มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2548 (ครั้งที่ 9)
วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุม 603 ชั้น 6 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. ขอทบทวนมติการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว และฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
4. ข้อหารือในการออกตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตลาดน้ำมันโลก ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ระดับ 52.12 และ 57.75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นและลดลงจากเดือนที่แล้ว 0.17 และ 0.88 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจาก Hedge Fund เข้าซื้อในตลาดซื้อขายล่วงหน้า NYMEX และ IPE และพายุ Cindy พัด เข้าเขตอ่าวเม็กซิโก ทำให้โรงกลั่น 5 แห่งต้องปิดชั่วคราว ประกอบกับข่าวประชาชนในอิรักประท้วงรัฐบาล และ ขู่จะหยุดผลิตน้ำมันทางตอนใต้ของอิรัก ตลอดจนจากตลาดคาดว่าความต้องการซื้อน้ำมันจากสหรัฐอเมริกา ยังคงอยู่ในระดับสูง
2. ตลาดน้ำมันสิงคโปร์ ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 เฉลี่ยเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ระดับ 65.45 และ 64.35 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 0.10 และ 0.05 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากความต้องการซื้อในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับข่าวโรงกลั่น Deer Park (274,000 บาร์เรล/วัน) ของ Shell ในสหรัฐอเมริกาต้องเลื่อนการเดินเครื่อง เป็นครั้งที่ 3 และจาก IES ประกาศปริมาณสำรอง Light Distillates ของสิงคโปร์ลดลง 0.16 ล้านบาร์เรล อยู่ที่ระดับ 9.24 ล้านบาร์เรล ในส่วนของราคาน้ำมันดีเซล หมุนเร็วเฉลี่ยเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ระดับ 66.71 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 0.46 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จาก Pertamina ของอินโดนีเซียออกประมูลซื้อน้ำมันดีเซล จำนวน 2 Cargo ปริมาณรวมประมาณ 400,000 บาร์เรล
3. ตลาดน้ำมันไทย ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 2 ครั้ง รวมเป็น 0.80 บาท/ลิตร โดยปรับตามหลังตลาดโลก และปรับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (ยกเว้น ปตท.) เพิ่มขึ้น 4 ครั้ง และลดลง 1 ครั้ง รวมเป็น 1.60 บาท/ลิตร ส่วน ปตท. ปรับราคาดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 4 ครั้ง รวมเป็น 2.00 บาท/ลิตร โดยราคา ขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 27 กรกฎาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 25.74, 24.94 และ 22.99 บาท/ลิตร ตามลำดับ ทั้งนี้ นับแต่เริ่มดำเนินการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม - 12 กรกฎาคม 2548 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายเงินอุดหนุนตรึงราคาน้ำมันไปแล้วรวมประมาณ 92,071 ล้านบาท ซึ่งในวันที่ 13 มิถุนายน 2548 รัฐได้ยกเลิกการตรึงราคาน้ำมันดีเซล มีผลทำให้หนี้ตรึงราคาน้ำมันจะ ไม่เพิ่มขึ้นอีก
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ขอทบทวนมติการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว และฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2546 ได้มีมติเห็นชอบ แนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยให้จำกัดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียม (LPG) สูงสุด เพื่อยุติการไหลออกของเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและให้กองทุนน้ำมันฯ จะสามารถชำระหนี้ได้หมดภายในปี 2547 โดยกำหนดให้ (1) เดือนกรกฎาคม 2546 จำกัดอัตราชดเชยไม่เกิน 3 บาท/กก. ซึ่งเป็นระดับไม่สูงกว่ารายได้ของกองทุนน้ำมัน (2) เดือนกรกฎาคม 2547 จำกัดอัตราชดเชยไม่เกิน 2 บาท/กก. และ (3) เดือนกรกฎาคม 2548 ให้ยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ซึ่งต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ 2547 กบง. ได้มีมติให้กำหนดอัตราเงินชดเชยสูงกว่าเพดานสูงสุด 3 บาท/กก. ได้เป็นการชั่วคราว โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจกำหนดอัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG เกินกว่าอัตราเงินชดเชยสูงสุดได้ตามความเหมาะสมแก่สถานการณ์
2. เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2547 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG สูงกว่าระดับเพดานอัตราเงินชดเชยสูงสุด 3 บาท/กก. ได้มีผลบังคับใช้ในช่วงวันที่ 1 กรกฎาคม 2547 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2547 โดยอัตราเงินชดเชยจริงสูงสุดเท่ากับ 3.0711 บาท/กก. และเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2548 ได้เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG สูงกว่าระดับเพดานอัตราเงินชดเชยสูงสุด 2 บาท/กก. มีผลบังคับใช้ในช่วงวันที่ 1 มกราคม 2548 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2548 โดยอัตราเงินชดเชยจริงสูงสุดเท่ากับ 2.2816 บาท/กก. และต่อมาเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2548 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เห็นชอบให้ขยายเวลาการกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ดังกล่าวออกไปจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2548
3. การตรึงราคาก๊าซ LPG ได้กำหนดระยะเวลาไม่เกินเดือนกรกฎาคม 2548 ทั้งนี้ต่อมารัฐบาลมีนโยบายให้มีการยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ภายในปี 2548 เนื่องจากรัฐบาลได้มีการประกาศ ลอยตัวราคาน้ำมันดีเซล และหากดำเนินการยกเลิกการตรึงราคาก๊าซ LPG จะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ ราคาสินค้าและอัตราค่าขนส่ง และประชาชน และปัจจุบันอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG อยู่ที่ระดับ 3.1554 บาท/กก. ขณะที่รัฐบาลได้กำหนดอัตราเงินชดเชยสูงกว่าระดับเพดานอัตราเงินชดเชยสูงสุด 2 บาท/กก. แต่ได้รับการผ่อนผันจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2548 ซึ่งการจ่ายเงินชดเชยราคา LPG คาดว่าจะมีแนวโน้มเกิน 3 บาท/กก. เนื่องจากครึ่งปีหลังความต้องการก๊าซ LPG เพื่อความอบอุ่นจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องขยายเวลาการกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG สูงกว่าระดับเพดานอัตราเงินชดเชยสูงสุด 2 บาท/กก. ต่อไปอีกจนถึงสิ้นปี 2548 พร้อมทั้งขอให้มีการยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ภายในปี 2548 ด้วย
มติของที่ประชุม
เห็นควรอนุมัติขยายระยะเวลาแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
1. ให้ขยายระยะเวลาการยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จากเดือนกรกฎาคม 2548 เป็นภายในปี 2548
2. ให้ขยายระยะเวลาการกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG สูงกว่าระดับเพดานอัตราเงินชดเชยสูงสุด 2 บาท/กก. จากเดือนกรกฎาคม 2548 เป็นภายในปี 2548
ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2548 กบง. ได้อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจ่ายเป็นเงินชดเชยใน โครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง ในวงเงิน 94,254,060.54 บาท โดยจ่ายให้แก่บริษัท น้ำมันทีพีไอ จำกัด เป็นจำนวนเงิน 58,775,024.94 บาท สำหรับการชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเขียวตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548 และจ่ายให้แก่บริษัท อัลลายแอนซ์ รีไฟน์นิ่ง จำกัด และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด เป็นจำนวนเงินรวม 35,479,035.62 บาท เพื่อจ่ายชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเหลืองเป็นน้ำมันเขียวตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548
2. ต่อมาสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพ.) และกรมสรรพสามิต ได้ดำเนินการเบิกจ่ายเงินชดเชยในโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่องให้กับบริษัท น้ำมันทีพีไอ จำกัด และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด แล้ว แต่สำหรับบริษัท อัลลายแอนซ์ รีไฟน์นิ่ง จำกัด บริษัทขอรับเงินในนามของบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด ซึ่ง สบพ. ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้แก่บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด ได้ เนื่องจาก กบง. ไม่ได้มีมติเห็นชอบอนุมัติจ่ายเงินให้กับบริษัทดังกล่าว
3. เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอให้มีการปรับปรุงแก้ไขมติ กบง. เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2548 เรื่องดังกล่าวในข้อ 2.2 ใหม่ โดยเปลี่ยนข้อความเป็น “…สำหรับการชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเขียวตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2547 และจ่ายให้แก่บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด เป็นจำนวนเงินรวม 35,479,035.60 (สามสิบห้าล้านสี่แสนเจ็ดหมื่นเก้าพันสามสิบห้าบาท หกสิบสตางค์) เพื่อจ่ายชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเหลืองเป็นน้ำมันเขียวตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548…"
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับปรุงแก้ไขมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 6) เรื่อง การชดเชยราคาน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว) ในข้อ 2 เป็นดังนี้
"2. เห็นชอบอนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจ่ายเป็นเงินชดเชยในโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง ในวงเงิน 94,254,060,54 บาท (เก้าสิบสี่ล้านสองแสนห้าหมื่นสี่พันหกสิบบาทห้าสิบสี่สตางค์) โดยจ่ายให้แก่บริษัท น้ำมัน ทีพีไอ จำกัด เป็นจำนวนเงิน 58,775,024.94 บาท (ห้าสิบแปดล้านเจ็ดแสนเจ็ดหมื่นห้าพันยี่สิบสี่บาทเก้าสิบสี่สตางค์) สำหรับการชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเขียว ตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548 และจ่ายให้แก่บริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด เป็นจำนวนเงินรวม 35,479,035.62 บาท (สามสิบห้าล้านสี่แสนเจ็ดหมื่นเก้าพันสามสิบห้าบาทหกสิบสองสตางค์) เพื่อจ่าย ชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเหลืองเป็นน้ำมันเขียวตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548 โดยทั้งนี้ จำนวนเงินดังกล่าว เป็นการจ่ายจากกองทุนฯ ให้กับชาวประมงก่อนและจะเรียกเก็บเงินคืนเข้ากองทุนฯ เมื่อราคาน้ำมันเขียวลดต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบกไปจนกว่าจะเรียกเก็บคืนได้หมดตามจำนวนเงินที่จ่ายชดเชยไป"
เรื่องที่ 4 ข้อหารือในการออกตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน)
1. ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) ได้นำเสนอประเด็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนของการออกตราสารหนี้ของ สบพ. เนื่องจาก กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2548 ได้อนุมัติให้ สบพ. เปิดบัญชีสำหรับการออกตราสารหนี้ได้ 3 บัญชี ซึ่ง สบพ. ได้ดำเนินการแล้ว นอกจากนี้ กองทุนน้ำมันฯ ยังมีค่าใช้จ่ายสำหรับการบริหารกองทุนฯ ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยจะจัดสรรเงินให้กับงานบริหารของ หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนฯ ได้แก่ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สนพ. เป็นต้น และโครงการศึกษาวิจัยต่างๆ ที่หน่วยงานต่างๆ ขอเงินสนับสนุนมาตลอดปี โดยไม่มีการกำหนดวงเงินค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไว้ ชัดเจนหรือโดยไม่จำกัดจำนวน แต่ขณะนี้เมื่อจะออกตราสารหนี้ความจำเป็นในเรื่องรายรับ - รายจ่ายของกองทุนฯ ต้องมีความชัดเจนและมีจำนวนที่แน่นอน เพื่อแสดงให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจ ดังนั้น สบพ. จึงขอเสนอให้กันเงินจำนวน 100 ล้านบาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนฯ และโครงการศึกษาและวิจัยด้านพลังงานของหน่วยงานต่างๆ พร้อมนี้ ผู้อำนวยการ สนพ. ได้เสนอขอเงินสนับสนุนที่จะกันไว้ดังกล่าวให้กับโครงการเกี่ยวกับ NGV ด้วย
2. ประธานฯ ได้มีข้อคิดเห็นว่า ไม่ควรนำเงินกองทุนฯ มาใช้สนับสนุนโครงการ NGV เนื่องจากจะทำให้ผู้ลงทุนไม่มีความมั่นใจในฐานะกองทุนฯ ที่มีค่าใช้จ่ายแบบไม่มีหลักเกณฑ์ จึงเห็นควรให้นำเสนอโครงการ NGV เสนอขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานที่มีวัตถุประสงค์สอดคล้องมากกว่า สำหรับในกรณี การกันเงินกองทุนฯ เพื่อการบริหารกองทุนฯ จำนวน 100 ล้านบาท อาจจะมากเกินไป ควรตัดส่วนที่ เป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนโครงการศึกษาและวิจัยของหน่วยงานต่างๆ ที่มีจำนวนไม่จำกัดออก โดยให้ยุติการให้เงินสนับสนุนโครงการศึกษาและวิจัยต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า เพื่อให้กระแสการเงินของกองทุนฯ มีความ แน่นอนและชัดเจนยิ่งขึ้น โดยมอบหมายให้ สบพ. จัดทำแผนการใช้จ่ายเงินของงบบริหารของกองทุนฯ จากหน่วยงานต่างๆ เพื่อนำเสนอที่ประชุมต่อไป
3. นอกจากนี้ ผู้อำนวยการ สบพ. ได้ขอหารือในประเด็นการออกตราสารหนี้ของ สบพ. โดยไม่มีกระทรวงการคลังค้ำประกันจึงไม่มีผู้รับผิดชอบหนี้ของกองทุนฯ ที่เกิดจากการออกตราสารหนี้เมื่อกองทุนฯ ไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ โดย สบพ. ได้มีหนังสือขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยออกหนังสือรับรองสภาพคล่องของตราสารหนี้กองทุนฯ แล้ว ขณะเดียวกัน สบพ. ไม่มีอำนาจในการกำหนดอัตราเงินเก็บเข้ากองทุนจึงทำให้ผู้ลงทุนขาดความมั่นใจในตราสารหนี้ของ สบพ. ทำให้การขายตราสารหนี้ของ สบพ. ทำได้ยาก
4. ประธานฯ ได้เสนอความเห็นว่า สบพ. ควรจะจัดทำบัญชีรายรับ - รายจ่ายของกองทุน (Clash - flow) ให้ชัดเจน โดยจัดทำเป็นแผน 5 ปี พร้อมทั้งชี้แจงให้ผู้ลงทุนทราบนโยบายด้านราคาพลังงานและการกำหนดอัตราเงินกองทุนฯ ส่งเข้า ที่มี กบง. และ กพช. เป็นผู้กำหนด และฝ่ายเลขานุการฯ ได้รับที่จะเจรจาหารือร่วมกับ สบพ. และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ สำหรับใช้ชี้แจงแก่นักลงทุน ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ยุติการอนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้สนับสนุนโครงการศึกษาและวิจัยต่างๆ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้สำหรับโครงการศึกษาและวิจัยที่ได้รับอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ไปแล้วและมีความผูกพันไปยังงบประมาณปีถัดไปให้ดำเนินการต่อไปจนสิ้นสุดระยะเวลาของโครงการ
2. มอบหมายให้ สนพ. และ สบพ. รับไปดำเนินการจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ ระยะ 5 ปี เพื่อใช้แสดงต่อผู้ลงทุนให้เกิดความเชื่อมั่นในตราสารหนี้ของกองทุนฯ และนำเสนอต่อคณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งต่อไป