการคำนวณค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ต่อไปจนกว่าจะมีการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่
เรื่องที่ 4 การรับภาระของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจากการตรึงค่า Ft
ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้ขอให้ที่ประชุมพิจารณาให้ความเห็นชอบการรับภาระจากการตรึงค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าในช่วงเดือนมิถุนายน 2546 - มกราคม 2547 ประมาณ 3,743 ล้านบาท ตามมติของที่ประชุมเรื่องการปรับลดแผนการลงทุนและการเกลี่ยฐานะการเงินของการไฟฟ้า เมื่อวันพุธที่ 24 กันยายน 2546
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ กฟผ. รับภาระการตรึงค่า Ft ในช่วงเดือนมิถุนายน 2546-มกราคม 2547 จำนวนประมาณ 3,743 ล้านบาท (เป็นค่าประมาณการเบื้องต้น ซึ่งค่าจริงจะปรากฏเมื่อครบกำหนดการตรึงค่า Ft ในเดือนมกราคม 2547) ไปก่อน โดยให้ถือเป็นรายได้ค้างรับ และจะเกลี่ยไปในอนาคตในช่วงที่ค่าไฟฟ้าลดลง ทั้งนี้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี (ภายในปี 2549)
2. มอบหมายให้ กฟผ. ดำเนินการปรับปรุงใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้าที่สอดคล้องกับมติข้อ 1 ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2546 และจัดส่งให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายโดยเร็ว