มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2560 (ครั้งที่ 36)
เมื่อวันอังคารที่ 7 มีนาคม 2560 เวลา 14.30 น.
1. สถานการณ์พลังงานโลกและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
3. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมีนาคม 2560
4. การเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG กรณีการนำเข้าและส่งออกก๊าซ LPG
5. การใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบริหารจัดการราคาน้ำมัน
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์)
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ)
แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
เรื่องที่ 1 สถานการณ์พลังงานโลกและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
สรุปสาระสำคัญ
ทีม Prism บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกให้ที่ประชุมทราบ ดังนี้ (1) ราคาน้ำมันดิบในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ยังอยู่ในระดับทรงตัว แต่ทั้งนี้ยังมีปัจจัยที่อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปริมาณแหล่งขุดเจาะน้ำมันดิบ และปริมาณน้ำมันดิบสำรองเชิงพาณิชย์ของประเทศสหรัฐฯ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งปริมาณซื้อขายในตลาดซื้อขายล่วงหน้าสูงเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้ ในภาพรวมคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบจะทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 50-55 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันสำเร็จรูปยังทรงตัวตามราคาน้ำมันดิบ แต่ทั้งนี้ยังมีปัจจัยที่อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ ช่วงเทศกาลถือศีลอดและช่วงท่องเที่ยวของชาวมุสลิม รวมทั้งโรงกลั่นในทวีปเอเชียจะปิดซ่อมบำรุงตามแผน ช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน 2560 (2) ราคาก๊าซ LPG ในเดือนมีนาคม 2560 ราคา CP (Contract Price) อยู่ที่ 540 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า จำนวน 15 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน เนื่องจากราคาโพรเพน (C3) ปรับตัวลดลง ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าราคา CP เดือนเมษายน 2560 จะยังทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 500 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน (3) ราคาถ่านหิน ในภาพรวมยังทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 70 - 80 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน เนื่องจากประเทศจีนปรับลดปริมาณการผลิตถ่านหินลง รวมทั้งประเทศอังกฤษปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นไปตามแผนการปรับลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ของประเทศ และ (4) ราคาก๊าซ LNG ในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ราคาปรับตัวลดลง โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 6.8 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียูและในเดือนมีนาคม 2560 ราคา LNG ยังคงมีทิศทางปรับตัวลดลง เนื่องจากหมดช่วงฤดูหนาวของหลายประเทศ ปริมาณการผลิตก๊าซ LNG ของประเทศออสเตรเลียและมาเลเซียเพิ่มสูงขึ้น แต่ทั้งนี้ยังมีปัจจัยที่อาจส่งผลให้ราคาเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากท่อส่ง LNG ของประเทศไนจีเรียระเบิด แต่ล่าสุดสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้วและเริ่มส่งออกก๊าซ LNG ได้ตามปกติ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
ความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2558 – 2579 (Oil Plan 2015) ไตรมาสที่ 1 ปี 2560 แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ (1) ส่วนที่มีความก้าวหน้าในการดำเนินงาน คือ มาตรการที่ 5 สนับสนุนการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันเชื้อเพลิง ได้แก่ การสนับสนุนระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพโดยการพัฒนาระบบขนส่งน้ำมันทางท่อ ปัจจุบันสายเหนืออยู่ระหว่างการพิจารณารายงาน EIA ของคณะกรรมการ ผู้ชำนาญการของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ส่วนสายตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อเดือนมกราคม 2560 กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้เข้าชี้แจงรายละเอียดโครงการเบื้องต้นต่อผู้ว่าราชการทั้ง 5 จังหวัด (จังหวัดสระบุรี จังหวัดลพบุรี จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดขอนแก่น) ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ที่ท่อพาดผ่าน และการสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ ปัจจุบัน ธพ. ได้ยกเลิกการคัดเลือกที่ปรึกษา เนื่องจากมูลนิธิเพื่อสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาที่ผ่านการคัดเลือกให้เหลือน้อยราย จำนวน 1 ราย ไม่ประสงค์จะดำเนินการศึกษา (เนื่องจากเงื่อนไขเรื่องระยะเวลา และผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ) และ (2) ส่วนที่ความก้าวหน้าในการดำเนินงานยังคงเดิม คือ มาตรการที่ 2 บริหารจัดการชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสม ได้แก่ การบริหารจัดการชนิดของเชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้ใช้ต่างๆ กรณี NGV ซึ่งที่ผ่านมามีการเปิดให้บริการสถานีบริการก๊าซธรรมชาติเฉพาะตามแนวท่อก๊าซ จำนวน 1 สถานี และได้ดำเนินการก่อสร้างศูนย์พักรถขนส่งสินค้าพร้อมสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ (NGV Terminal Hub) เฟสแรกแล้วเสร็จและเปิดบริการแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้างวางท่อเพื่อเปลี่ยนเป็นสถานีแนวท่อ จำนวน 1 แห่ง ส่วนการลดชนิดน้ำมันเชื้อเพลิง ธพ. ได้ชะลอการยกเลิกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 เนื่องจากสถานการณ์ปริมาณเอทานอลเริ่มไม่คงที่จึงต้องรอความชัดเจนของนโยบาย และการกำหนดมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงภูมิภาคอาเซียน ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับข้อเสนอการจัดทำร่างมาตรฐานน้ำมันอาเซียนของประเทศสมาชิกอาเซียน จากสำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีในส่วนของมาตรการที่ 4 ผลักดันการใช้เชื้อเพลิง เอทานอลและไบโอดีเซล ตามแผน AEDP 2015 ได้แก่ ศึกษาการกำหนดมาตรฐานน้ำมันดีเซลที่ผสมไบโอดีเซล ในสัดส่วนร้อยละ10 ซึ่งปัจจุบัน ธพ. อยู่ระหว่างดำเนินการศึกษารวบรวมและติดตามข้อมูล
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมีนาคม 2560
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2559 กบง. ได้มีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางการเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG ทั้งระบบ โดยมีขั้นตอนการดำเนินการ ระยะที่ 1 ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านก่อนจะเปิดเสรีทั้งระบบ โดยเปิดเสรีเฉพาะส่วนการนำเข้า แต่ยังคงควบคุมราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันและราคาโรงแยกก๊าซธรรมชาติ โดยยกเลิกการชดเชยส่วนต่างราคาจากการนำเข้า รวมถึงยกเลิกระบบโควตาการนำเข้าของประเทศ และสามารถส่งออกเนื้อก๊าซ LPG ภายใต้การควบคุมของกรมธุรกิจพลังงาน ในระยะที่ 2 การเปิดเสรีทั้งระบบ โดยยกเลิกการควบคุมราคาและปริมาณของทุกแหล่งผลิตและจัดหา เปิดเสรีการนำเข้าและส่งออกโดยสมบูรณ์ รวมถึงยกเลิกการประกาศราคาก๊าซ LPGณ โรงกลั่นและราคาขายส่ง ณ คลังก๊าซ โดยจะเริ่มดำเนินการเมื่อตลาดมีความพร้อมด้านการแข่งขันที่เพียงพอทั้งในส่วนการผลิตและจัดหา ไม่เกิดการสมยอมในการตั้งราคา ภายใต้การพิจารณาของกรมธุรกิจพลังงาน ในส่วนของการเปิดเสรีเฉพาะส่วนการนำเข้าในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านก่อนจะเปิดเสรีทั้งระบบ เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียดของการดำเนินการ ดังนี้ (1) ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น (ราคาซื้อตั้งต้น) ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านก่อนจะเปิดเสรีทั้งระบบ กำหนดราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นเป็นสองส่วน คือ ส่วนที่ 1 ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นสำหรับจำหน่ายภาคปิโตรเคมีซึ่งมีสัญญาซื้อ-ขายก่อนวันที่ 2 ธันวาคม 2559 ยังคงใช้ระบบราคาต้นทุนเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเช่นเดิม ส่วนที่ 2 ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นสำหรับจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิงหรือจำหน่ายภาคปิโตรเคมีซึ่งไม่มีสัญญาซื้อ-ขายก่อนวันที่ 2 ธันวาคม 2559 เปลี่ยนจากหลักเกณฑ์เดิมที่กำหนดด้วยระบบราคาต้นทุนเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหา เป็นการกำหนดด้วยราคานำเข้า (CP+X) ซึ่งมีหลักเกณฑ์การคำนวณ โดยให้ ราคานำเข้า = CP + ค่าขนส่ง + ค่าประกันภัย + ค่าการสูญเสีย + ค่าใช้จ่ายในการนำเข้าอื่นๆ ทั้งนี้ เมื่อพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีผลบังคับใช้ ให้ปรับหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นและโครงสร้างราคาของก๊าซ LPG อีกครั้ง ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติฯ และ (2) อัตราเงินชดเชยหรือส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของส่วนผลิตและจัดหา โดยยกเลิกการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรือชดเชยสำหรับก๊าซนำเข้า หรือก๊าซที่ทำในราชอาณาจักรซึ่งผลิตจากก๊าซ ที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรือชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรของ โรงแยกก๊าซธรรมชาติ เท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น และราคาโรงแยกก๊าซธรรมชาติ สำหรับ การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรือชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรโดยโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก เท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น และราคาโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก
2. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมีนาคม 2560 สรุปได้ดังนี้ (1) โรงแยกก๊าซธรรมชาติ ต้นทุนเดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2560 เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2559 – มกราคม 2560 ที่ 0.1177 บาทต่อกิโลกรัม จาก 13.2638 บาทต่อกิโลกรัมเป็น 13.3815 บาทต่อกิโลกรัม (2) โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก ต้นทุนอ้างอิงราคาตลาดโลกที่สูตรราคา CP โดยต้นทุนราคาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันในเดือนมีนาคม 2560 เท่ากับ 540 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน (3) การนำเข้า ต้นทุนเดือนมีนาคม 2560 อยู่ที่ 584.7996 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน (20.5787 บาทต่อกิโลกรัม) และ (4) บริษัท ปตท.สผ. สยาม จำกัด ต้นทุนเดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2560 เพิ่มขึ้น 0.20 บาท ต่อกิโลกรัม จาก 15.00 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 15.20 บาทต่อกิโลกรัม โดยสถานการณ์ราคาก๊าซ LPG เดือนมีนาคม 2560 ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) อยู่ที่ 540 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนกุมภาพันธ์ 2560 อยู่ที่ 35.1893 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่นที่อ้างอิงราคานำเข้าซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (Import Parity) ปรับลดลง 0.9327 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 21.5114 บาทต่อกิโลกรัม (604.0595 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) เป็น 20.5787 บาทต่อกิโลกรัม (584.7996 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) และราคา ณ โรงกลั่นของก๊าซ LPG ที่ใช้ในภาคปิโตรเคมีที่อ้างอิงราคาเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก (Weighted Average) ปรับลดลง 0.2624 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 15.6913 บาทต่อกิโลกรัม (440.6266 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) เป็น 15.4289 บาทต่อกิโลกรัม (438.4531 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน)
3. เพื่อเป็นการลดภาระการชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ และเตรียมการในการเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG ในอนาคต ประกอบกับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก๊าซ LPG ณ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2560 มีฐานะกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของก๊าซ LPG อยู่ที่ 6,961 ล้านบาท ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้คงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ไว้ที่ 20.96 บาทต่อกิโลกรัม โดยปรับลดการชดเชยกองทุนน้ำมันฯ ลง 0.9327 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 7.5663 บาทต่อกิโลกรัม เป็นกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยที่ 6.6336 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ในส่วนการผลิตและจัดหา (กองทุนน้ำมัน#1) มีรายรับจำนวน 1,887 ล้านบาทต่อเดือน และมีรายจ่ายเพื่อทำการรักษาระดับราคาขายปลีก ก๊าซ LPG (กองทุน#2) จำนวน 2,330 ล้านบาทต่อเดือน ดังนั้น กองทุนน้ำมันฯ (#1 และ #2) มีรายจ่ายสุทธิ 443 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งเป็นภาระที่ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2560 จำนวน 47 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการกำหนดราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา ประจำเดือน มีนาคม 2560 ดังนี้
(1) กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ณ ระดับราคา 13.3815 บาทต่อกิโลกรัม
(2) กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันและโรงอะโรเมติก ณ ระดับราคา 19.0022 บาทต่อกิโลกรัม
(3) กำหนดราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า ณ ระดับราคา 20.5787 บาทต่อกิโลกรัม
(4) กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร ณ ระดับราคา 15.2000 บาทต่อกิโลกรัม
2. เห็นชอบกำหนดอัตราเงินชดเชยของกองทุนสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักร กิโลกรัมละ 6.6336 บาท
3. เห็นชอบประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2560 เรื่อง การกำหนดราคา อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรหรือนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซ ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2560 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 4 การเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG กรณีการนำเข้าและส่งออกก๊าซ LPG
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2560 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบกำหนดให้ผู้นำเข้าก๊าซ LPG ต้องรายงานปริมาณและราคาจริงของการนำเข้าก๊าซ LPG ให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) รับทราบ โดยให้ ธพ. เป็นหน่วยงานหลัก พร้อมด้วยสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ดำเนินการศึกษามาตรการรองรับความเสียหายอันเกิดจากการชดเชยราคาส่วนต่างจากการนำเข้าก๊าซ LPG แบบฉุกเฉิน และให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ต้องจำหน่ายก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติให้แก่ผู้ค้าทุกรายที่มีความต้องการซื้อ ในช่วงเวลาก่อนการเปิดบริการคลังก๊าซจังหวัดชลบุรี (คลังบ้านโรงโป๊ะและคลังเขาบ่อยา) ให้บุคคลที่สามสามารถใช้ได้ (Third Party Access: TPA) รวมทั้งให้ ธพ. และ สนพ. ทบทวนหลักการ การขออนุญาตส่งออกก๊าซ LPG นอกราชอาณาจักร และทบทวนหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักร กรณีได้รับอนุญาตให้ส่งออกนอกราชอาณาจักร และนำมาเสนอให้ กบง. พิจารณาอีกครั้ง ซึ่งจากสถานการณ์ก๊าซ LPG ภายหลังจากการเปิดเสรีการนำเข้าก๊าซ LPG เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2560 ช่วงเดือนมกราคม – พฤษภาคม 2560 สรุปได้ว่า เดือนมกราคม 2560 ก๊าซ LPG สำหรับใช้ในประเทศยังขาดอยู่ประมาณ 7,987 ตัน และเดือนกุมภาพันธ์ขาดอยู่ประมาณ 2,506 ตัน ทั้งนี้ กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ให้ผู้ค้าก๊าซ LPG บริหารจัดการดึงก๊าซ LPG ในสต็อกของตนเองมาใช้ ตั้งแต่เดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2560 ทำให้เดือนมีนาคม 2560 มีปริมาณก๊าซ LPG ส่วนเกิน 48,701 ตัน เดือนเมษายน 2560 มีปริมาณก๊าซ LPG ส่วนเกิน 26,753 ตัน และเดือนพฤษภาคม 2560 มีปริมาณก๊าซ LPG ส่วนเกิน 21,281 ตัน
2. การจัดทำมาตรการรองรับความเสียหายอันเกิดจากการชดเชยราคาส่วนต่างจากการนำเข้าก๊าซ LPG แบบฉุกเฉิน โดย ธพ. ได้ยกร่างประกาศกระทรวงพลังงาน เรื่อง กำหนดเงื่อนไขการนำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลวของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ (1) ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่มีปริมาณการนำเข้าก๊าซ LPG เพื่อนำมาจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิงในราชอาณาจักรปฏิบัติ ต้องทำสัญญายินยอมชดใช้ค่าเสียหายกรณีไม่นำเข้าตามแผน มีการแจ้งยืนยันการปฏิบัติตามแผนการนำเข้าก่อนเรือนำเข้ามาถึงเขตท่าศุลกากรล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 วัน และแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับปริมาณ ราคา และค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการนำเข้าก๊าซ LPG ภายใน 5 วัน นับแต่วันที่เข้ามาในราชอาณาจักรแล้วเสร็จ (2) อธิบดี ธพ. จะพิจารณาสั่งให้ผู้ค้าน้ำมันนำเข้าก๊าซ LPG เป็นกรณีฉุกเฉิน เมื่อมีเหตุอันอาจทำให้เกิดภาวะการขาดแคลนก๊าซ LPG และกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ จากเหตุอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น ได้รับแจ้งว่าผู้ผลิตก๊าซ LPG ภายในประเทศมีปัญหาปิดซ่อมแซมฉุกเฉิน และผู้ค้าน้ำมันไม่นำเข้าตามแผนการนำเข้าที่ได้แจ้งไว้ เป็นต้น ทั้งนี้ ให้เสนอ กบง. ให้ความเห็นชอบก่อนออกคำสั่ง (3) หากผู้ค้าน้ำมันไม่ดำเนินการตามแผนการนำเข้าก๊าซ LPG จนเป็นเหตุให้จำเป็นต้องสั่งให้มีการนำเข้าเป็นกรณีฉุกเฉิน อธิบดี ธพ. จะออกคำสั่งเป็นหนังสือกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันชำระเงินชดเชยค่าเสียหายตามที่ได้ให้ความยินยอม ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ทราบคำสั่ง (4) หากผู้ค้าน้ำมันไม่ชำระเงินโดยถูกต้องครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กำหนด อธิบดี ธพ. จะมีหนังสือเตือนให้ผู้ค้าน้ำมันชำระเงินภายในระยะเวลาที่กำหนดอีกครั้งหนึ่งแต่ต้องไม่น้อยกว่า 7 วัน ถ้าไม่มีการปฏิบัติตามคำเตือนจะพิจารณาใช้มาตรการบังคับทางปกครองโดยการยึดหรืออายัดทรัพย์สินและขายทอดตลาดเพื่อชำระเงินให้ครบถ้วน ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองต่อไป (5) ผู้ค้าน้ำมันที่ไม่ได้นำเข้าก๊าซ LPG ตามแผนที่แจ้งไว้ในเดือนใด ไม่ว่าการไม่นำเข้าตามแผนดังกล่าวจะส่งผลให้มีการสั่งนำเข้าก๊าซ LPG เป็นกรณีฉุกเฉินหรือไม่ก็ตาม ให้ถือว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขเกี่ยวกับการดำเนินการค้าที่ออกตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ซึ่งจะถูกลงโทษตามมาตรา 36 จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (6) รัฐมนตรีอาจพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เมื่อผู้ค้าน้ำมันไม่นำเข้าตามแผน 3 ครั้ง ใน 1 ปีปฏิทิน (7) ผู้ค้าน้ำมันที่ไม่อาจดำเนินการตามแผน การนำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว อันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัย ไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหาย และยกเว้นความผิดตามมาตรา 36 ทั้งนี้ ให้ผู้ค้าน้ำมันแจ้งเหตุหรือพฤติการณ์ดังกล่าว พร้อมหลักฐานเป็นหนังสือ ให้อธิบดี ธพ. ทราบภายใน 7 วัน นับถัดจากวันที่เหตุนั้นสิ้นสุดลง และให้เสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อพิจารณา และ (8) การพิจารณายกเลิกประกาศฯ เมื่อเกิดกรณีใดกรณีหนึ่ง ได้แก่ โครงสร้างราคาก๊าซ LPG ถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทาน หรือกลไกตลาด สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและมีการแข่งขันอย่างเสรี ไม่มีการควบคุมการนำเข้าหรือการส่งออกที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าก๊าซ LPG ระหว่างประเทศ เมื่อพ้น 3 ปี นับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ
3. มาตรการเพิ่มสำรองก๊าซ LPG ธพ. ได้ยกร่างประกาศ ธพ. เรื่อง กำหนดชนิดและอัตรา หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณปริมาณสำรองน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ระยะที่หนึ่ง (วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2560) เพื่อปรับให้เกิดความมั่นคงทางพลังงานของประเทศเพิ่มขึ้น โดยยกเลิกการให้เงื่อนไขการผ่อนปรนการเก็บสำรอง LPG ในแต่ละวันไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ของปริมาณที่มีหน้าที่ต้องเก็บสำรองส่งผลให้ผู้ค้าต้องสำรอง LPG ในแต่ละวันเท่ากับปริมาณที่มีหน้าที่ต้องสำรอง (ร้อยละ 100) โดยกำหนดอัตราสำรอง LPG ร้อยละ 1 ทั้งจากการผลิตในประเทศและการนำเข้า และคงอัตราสำรองก๊าซธรรมชาติ ที่ร้อยละ 0.5 ระยะที่สอง (วันที่ 1 ตุลาคม 2560 – 31 ธันวาคม 2563) คงอัตราสำรอง LPG ที่ผลิตภายในประเทศและก๊าซธรรมชาติเท่าเดิมที่อัตราร้อยละ 1 และร้อยละ 0.5 ตามลำดับ แต่เพิ่มอัตราสำรอง LPG นำเข้า เป็นร้อยละ 1.5 เพื่อให้เกิดความเสมอภาคระหว่างการจัดหาภายในประเทศ และการนำเข้า และระยะที่สาม (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป) ปรับเพิ่มอัตราสำรอง LPG ที่มาจากการผลิตภายในประเทศจากร้อยละ 1 เป็นร้อยละ 2.5 และเพิ่มอัตราสำรองก๊าซธรรมชาติจากร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 1.5 และเพิ่มอัตราสำรอง LPG นำเข้า เป็นร้อยละ 4 ส่งผลให้จำนวนวันที่สำรองก๊าซ LPG เพียงพอใช้ได้เพิ่มขึ้นจาก 5 วัน เป็นประมาณ 15 วัน
4. การส่งออกก๊าซ LPG หลังเปิดเสรีนำเข้า ในส่วนของการเปิดเสรีนำเข้าก๊าซ LPG จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนการกำหนดหลักเกณฑ์การส่งออกก๊าซ LPG ของประเทศให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเห็นควรให้ผู้ค้าสามารถขออนุญาตส่งออกเนื้อก๊าซ LPG ที่ผลิตในประเทศได้ เพื่อเป็นการรักษาสมดุลการผลิตและจัดหาให้สอดคล้องกับความต้องการภายในประเทศ โดยให้ ธพ. เป็นผู้อนุญาตการส่งออกก๊าซ LPG โดยให้พิจารณาการส่งออกเป็นรายเที่ยว กรณีการขออนุญาตส่งออกก๊าซ LPG จากปริมาณที่ผลิตได้ในประเทศ จะพิจารณาอนุญาตให้ส่งออกได้ในกรณีที่ประเทศมีก๊าซ LPG เพียงพอใช้แล้ว และยังมีส่วนเกินปริมาณจัดหาอยู่ โดยจะอนุญาตให้ส่งออกได้ไม่เกินกว่า ปริมาณจัดหาส่วนที่เกินกว่าความต้องการใช้ภายในประเทศเท่านั้น และหากได้รับอนุญาตให้ส่งออก ผู้ค้ามีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ส่วนการเปิดเสรีเฉพาะส่วนการนำเข้า รัฐยังคงกำหนดราคาก๊าซ LPG จากโรงแยกฯ ที่หลักเกณฑ์ของราคา Cost Plus และราคาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นฯ ที่หลักเกณฑ์ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) แต่ในบางกรณีราคาที่รัฐกำหนดดังกล่าวอาจจะต่ำกว่าราคาที่ผู้ผลิตควรจะได้หากผู้ผลิตทำการส่งออกเอง ดังนั้น ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านก่อนจะเปิดเสรีทั้งระบบ จึงจำเป็นต้องกำหนดเงื่อนไขการส่งออกที่จำเป็นเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้ผลิตจำหน่ายก๊าซ LPG เข้าสู่ระบบภายในประเทศเป็นหลัก โดยต้องมีการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรโดยโรงแยกก๊าซธรรมชาติ สำหรับก๊าซที่อนุญาตให้ส่งออกนอกราชอาณาจักรเท่ากับส่วนต่างของราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น สำหรับจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิง (CP+X) และราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ (Cost Plus) ดังสูตร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกโดยโรงแยกฯ = (CP+X) – ราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ทั้งนี้ โรงแยกก๊าซฯ สามารถส่งออกก๊าซ LPG ได้ในกรณีที่กรมธุรกิจพลังงานพิจารณาเห็นชอบแล้วว่าเป็นการส่งออกก๊าซ LPG ในกรณีจำเป็นเท่านั้น ส่วนการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักร โดยโรงกลั่นน้ำมันและโรงอะโรเมติก สำหรับก๊าซที่อนุญาตให้ส่งออกนอกราชอาณาจักร เท่ากับส่วนต่างของ ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น สำหรับจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิง (CP+X) และราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันและ โรงอะโรเมติกที่อิงราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) ดังสูตร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกโดยโรงกลั่นฯ = (CP+X) – CP
มติของที่ประชุม
1. รับทราบมาตรการรองรับความเสียหายอันเกิดจากการชดเชยราคาส่วนต่างจากการนำเข้าก๊าซ LPG แบบฉุกเฉินของกรมธุรกิจพลังงาน
2. เห็นชอบหลักการการขออนุญาตส่งออกก๊าซ LPG นอกราชอาณาจักร ดังนี้
(1) ให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นผู้ควบคุมดูแลการส่งออกเนื้อก๊าซ LPG โดยให้พิจารณาการขออนุญาตส่งออกเป็นรายเที่ยว
(2) อนุญาตให้ส่งออกก๊าซ LPG จากปริมาณที่ผลิตได้ในประเทศ จะพิจารณาอนุญาตเฉพาะผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่เป็นผู้ผลิตก๊าซ LPG และในปริมาณไม่เกินกว่าส่วนที่เกินกว่าความต้องการใช้ภายในประเทศ
3. เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักร กรณีได้รับอนุญาตให้ส่งออกนอกราชอาณาจักร ดังนี้
(1) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรโดย โรงแยกก๊าซธรรมชาติ สำหรับก๊าซที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 เท่ากับส่วนต่างของราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น สำหรับจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิง (CP+X) และราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ (Cost Plus)
(2) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักร โดยโรงกลั่นน้ำมันและโรงอะโรเมติก สำหรับก๊าซที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 เท่ากับส่วนต่างของราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น สำหรับจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิง (CP+X) และราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันและโรงอะโรเมติกที่อิงราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP)
โดยที่ ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) คือ ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาราเบีย ด้วยสัดส่วนระหว่างโพรเพนและบิวเทน 50:50 ณ เดือนที่คำนวณราคา
4. เห็นชอบกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรโดยโรงแยกก๊าซธรรมชาติ สำหรับก๊าซที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 กิโลกรัมละ 7.1972 บาท
5. เห็นชอบกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักร โดยโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก สำหรับก๊าซที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 กิโลกรัมละ 1.5765 บาท
6. เห็นชอบกำหนดอัตราเงินคืนกองทุนสำหรับก๊าซที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกนอกราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 กิโลกรัมละ 6.6336 บาท
ทั้งนี้ ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ปรับประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานตามคำแนะนำของผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
เรื่องที่ 5 การใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบริหารจัดการราคาน้ำมัน
สรุปสาระสำคัญ
เนื่องจากช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม 2560 ราคาน้ำมันตลาดโลกอยู่ในช่วงขาขึ้นที่ประมาณ 50 - 55 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จึงมีคำถามว่ากองทุนน้ำมันฯ ซึ่งมีฐานะสุทธิอยู่ที่ประมาณ 3.3 หมื่นล้านบาท จะมีบทบาทในการดูแลราคาน้ำมันอย่างไร ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เสนอหลักการ 3 ข้อ ดังนี้
1. หากราคาน้ำมันปรับขึ้นสูงกว่าราคาฐานซึ่งต้องพิจารณาอีกครั้งว่าราคาฐานควรอยู่ระดับใด กองทุนน้ำมันฯ จะเข้าช่วยครึ่งหนึ่งและราคาขายปลีกจะปรับขึ้นครึ่งหนึ่ง (Half – Half Concept) เพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกปรับขึ้นในอัตราที่สูงมากเกินไป แต่จะไม่ช่วยทั้งหมดเพราะหากต้องการยกเลิกการช่วยเหลือภายหลังจะดำเนินการ ได้ยาก ตัวอย่างหลักการ Half – Half กรณีน้ำมันดีเซล สมมติว่ากำหนดราคาฐานไว้ที่ 65 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และเมื่อราคาน้ำมันดิบสูงถึงราคาฐาน กองทุนน้ำมันฯ จะเริ่มเข้าไปสนับสนุน ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบดูไบ 65 – 79 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล กองทุนน้ำมันฯ จะช่วยครึ่งหนึ่งตั้งแต่ 0.01 – 1.41 บาทต่อลิตร และอีกครึ่งหนึ่งจะเป็นการปรับขึ้นราคาขายปลีก ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกอยู่ในช่วง 28.59 – 29.99 บาทต่อลิตร
2. กำหนดเพดานราคาขายปลีก เมื่อราคาน้ำมันดิบขึ้นสูงมากอาจต้องมีการกำหนดเพดานราคาขายปลีกขั้นสูงไว้ เช่น ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ประมาณ 54 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล หรือเทียบเท่าราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่ประมาณ 26.59 บาทต่อลิตร ดังนั้น อาจจะมีเพดานราคาขายปลีกขั้นที่หนึ่ง ที่ 28.59 บาทต่อลิตร ในระยะเวลา 3 เดือน และจากนั้นอาจจะมีเพดานราคาขายปลีกที่ 29.99 บาทต่อลิตร อีกหนึ่งครั้ง ซึ่งตัวเลขเหล่านี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ แต่หลักการคือมีเพดานราคาขายปลีกโดยอาจจะมี 1 ขั้น หรือ 2 ขั้น แล้วแต่การพิจารณา ของ กบง.
3. หากราคาน้ำมันดิบดูไบสูงเกินค่าใดค่าหนึ่ง อาจจะต้องใช้ภาษีสรรพสามิตมาช่วย ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ประมาณการว่ากองทุนน้ำมันฯ จะสามารถช่วยเหลือได้จนราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกสูงถึง 80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยจะยกตัวอย่าง 2 กรณี ดังนี้ กรณีที่ 1 กำหนดราคาฐานไว้ที่ 65 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และกำหนดเพดานราคาขายปลีกไว้ที่ 29.99 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะเริ่มเข้าช่วยที่ระดับราคาน้ำมันดิบดูไบอยูที่ 65 – 72 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยกองทุนน้ำมันฯ ช่วยตั้งแต่ 0.01 – 0.71 บาทต่อลิตร ซึ่งทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันอยู่ในช่วง 28.59 - 29.29 บาทต่อลิตร ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีภาระที่ 648 ล้านบาทต่อเดือน และหากราคาน้ำมันดิบดูไบปรับขึ้นเป็น 72 – 79 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล กองทุนน้ำมันฯ จะเข้าไปช่วยตามหลักการ Half – Half โดยจะชนเพดานที่ 79 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล กองทุนน้ำมันฯ จะช่วยที่ประมาณ 1.4 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้มีรายจ่ายที่ประมาณ 2 พันล้านบาทต่อเดือน และหากน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นไปถึง 79 เหรียญฯสหรัฐต่อบาร์เรล หรือมากกว่า กองทุนน้ำมันฯ จะช่วยที่ประมาณ 2 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้มีรายจ่ายอยู่ที่ประมาณ 3,600 บาทต่อเดือน สำหรับกรณีน้ำมันดีเซล และส่วนที่เหลือภาษีสรรพสามิตจะต้องลดลง ซึ่งปัจจุบันอัตราภาษีสรรพสามิตอยู่ที่ 5.85 บาทต่อลิตร จากฐานะกองทุนน้ำมันฯ ในปัจจุบันจะช่วยได้ประมาณ 8-9 เดือน ตามตัวอย่างที่กล่าวแล้วเป็นกรณีน้ำมันดีเซล โดยหลักการนี้จะใช้ทั้งน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล กรณีการช่วยน้ำมันเบนซินด้วย รายจ่ายทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 5 พันล้านบาทต่อเดือน กองทุนน้ำมันฯ จะช่วยได้ประมาณ 6 เดือน และกรณีที่ 2 ราคาฐานไว้ที่ 55 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และกำหนดเพดานราคาขายปลีกไว้ที่ 26.99 บาทต่อลิตร โดยกองทุนน้ำมันฯ เริ่มเข้าช่วยที่ระดับราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 55 – 59 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล กองทุนน้ำมันฯ จะช่วยที่ประมาณ 0.40 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันอยู่ในช่วง 26.59 - 26.99 บาทต่อลิตร และในหลักการเดียวกันหากราคาน้ำมันดิบดูไบขยับขึ้น กองทุนน้ำมันฯ จะเข้าช่วยครึ่งหนึ่งจนถึงเพดาน และหากราคาน้ำมันดิบดูไบสูงกว่า 70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล กองทุนน้ำมันฯ จะเข้าช่วยที่ประมาณ 3 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ภาระกองทุนน้ำมันฯ อยู่ที่ประมาณ 5,400 ล้านบาทต่อเดือนสำหรับกรณีน้ำมันดีเซล และส่วนที่เหลือภาษีสรรพสามิตจะต้องลดลง และหากรวมน้ำมันเบนซินด้วยซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 2,500 ล้านบาทต่อเดือน ทำให้มีค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดประมาณ 8,000 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานจัดทำข้อเสนอการใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบริหารจัดการราคาน้ำมันและให้นำเสนอในการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานครั้งต่อไป