มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2551 (ครั้งที่ 48)
วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม 2551 เวลา 10.30 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานความคืบหน้าของการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2551-2554 (ตุลาคม 2550-เมษายน 2551)
2. มาตรการประหยัดพลังงานเพื่อประชาชน
รองนายกรัฐมนตรี (นายสหัส บัณฑิตกุล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล)
ประธานกรรมการกองทุนฯ แจ้งให้ที่ประชุมทราบ 2 เรื่อง คือเรื่องคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 29/2551 ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2551 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่างๆ โดยในส่วนที่ 4 ได้มอบหมายและมอบอำนาจให้ รองนายกรัฐมนตรี (นายสหัส บัณฑิตกุล) ทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งแรก และประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบเรื่อง การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ยังเป็นองค์ประกอบเดิมตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ที่กำลังมีแก้ไขบางประเด็น โดยตามมาตรา 27 ได้มีการแก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการฯ โดยเพิ่มเติม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ปลัดกระทรวงการคลัง นายกสภาวิศวกร นายกสภาสถาปนิก และมีกรรมการที่เปลี่ยนแปลงออก คือ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2551 เป็นต้นไป ดังนั้นในการประชุมครั้งต่อไป ก็จะเป็นคณะกรรมการชุดใหม่
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานที่ประชุมเพื่อทราบความคืบหน้าของการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2551-2554 โดยอ้างถึงมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2547 ได้อนุมัติกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) ประกอบด้วย 3 แผนงาน ได้แก่ (1) แผนพลังงานทดแทน (2) แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และ (3) แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ โดยแต่ละแผนงานจะมีงานหลักๆ คือ งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค งานส่งเสริมและสาธิต งานพัฒนาบุคลากร และประชาสัมพันธ์
2. มติ กพช. เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 ได้รับทราบผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2548-2550 และเห็นชอบแนวทางของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ในช่วงปี 2551-2554 ตามข้อเสนอของคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่มีเป้าหมายจะลดปริมาณการใช้พลังงานลง 7,820 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือคิดเป็นร้อยละ 10.8 ของความต้องการใช้พลังงานทั้งหมดของประเทศในปี 2554 และนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้แทนพลังงานเชิงพาณิชย์ 8,858 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือคิดเป็นร้อยละ 12.2 ของความต้องการใช้พลังงานในปี 2554 โดยคาดว่าสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงและไฟฟ้า ณ ปี 2554 เปรียบเทียบระหว่างกรณีปกติกับกรณีที่มีแผนอนุรักษ์พลังงาน จะปรากฏตามตารางต่อไปนี้
พลังงาน | เป้าหมายปลายปี 2554 | |||||
กรณีปกติ | มีแผนอนุรักษ์พลังงาน | เพิม (ลด) | ||||
Ktoe | ร้อยละ | ktoe | ร้อยละ | ktoe | ร้อยละ | |
ความต้องการใช้พลังงาน | 80,331 | 100% | 72,511 | 100% | -7,820 | -9.7% |
ประกอบด้วย | ||||||
(1) น้ำมัน | 36,994 | 46.1% | 29,653 | 40.9% | -7,341 | -19.8% |
(2) พลังงานหมุนเวียน | 12,576 | 15.7% | 19,196 | 26.4% | 6,620 | 52.6% |
(3) ก๊าซธรรมชาติ | 6,563 | 8.2% | 6,563 | 9.1% | 0 | 0.0% |
(4) ถ่านหินและลิกไนต์ | 10,240 | 12.7% | 7,415 | 10.2% | -2,825 | -27.6% |
(5) ไฟฟ้า | 13,958 | 17.4% | 9,684 | 13.4% | -4,274 | -30.6% |
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานความคืบหน้าเฉพาะโครงการที่สำคัญที่ได้ดำเนินงานตามแผนงานไปแล้วในช่วงเดือนตุลาคม 2550-เมษายน 2551 อาทิ การส่งเสริมการใช้อุปกรณ์แสงสว่างประสิทธิภาพสูง งานส่งเสริมการจัดการด้านการใช้พลังงานโดยวิธีประกวดราคา (DSM Bidding) สำหรับด้านการใช้พลังงานทดแทน ได้มีโครงการส่งเสริมการใช้ก๊าซชีวภาพ ครอบคลุมในภาคเกษตรกรรม (ฟาร์มเลี้ยงสัตว์) ภาคอุตสาหกรรม (โรงงานแป้งมัน โรงงานน้ำมันปาล์ม โรงงานเอทานอล โรงงานแปรรูปอหาร ฯลฯ) ซึ่งมีผู้ยื่นข้อเสนอ 38 ราย คาดว่าจะ ผลิตก๊าซชีวภาพได้ 240 ล้าน ลบ.ม./ปี นำไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่า 80% ของก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้ ทดแทนน้ำมันเตา 55.24 ล้านลิตร/ปี และใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 35.5 MW และทดแทนเชื้อเพลิงชีวมวล /ถ่านหิน 57,041 ตัน/ปี ลดปริมาณสิ่งสกปรกที่ปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมมากกว่า 600 ล้านกก.COD/ปี ช่วยลดการปล่อย CH4 114 ล้าน ลบ.ม./ปี นอกจากนี้ยังได้ส่งเสริมการแปรรูปขยะเป็นพลังงาน โดยเปิดโอกาสให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละจังหวัด ยื่นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ภายใต้ "โครงการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน" ที่เป็นการเผาในภาวะไร้อากาศจนได้น้ำมันและก๊าซปิโตรเลียมเหลวโดยมีการใช้ขยะเศษพลาสติกเป็นวัตถุดิบ
4. ส่งเสริมการใช้เอทานอล การใช้แก๊สโซฮอล์ในช่วงสามเดือนแรกปี 2551 อยู่ที่ระดับ 7.4 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 108.4 โดยแก๊สโซฮอล์ 95 เพิ่มขึ้นร้อยละ 76.6 และแก๊สโซฮอล์ 91 เพิ่มขึ้นร้อยละ 420.8 โดยเป็นผลจากมาตรการส่งเสริมในแต่ละด้าน ได้แก่ เริ่มจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 (E20) การกำหนดราคาแก๊สโซฮอล์ 95 (E10) ต่ำกว่าเบนซิน 95 อยู่ 4 บาทต่อลิตร และราคาแก๊สโซฮอล์ 95 (E20) ราคาต่ำกว่า 6 บาทต่อลิตร ลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ที่สามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 (E20) จาก ร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 20 (ราคาจำหน่ายลดลง 30,000-50,000 บาท/คัน) การเตรียมพร้อมที่จะจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 (E85) และแนวทางที่จะส่งเสริมรถยนต์ที่สามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 (E85)
5. ส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล ความต้องการใช้น้ำมันไบโอดีเซลในเดือนมีนาคม 2551 เพิ่มขึ้นจาก 0.044 ล้านลิตรต่อวัน เป็น 1.461 ล้านลิตรต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3,220 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเป็นผลจากมาตรการส่งเสริมในแต่ละด้าน ได้แก่ การประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนเข้าใจและมีความมั่นใจในคุณภาพของน้ำมัน กำหนดราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1 บาทต่อลิตร เพิ่มสถานีบริการน้ำมันไบโอดีเซล (B5) จาก 200 แห่ง เป็น 1,289 แห่ง กำหนดให้ผสมน้ำมันดีเซลหมุนเร็วด้วยไบโอดีเซล 2% ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2551 ส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมันโดยร่วมกับ ธกส. ให้สินเชื่อในวงเงิน 7,000 ล้านบาท เพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน 7 แสนไร่ ภายในปี 2553 โดยอัตรา MRR-5 ปลอดชำระเงินต้นคืน 4 ปี
6. คณะกรรมการกองทุนฯ ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ ในกรอบวงเงินรวม 87,849 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2551-2554 ที่ กพช. เห็นชอบไว้ ดังนี้
แผนใช้จ่ายเงิน ปี | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | 2555* | รวม 5 ปี |
(1) แผนพลังงานทดแทน | 2,838 | 1,190 | 1,065 | 880 | 1,110 | 7,332 |
(2) แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 14,138 | 17,855 | 15,923 | 15,866 | 16,486 | 80,267 |
(3) แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | 250 | - | - | - | - | 250 |
รวมทั้งสิ้นประมาณ | 17,225 | 19,044 | 16,988 | 16,746 | 17,596 | 87,849 |
7. ฐานะการเงินของกองทุนฯ ณ ต้นเดือนมกราคม 2551 มีเงินคงเหลือ 3,912 ล้านบาท และเมื่อประมาณการรายรับเฉลี่ย 600 ล้านบาท/เดือน หักด้วยรายจ่ายเฉลี่ย 800 บาท/เดือน ก็ยังมีสภาพคล่อง และมีเงินคงเหลือสะสมปลายปีประมาณ 1,168 ล้านบาท
มติที่ประชุม
รับทราบความก้าวหน้าของการดำเนินงาน ตามที่ สนพ. รายงาน และมีความเห็นเพิ่มเติมดังต่อไปนี้
1. การเลือกใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของไทย ประธานกรรมการฯ มีความเห็นว่า มีก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก ประมาณร้อยละ 65 สัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน ร้อยละ 10 การใช้เชื้อเพลิงบางอย่างก็มีข้อจำกัด เช่น ถ่านหิน แม้ว่าจะเป็นเทคโนโลยีสะอาด แต่ประชาชนก็ยังมีข้อกังวลในด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้ประเทศไทยผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอแก่ความต้องการที่เพิ่มขึ้นคือ โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ซึ่งประเทศเวียดนามได้ประกาศเดินหน้าไปแล้ว ประเทศไทยจึงไม่ควรล่าช้า สำหรับอุบัติเหตุที่เกิดกับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เชอร์โนบิล (Chernobyl Nuclear Power Plant) ที่เมืองเชอร์โนบิล ประเทศยูเครนนั้น ปัจจุบันเทคโนโลยีได้มีการพัฒนาไปมาก ซึ่งวิศวกรของไทยก็มีศักยภาพในการพัฒนาต่อยอดในด้านนิวเคลียร์ได้ จึงเห็นว่าประเทศไทยควรเร่งผลักดันในเรื่องนี้ให้ชัดเจนโดยเร็ว
2. ที่ประชุมเห็นด้วยกับการเร่งผลักดันโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ และอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมมีความเห็นเพิ่มเติมว่า กระทรวงพลังงานควรเร่งศึกษาและกำหนดพื้นที่ที่จะก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้ชัดเจนและเร่งให้เร็วขึ้นกว่าแผนเดิม เพราะการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ต้องใช้เวลานานกว่า 10 ปี สำหรับการสร้างความเข้าใจกับประชาชนนั้น สามารถบูรณาการงานร่วมกันกับหลายหน่วยงานได้ ที่ประชุมได้มอบหมาย สนพ. ให้นำความก้าวหน้าของแผนงานโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มารายงานต่อที่ประชุมในครั้งต่อไป และให้รายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติด้วย
3. นโยบายการส่งเสริมด้านไบโอดีเซล ประธานกรรมการฯ ได้ขอให้กระทรวงพลังงานมีความระมัดระวัง ศึกษารายละเอียดทุกด้านให้ชัดเจนก่อนที่จะกำหนดนโยบายผลักดันไบโอดีเซลเพื่อให้มีการใช้ในปริมาณมาก และระวังเรื่องการเร่งดำเนินการส่งเสริมเชิงรุก เพราะอาจส่งผลกระทบให้เกษตรกร เช่น จังหวัดจันทบุรี หรือระยอง เลิกปลูกเงาะ มังคุด ฯลฯ และนำพื้นที่ไปปลูกปาล์มน้ำมันแทน
4. ปลัดกระทรวงพลังงาน ได้ชี้แจงที่ประชุมเรื่องการนโยบายผลักดันส่งเสริมด้านไบโอดีเซลนั้น กระทรวงพลังงานได้ระวังและให้ความสำคัญกับเรื่องสมดุลย์ของการใช้พื้นที่อยู่แล้ว โดยประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสถาบันการศึกษา อาทิ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อจับคู่ศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ระหว่างปาล์มน้ำมันกับพืชเศรษฐกิจในพื้นที่ ก่อนจะดำเนินการส่งเสริมการปลูก เช่น ยางพาราในภาคใต้ หรือ เงาะ และมังคุดในภาคตะวันออก การนำพื้นที่ร้างเช่น สวนส้มร้าง จ.ปทุมธานี ที่มีความเป็นดินเปรี้ยวสูงแต่สามารถปลูกปาล์มน้ำมันได้
5. ประธานกรรมการฯ เห็นว่าการประสานความร่วมมือของ 3 หน่วยงาน ตามที่ปลัดกระทรวงพลังงานแจ้งต่อที่ประชุมนั้น เป็นเรื่องที่ดีแล้ว และฝากเรื่องการดูแลเรื่องการจัดการเขตการปลูกพืชน้ำมัน (Zoning) นั้นให้ระวังว่าต้องสามารถกำกับดูแลควบคุมได้อย่างจริงจังด้วย
6. การบริหารเงินของกองทุนฯ ประธานกรรมการฯ ได้สอบถามเรื่องฐานะการเงินของกองทุนฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า สนพ. มีเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีดูแลอยู่ และที่ผ่านมากองทุนฯ ก็อยู่ในการกำกับดูแลของกรมบัญชีกลางด้วย ในการนี้ผู้แทนกรมบัญชีกลางได้แจ้งเพิ่มเติมว่า การใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ จะเป็นไปตามแผนงานที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาเห็นชอบไว้ โดยฐานะการเงินของกองทุนฯ ณ เดือนเมษายน 2551 มีเงินคงเหลืออยู่ประมาณ 5 พันล้านบาท
7. อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้มีคำถามเกี่ยวกับการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของราชการ ซึ่งผู้แทนกรมบัญชีกลางได้แจ้งที่ประชุมว่าตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับมาตรการกำกับดูแลเงินนอกงบประมาณไว้เมื่อปี 2546 กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ติดตามผลการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ซึ่งผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2549 โดยภาพรวมอยู่ในระดับ 3.24 คะแนนจาก 5 คะแนนเต็ม ประธานกรรมการฯ ได้ฝากฝ่ายเลขานุการฯ ดูแลการใช้เงินจากกองทุนฯ ให้เป็นไปด้วยความถูกต้องตามหลักการ ถูกกฎหมาย ถูกประเภท และวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ
8. เป้าหมายของแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2551-2554 ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีความเห็นว่า ฝ่ายเลขานุการฯ ควรทบทวนเป้าหมายดังกล่าว เนื่องจากคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่ได้มีการประชุมไปเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2551 ได้เห็นชอบกรอบมาตรการแก้ไขวิกฤตพลังงานและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึงมีการเร่งผลักดันส่งเสริมการใช้ NGV ให้มากขึ้น เริ่มส่งเสริมการผลิตและการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E-85 การนำร่องรณรงค์ประหยัดการใช้พลังงานในทุกภาคส่วน เช่น การถอดสูท การปรับแอร์ในห้องประชุมเป็น 26 องศาเซลเซียส การปรับเปลี่ยนรถประจำทาง ขสมก. เป็นรถ NGV จำนวน 6,000 คัน เป็นต้น
เรื่องที่ 2 มาตรการประหยัดพลังงานเพื่อประชาชน
สรุปสาระสำคัญ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งที่ประชุมว่า เนื่องจากเอกสารการประชุมของเรื่องที่ 4.1 ที่หน้า 4 หน้า 7 และหน้า 8 มีข้อความที่คลาดเคลื่อนไปจากข้อเสนอโครงการฯ จึงขออนุญาตใช้เอกสาร "เรื่องที่ 4.1 มาตรการประหยัดพลังงานเพื่อประชาน" ชุดใหม่ที่แจกในห้องประชุม
2. ด้วยสถานการณ์ ราคาน้ำมันตลาดโลกมีระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งประเทศไทยที่ต้องนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศเป็นหลักจึงได้รับผลกระทบในทุกด้าน แม้จะมีแนวทางและมาตรการที่จะลดการใช้พลังงานในแต่ละภาคส่วนตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วง 2551-2554 ไว้ชัดเจนแล้ว แต่จะเกิดผลในระยะกลางถึงระยะยาว และมุ่งเน้นในภาคที่มีการใช้พลังงานสูง คือภาคอุตสาหกรรม ภาคขนส่ง
3. กระทรวงพลังงานจึงได้จัดทำมาตรการประหยัดพลังงานเพื่อประชาชนรวม 11 มาตรการ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในสถานการณ์ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย มาตรการสินเชื่อครัวเรือน มาตรการสินเชื่อพลังงาน มาตรการการติดฉลากประหยัดพลังงาน การ "Standby Power 1- Watt" มาตรการส่งเสริมให้วัด-มัสยิด เป็นศูนย์กลางในการประหยัดพลังงานในชนบท มาตรการร่วมมือกับผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 มาตรการจัดตั้งหน่วยพลังงานเคลื่อนที่เพื่อให้ความรู้ในการประหยัดพลังงานและพลังงานทดแทนแก่ประชนในหมู่บ้านชนบท มาตรการออกมาตรฐานอาคารก่อสร้างใหม่ (Building Energy Code) มาตรการกำกับอนุรักษ์พลังงานในโรงงาน/อาคารควบคุม ISO พลังงาน เพื่อบังคับให้โรงงาน/อาคารควบคุม ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานด้วยการจัดการพลังงาน มาตรการให้บริการล้างแอร์ฟรี 20,000 เครื่อง ให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าครัวเรือนที่มีค่าไฟฟ้าไม่เกิน 1,500 บาท/เดือน โดยช่างล้างแอร์ของเครือข่าย Green Shop 1,800 แห่งทั่วประเทศ และมาตรการ "ปรับแต่งเครื่องยนต์ (Tune Up) เพื่อลดการใช้พลังงาน" สถานีบริการน้ำมัน ปตท. บนถนนสายหลักทั่วประเทศ 50 แห่ง ศูนย์บริการปตท. (Procheck) ทุกสาขา ศูนย์บริการบางจากกรีนออโต้เซอร์วิส และกรีนเซิร์ฟของบางจาก ทุกสาขา ให้บริการตรวจเช็คสภาพรถฟรีในช่วงเมษายน-พฤษภาคม 2551 จาก 11 มาตรการข้างต้น คาดว่าจะช่วยลดการใช้พลังงานได้ 1 แสนล้านบาทต่อปี
4. มาตรการประหยัดพลังงาน "โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV ของ ปตท." และ "โครงการสินเชื่อพลังงานครัวเรือน ของ พพ." เป็นโครงการเร่งด่วน แต่เนื่องจากทั้ง 2 หน่วยงานไม่ได้เตรียมงบประมาณไว้สำหรับดำเนินการ กระทรวงพลังงานจึงได้นำมาเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา โดยสรุปสาระสำคัญของแต่ละโครงการได้ดังนี้
4.1 โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV ระยะที่ 2
4.1.1 มติคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อ 13 ตุลาคม 2548 และ 2 มิถุนายน 2549 ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ 2,000 ล้านบาท ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นำไปสมทบกับเงินของ ปตท. 5,000 ล้านบาท รวมเป็น 7,000 ล้านบาท เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนให้สินเชื่อกับเจ้าของยานยนต์ที่ต้องการดัดแปลง และ/หรือติดตั้งอุปกรณ์ใช้ NGV ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายดำเนินการของผู้ประกอบการรถโดยสาร และเป็นการชะลอการขอขึ้นค่าโดยสาร อันจะกระทบกับประชาชนโดยรวม สรุปผลการดำเนินงานได้ดังนี้
1) โครงการทุนหมุนเวียนฯ ที่ใช้เงินของ ปตท. 5,000 ล้านบาท
ปตท. บริหารผ่านธนาคารพาณิชย์ 9 แห่ง เพื่อปล่อยกู้ให้กับบุคคลในอัตราร้อยละ 5 และนิติบุคคลในอัตราร้อยละ 4 ปัจจุบันมีผู้กู้ 1,134 ราย วงเงิน 724 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการพิจารณา 2 ราย วงเงิน 35 ล้านบาท
ธนาคารพาณิชย์ 9 แห่ง ประกอบด้วย กรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ กรุงไทย ไทยธนาคาร กรุงศรีอยุธยา ทหารไทย ออมสิน และธนชาต
ปตท. จะเป็นผู้อนุมัติสินเชื่อเอง กรณีที่สถาบันการเงินไม่สามารถให้กู้ได้ ในอัตรา MOR+2 ปัจจุบันมีนิติบุคคลที่ได้รับอนุมัติ 3 ราย วงเงิน 60 ล้านบาท
2) โครงการทุนหมุนเวียนฯ ที่ใช้เงินของกองทุนฯ 2,000 ล้านบาท
ปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการรถร่วมโดยสาร ในอัตราร้อยละ 0.5 ปัจจุบันมีผู้ได้รับอนุมัติแล้ว 26 ราย รถ 1,473 คัน วงเงิน 695 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการพิจารณา 11 ราย รถ 2,100 คัน วงเงิน 1,900 ล้านบาท
4.1.2 มติ กพช. เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2551 ได้เห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยให้เพิ่มวงเงินให้กับ โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV จาก 7,000 ล้านบาท เป็น 9,000 ล้านบาท โดยเงิน 2,000 ล้านบาท ที่เพิ่มขึ้น สำหรับปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการรถโดยสาร ให้นำมาขอใช้เงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
4.1.3 ปตท. จึงได้จัดทำรายละเอียดข้อเสนอ "โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV ระยะที่ 2" เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท นำไปให้ผู้ประกอบการรถโดยสาร และหน่วยงานภาครัฐหรือรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคมขนส่ง กู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยต่ำ 0.5% ต่อปี เพื่อเป็นค่าดัดแปลงเครื่องยนต์เดิม รถโดยสาร (รถ ขสมก. รถร่วม ขสมก. รถ แท๊กซี่) ให้สามารถใช้ NGV มีเป้าหมายจำนวน 3,000 คัน และผู้ประกอบการที่จะจัดตั้งสถานีบริการ NGV โดยมีคณะกรรมการบริหารเงินทุนหมุนเวียนของ ปตท. ทำหน้าที่บริหารเงินทุนและพิจารณาการให้สินเชื่อ โดย ปตท. จะปล่อยกู้ภายใน 3 ปี นับจากวันที่ลงนามยืนยันการรับทุน และคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย 0.5% ต่อปี ให้กองทุนฯ เป็นรายไตรมาส ภายในเวลา 5 ปี
ผลที่คาดว่าจะได้รับ คือสามารถทดแทนการใช้น้ำมันสำเร็จรูปประมาณ 100 ล้านลิตร/ปี คิดเป็นมูลค่าทดแทนการนำเข้า 1,930 ล้านบาท/ปี โดยใช้ก๊าซธรรมชาติประมาณ 3,600 ล้านลูกบาศก์ฟุต/ปี และช่วยลดมลพิษจากไอเสียของเครื่องยนต์จากการใช้ NGV ประกอบด้วยคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ได้ประมาณ 3,200 ตัน/ปี ไนโตรเจนออกไซด์ (NOX) ได้ประมาณ 5,400 ตัน/ปี ไฮโดรคาร์บอน (HC) ได้ประมาณ 280 ตัน/ปี และลดปริมาณผงฝุ่นจากเข่มาควันดำ (PM) ได้ประมาณ 280 ตัน/ปี
4.2 โครงการสินเชื่อพลังงานครัวเรือน
4.2.1 เป็นโครงการสินเชื่อสำหรับรายย่อย ดอกเบี้ย 0% เพื่อการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน ให้แก่ประชาชนผู้สนใจ โดยมีวงเงินสินเชื่อประมาณ 1,000 ล้านบาท มาใช้ในการดำเนินการในโครงการร่วมกับสถาบันการเงิน มีกรมพัฒนาพลังานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เป็นผู้ดำเนินการ เริ่มดำเนินการในเดือน พฤษภาคม 2551 - กันยายน 2552 ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ ที่ พพ. ไม่ได้เตรียมงบประมาณไว้สำหรับโครงการนี้
4.2.2 เพื่อให้ "มาตรการสินเชื่อครัวเรือน" สามารถดำเนินการได้โดยเร็ว พพ. จึงเสนอที่จะปรับรายละเอียดของการใช้จ่ายเงินของ "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3" ที่ พพ. ได้รับจัดสรรเงินกองทุนไว้ 2,000 ล้านบาท ซึ่งเดิมให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้แก่โรงงาน อาคาร และบริษัทจัดการพลังงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยสถาบันการเงินต้องปล่อยกู้ภายในระยะเวลา 3 ปี และ ส่งเงินคืนกองทุนฯ ผ่าน พพ. ในเวลา 10 ปี นับจากวันที่ได้รับอนุมัติ นั้น พพ. จะขอเพิ่มกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมถึง "ภาคประชาชน" ด้วย พร้อมนี้ พพ. จะขออนุมัติในหลักการในการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2551 ที่ พพ. ได้รับจัดสรรจากกองทุนฯ ไปแล้วเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับ "โครงการสินเชื่อพลังงานครัวเรือน" เช่น เงินอุดหนุนสถาบันการเงินที่เข้าร่วม สำหรับ ค่าดอกเบี้ย ค่าบริหารจัดการ และค่าความเสี่ยงของโครงการฯ ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการฯ เป็นต้น
4.2.3 พพ. ได้จัดทำรายละเอียด "โครงการสินเชื่อพลังงานครัวเรือน" เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา โดยคาดว่าจะใช้เงินกองทุนฯ ประมาณ 1,057.5 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น เงินทุนหมุนเวียน 1,000 ล้านบาท เงินสำหรับธนาคารที่เข้าร่วมโครงการฯ 50 ล้านบาท และเงินค่าจ้างที่ปรึกษาของ พพ. 3 ล้านบาท/ปี (รวมระยะเวลาโครงการ 2 ปี 6 เดือน เป็นเงิน 7.5 ล้านบาท)
พพ. จะนำเงินกองทุนฯ 1,000 ล้านบาท ไปใช้เป็นเงินหมุนเวียน เพื่อจัดสรรให้สถาบันการเงิน และนำไปปล่อยสินเชื่อให้แก่ภาคประชาชน สำหรับการจัดซื้ออุปกรณ์ประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง (ตามรายการที่ พพ. กำหนด) โดยไม่คิดอัตราดอกเบี้ย โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังนี้
1) การขอสินเชื่อต้องเป็นอุปกรณ์ประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง
1.1) เครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 ทุกชนิด
1.2) อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเบอร์ 5 ที่ได้ปรับปรุงมาจากอุปกรณ์ ประสิทธิภาพสูง เบอร์ 5
1.3) อุปกรณ์ประหยัดพลังงานในครัวเรือนที่ พพ. เห็นชอบ
2) วงเงินสินเชื่อสำหรับอุปกรณ์ต่างๆ ตามข้อ 1) ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท ยกเว้นเครื่องปรับอากาศให้ในวงเงินตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 20,000 บาท โดยคืนซากของเครื่องปรับอากาศและตู้เย็นเดิม
3) สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ เช่น กรุงไทย กรุงศรีอยุธยา ออมสิน ธกส.
ผลที่คาดว่าจะได้รับ คือ ภาคประชาชนไม่น้อยกว่า 75,000 ครัวเรือน ได้รับสินเชื่อเพื่อซื้ออุปกรณ์ประหยัดพลังงาน และช่วยประหยัดพลังงานไม่น้อยกว่า 50 ktoe หรือ 1,000 ล้านบาทต่อปี
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพัฒนาพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2551 เพิ่มเติม 2,000 ล้านบาท ให้ สนพ. เพื่อนำไปจัดสรรให้กับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน "โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV ระยะที่ 2" ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2551
2. อนุมัติให้ พพ. เปลี่ยนแปลงรายละเอียดการใช้จ่ายเงินของ "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3" โดยเพิ่มกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมถึง "ภาคประชาชน" ได้ และให้ พพ. สามารถโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2551 ที่ได้รับจัดสรรจากกองทุนฯ ไปแล้วเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับ "โครงการสินเชื่อพลังงานครัวเรือน" 1,057.5 ล้านบาท โดยปรับแก้ไขวงเงินสินเชื่อสำหรับเครื่องปรับอากาศให้ในวงเงินตามที่จ่ายจริงจำนวน 1 เครื่อง ขนาดไม่เกิน 18,000 BTU/hr ในวงเงินไม่เกิน 30,000 บาทต่อเครื่อง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ด้วยมีเรื่องเร่งด่วนเกี่ยวกับการบริหารจัดการเงินกองทุนฯ เนื่องจากกรมบัญชีกลางจะโอนเรื่องการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินของกองทุนฯ มาไว้กับกระทรวงพลังงาน แต่ด้วยปัจจุบันระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินกองทุน ยังไม่เรียบร้อย และเพื่อให้สามารถใช้ระเบียบฉบับเดิมไปก่อนเป็นการชั่วคราว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาเป็นวาระเพิ่มเติม โดยได้แจกเอกสารในห้องประชุม
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 "มาตรา 24 (6) กำหนดให้กระทรวงการคลังเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ต่อมาในปี 2544 กระทรวงการคลังได้มีนโยบายเรื่องการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินของกองทุนที่เป็นเงินนอกงบประมาณ โดยเห็นควรให้หน่วยงานต้นสังกัดเป็นผู้ดูแลเอง
2. ในการแก้ไข พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 จึงได้มีการแก้ไข "มาตรา 24 (6) กำหนดให้กระทรวงพลังงานเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" และเพิ่มเติม "มาตรา 24/1 ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน และเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในกระทรวงการคลัง ไปเป็นของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามพระราชบัญญัตินี้" ซึ่งจะมีผลบังคับในวันที่ 2 มิถุนายน 2551
3. เพื่อให้การดำเนินงานในการรับโอนงานจากกรมบัญชีกลางมีความต่อเนื่อง และถูกต้องตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 กระทรวงพลังงานจึงได้มีหนังสือลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 เกี่ยวกับเรื่องการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินของกองทุนฯ รวมถึงรับโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน และเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในกระทรวงการคลัง โดยมอบหมายสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกองทุนฯ ให้เป็นผู้ทำหน้าที่แทนกรมบัญชีกลาง
4. สิทธิและหน้าที่ของ สนพ. ในการปฏิบัติงานแทนกรมบัญชีกลางตามข้อ 2 จะเกิดขึ้นพร้อมกับวันที่ พรบ.อนุรักษ์ฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 มีผลบังคับใช้ คือในวันที่ 2 มิถุนายน 2551 แต่เนื่องจากร่างระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. .... ที่จะนำมาใช้แทนระเบียบฉบับเดิม (พ.ศ. 2537) ยังอยู่ในขั้นตอนขอความเห็นจากส่วนนิติการของกระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะเสร็จเรียบร้อยและมีผลบังคับใช้ประมาณเดือนตุลาคม 2551
5. ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าเพื่อให้การดำเนินงานของกองทุนฯ ในช่วงเปลี่ยนผ่านของการรับโอนงานจากกรมบัญชีกลาง จนกว่าระเบียบใหม่มีผลใช้บังคับ ไม่ต้องหยุดชะงักและเกิดความเสียหาย จึงเสนอต่อที่ประชุมเพื่อขออนุมัติให้ สนพ. ทำหน้าที่การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน การจำหน่ายทรัพย์สินของกองทุนฯ และการบัญชี โดยให้ปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 โดยอณุโลม ทั้งนี้ ข้อความใดๆ ในระเบียบนั้นที่กล่าวถึง "กรมบัญชีกลาง" ให้หมายถึง "สนพ." และให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2551 เป็นต้นไป จนกว่าระเบียบใหม่จะมีผลใช้บังคับ
6. ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 6 กำหนดให้เปิดบัญชีเงินฝาก "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ประเภทเงินฝากกระแสรายวัน เงินฝากออมทรัพย์ หรือเงินฝากประจำกับสถาบันการเงินที่เป็นของรัฐหรือธนาคารพาณิชย์ตามที่คณะกรรมการกองทุนเห็นสมควร โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
7. สนพ. ขอเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์ (ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขา กิ่งเพชร) สำหรับรองรับการโอนเงินจากบัญชีเงินฝากกองทุนฯ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการเบิกจ่ายเงิน และโอนเงินให้แก่ผู้เบิกเงินกองทุน และผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน เนื่องจากมีสถานที่ตั้งอยู่ใกล้กับ สนพ. ทำให้ได้รับความสะดวกคล่องตัว ประหยัดพลังงาน และประหยัดเวลาในการเดินทาง ทั้งนี้ สนพ. ได้ประสานการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้บริการทุกประเภทกับธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ เรียบร้อยแล้ว
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ สนพ. นำระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 (ฉบับเดิม) มาใช้แทนเป็นการชั่วคราว โดยขอเปลี่ยนหน่วยงานผู้บริหารงานจาก กรมบัญชีกลาง เป็น สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ตามข้อเสนอในข้อ 2.1 ของเรื่องที่ 5.1 ทั้งนี้โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2551 เป็นต้นไป จนกว่าระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ จะประกาศใช้
2. อนุมัติให้ สนพ. เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์ (ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขา กิ่งเพชร) สำหรับรองรับการโอนเงินจากบัญชีเงินฝากกองทุนฯ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในวงเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท สำหรับในการเบิกจ่ายเงิน และโอนเงินให้แก่ผู้เบิกเงินกองทุน และให้ขอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังตามขั้นตอนต่อไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้จัดทำร่างรายงานการประชุมเสนอที่ประชุมพิจารณา และที่ประชุมได้รับรองมติของที่ประชุมตามวาระที่ 4.1 และ 5.1 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ สรุปเสนอ