มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 6)
วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2548 เวลา 09.00 น.
ณ ห้องประชุม 603 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. รายงานผลการดำเนินการของคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3. ข้อเสนอการออกและการจำหน่ายตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
4. การชดเชยราคาน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาะสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยในไตรมาส 1 ปี 2548 ปรับตัวสูงขึ้น และอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 41.41 และ 47.79 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนส่งผลให้การผลิตและการขนส่งน้ำมันต้องหยุดชัก ประกอบกับ จากเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมัน ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2548 ที่ประชุมกลุ่มโอเปคได้มีมติให้เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบขึ้นจากระดับ 27 ล้านบาร์เรล/วัน เป็นที่ระดับ 27.50 ล้านบาร์เรล/วัน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2548 เป็นต้นไป ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยเดือนมีนาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 45.84 และ 53.16 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์เฉลี่ยในไตรมาส 1 ปี 2548 ปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 ปรับตัวสูงขึ้น 3.31 และ 3.41 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จาก ความต้องการซื้อของอินโดนีเซีย อินเดีย เวียดนาม ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และนิวซีแลนด์ ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวสูงขึ้น 1.33 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความต้องการซื้อของอินเดียเพิ่มขึ้นเนื่องจากรัฐบาลประกาศใช้น้ำมันดีเซล 0.035% ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2548 ขณะที่ไต้หวัน เกาหลีใต้และจีนลดการส่งออก เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันปิดซ่อมบำรุงประจำปี ราคาเฉลี่ยเดือนมีนาคม 2548 ของน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็ว อยู่ที่ระดับ 59.47, 58.73 และ 62.58 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยของไทยในไตรมาส 1 ปี 2548 ปรับตัวลดลงจากการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 โดยรัฐบาลได้ปล่อยลอยตัวราคาน้ำมันเบนซินเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2547 แต่ยังคงตรึงราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไว้ที่ระดับ 18.19 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกของน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 1 เมษายน 2548 อยู่ที่ระดับ 22.09 , 21.29 และ 18.19 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดในไตรมาส 1 ปี 2548 ปรับตัวลดลง มาอยู่ที่ระดับ 0.8856 บาท/ลิตร โดยค่าการตลาดเฉลี่ยในเดือนมีนาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 0.9034 บาท/ลิตร ส่วนค่าการกลั่นในช่วงไตรมาส 1 ปรับตัวลดลง มาอยู่ที่ระดับ 1.3293 บาท/ลิตร ค่าการกลั่นเฉลี่ยโดยรวมเดือนมีนาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 1.5574 บาท/ลิตร
5. รัฐบาลได้ปล่อยลอยตัวราคาน้ำมันเบนซิน แต่ยังคงตรึงราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนั้นอัตราชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 31 มีนาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 3.56 บาท/ลิตร และตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2548 กองทุนน้ำมันฯ มีภาระการจ่ายชดเชยสะสมทั้งสิ้น 78,370 ล้านบาท แยกเป็นเงินชดเชยน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วจำนวน 6,975 ล้านบาท และ 71,395 ล้านบาท ตามลำดับ
6. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกเดือนเมษายน 2548 ปรับตัวสูงขึ้น 37.20 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 416.2 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 12.2242 บาท/กก. (เป็นระดับเพดานของก๊าซ LPG สูงสุด 315 เหรียญสหรัฐ/ตัน) อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ อยู่ในระดับ 2.1543 บาท/กก. คิดเป็นเงิน 408 ล้านบาท/เดือน และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 1 เมษายน 2548 2548 มีเงินสดสุทธิ 258 ล้านบาท มีหนี้สินค้างชำระ 63,572 ล้านบาท แยกเป็นภาระผูกพัน 197 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 5,606 ล้านบาท หนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ 152 ล้านบาท หนี้การตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงช่วงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 ถึงวันที่ 14 มีนาคม 2548 ประมาณ 7,745 ล้านบาท หนี้เงินกู้ 49,780 ล้านบาท ดอกเบี้ยเงินกู้ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ประมาณ 92 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ ติดลบ 63,314 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานผลการดำเนินการของคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้รายงานผลการอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2547 - เดือนมีนาคม 2548 โดยได้อนุมัติเงินไปแล้วรวมทั้งสิ้นจำนวน 481,036,288.86 บาท ให้กับหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ กรมสรรพสามิต สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ข้อเสนอการออกและการจำหน่ายตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) กู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศ โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้จำนวน 63,000 ล้านบาท เพื่อนำไปจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง แยกเป็นอนุมัติเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2547 จำนวน 8,000 ล้านบาท วันที่ 24 สิงหาคม 2547 จำนวน 30,000 ล้านบาท และวันที่ 21 ธันวาคม 2547 จำนวน 25,000 ล้านบาท ซึ่งการอนุมัติการกู้เงินครั้งสุดท้ายนี้มีมติประกอบให้ สบพ. ดำเนินการออกพันธบัตรและเสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป เพื่อให้กองทุนฯ มีสภาพคล่องเพียงพอในการจ่าย ชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. สบพ. ได้กู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศโดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้จำนวน 63,000 ล้านบาท ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่และระยะเวลาครบกำหนดชำระ 12 เดือน แบ่งเป็น 3 ครั้ง โดยครั้งละ 8,000, 30,000 และ 25,000 ล้านบาท ตามลำดับ และ สบพ. ได้จ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันให้กับผู้ประกอบการแล้ว จำนวน 58,762 ล้านบาท และเหลือวงเงินกู้จำนวน 8,590 ล้านบาท สำหรับจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงงวดเดือนมีนาคม 2548 ซึ่งจะต้องจ่ายในเดือนพฤษภาคม 2548
3. เงินกู้จำนวน 63,000 ล้านบาท จะทยอยครบกำหนดชำระคืนตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2548 เป็นต้นไป ซึ่งในเดือนมิถุนายน 2548 มีเงินกู้ครบกำหนดชำระคืนจำนวน 3,000 ล้านบาท แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมากองทุนฯ มีภาระการจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับสูง จึงทำให้ สบพ. ไม่สามารถสะสมรายรับของกองทุนฯ เพื่อใช้ชำระหนี้ที่ครบกำหนดชำระคืนได้ เนื่องจากปัจจุบันกองทุนฯ มีรายรับจากน้ำมันเบนซิน ก๊าด และเตา ประมาณ 252 ล้านบาท/เดือน แต่มีรายจ่ายเพื่อชดเชยราคาน้ำมันดีเซลจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ จ่ายชดเชยราคา LPG และรายจ่ายภาวะผูกพันเป็นจำนวนมาก ทำให้กองทุนฯ มีรายจ่ายมากกว่ารายรับประมาณ 190 ล้านบาท/เดือน
4. นอกจากนี้ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2548 กองทุนฯ มีหนี้สะสมชดเชยราคา LPG ประมาณ 7,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจาก สบพ. จ่ายชำระหนี้ในส่วนนี้ประมาณ 260 ล้านบาท/เดือน ขณะที่การชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวอยู่ที่ประมาณ 450 ล้านบาท/เดือน ซึ่งอาจทำให้ผู้ผลิตเกิดความไม่มั่นใจ ในนโยบายของรัฐ และอาจทำให้เกิดการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลวภายในประเทศได้ และเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2548 พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 มีผลบังคับใช้ ซึ่งตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวห้ามมิให้กระทรวงการคลังหรือหน่วยงานของรัฐค้ำประกันหนี้ที่เกิดขึ้นหรือตั้งงบประมาณรายจ่าย ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงไม่สามารถค้ำประกันเงินกู้ให้ สบพ. ได้อีกต่อไป และ สบพ. ไม่มีทรัพย์สินใดที่สามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ได้ จึงทำให้ สบพ. ไม่สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินได้
5. เพื่อให้กองทุนฯ มีเงินชำระหนี้เงินกู้ระยะสั้นที่ครบกำหนดและสามารถจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงได้ และเพื่อให้ สบพ. สามารถบริหารภาระหนี้และบริหารจัดการสภาพคล่องของกองทุนฯ ได้ สบพ. จึงเสนอให้ สบพ. ควรจัดหาเงินกู้ระยะยาวให้กับกองทุนฯ โดยการออกตราสารหนี้และเสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป และเมื่อภาระชดเชยราคาน้ำมันดีเซลยุติจึงจะสะสมรายรับจากเงินส่งเข้ากองทุนฯ ชำระคืนหนี้ตราสารหนี้ดังกล่าว
6. ในการออกและเสนอขายตราสารหนี้ของ สบพ. จะเป็นไปตามหลักเกณฑ์การดำเนินการออกและเสนอขายตราสารหนี้ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ส่วนการเสนอขายตราสารหนี้ของ สบพ. ได้คำนึงถึงความต้องการของนักลงทุนประกอบกับจำนวนเงินที่กองทุนฯ จำเป็นต้องใช้ในการชำระหนี้และจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และความสามารถในการชำระหนี้ของกองทุนฯ รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ตลอดจนการจัดทำโครงสร้างตราสารหนี้ที่ดีและบริหารจัดการกระแสเงินของกองทุนฯ อย่างชัดเจน และหากมีการปรับราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซหุงต้มให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงเพื่อลดภาระการชดเชยจากกองทุนฯ และปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ เพื่อเพิ่มเติมรายได้ให้กองทุนฯ จะสามารถลดความกังวลของนักลงทุนและเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ของ สบพ. ได้
7. เพื่อให้ตราสารหนี้ของ สบพ. มีโครงสร้างที่ดี ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับ "AA" และลดความกังวลของนักลงทุน ซึ่งจะทำให้ตราสารหนี้ของ สบพ. ได้รับความสนใจจากนักลงทุนขอได้จึงเห็นควรขอเห็นชอบในประเด็นดังนี้
7.1 เห็นควรให้ สบพ. ออกและเสนอขายตราสารหนี้ให้กับนักลงทุนทั่วไปจำนวนไม่เกิน 85,000 ล้านบาท (ไม่เกินแปดหมื่นห้าพันล้านบาทถ้วน) โดยเสนอขายเป็นชุดๆ ตามจำนวนเงินที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละช่วงเวลาและอายุไถ่ถอนแต่ละชุดไม่เกิน 5 ปี เพื่อนำเงินไปชำระหนี้ จ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายดอกเบี้ย และเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของกองทุนฯ หรือไม่
7.2 เห็นควรให้ สบพ. ไปเจรจาผ่อนเวลาการชำระหนี้ในส่วนที่ไม่ขัดกับพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 เป็นต้นไป ซึ่งหากสามารถเจรจาได้สำเร็จ ให้หนี้ในส่วนที่ผ่อนเวลาการชำระหนี้และหนี้ ที่เกิดจากการออกตราสารหนี้รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 85,000 ล้านบาท (ไม่เกินแปดหมื่นห้าพันล้านบาทถ้วน) หรือไม่
7.3 เห็นควรให้ทยอยลดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวลงเรื่อยๆ โดยกำหนดให้ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2548 เป็นต้นไป อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมไม่เกิน 1.50 บาท/กก. และตั้งแต่เดือนกันยายน 2548 เป็นต้นไป อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมไม่เกิน 0.50 บาท/กก. หรือไม่
7.4 เห็นควรให้ทยอยลดอัตราเงินชดเชยของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นศูนย์ในที่สุด โดยกำหนดให้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2548 เป็นต้นไป อัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่เกิน 1.00 บาท/ลิตร และตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2549 เป็นต้นไป อัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเป็นศูนย์หรือไม่
7.5 เห็นควรให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารราปรับเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล ในกรณีที่การเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร/ครั้ง โดยการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวต้องทำให้ สบพ. สามารถจ่ายดอกเบี้ยและชำระคืนเงินต้นตราสารหนี้ได้เมื่อครบกำหนดจ่าย แต่ทั้งนี้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวจะต้องไม่เกิน 1.50 บาท/ลิตร หรือไม่
7.6 เห็นควรให้แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุน น้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2548 ตามร่างระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง พ.ศ. 2547 ที่ สบพ. เสนอ หรือไม่
7.7 เห็นควรให้ สบพ. ตรวจสอบยอดเงินในบัญชี "เงินไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" ทุกๆ 3 เดือน เพื่อพิจารณาถึงความสามามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและชำระเงินคืนต้นที่ครบกำหนด และหากพบว่าไม่เพียงพอให้แจ้งให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานทราบ เพื่อพิจารณาปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป หรือไม่
7.8 เห็นควรให้โอนสิทธิการบริหารบัญชี "เงินไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" ให้ตัวแทนชำระเงินเป็นผู้บริหารบัญชีดังกล่าวภายใต้สัญญาที่มีการตกลงร่วมกันกับ สบพ. หรือไม่
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) ออกและเสนอขายตราสารหนี้ให้กับนักลงทุน ทั่วไปจำนวนไม่เกิน 85,000 ล้านบาท (ไม่เกินแปดหมื่นห้าพันล้านบาท) โดยเสนอขายเป็นชุดๆ ตามจำนวนเงินที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละช่วงเวลาและอายุไถ่ถอนแต่ละชุดไม่เกิน 5 ปี เพื่อนำเงินไปชำระหนี้ จ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง จ่ายดอกเบี้ย และเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. เห็นชอบให้ สบพ. ไปเจรจาผ่อนเวลาการชำระหนี้ในส่วนที่ไม่ขัดกับพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ซึ่งหากสามารถเจรจาได้สำเร็จ ให้หนี้ในส่วนที่ผ่อนเวลาการชำระหนี้และหนี้ที่เกิดจากการออกตราสารหนี้รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 85,000 ล้านบาท (แปดหมื่นห้าพันล้านบาท)
3. เห็นชอบให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารณาปรับเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล ในกรณีการเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร/ครั้ง โดยการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวต้องทำให้ สบพ. สามารถจ่ายดอกเบี้ยและชำระคืนเงินต้นตราสารหนี้ได้เมื่อครบกำหนดจ่าย แต่ทั้งนี้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซลรวมแล้วจะต้องไม่เกิน 1.50 บาท/ลิตร
4. เห็นชอบให้ สบพ. แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2546 ให้เป็นไปตามร่างระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ตามที่ สบพ. เสนอ ทั้งนี้ ต้องระบุวัตถุประสงค์การแก้ไขระเบียบดังกล่าวให้ชัดเจน
5. เห็นชอบให้ สบพ. ทำหน้าที่ตรวจสอบยอดเงินในบัญชี "เงินไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" อย่างต่อเนื่อง เพื่อพิจารณาถึงความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและชำระคืนเงินต้นที่ครบกำหนด และหากพบว่าไม่เพียงพอให้แจ้งให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานทราบ เพื่อพิจารณาปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป
6. เห็นชอบให้โอนสิทธิการบริหารบัญชี "เงินไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ให้ตัวแทนชำระเงินเป็นผู้บริหารบัญชีดังกล่าวภายใต้สัญญาที่มีการตกลงร่วมกันกับ สบพ."
เรื่องที่ 4 การชดเชยราคาน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว)
สรุปสาระสำคัญ
1. จากรัฐบาลได้มีมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 ถึงวันที่ 22 มีนาคม 2548 ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (น้ำมันเขียว) สูงกว่าราคาน้ำมันบนบก ชาวประมงจึงหันมาใช้น้ำมันบนบกแทน ดังนั้น เพื่อลดภาระการชดเชยของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และเป็นการผลักดันให้ชาวประมงหันกลับไปใช้น้ำมันเขียว คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุม เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2547 ได้มีมติเรื่อง ข้อเสนอการลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเห็นชอบในหลักการให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมง ไม่ให้สูงกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบก โดยให้จ่ายชดเชยในส่วนต่างของราคาน้ำมันเขียวที่สูงกว่าน้ำมันดีเซลบนบก และให้เรียกคืนเมื่อราคาน้ำมันเขียวลดต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบกไปจนกว่าจะเรียกเก็บคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้หมด และมอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการจัดระบบการชดเชยและส่งคืนเงินเข้ากองทุนฯ รวมทั้งการเพื่อป้องกันการนำน้ำมันที่ได้รับการ ชดเชยไปจำหน่ายยังต่างประเทศ
2. ผลการดำเนินโครงการฯ ในการจำหน่ายน้ำมันเขียว และการจ่ายเงินชดเชยตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2548 ถึงวันที่ 22 มีนาคม 2548 พบว่าการจำหน่ายน้ำมันเขียวและจำนวนเงินชดเชยมีปริมาณ 29,146,302 ลิตร เป็นเงิน 58,775,024.93 บาท และการจำหน่ายน้ำมันเหลืองเป็นน้ำมันเขียว (ขาดแคลน) และจำนวนเงินชดเชยมีปริมาณ 12,658,547 ลิตร เป็นเงิน 35,479,035.62 บาท รวมเป็นเงินที่จ่ายชดเชยทั้งสิ้น 94,254,060.54 บาท
3. เพื่อให้การแก้ไขปัญหาโครงการน้ำมันเขียวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงขอความเห็นชอบ ดังนี้
3.1 ขอความเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้อนุมัติออกประกาศชดเชยหรือประกาศส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว) สำหรับกรณีน้ำมันเขียวแพงกว่าบนบกและกรณีน้ำมันเขียวขาดแคลนได้ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2548 ถึงวันที่ 22 มีนาคม 2548 และมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันเขียวแพงกว่าน้ำมันบนบกหรือกรณีน้ำมันเขียวขาดแคลน ให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสามารถสั่งการให้ออกประกาศชดเชยได้ทันที โดยไม่ต้องนำเข้า กบง. เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
3.2 ขอความเห็นชอบวงเงินในการจ่ายเงินชดเชยโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว) ตามข้อ 2 เป็นจำนวนเงินชดเชยทั้งสิ้น 94,254,060.54 บาท (เก้าสิบสี่ล้าน สองแสนห้าหมื่นสี่พันหกสิบบาทห้าสิบสี่สตางค์) ทั้งนี้ จำนวนเงินดังกล่าวเป็นการจ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ ให้ชาวประมงก่อน และจะเรียกเก็บเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันฯ เมื่อราคาน้ำมันเขียวลดต่ำลงกว่าราคาน้ำมันดีเซล บนบกไปจนกว่าจะเรียกเก็บคืนได้หมดตามจำนวนเงินที่จ่ายชดเชยไป
3.3 มอบหมายให้กรมสรรพสามิตและสถาบันบริหารกองทุนพลังงานร่วมกันจัดทำระบบการชดเชยและส่งคืนเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อตรึงราคาน้ำมันเขียว โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้ตรวจสอบปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ และให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการจ่ายเงินชดเชยหรือรับเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้อนุมัติออกประกาศชดเชยราคาน้ำมัน หรือประกาศการส่งคืนเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว) ในกรณีราคาน้ำมันเขียวแพงกว่าน้ำมันดีเซลบนบก และกรณีน้ำมันเขียวขาดแคลนได้ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548 และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานต่อไป แต่ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันเขียวแพงกว่าน้ำมันดีเซลบนบก หรือกรณีน้ำมันเขียวขาดแคลนในระยะต่อไป เห็นควรให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสามารถสั่งการให้ออกประกาศชดเชยราคาน้ำมันหรือส่งคืนเงินเข้ากองทุนฯ ได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณา/อนุมัติจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
2. เห็นชอบอนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจ่ายเป็นเงินชดเชยในโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง ในวงเงิน 94,254,060.54 บาท (เก้าสิบสี่ล้านสองแสนห้าหมื่นสี่พันหกสิบบาทห้าสิบสี่สตางค์) โดยจ่ายให้แก่บริษัท น้ำมันทีพีไอ จำกัด เป็นจำนวนเงิน 58,775,024.94 บาท (ห้าสิบแปดล้าน เจ็ดแสนเจ็ดหมื่นห้าพันยี่สิบสี่บาทเก้าสิบสี่สตางค์) สำหรับการชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเขียว ตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548 และจ่ายให้แก่บริษัท อัลลายแอนซ์ รีไฟน์นิ่ง จำกัด และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด เป็นจำนวนเงินรวม 35,479,035.62 บาท (สามสิบห้าล้านสี่แสนเจ็ดหมื่นเก้าพันสามสิบห้าบาทหกสิบสองสตางค์) เพื่อจ่ายชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเหลืองเป็นน้ำมันเขียวตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548 โดยทั้งนี้ จำนวนเงินดังกล่าวเป็นการจ่ายจากกองทุนฯ ให้กับชาวประมงก่อนและจะเรียกเก็บเงินคืนเข้ากองทุนฯ เมื่อราคาน้ำมันเขียวลดต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบกไปจนกว่าจะเรียกเก็บคืนได้หมดตามจำนวนเงินที่จ่ายชดเชยไป
3. มอบหมายให้กรมสรรพสามิต และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) ร่วมกันจัดทำระบบการจ่ายชดเชยและส่งคืนเงินเข้ากองทุนฯ เพื่อตรึงราคาน้ำมันเขียว โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ และให้ สบพ. เป็นผู้รับผิดชอบด้านการจ่ายเงินชดเชยหรือรับเงินคืนเข้ากองทุนฯ
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535 ได้ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจาก ผู้ผลิตรายเล็ก (Small Power Producers : SPP) งวดที่ 1 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2535 โดยการดำเนินการรับซื้อ ไฟฟ้าจาก SPP ตั้งแต่ปี 2535 ถึงปัจจุบัน กฟผ. ได้รับข้อเสนอขายไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 144 ราย มี SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้ารวม 91 ราย โดย กฟผ. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วจำนวน 81 ราย และอยู่ระหว่างการเจรจา 10 ราย หากทุกโครงการแล้วเสร็จและสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ ปริมาณรับซื้อไฟฟ้าทั้งสิ้นจะ เท่ากับ 2,519.3 เมกะวัตต์
2. ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 มี SPP 69 ราย ที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟผ. แล้ว และปริมาณเสนอขายไฟฟ้ารวม 2,228.8 เมกะวัตต์ เป็นโครงการที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงจำนวน 19, 4 และ 1 โครงการ ปริมาณ 1,413, 196 และ 9 เมกะวัตต์ ตามลำดับ นอกจากนี้ เป็นโครงการที่ใช้พลังงานนอก รูปแบบเป็นเชื้อเพลิง 41 โครงการ จำนวน 375.8 เมกะวัตต์ และที่ใช้เชื้อเพลิงผสมในการผลิตไฟฟ้า 1 โครงการ จำนวน 45 เมกะวัตต์
3. สนพ. ได้มี "โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" โดยใช้เงินจาก "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ปัจจุบัน มีผู้ผลิตรายเล็ก ได้รับอนุมัติการจัดสรรเงินจากคณะกรรมการกองทุนฯ จำนวน 20 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้ารวม 243.3 MW คิดเป็นวงเงินสนับสนุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,400 ล้านบาท สำหรับโครงการของบริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) (โครงการโรงไฟฟ้าห้วยยอด จังหวัดตรัง) คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติให้รอผลการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) แล้วให้ สนพ. นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติเงินสนับสนุนภายในวันที่ 30 กันยายน 2547
4. เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2547 กฟผ. ได้ลงนามในหนังสือยืนยันการรับเงินกองทุนฯ กับ สนพ. โดยมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 1,400 ล้านบาท เพื่อนำไปจ่ายให้กับ SPP จำนวน 20 ราย ตามหน่วยพลังงานไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ กฟผ. กฟผ. กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ ได้ดำเนินการลงนามในหนังสือสัญญาขอรับเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าส่วนเพิ่ม เรียบร้อยแล้ว 6 ราย และกำลังตรวจสัญญา 6 ราย โดยที่มีการยกเลิกสัญญา 1 ราย และยังไม่ดำเนินการใดๆ 4 ราย ในการนี้ คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดให้มีการตั้งคณะกรรมการไตรภาคี เพื่อทำหน้าที่ติดตามและตรวจสอบการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า ปัจจุบันได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการไตรภาครีรวม 18 คณะ
5. ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประเภทสัญญา Firm จะต้องยื่นหลักค้ำประกันให้กับ กฟผ. จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่
5.1 หลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอ SPP ต้องยื่นหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอ พร้อมคำร้องการขายไฟฟ้าในวงเงินเท่ากับ 500 บาทต่อกิโลวัตต์ ตามปริมาณพลังไฟฟ้าที่เสนอขายให้กับ กฟผ. ทั้งนี้ กฟผ. จะคืนหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอให้แก่ SPP ที่ไม่ได้รับการคัดเลือกภายใน 30 วัน หลังจากแจ้งผลการ คัดเลือกข้อเสนอ
5.2 หลักค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาฯ SPP จะต้องยื่นหลักค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาฯ ในวันลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ในวงเงินเป็นจำนวนเท่ากับร้อยละ 5 ของมูลค่าปัจจุบันของค่าพลังไฟฟ้าที่จะได้รับทั้งหมดตามสัญญา โดยใช้อัตราส่วนลด (Discount Rate) เท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าจะคืนหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาฯ ให้แก่ SPP เมื่อ SPP ได้เริ่มต้นปฏิบัติตามสัญญาฯ ถูกต้องครบถ้วนแล้ว
5.3 หลักค้ำประกันการยกเลิกสัญญาฯ SPP จะต้องยื่นหลักค้ำประกันการยกเลิกสัญญาฯ ก่อนวันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้าตามสัญญาฯ ในวงเงินเท่ากับร้อยละ 10 ของค่าพลังไฟฟ้าที่ SPP จะได้รับในระยะเวลา 5 ปีแรกของสัญญาฯ โดย กฟผ. จะคืนหลักค้ำประกันดังกล่าวเมื่ออายุสัญญาสิ้นสุด หรือเมื่อการไฟฟ้าได้เรียกเก็บเงินค่าพลังไฟฟ้าครบถ้วนในกรณีที่สัญญาฯ ถูกยกเลิกก่อนครบอายุสัญญา
6 เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2545 บริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) (โครงการโรงไฟฟ้าห้วยยอด จังหวัดตรัง) ได้ยื่นคำร้องการขายไฟฟ้าประเภท Firm อายุสัญญา 25 ปี ให้ กฟผ. โดยเสนอขายพลังไฟฟ้าเข้าระบบ 20.2 เมกะวัตต์ ที่ใช้เศษไม้ยางพารา และกะลาปาล์มเป็นเชื้อเพลิง และได้วางหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าเป็นหนังสือค้ำประกัน จำนวนเงิน 10,100,000 บาท โดย กฟผ. ได้ตอบรับซื้อไฟฟ้าจากบริษัทฯ เมื่อ วันที่ 25 ตุลาคม 2545 ทั้งนี้ บริษัท ได้ยื่นขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และได้ผ่านการคัดเลือกเบื้องต้น โดยอัตราเงินที่ได้รับสนับสนุนเท่ากับ 0.18 บาท/kWh และกำหนดวันสิ้นสุดการพิจารณาเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวันที่ 30 กันยายน 2547 เมื่อถึงวันที่กำหนด โครงการยังไม่ได้รับการพิจารณา รายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อรายได้จากการขายไฟฟ้าของบริษัท และไม่คุ้มค่าการลงทุน บริษัทฯ จึงแจ้งยกเลิกข้อเสนอขายไฟฟ้า พร้อมทั้งขอรับคืนหลักค้ำประกันการยื่นเข้อเสนอขายไฟฟ้าจาก กฟผ.
7. ต่อมาเดือนตุลาคม 2547 สนพ. ได้แจ้งสงวนสิทธิ์สิ้นสุดการพิจารณาเงินสนับสนุนโครงการให้บริษัท กัลฟ์ฯ เพื่อให้บริษัททำเรื่องขอคืนหลักค้ำประกันจาก สนพ. เนื่องจากการพิจารณารายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของ สผ. ยังไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งบริษัทได้ขอรับคืนหลักประกันซองข้อเสนอโครงการจาก สนพ. เรียบร้อยแล้ว และต่อมาเดือนพฤศจิกายน 2547 บริษัทได้ขอยกเลิกข้อเสนอขายไฟฟ้าและขอรับคืนหลักประกันการยืนข้อเสนอขายไฟฟ้าจาก กฟผ. ทั้งนี้ บริษัท กัลฟ์ฯ (โครงการโรงไฟฟ้าห้วยยอด จังหวัดตรัง) ไม่ได้ ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า กับ กฟผ. เนื่องจากผลการพิจารณา EIA จาก สผ. ได้เลยระยะเวลาที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนด กฟผ. จึงเห็นว่าควรยกเลิกข้อเสนอขายไฟฟ้าของบริษัทฯ และเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาคืนหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าของบริษัทฯ ต่อไป ซึ่งในการประชุม กพช. เมื่อเดือนกรกฎาคม 2547 ได้มีมติให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้วินิจฉัยปัญหาจากการปฏิบัติตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ในประเด็นที่ไม่ใช่ด้านนโยบายและเสนอ กพช. เพื่อทราบต่อไป
8. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่า จากการที่บริษัทฯ ต้องรอผลการพิจารณารายงานผลกระทบด้าน สิ่งแวดล้อมจาก สผ. ซึ่งยังไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนด จึงเป็นผลให้ ข้อเสนอโครงการของบริษัท กัลฟ์ฯ (โครงการโรงไฟฟ้าห้วยยอด จังหวัดตรัง) เป็นอันสิ้นสุดการพิจารณาเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ซึ่งทำให้ บริษัทฯ ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับรายได้ การลงทุน และการจัดหาเงินกู้ให้กับโครงการ บริษัทฯ จึงได้ขอยกเลิกข้อเสนอขายไฟฟ้า และขอรับคืนหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าดังกล่าว ทั้งนี้ โดยบริษัทฯ มิได้มีเจตนาที่จะไม่ปฏิบัติตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP นอกจากนี้ การยกเลิกคำร้องการขายไฟฟ้าของบริษัท ไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดหาไฟฟ้าของ กฟผ. เนื่องจากมีปริมาณพลังไฟฟ้าเพียง 20.2 เมกะวัตต์ และหากบริษัทฯ มีความพร้อมในการผลิตไฟฟ้าสามารถยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ได้ใหม่ จึงควรให้บริษัทฯ สามารถยกเลิกคำร้องการขายไฟฟ้าได้ โดยให้ กฟผ. คืนหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้ากับบริษัท
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ สนพ. และ กฟผ. รับไปพิจารณาในรายละเอียดเพิ่มเติมของข้อกำหนดของระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าและสัญญาซื้อขายไฟฟ้า