มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2547 (ครั้งที่ 5)
วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2547 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7
กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. รายงานผลการดำเนินการของคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3. การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าของปี 2547
4. การยกเว้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์
5. การขอยุติเงินทดรองจ่ายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเงินชดเชยที่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร
7. ข้อเสนอการลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ประธานกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้กล่าวเกี่ยวกับปัญหาราคาน้ำมันแพงที่เกิดขึ้น โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เดินทางไปพบปะหารือกับหน่วยงาน IEA ของทวีปยุโรปและได้รับทราบว่าแนวโน้มปริมาณการผลิตน้ำมันของโลกเพิ่มขึ้นมากกว่าความต้องการใช้ ซึ่งคาดว่าแนวโน้มราคาน้ำมันน่าจะอ่อนตัวลงในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้ ราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง และในการประชุมของกลุ่มประเทศ G7 ที่ผ่านมา ไม่ได้มีการหารือประเด็นราคาน้ำมันแต่อย่างไร
สำหรับยุทธศาสตร์ของประเทศที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแบ่งเป็น 2 ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์เชิงตั้งรับ และยุทธศาสตร์เชิงรุก โดยที่ยุทธศาสตร์เชิงตั้งรับจะเป็นนโยบายเกี่ยวกับการใช้พลังงานที่มีอยู่ในประเทศให้เกิดประสิทธิภาพและประหยัดที่สุด รวมทั้งการใช้มาตรการตรึงราคาน้ำมันที่ดำเนินการอยู่ ทั้งนี้ระดับราคาน้ำมันของไทยอยู่ระดับที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในโลก ดังนั้น ระยะต่อไปรัฐบาลจะเริ่มคลายตัวด้านราคาน้ำมันให้เป็นไปตามกลไกตลาดโดยคาดว่าเมื่อสิ้นฤดูหนาว ส่วนยุทธศาสตร์เชิงรุกจะเป็นนโยบาย เกี่ยวกับการจัดหาแหล่งพลังงานให้เพิ่มมากขึ้น โดยขณะนี้ไทยได้เริ่มเข้าร่วมสัมปทานปิโตรเลียมในต่างประเทศมากขึ้น เช่น ปตท. สผ. ได้รับสัมปทานแหล่งขุดเจาะก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นในประเทศพม่า หรือการเข้าร่วมลงทุนในประเทศโอมาน ซึ่งถือว่ารัฐบาลไทยได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตน้ำมันโลก นอกจากนี้รัฐบาลได้ดำเนินการเชิงรุก โดยการเพิ่มการผลิตพลังงานภายในประเทศให้มากขึ้น และลดการนำเข้าพลังงานลง ด้วยการสนับสนุนให้ประชาชนมีทางเลือกการใช้เชื้อเพลิงให้มากขึ้น เช่น Bio Fuel รวมทั้งการเพิ่มมูลค่าจากเชื้อเพลิงโดยเฉพาะ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ใช้ผลผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันและโรงแยกก๊าซ เพื่อสร้างวิกฤตให้เป็นโอกาสเกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งนโยบายดังกล่าวเป็นนโยบายหนึ่งที่รัฐบาลได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนแล้ว
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สาระสำคัญ
1. ความต้องการใช้และการผลิตน้ำมันดิบโดยรวม เดือนสิงหาคมได้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 82.6 และ 83.4 ล้านบาร์เรล/วัน ตามลำดับ จากกลุ่มโอเปคได้มีมติจะปรับเพิ่มโควต้าการผลิตขึ้นอีก 1 ล้านบาร์เรล/วัน เป็น 27.0 ล้านบาร์เรล/วัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 เป็นต้นไป และปริมาณการผลิตน้ำมันของประเทศนอกกลุ่มโอเปคเดือนสิงหาคม อยู่ที่ระดับ 47.6 ล้านบาร์เรล/วัน
2. ราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 3 ปี 2547 ได้ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ประมาณ 2.90 - 7.23 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยในเดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคมราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 38.56 และ 42.06 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากบริษัทน้ำมัน Yukos ของ รัสเซียเกิดปัญหาด้านการเงินจะต้องจ่ายภาษีคืนให้แก่รัฐเป็นเงิน 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ และจากการเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรของ Hedge Funds รวมทั้งข่าวผู้ก่อการร้าย AI Queda ขู่จะโจมตีสถาบันการเงิน 5 แห่ง ของ สหรัฐอเมริกา แต่ในเดือนกันยายนราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 34.92 และ 41.45 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากมติที่ประชุมกลุ่มโอเปค เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2547 ให้ปรับเพิ่มโควต้าการผลิตอีก 1 ล้านบาร์เรล/วัน ประกอบกับซาอุดิอารเบียได้ปรับลดราคาน้ำมันดิบชนิดหนัก (กำมะถันสูง) ลง 2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตามในช่วงกลางเดือนกันยายนราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้นจากพายุ Herricane Ivan เข้าสู่อ่าวเม็กซิโกได้ส่งผลให้การผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกต้องหยุดชะงัก
3. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยในไตรมาส 3 ปี 2547 ได้ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงไตรมาส 2 โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 ก๊าด ดีเซลหมุนเร็ว และเตาปรับตัวสูงขึ้น 2.40, 2.57, 7.58, 7.69 และ 0.91 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคมราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 เฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 46.52 และ 45.12 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามราคาแนฟทา ซึ่งมีความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่องจากปิโตรเคมี และความต้องการซื้อของอินโดนีเซียที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 45.40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ด้วยอุปทานลดลงจากโรงกลั่นน้ำมันญี่ปุ่นปิดฉุกเฉิน และน้ำมันจากตะวันออกกลางที่เข้าในภูมิภาคเอเซียลดลง ส่วนน้ำมันก๊าดและเตาปรับตัวสูงอยู่ที่ระดับ 48.08 และ 29.67 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ดังนั้นราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 ก๊าด ดีเซลหมุนเร็วและเตา ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 51.50, 50.62, 52.29, 50.36 และ 30.93 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ และเดือนกันยายนราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ให้ปรับตัวลดลง จากตลาดคาดว่าความต้องการซื้อของเอเซียและตะวันตกจะลดลงหลังสิ้นสุดฤดูท่องเที่ยวในช่วงเดือนกันยายน ในขณะที่จีนมีแผนจะส่งออกเพิ่มขึ้นในเดือนตุลาคม ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ปรับตัวสูงขึ้น โดยอุปสงค์จากเวียดนามและจีน เพิ่มขึ้น และน้ำมันดีเซลจากตะวันออกกลางเข้ามายังภูมิภาคเอเซียลดลง สำหรับน้ำมันก๊าดได้ปรับตัวสูงขึ้น จากความต้องการซื้อในภูมิภาคยังคงสูง ขณะที่น้ำมันเตาปรับตัวลดลงจากความต้องการซื้อในภูมิภาคต่ำกว่าอุปทาน ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92, ก๊าด ดีเซลหมุนเร็ว และเตา เฉลี่ยอยู่ระดับ 47.99, 47.16, 53.21, 51.46 และ 29.63 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
4. ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยของไทยในช่วงไตรมาส 3 ปี 2547 ปรับตัวสูงขึ้น โดยกระทรวงพลังงานได้มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินไตรมาส 3 จำนวน 5 ครั้ง รวม 3 บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 20 กันยายน อยู่ที่ระดับ 21.79, 20.99 และ 14.59 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ค่าการตลาดเฉลี่ยในไตรมาส 3 ปี 2547 เท่ากับไตรมาส 2 อยู่ที่ระดับ 1.2060 บาท/ลิตร จากรัฐบาลตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 เป็นต้นมา โดยค่าการตลาดเฉลี่ยในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน คงที่อยู่ใน 1.2060 บาท/ลิตร ส่วนค่าการกลั่นปรับตัวเพิ่มขึ้น อยู่ที่ระดับ 1.1202, 0.8981 และ 1.4438 บาท/ลิตร ตามลำดับ
6. แนวโน้มราคาน้ำมันดิบคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 35 - 40 ต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากความต้องการใช้น้ำมันของโลกที่เพิ่มสูงขึ้น จากการคาดการณ์ของ IEA อยู่ที่ระดับ 82.2 ล้านบาร์เรล/วัน และปี 2548 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 84.0 ล้านบาร์เรล/วัน อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่อาจจะทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงได้จากการเพิ่มกำลังการผลิตของประเทศกลุ่มโอเปค/ประเทศนอกกลุ่มโอเปค และการควบคุมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและจีนได้จะทำให้อุปสงค์น้ำมันจะชะลอตัวลง
7. แนวโน้มราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ คาดว่าราคาน้ำมันเบนซินจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 46 - 58 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มีอุปสงค์เข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งจากในภูมิภาคและนอกภูมิภาค ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วคาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 48 - 54 ต่อบาร์เรล จากความต้องการซื้อในภูมิภาคที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อุปทานจากตะวันออกกลางเข้ามาในภูมิภาคเอเซียลดลง
8. ผลการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 เป็นต้นมา รัฐบาลได้มีการปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซิน 8 ครั้งๆ ละ 0.60 บาท/ลิตร รวม 4.80 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 22 กันยายน 2547 อยู่ที่ระดับ 21.79, 20.99 และ 14.59 บาท/ลิตร ตามลำดับ โดยอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของเบนซิน 95 และ 91 อยู่ที่ระดับ 0.975 และ 0.8902 บาท/ลิตร ตามลำดับ และอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ของดีเซลหมุนเร็ว อยู่ที่ระดับ 5.0212 บาท/ลิตร หรือประมาณ 269 ล้านบาท/วัน และมีจำนวนเงินชดเชยสะสมทั้งสิ้น 33,425 ล้านบาท แยกเป็นเงินชดเชยน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็วประมาณ 2,619, 4,195 และ 26,611 ล้านบาท ตามลำดับ
9. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลก เดือนกันยายนได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 383 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนราคาก๊าซ LPG ในประเทศอยู่ในระดับ 13.06 บาท/กก. (สูตรกำหนดราคาก๊าซ LPG ในประเทศกำหนดเพดานสูงสุดไว้ที่ 315 เหรียญสหรัฐ/ตัน) อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ 2.99 บาท/กก. หรือ 544 ล้านบาท/เดือน ทั้งนี้คาดการณ์ได้ว่าราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนตุลาคมยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 400 - 430 เหรียญสหรัฐ/ตัน และอัตราเงินชดเชยจะยังคงอยู่ในระดับ 2.99 บาท/กก. หรือ 554 ล้านบาท/เดือน
10. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 20 กันยายน 2547 มียอดเงินคงเหลือตามบัญชีจำนวน 361 ล้านบาท ยอดหนี้ค้างชำระ 26,637 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 4,916 ล้านบาท หนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ 106 ล้านบาท หนี้การตรึงราคาน้ำมันช่วงวันที่ 1 สิงหาคม 2547 - 20 กันยายน 2547 ประมาณ 10,130 ล้านบาท หนี้เงินกู้ 11,830 ล้านบาท และหนี้ดอกเบี้ยเงินกู้ประจำเดือนกันยายน 2547 16 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิติดลบ 26,637 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานผลการดำเนินการของคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สาระสำคัญ
1. จากการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 3) เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2546 ที่ประชุมได้เห็นชอบให้แยกงานพิจารณาอนุมัติการใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงออก และให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาอีก 1 ชุด โดยให้ กบง. ทำหน้าที่พิจารณาเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับนโยบายด้านพลังงานเพื่อกลั่นกรองก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
2. เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2547 กบง. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีรองปลัดกระทรวงพลังงาน (ที่ปลัดกระทรวงพลังงานมอบหมาย) เป็นประธานอนุกรรมการ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นอนุกรรมการ ซึ่งต่อมาคณะอนุกรรมการฯ ได้มีการจัดประชุมไปแล้วรวม 5 ครั้ง โดยมีการประชุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2547 และได้พิจารณาและอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง ให้แก่โครงการต่างๆ ของหน่วยงานกระทรวงพลังงาน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 93,278,906 บาท (เก้าสิบสามล้าน สองแสนเจ็ดหมื่นแปดพันเก้าร้อยหกบาทถ้วน)
3. ผลการอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ประกอบด้วย
3.1 สำนักงานคณะกรรมการประสานการพัฒนายุทธศาสตร์ศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค (สนพภ.) สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ในโครงการศึกษาจัดทำแผนแม่บทพัฒนาธุรกิจ และอุตสาหกรรมต่อเนื่องระบบโครงข่ายคมนาคมขนส่ง และชุมชนในอนาคตบริเวณพื้นที่โครงการ (จำนวนเงิน 23 ล้านบาท) โครงการปรับปรุงแผนการดำเนินการและแผนปฏิบัติการขจัดคราบน้ำมันในทะเลในบริเวณพื้นที่โครงการ Sriracha Hub และ Strategic Energy Landbridge (จำนวนเงิน 14 ล้านบาท) และงบบริหารงานโครงการพัฒนาศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค ประจำปีงบประมาณ 2547 และ 2548 (จำนวน 4.99 ล้านบาท และ 3.83 ล้าน ตามลำดับ)
3.2 กรมธุรกิจพลังงาน ในโครงการศึกษาข้อกำหนดและมาตรการทางกฎหมายที่เหมาะสมในการควบคุมระบบขนส่งน้ำมันทางท่อ (จำนวน 2 ล้านบาท) โครงการศึกษาและพัฒนาระบบการจัดการธุรกิจน้ำมัน (จำนวน 6,061,550 บาท) และโครงการศึกษาและพัฒนากฎหมาย LPG (จำนวน 818,100 บาท)
3.3 สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ได้อนุมัติงบเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของสถาบัน สำหรับปี 2547 และปี 2548 เป็นจำนวนเงิน 9,964,600 บาท และจำนวนเงิน 12,899,800 บาท ตามลำดับ
3.4 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และหน่วยงานอื่นๆ ได้อนุมัติเงินงบประมาณปี 2547 ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อโครงการปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดด้านธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว จำนวนเงิน10,784,000 บาท และอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2548 ให้แก่กรมศุลกากร (663,600 บาท) กรมสรรพสามิต (1,184,724 บาท) และ สนพ. (3,068,856 บาท) ในวงเงินรวม 4,917,180 บาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าของปี 2547
สาระสำคัญ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปความเป็นมา ประมาณการฐานะการเงินของการไฟฟ้า แนวทางการชดเชย รายได้ระหว่างการไฟฟ้า และข้อเสนอการชดเชยรายได้ของการไฟฟ้าในปี 2547 ดังนี้
1. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 ได้เห็นชอบการชดเชยรายได้จากการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ไปยังการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในลักษณะเหมาจ่าย (Lump Sum Financial Transfer) ในปีงบประมาณ 2544 - 2546 เท่ากับ 8,153 8,589 และ 9,041 ล้านบาทต่อปี ตามลำดับ ต่อมา คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 4/2546 (ครั้งที่ 4) เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2546 ได้เห็นชอบการจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ในปีงบประมาณ 2547 เป็นการชั่วคราว ผ่านค่าไฟฟ้าขายส่ง จำนวน 9,041 ล้านบาท โดย กฟน. รับภาระการชดเชยรายได้จำนวน 7,000 ล้านบาท และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับภาระการชดเชยรายได้จำนวน 2,041 ล้านบาท โดยกำหนดเป็นส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. ขายให้ กฟน. เท่ากับ 17.54 สตางค์/หน่วย และส่วนลดค่าไฟฟ้าขายส่งที่ กฟผ. ขายให้ กฟภ. เท่ากับ 12.29 สตางค์/หน่วย ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อยุติการกำหนดเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าแล้ว ให้นำมาปรับปรุงจำนวนเงินชดเชยรายได้ดังกล่าวย้อนหลังถึงเดือนตุลาคม 2546 ซึ่ง กฟภ. ขอให้กระทรวงพลังงานพิจารณาปรับเงินชดเชยรายได้ค่าไฟฟ้าปี 2547 เป็นการเร่งด่วน โดยพิจารณาให้แต่ละการไฟฟ้ามีอัตราผลตอบแทนการลงทุนอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
2. สนพ. ได้ขอให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จัดทำประมาณการฐานะการเงินปีปฏิทิน 2547 (มกราคม - ธันวาคม 2547) เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาจำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปี 2547 โดยใช้ข้อมูลที่เกิดขึ้นจริง 6 เดือน (มกราคม - มิถุนายน 2547) และข้อมูลประมาณการ 6 เดือน (กรกฎาคม - ธันวาคม 2547) ซึ่งสามารถสรุปงบการเงินที่สำคัญได้ ดังนี้
ประมาณการฐานะการเงินของการไฟฟ้าในปีปฏิทิน 2547
3. แนวทางการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปี 2547 จากการประชุมหารือร่วมกันระหว่างผู้บริหารของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และ สนพ. โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) เป็นประธานในการประชุม เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2547 ได้เห็นชอบให้มีการปรับเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า เป็นการชั่วคราว ตามแนวทางการพิจารณา ดังนี้
3.1 เนื่องจากการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ยังไม่มีการแปลงสภาพเป็นบริษัทและจดทะเบียนกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2547 ประกอบกับ ในปี 2547 การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีนโยบายบัญชีที่แตกต่างกัน โดยการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายปิดบัญชีเป็นปีปฏิทิน ในขณะที่ กฟผ. ยังปิดบัญชีเป็นปีงบประมาณ ดังนั้น เพื่อให้การพิจารณาจำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ในปี 2547 อยู่บนพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน จึงควรพิจารณาการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าจากงบการเงินในปีปฏิทิน 2547 ภายใต้หลักเกณฑ์ทางการเงินที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน กล่าวคือ SFR ไม่ต่ำกว่าร้อยละ25 และ DSCR ไม่ต่ำกว่า 1.3 เท่า สำหรับ กฟผ. และ 1.5 เท่า สำหรับ กฟน. และ กฟภ.
3.2 การวิเคราะห์และปรับปรุงประมาณการฐานะการเงินของการไฟฟ้าในปีปฏิทิน 2547
3.2.1 ฐานะการเงินของ กฟผ. : กฟผ. มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในปี 2547 ประมาณ 28,643 ล้านบาท ในขณะที่ SFR ในปี 2547 เท่ากับร้อยละ -8.37 ซึ่งเป็นผลมาจาก (1) การประมาณการเงิน นำส่งรัฐจากการดำเนินงานในช่วงเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2546 จำนวน 1,000 ล้านบาท มารวมในการคำนวณค่า SFR ของปีปฏิทิน 2547 และ (2) กฟผ. อ้างอิงการปิดบัญชีปฏิทินปี 2546 (วันที่ 31 ธันวาคม 2546 เป็น วันหยุดราชการ) ส่งผลให้จำนวนวันเจ้าหนี้ค่าซื้อไฟฟ้าของ กฟผ. ลดลงจาก 60 วัน เหลือ 30 วัน ซึ่ง กฟผ. ต้องหักเงินสดสำหรับจ่ายค่าซื้อไฟฟ้าเดือนพฤศจิกายน 2547 ในการคำนวณ Increase/(Decrease) in Working Capital เป็นจำนวน 12,291 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ส่งผลให้รายได้ในการคำนวณ SFR ของ กฟผ. ติดลบ 1,403 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อปรับปรุงการคำนวณ SFR ใน2 รายการดังกล่าวแล้ว กฟผ. จะมีฐานะการเงิน ที่ดีขึ้นมาก โดยมีค่าSFR ในปี 2547 สูงถึงประมาณร้อยละ 70 ซึ่งสามารถปรับเกลี่ยฐานะการเงินให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้
3.2.2 ฐานะการเงินของ กฟน. : กฟน. มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในปี 2547 ประมาณ2,668 ล้านบาท แบ่งเป็นกำไรสุทธิในเดือนมกราคม- มิถุนายน 2547 เท่ากับ 3,189 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิในเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2547 เท่ากับ 521 ล้านบาท และมีค่าSFR ในปี 2547 เท่ากับร้อยละ 11 ซึ่งเป็นผลมาจาก(1) กฟน.ประมาณการค่าความสูญเสียในระบบ (Loss Rate) ในเดือนกรกฏาคม- ธันวาคม 2547 สูงถึงร้อยละ 5.2 เมื่อกำหนดให้ กฟน. มีค่า Loss ตามมาตรฐานที่กำหนดคือร้อยละ 4.1 จะส่งผลให้ กฟน. สามารถจำหน่ายไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นเป็นเงินประมาณ 644 ล้านบาท และ (2) กฟน. ได้ออกพันธบัตรในปี 2547 เพื่อ Refinance หนี้เงินกู้เดิมเป็นจำนวนเงิน 5,700 ล้านบาท และได้จัดสรรเงินทุนสะสมเพื่อการชำระหนี้(Sinking Fund) ในวงเงินดังกล่าวในปี2547 เป็นเงินจำนวน 495 ล้านบาท ซึ่ง กฟน. ควรเริ่มกันเงินSinking Fund ในปีถัดไป ทั้งนี้ เมื่อปรับปรุงการคำนวณใน 2 รายการ ดังกล่าวแล้ว กฟน. จะมีฐานะการเงินผ่านเกณฑ์ที่กำหนด โดยมีค่าSFR ในปี 2547 ประมาณร้อยละ 26.88 นอกจากนี้ ฐานะการเงินของ กฟน. ยังมีแนวโน้มที่จะดีขึ้น ได้อีก ในกรณีโครงการประหยัดไฟกำไรสองต่อมีผู้เข้าร่วมโครงการน้อยกว่า 300 ล้านหน่วย ในเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2547 ตามที่ กฟน. ได้ประมาณการไว้
3.2.3 ฐานะการเงินของ กฟภ. : กฟภ. มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในปี 2547 ประมาณ3,918 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจาก กฟภ. ประมาณการการรับซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. ในระดับแรงดันสูง ซึ่งค่าไฟฟ้ามีราคาถูกลดลง และประมาณการรับซื้อไฟฟ้าในระดับแรงดันต่ำซึ่งค่าไฟฟ้ามีราคาแพงเพิ่มขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ เมื่อปรับสัดส่วนการรับซื้อไฟฟ้าของ กฟภ. ให้ใกล้เคียงกับช่วงที่ผ่านมา จะทำให้กำไรสุทธิจากการดำเนินงานของ กฟภ. ในปี 2547 อยู่ในระดับประมาณ 4,438 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 520 ล้านบาท ส่งผลให้ค่า SFR ในปี 2547 ดีขึ้นเล็กน้อยเป็นประมาณร้อยละ 13.3
หากพิจารณาให้ กฟภ. มีค่าSFR เท่ากับร้อยละ 25 ตามเกณฑ์ทางการเงินที่กำหนด กฟภ. จะมีความต้องการรายได้เพิ่มอีกประมาณ 2,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก กฟภ. มีการประมาณการการปรับเพิ่มเงินเดือนพนักงานในช่วงเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2547 ประมาณ 500 ล้านบาท ประกอบกับหน่วยจำหน่ายของ กฟภ. มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากที่ประมาณการไว้ จึงอาจส่งผลให้ฐานะการเงินของ กฟภ. ดีขึ้นจากที่ประมาณการไว้ได้อีก ดังนั้น จึงเสนอให้มีการปรับเพิ่มเงินชดเชยรายได้ในปีปฏิทิน 2547 จากที่ได้รับในการประมาณการครั้งนี้ (9,601 ล้านบาท) อีกจำนวน 1,500 ล้านบาท โดยให้ กฟผ. เป็นผู้รับภาระการชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ซึ่งจะมีผลทำให้ค่า SFR ของ กฟภ. อยู่ในระดับร้อยละ22
ฐานะการเงินของการไฟฟ้าในปี 2547 ภายหลังการปรับจำนวนเงินชดเชยรายได้
4. ข้อเสนอแนวทางการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปี 2547
4.1 เห็นควรกำหนดเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ในเดือนมกราคม - ธันวาคม 2547 เท่ากับ 11,101 ล้านบาท เป็นการชั่วคราว โดย กฟน. และ กฟผ. รับภาระการชดเชยรายได้ให้กับ กฟภ. เท่ากับ 7,165 และ 3,936 ล้านบาท สำหรับเงินชดเชยรายได้ในเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2546 เห็นควรให้ปรับปรุงตามจำนวนเงินชดเชยรายได้ในปีปฏิทิน 2547 เป็นการชั่วคราวเท่ากับ 2,557 ล้านบาท โดย กฟน. และ กฟผ. รับภาระการ ชดเชยรายได้ให้ กฟภ. เท่ากับ 1,677 และ 880 ล้านบาท ตามลำดับ
จำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า
ตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547
หน่วย : ล้านบาท
เดือน | กฟน. | กฟผ. | รวม |
ตุลาคม - ธันวาคม 2546 | 1,677 | 880 | 2,557 |
มกราคม - ธันวาคม 2547 | 7,165 | 3,936 | 11,101 |
รวม | 8,842 | 4,816 | 13,658 |
ทั้งนี้ เมื่อได้ฐานะการเงินของการไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเดือนมกราคม - ธันวาคม2547 แล้ว ให้นำมาปรับปรุงจำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าที่เหมาะสมในเดือนตุลาคม2546 -ธันวาคม 2547 อีกครั้งหนึ่ง
4.2 เห็นควรกำหนดหลักการในการจ่ายเงินชดเชยรายได้ในเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2547 โดยนำส่วนต่างระหว่างเงินชดเชยรายได้ในเดือนตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547 (13,658 ล้านบาท) กับเงินชดเชยรายได้ที่เกิดขึ้นจริงในเดือนตุลาคม2546 - กันยายน 2547 มาเฉลี่ยจ่ายให้กับ กฟภ. ในเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2547
4.3 เห็นควรมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้ารับไปดำเนินการปรับปรุงจำนวนเงินชดเชยรายได้ที่เหมาะสมระหว่างการไฟฟ้าในเดือนตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547 โดยพิจารณาจากฐานะการเงินของการไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริงในเดือนมกราคม- ธันวาคม 2547 ภายใต้ หลักเกณฑ์ทางการเงินที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน กล่าวคือ SFR ไม่ต่ำกว่าร้อยละ25 และ DSCR ไม่ต่ำกว่า 1.3 เท่า สำหรับ กฟผ. และ 1.5 เท่า สำหรับ กฟน. และ กฟภ.
4.4 เห็นควรกำหนดเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. เป็นการชั่วคราว ผ่านส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้า ในระหว่างที่ยังไม่มีการประกาศใช้โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ ดังนี้
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ตั้งแต่เดือนมกราคม 2548
หน่วยซื้อไฟฟ้า ประมาณการปีปฏิทิน 2547 (ล้านหน่วย) |
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (บาท/หน่วย) |
|
กฟผ. ขาย กฟน. | 40,849 | 0.1754 |
กฟผ. ขาย กฟภ. | 78,119 | (0.1421) |
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการกำหนดเงินชดเชยรายได้ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในเดือนตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547 เท่ากับ 13,658 ล้านบาท เป็นการชั่วคราว โดยการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับภาระการชดเชยรายได้ให้กับ กฟภ. เท่ากับ 8,842 และ 4,816 ล้านบาท ตามลำดับ
จำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า
ตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547
หน่วย : ล้านบาท
เดือน | กฟน. | กฟผ. | รวม |
ตุลาคม - ธันวาคม 2546 | 1,677 | 880 | 2,557 |
มกราคม - ธันวาคม 2547 | 7,165 | 3,936 | 11,101 |
รวม | 8,842 | 4,816 | 13,658 |
ทั้งนี้ เมื่อได้ฐานะการเงินของการไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเดือนมกราคม- ธันวาคม 2547 แล้วให้ นำมาปรับปรุงจำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าที่เหมาะสมในเดือนตุลาคม 2546 -ธันวาคม 2547 อีกครั้งหนึ่ง
2. เห็นชอบการกำหนดหลักการในการจ่ายเงินชดเชยรายได้ในเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2547 โดย นำส่วนต่างระหว่างเงินชดเชยรายได้ในเดือนตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547 (13,658 ล้านบาท) กับเงินชดเชยรายได้ที่เกิดขึ้นจริงในเดือนตุลาคม2546 - กันยายน 2547 มาเฉลี่ยจ่ายให้กับ กฟภ. โดยตรงในเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2547
3. มอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้ารับไปดำเนินการปรับปรุงจำนวนเงินชดเชยรายได้ที่เหมาะสมระหว่างการไฟฟ้าในเดือนตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547 โดยพิจารณาจากฐานะการเงินของการไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริงในเดือนมกราคม- ธันวาคม 2547 ภายใต้หลักเกณฑ์ ทางการเงินที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน กล่าวคือ SFR ไม่ต่ำกว่าร้อยละ25 และ DSCR ไม่ต่ำกว่า 1.3 เท่า สำหรับ กฟผ. และ 1.5 เท่า สำหรับ กฟน. และ กฟภ.
4. เห็นชอบกำหนดเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. เป็นการชั่วคราว ผ่านส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าในระหว่างที่ยังไม่มีการประกาศใช้โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ ดังนี้
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ตั้งแต่เดือนมกราคม 2548
หน่วยซื้อไฟฟ้า ประมาณการปีปฏิทิน 2548 (ล้านหน่วย) |
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (บาท/หน่วย) |
|
กฟผ. ขาย กฟน. | 43,850 | 0.1754 |
กฟผ. ขาย กฟภ. | 83,402 | (0.1421) |
เรื่องที่ 4 การยกเว้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2545 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ยกเว้นการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตของเอทานอลหน้าโรงงานและภาษีสรรพสามิตในส่วนของเอทานอลที่เติมในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตลอดไป และลดหย่อนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ต่อมาเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2545 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้หลักการเดียวกับภาษีสรรพสามิต คือ ให้ยกเว้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนในส่วนเอทานอล 10% โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์เท่ากับ 0.27 และ 0.0360 บาท/ลิตร ตามลำดับ
2. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2547 ได้มีมติเห็นชอบมาตรการเพิ่มเติมให้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ส่งเสริมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย ซึ่งมาตรการหนึ่ง คือ มาตรการด้านราคา โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงานพิจารณายกเว้นการเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นการชั่วคราว ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ต่ำกว่าราคาของน้ำมันเบนซินออกเทน 95 มาก ยิ่งขึ้น เป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์
3. ต่อมากระทรวงพลังงานได้รับแจ้งจาก ปตท. และบางจากว่า ราคาเอทานอลและราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ได้ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์สูงขึ้นประมาณ 0.38 บาท/ลิตร เนื่องจากผู้ผลิตเอทานอล ได้แก่ บริษัท พรวิไล อินเตอร์เนชั่นแนล กรูพ เทรดดิ้ง จำกัด และ บริษัท ไทยแอลกอฮอล์ จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งปรับราคาจำหน่ายเอทานอลบริสุทธิ์ 99.5% เพิ่มขึ้น 0.75 บาท/ลิตร เป็น 12.75 บาท/ลิตร ซึ่ง มีผลทำให้ต้นทุนราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ในส่วน 9% ที่เป็นเอทานอลเพิ่มขึ้น 0.065 บาท/ลิตร และกลุ่มโรงกลั่น ได้แจ้งปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ที่จะนำมาผสมเอทานอลเพื่อผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์สูงขึ้น $1.31 ต่อบาร์เรล หรือประมาณ 0.34 บาท/ลิตร ทำให้ต้นทุนราคาแก๊สโซฮอล์ในส่วน 91% ที่เป็นน้ำมันเบนซินออกเทน 91 เพิ่มขึ้น 0.31 บาท/ลิตร จาก 2 ปัจจัยคือ ราคาเดิมต่ำกว่าต้นทุนจริง และต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นจากการปรับคุณภาพน้ำมันแก๊สโซฮอล์
4. กระทรวงพลังงาน ได้ประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2547 เพื่อแก้ไขปัญหาต้นทุนราคาแก๊สโซฮอล์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบให้ปรับต้นทุนราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์สูงขึ้น 0.27 บาท/ลิตร (แยกเป็นต้นทุนเอทานอลและน้ำมันเบนซินออกเทน 91 เพิ่มขึ้น 0.0675 และ 0.2025 บาท/ลิตร ตามลำดับ) และให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ขอความเห็นชอบยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ไม่เปลี่ยนแปลง และความแตกต่างระหว่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 กับน้ำมันแก๊สโซฮอล์อยู่ที่ระดับ 0.50 บาท/ลิตร ทั้งนี้ กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยการปรับราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ลดลง 0.11 บาท/ลิตร
5. เพื่อแก้ไขปัญหาต้นทุนราคาแก๊สโซฮอล์ที่ปรับตัวสูงขึ้น และให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีในการส่งเสริมการใช้และจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ สนพ.ได้เสนอขอความเห็นชอบ คือ
5.1 ขอความเห็นชอบยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นการชั่วคราว โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2547 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ไม่เปลี่ยนแปลง และความแตกต่างระหว่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 กับน้ำมันแก๊สโซฮอล์อยู่ที่ระดับเดิม 0.50 บาท/ลิตร
5.2 อย่างไรก็ตาม การยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตามข้อ 5.1 ไม่รวมถึงการเรียกเก็บเงินคืนกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนที่ได้มีการจ่ายชดเชยตามนโยบายตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งในช่วงราคาน้ำมันขาลง รัฐบาลจะต้องเก็บเงินคืนเพื่อจ่ายคืนเงินกู้ต่อไป
6. การยกเว้นเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ จะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มี รายได้ลดลงประมาณ 1.35 ล้านบาท/เดือน โดยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในเดือนกันยายน 2547 มีรายรับ 1,101 ล้านบาท และมีรายจ่ายชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 553 และ 7,058 ล้านบาท/เดือน ตามลำดับ และหากการผลิตและจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นไปเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมแก๊สโซฮอล์ของกระทรวงพลังงาน คือ จำนวน 30 ล้านลิตร/เดือน ในปี 2547 - 2549 และจำนวน 90 ล้านลิตร/เดือน ในปี 2554 จะทำให้รายรับของกองทุนน้ำมันฯ ลดลง 8.1 ล้านบาท/เดือน ในปี 2547 - 2549 และ 24.3 ล้านบาท/เดือน ในปี 2554
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นการชั่วคราว ทดแทนต้นทุนราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่เพิ่มขึ้นในส่วนของราคาเอทานอล เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ไว้ที่ระดับเดิม
2. การยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตามข้อ 1 ไม่รวมถึงการเรียกเก็บเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนที่ได้มีการจ่ายเงินชดเชยตามนโยบายตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งในช่วงราคาน้ำมันขาลง รัฐบาลจะต้องเก็บเงินคืนเพื่อจ่ายเงินกู้ต่อไป
3. มอบหมายให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน กรมการค้าภายใน และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปหารือร่วมกับกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันในเรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ที่จะนำมาผสมเอทานอลเพื่อผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดต้องเกิดขึ้นกับประชาชน แล้วให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 5 การขอยุติเงินทดรองจ่ายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเงินชดเชยที่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2546 กบง. เห็นชอบให้มีการแก้ไขกฎระเบียบ รวมทั้งขั้นตอนการปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ โดยให้กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรเร่งรัดการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ให้แก่ผู้ผลิตและผู้นำเข้าภายใน 15 วัน นับจากวันที่ยื่นคำร้องขอรับเงินชดเชย และให้ปรับเพิ่มวงเงินทดรองจ่ายให้แก่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรซึ่งมีไว้สำหรับจ่ายชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวเพิ่มเป็น 3,000 ล้านบาท และ 100 ล้านบาท ตามลำดับ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการจ่ายชดเชยราคาน้ำมันของกองทุนน้ำมันฯ
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2547 ได้มีมติอนุมัติให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) กระทรวงพลังงาน กู้ยืมเงินในวงเงิน 8,000 ล้านบาท ด้วยวิธีเบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารหรือสถาบันการเงิน โดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกัน และต่อมาเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2547 สถาบันฯ ได้ดำเนินการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ โดยการกู้เงินเบิกเกินบัญชี จำนวน 8,000 ล้านบาท
3. ปัจจุบันฐานะเงินกองทุนน้ำมันฯ มีภาระผูกพันที่จะต้องจ่ายเงินชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกน้ำมันเป็นจำนวนสูง และสถาบันฯ ได้กู้เงินมาให้กองทุนเพื่อจ่ายชดเชยเพิ่มเติมอีกจำนวน 30,000 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อให้การบริหารเงินกองทุนน้ำมันฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และประหยัดต้นทุนในการกู้ยืมเงิน สถาบันฯ จึงขออนุมัติหลักการให้มีการยกเลิกวงเงินทดรองจ่ายที่กรมสรรพสามิต จำนวน 3,000 ล้านบาท และกรมศุลกากร จำนวน 100 ล้านบาท โดยสถาบันฯ จะเป็นผู้ดำเนินการเบิกจ่ายเงินกองทุนให้กรมสรรพสามิต/ กรมศุลกากร เพื่อนำไปจ่ายชดเชยให้กับผู้ประกอบการที่ได้ยื่นขอรับเงินชดเชย ดังนี้
3.1 การจ่ายเงินชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ให้กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร แจ้งยอดเงินที่ได้ตรวจสอบและรับรองความถูกต้อง ในแต่ละงวดเดือนภายในวันที่ 25 ของเดือน เพื่อสถาบันฯ จะได้แจ้งยอดเงินที่ต้องเบิกเงินกู้ให้กับสถาบันการเงินภายใน 5 วันทำการก่อนเบิกเงินกู้ ตามเงื่อนไขการกู้ยืมเงิน
3.2 การจ่ายเงินชดเชยก๊าซ LPG ให้กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร ทำหนังสือขอเบิกเงิน กองทุนตามจำนวนเงินที่ผู้ประกอบการได้ยื่นขอรับเงินชดเชยและได้ตรวจสอบและรับรองความถูกต้องครบถ้วนแล้ว ภายในวันที่ 10 ของเดือน
4. จากฐานะกองทุนน้ำมันฯ ที่มีรายรับไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย และสถาบันฯ ซึ่งเป็นกลไกที่จัดตั้งขึ้นทำหน้าที่บริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งมีภาระที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้เบิกเกินบัญชีทุกเดือนและต้องชำระคืนเงินกู้เบิกเกินบัญชี และประกอบกับสถาบันฯ มีความพร้อมสามารถในการจ่ายเงินชดเชยโดยตรงให้กับผู้ประกอบการได้อย่างรวดเร็วแทนกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นว่าความจำเป็นในการมีเงินทดรองจ่ายไว้ที่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรย่อมหมดความจำเป็น
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ยกเลิกเงินทดรองจ่ายที่กรมสรรพสามิต จำนวน 3,000 ล้านบาท และกรมศุลกากร จำนวน 100 ล้านบาท โดยมอบให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานเป็นผู้ดำเนินการจ่ายเงินชดเชยตรงให้กับผู้ประกอบการตามหลักฐานการขอรับเงินชดเชยที่กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากรได้ตรวจสอบและรับรองถูกต้องแล้ว
2. เห็นชอบให้แก้ไขระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2546
สรุปข้อเสนอการขอแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2546 ดังนี้
ส่วนที่ 1 ขอแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2546 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะ การขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน)
1. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ซึ่งได้ทำหน้าที่จัดหาเงินมาให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อนำไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศไม่ให้สูงเกินกว่าระดับที่คณะรัฐมนตรีกำหนด พร้อมทั้งรับโอนงานบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ จากกรมบัญชีกลางมาดำเนินงานตั้งแต่เดือนเมษายน 2547 และเพื่อให้สถาบันฯ สามารถดำเนินการในการบริหารกองทุนน้ำมันฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และเกิดประโยชน์สูงสุด สถาบันฯ จึงมีหนังสือขอให้มีการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2546 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงดังนี้ คือ
(1) ข้อ 2 เพิ่มเติมข้อความ "สถาบัน หมายความว่า สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2546" และ "ผู้อำนวยการ หมายความว่า ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน"
(2) ข้อ 3 ขอแก้ไขเป็น "ให้ตั้งกองทุน เรียกว่า "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง" ไว้ที่สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงและเพื่อตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้คงที่อยู่ในระยะเวลาหนึ่ง ตามที่นโยบายรัฐบาลกำหนด"
(3) ข้อ 6 ขอแก้ไข จาก "ให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้จัดการกองทุน" เป็น "ให้ผู้อำนวยการเป็นผู้จัดการกองทุน"
(4) ข้อ 7 ขอแก้ไขเป็น "(2) เป็นเงินค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของสถาบันตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ" และ "(5) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใดๆ เพื่อให้การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิงเป็นไปอย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ"
(5) ข้อ 10 ข้อ 11 และข้อ 27 แก้ไขคำที่ใช้ว่า "ปลัดกระทรวงพลังงาน" เป็น "ผู้อำนวยการ"
2. แต่ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการดำเนินงานบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ของสถาบันฯ ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรให้มีปรับปรุงแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2546 ในประเด็นเกี่ยวกับข้อความข้อ 2, 10, 11 และ 27 ในคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2546 ตามที่สถาบันฯ ขอให้แก้ไข ทั้งนี้ เป็นการแก้ไขนิยามที่เกี่ยวข้องกับสถาบันซึ่งยังไม่ได้ถูกกำหนดไว้ และในส่วนข้อความข้อ 3, 6 และ 7 ในคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ ขอให้คงเดิม เนื่องจากนโยบายการมีกองทุนน้ำมันฯ ขึ้น เป็นนโยบายรัฐบาลที่มอบให้ปลัดกระทรวงเป็นผู้รับผิดชอบในฐานะผู้จัดการกองทุน และมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 3 ของพระราชกำหนด พ.ศ. 2516 ขณะเดียวกัน สถาบันฯ อาจของบประมาณจากงบประมาณประจำปีจากรัฐบาลและสามารถยื่นของบประมาณรายจ่ายประจำปีจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามข้อ 7 (2) ได้อยู่แล้ว
ส่วนที่ 2 ขอแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2546 ในส่วนของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
3. กระทรวงพลังงาน ได้ดำเนินการปรับปรุงระบบการค้าและมาตรฐานความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปแล้ว 2 ขั้นตอน ซึ่งมีผลให้โรงบรรจุต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ดังนี้ ห้ามบรรจุข้ามยี่ห้อ ห้ามบรรจุไม่เต็มน้ำหนัก และห้ามบรรจุถังผิดกฎหมาย และก่อนที่จะเริ่มดำเนินการปรับปรุงระบบการค้าฯ ใน ขั้นตอนสุดท้าย (ขั้นตอนที่ 3) ปรากฏว่าได้มีปัญหาการลักลอบกระทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการลักลอบบรรจุข้ามยี่ห้อ ซึ่ง สนพ. ได้ประสานความร่วมมือกับกรมธุรกิจพลังงาน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้ามาดำเนินการแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยจัดชุดตำรวจเฉพาะกิจด้านก๊าซปิโตรเลียมเหลวขึ้น เสริมกำลังเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน ออกตรวจสอบและจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายทั่วประเทศ เพื่อควบคุมไม่ให้โรงบรรจุกลับไปบรรจุข้ามยี่ห้อเช่นเดิม
4. ผลการดำเนินโครงการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วงเดือนตุลาคม 2546 - มิถุนายน 2547 มีผู้กระทำความผิด จำนวน 219 ราย แยกเป็นการกระทำผิดที่โรงบรรจุ 118 แห่ง สถานีบริการแก๊ส (ปั๊มแก๊ส) 94 แห่ง และร้านค้าปลีก 7 แห่ง โดยมี ข้อหาในการจับกุม จำนวน 251 ข้อหา จากผลการจับกุมดังกล่าว พบว่าปั๊มแก๊สซึ่งขออนุญาตจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิงสำหรับเติมรถยนต์เป็นสถานที่กระทำความผิดและหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมายของผู้ประกอบธุรกิจก๊าซ หุงต้มมากที่สุด จำนวน 104 ข้อหา โดยที่รายชื่อปั๊มแก๊สที่ถูกจับกุมจะเป็น รายชื่อซ้ำที่จะถูกจับกุมมากกว่าหนึ่งครั้ง
5. สำหรับสาเหตุการลักลอบบรรจุถังก๊าซหุงต้มโดยผิดกฎหมายเกิดจาก 1) บทลงโทษตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 28 (ปว. 28) ค่อนข้างต่ำ ปรับไม่เกิน 5,000 บาท ทำให้ปั๊มก๊าซไม่เกรงกลัว 2) เนื่องจากปัจจุบันร้านค้าก๊าซไม่ได้สังกัดผู้ค้าก๊าซมาตรา 7 จึงสามารถนำถังก๊าซไปลักลอบบรรจุตามปั๊มก๊าซได้ และจะขาดการดูแลซ่อมบำรุงถังก๊าซตามที่กฎหมายกำหนด ก่อให้เกิดอันตรายกับสังคมได้
6. ดังนั้นแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจึงควรเป็น
(1) แก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2546 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ในข้อ 21 ให้สถานีบริการก๊าซมีความผิดหากบรรจุก๊าซลงในถังก๊าซหุงต้มขายหรือจำหน่ายก๊าซให้กับผู้อื่น บทลงโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(2) จัดระเบียบร้านค้าก๊าซ ให้สังกัดผู้ค้าก๊าซมาตรา 7 โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 เพื่อควบคุมให้ร้านค้าก๊าซนำถังก๊าซไปบรรจุตามยี่ห้อที่ตนสังกัด และหากร้านค้าก๊าซนำ ถังก๊าซไปบรรจุนอกยี่ห้อที่ตนสังกัด จะถูกยกเลิกการเป็นตัวแทนและห้ามขายก๊าซยี่ห้อดังกล่าว
(3) ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 เรื่อง การปรับองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ความว่า "ให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้จ่ายในการป้องกันการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง ประสานสำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเป็นค่าใช้จ่ายให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง" เนื่องจากความมุ่งหมายของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว มุ่งหมายให้โอนงานน้ำมันเถื่อนไปให้กระทรวงการคลังรับผิดชอบจัดหางบประมาณแผ่นดินมาใช้แทนการใช้เงินกองทุนน้ำมัน ซึ่งในปัจจุบันได้มีการดำเนินการเรียบร้อยแล้ว โดยการดำเนินการดังกล่าวไม่รวมถึงการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับก๊าซหุงต้ม เนื่องจากไม่ใช่เรื่องหนีภาษี แต่เป็นเรื่องปัญหาความปลอดภัย และมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว มีความหมายกว้าง ทำให้ไม่สามารถใช้เงิน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาสนับสนุนการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับธุรกิจปิโตรเลียมเหลว ซึ่งปัจจุบันยังต้องดำเนินการปรับปรุงพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการจัดทำร่างแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2546 ตามการขอ แก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ในข้อ 2, ข้อ 10 - 11, ข้อ 21 และข้อ 27 เพื่อดำเนินการต่อไป
2. เห็นชอบให้นำเสนอขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 เรื่อง การปรับองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ต่อคณะรัฐมนตรี
เรื่องที่ 7 ข้อเสนอการลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลได้มีนโยบายช่วยเหลือประชาชนโดยทั่วไป ด้วยการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับต่ำกว่าความเป็นจริง โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลยังคงถูกตรึงราคาไว้ที่ระดับต่ำเช่นเดิมมาจนถึงปัจจุบัน
2. ชาวประมงที่ซื้อน้ำมันในโครงการจำหน่ายน้ำมันสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว) ได้รับความเดือดร้อนเพราะการตรึงราคาไม่ได้ครอบคลุมถึงโครงการฯจึงไม่ได้รับการชดเชย ดังนั้นราคาน้ำมัน ในโครงการฯจึงเพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลก จนใกล้เคียงกับราคาขายส่งของน้ำมันดีเซลบนบกที่ถูกตรึงราคาไว้ ทำให้ปริมาณจำหน่ายน้ำมันเขียวลดลง เนื่องจากชาวประมงบางส่วนต้องจอดเรือพักการทำประมง และบางส่วนหันมาซื้อน้ำมันบนฝั่งแทน ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3. ผลสืบเนื่องจากปัญหาราคาน้ำมันแพง ทำให้กลุ่มประมงในบางจังหวัดเสนอขอให้มีการชดเชยราคาน้ำมันเขียว นอกจากนี้ชาวประมงที่ได้รับสัมปทานทำประมงในประเทศพม่าได้ซื้อน้ำมันบนบก เพื่อนำไปใช้ในการทำประมงแทนน้ำมันเขียว แต่เนื่องจากประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน กำหนดให้เรือที่มีความประสงค์จะเติมน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อใช้สำหรับเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ต้องส่งเงินคืนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้ชาวประมงมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณลิตรละ 4 บาท และการซื้อน้ำมันบนบกราคาถูก อาจทำให้เกิดการลักลอบนำน้ำมันไปจำหน่ายยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีราคาน้ำมันสูงกว่า ทำให้เกิดการรั่วไหลของเงินชดเชยได้ และยังมีผลกระทบต่อการวางแผนการผลิตน้ำมันสำหรับโครงการน้ำมันเขียวของโรงกลั่นด้วย
4. ดังนั้นเพื่อลดภาระชดเชยของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในอนาคต และเป็นการผลักดันให้ชาวประมงหันกลับไปใช้น้ำมันเขียว และเพื่อป้องกันมิให้มีการน้ำมันบนบกที่ได้รับการชดเชยจากภาครัฐมีการลักลอบนำไปจำหน่ายยังต่างประเทศ สนพ. จึงได้ข้อเสนอแนวทางการแก้ไข ดังนี้
1) ขอความเห็นชอบ การตรึงราคาน้ำมันเขียวโดยการชดเชยในลักษณะของการให้ยืมและให้ส่งคืนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อในภายหลังตามหลักเกณฑ์เดียวกับการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงบนบก
2) ขอให้มอบหมาย สนพ.,กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต ร่วมกันจัดทำระบบการชดเชยและ ส่งคืนเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อตรึงราคาน้ำมันเขียว โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจ่ายเงินชดเชยหรือรับเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3) เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำน้ำมันที่ได้รับชดเชยไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการกำกับดูแลการจ่ายเงินชดเชยตามปริมาณน้ำมันเขียวที่ใช้จริงไม่ให้เกิดการรั่วไหล โดยขอให้มอบหมายหน่วยงานต่างๆ เช่น สนพ., กรมประมง, กรมศุลกากร, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ รับไปดำเนินการ
4) ขอให้ช่วยเหลือชาวประมงขนาดเล็กได้ซื้อน้ำมันในราคาต่ำลงอีก โดยให้เรือประมงชายฝั่งขนาดเล็ก(ความยาวไม่เกิน 14 เมตร) รวมตัวเพื่อซื้อน้ำมันบนบกในราคาขายส่ง ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันถูกลงประมาณ ลิตรละ 50 - 75 สตางค์ และให้มีการจัดตั้งเรือสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทะเลอาณาเขต โดยมอบหมายให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี, กรมธุรกิจพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ รับไปดำเนินการ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมง (โครงการน้ำมันเขียว) ไม่ให้สูงกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบก โดยให้จ่ายเงินชดเชยในส่วนต่างของราคาน้ำมันเขียวที่สูงกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบก และให้เรียกเก็บเงินคืนเมื่อราคาน้ำมันเขียวลดต่ำลงน้อยกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบก ไปจนเมื่อเรียกเก็บเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้หมด
2. มอบหมายให้ สนพ. กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิตร่วมกันจัดทำระบบการชดเชยและส่งคืนเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อตรึงราคาน้ำมันเขียว โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจ่ายเงินชดเชยหรือรับเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันฯ
3. มอบหมายให้ สนพ. กรมประมง กรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ รับไปดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำน้ำมันที่ได้รับชดเชยไปจำหน่ายยังต่างประเทศ