มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 11/2560 (ครั้งที่ 44)
เมื่อวันพุธที่ 4 ตุลาคม 2560 เวลา 14.00 น.
1. สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
3. การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ชีวมวล
5. แนวทางดำเนินการโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี
6. แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2561
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์)
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายทวารัฐ สูตะบุตร)
เรื่องที่ 1 สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
สรุปสาระสำคัญ
ทีม Prism บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกให้ที่ประชุมทราบ ดังนี้ (1) ราคาน้ำมันดิบช่วงเดือนกันยายน 2560 มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ในระดับ 59 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งสูงสุดในรอบ 2 ปี เนื่องจากโอเปคมีท่าทีที่จะขยายระยะเวลาในการลดปริมาณการผลิต และเหตุความไม่สงบทางการเมืองของประเทศผู้ผลิตในตะวันออกกลาง รวมทั้งปริมาณน้ำมันดิบสำรองของโลกและปริมาณน้ำมันดิบสำรองเชิงพาณิชย์ของประเทศสหรัฐฯ ลดลง โดยในภาพรวมคาดว่าในช่วงเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2560 ราคาน้ำมันดิบจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 50 – 51 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่ทั้งนี้ช่วงกลางเดือนตุลาคม 2560 ราคาน้ำมันดิบอาจจะมีการผันผวนค่อนข้างสูงเนื่องจากประเทศจีนจะมีการประชุมเกี่ยวกับนโยบายทางการเมือง และจะมีการเลือกตั้งภายในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดน้ำมันดิบ (2) ราคาก๊าซ LPG ในเดือนตุลาคม 2560 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 88 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน โดยราคา CP (Contract Price) อยู่ที่ 578 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน สาเหตุหลักมาจากภัยธรรมชาติในประเทศสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อ ท่าส่งออกก๊าซ LPG (3) ราคาถ่านหินมีทิศทางปรับตัวลดลง เนื่องจากเหตุความไม่สงบของประเทศออสเตรเลีย เริ่มคลี่คลายลง รวมทั้งปริมาณสำรองก๊าซ LPG ของประเทศจีนเพิ่มสูงขึ้น และ (4) ราคาก๊าซ LNG ในเดือนกันยายน 2560 มีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 7.20 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียู เนื่องจากปริมาณความต้องการของทวีปเอเชียเพิ่มสูงขึ้นเพื่อสำรองสำหรับฤดูหนาว รวมทั้งนโยบายของประเทศจีนที่รณรงค์ให้ลดการใช้ถ่านหินทำให้ความต้องการก๊าซ LNG เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสที่ 4 คาดว่าราคาก๊าซ LNG จะยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8 – 9 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียู เนื่องจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของประเทศฝรั่งเศลจะมีการปิดซ่อมบำรุงทำให้ความต้องการก๊าซ LNG เพิ่มขึ้น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
เป้าหมายการใช้พลังงานทดแทนในปี 2560 ตามแผน AEDP 2015 แบ่งเป็น 3 ด้าน ดังนี้ (1) การใช้พลังงานทดแทนผลิตไฟฟ้า โดยมีการติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนรายเทคโนโลยี ได้แก่ ขยะชุมชน ขยะอุตสาหกรรม พลังงานน้ำขนาดเล็ก ก๊าซชีวภาพ (น้ำเสีย/ของเสีย) ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ (พืชพลังงาน) พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังน้ำขนาดใหญ่ มีเป้าหมายสะสมถึงสิ้นปี 2560 อยู่ที่ 9,327.15 เมกะวัตต์ คิดเป็นพลังงานไฟฟ้า 33,580.65 ล้านหน่วย และ ณ เดือนมิถุนายน 2560 มีผลการดำเนินการสะสม จำนวน 9,988.06 เมกะวัตต์ คิดเป็นพลังงานไฟฟ้า 15,221.20 ล้านหน่วย และเมื่อพิจารณาการดำเนินการจ่ายไฟเข้าระบบของโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ปี 2560 พบว่า มีการกำหนดแผนจะจ่ายไฟเข้าระบบ จำนวน 1,280.71 เมกะวัตต์ และ ณ เดือนมิถุนายน 2560 โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนสามารถจ่ายไฟเข้าระบบได้แล้ว จำนวน 280.30 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ จะมีการเปิดรับซื้อไฟฟ้าแบบ SPP Hybrid-Firm จำนวน 300 เมกะวัตต์ และ VSPP Semi-Firm จำนวน 269 เมกะวัตต์ อย่างไรก็ตามคาดว่าผลสะสมถึงสิ้นปี 2560 จะมี 10,988.47 เมกะวัตต์ คิดเป็นพลังงานไฟฟ้า 31,908.27 ล้านหน่วย (2) การใช้ความร้อนจากพลังงานทดแทน ได้แก่ ขยะ ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานความร้อนทางเลือกอื่น (เช่น พลังงานจากใต้พิภพ น้ำมันจากยางรถยนต์ที่ใช้แล้ว) จำนวน 7,115.10 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ คิดเป็นร้อยละ 8.70 ของการใช้ความร้อนจากพลังงานทดแทนต่อการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย โดย ณ เดือนมิถุนายน 2560 มีการใช้ความร้อนจากพลังงานทดแทน จำนวน 3,565.47 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ คิดเป็นร้อยละ 8.88 ของการใช้ความร้อนจากพลังงานทดแทนต่อพลังงานทั้งหมด และ (3) การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในภาคขนส่ง มีเป้าหมายอยู่ที่ 1,869.51 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ได้แก่ เอทานอล 3.84 ล้านลิตรต่อวัน (คิดเป็น 714.82 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ) และไบโอดีเซล 3.67 ล้านลิตรต่อวัน (คิดเป็น 1,154.69 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ) ณ เดือนมิถุนายน 2560 มีการใช้เอทานอล จำนวน 3.89 ล้านลิตรต่อวัน (คิดเป็น 359.09 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ) และ ไบโอดีเซล จำนวน 3.60 ล้านลิตรต่อวัน (คิดเป็น 561.68 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ) โดยสรุปในปี 2560 มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนตามแผน AEDP 2015 อยู่ที่ร้อยละ 14.48 ในเดือนมิถุนายน 2560 สามารถดำเนินการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน ได้เป็นร้อยละ 14.41 และคาดการณ์ผลการดำเนินการ ณ สิ้นปี 2560 จะสามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนได้อยู่ที่ร้อยละ 14.50
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ชีวมวล
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2560 สำนักงานนโยบายและแผยพลังงาน (สนพ.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีหนังสือขอเชิญอัยการสูงสุดเข้าร่วมประชุม กบง. ในวันที่ 5 กันยายน 2560 ในระเบียบวาระที่ 4.3 เรื่องการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ชีวมวล และอัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ (นายโกเมท ทองภิญโญชัย) ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุดเข้าร่วมประชุม ซึ่งในการประชุมเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2560 กบง. ได้มีมติเห็นชอบวิธีการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า SPP ชีวมวล ตามที่คณะทำงานแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ชีวมวลเสนอ และเห็นควรนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
2. เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2560 อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ (นายโกเมท ทองภิญโญชัย) ได้มีหนังสือเรื่อง รายงานผลการเข้าร่วมการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2560 ถึงประธาน กบง. โดยเสนอหนังสือผ่านมา ที่ สนพ. โดยมีความเห็นเกี่ยวกับการพิจารณาวิธีการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า SPP ชีวมวล ดังนี้ (1) รมว.พน. ในฐานะประธาน กบง. ไม่ได้ให้ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุดชี้แจงแต่อย่างใด (2) คณะทำงานแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ชีวมวลเป็นเพียงคณะทำงานที่ศึกษาข้อเท็จจริง มิใช่คณะอนุกรรมการภายใต้อำนาจหน้าที่ กบง. ดังนั้น ระเบียบวาระที่ 4.3 จึงอาจไม่สอดคล้องกับคำสั่งแต่งตั้ง กบง. (3) ไม่ปรากฏว่า เลขาฯ กบง. ได้จัดส่งเอกสารเกี่ยวกับคำร้อง มติคณะรัฐมนตรี ระเบียบ รวมทั้งสัญญาซื้อขายไฟฟ้าให้ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุดประกอบการพิจารณา (4) ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เรื่องนี้เกิดจากความผิดของคู่สัญญาใด หน่วยงานรัฐมีส่วนทำให้เกิดความเสียหายหรือไม่ เพียงใด (5) การให้ กกพ. พิจารณาเงื่อนไขการยกเว้นการยึดหลักค้ำประกันฯ ไม่อาจพิจารณาได้ว่า การยกเว้นปฏิบัติตามสัญญาเป็นหน้าที่ของหน่วยงานใด และคู่สัญญาแสดงความยินยอมหรือไม่ และ (6) การพิจารณาของคณะทำงานฯ ยังไม่ครอบคลุมถึงผลกระทบกับผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในคราวเดียวกันทั้งระบบ อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน ซึ่งต่อมา เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2560 สนพ. ได้มีหนังสือถึงกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะทำงานฯ พิจารณาประเด็นต่างๆ ของอัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ (นายโกเมท ทองภิญโญชัย) และหารือในคณะทำงานฯ เพื่อให้ได้ข้อสรุปและนำเสนอ กบง. ต่อไป
3. เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2560 ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (พลเอกณัฐติพล กนกโชติ) ประธานคณะทำงานฯ ได้รายงานผลต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (รมว.พน.) และ รมว.พน. เห็นชอบให้ พพ. ในฐานะฝ่ายเลขาฯ คณะทำงานฯ ทำหนังสือชี้แจง นายโกเมทฯ ตามประเด็นที่นายโกเมทฯ เสนอ และประสานฝ่ายเลขาฯ กบง. เพื่อทราบต่อไป ซึ่งเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2560 พพ. ได้มีหนังสือชี้แจง นายโกเมท ทองภิญโญชัย เพื่อทราบแล้ว โดยมีรายละเอียด ดังนี้ (1) คำสั่งกระทรวงพลังงานที่ 21/2560 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2560 รมว.พน. แต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ชีวมวล โดยมีที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานคณะทำงานและมีผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นหนึ่งในคณะทำงานฯ (นายพิเชษฐ์ เนียมนัด) ซึ่งคณะทำงานฯ มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบและศึกษาข้อเท็จจริง และเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อ รมว.พน. เพื่อให้ความเห็นชอบ และดำเนินการต่อไป (2) เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2560 ฝ่ายเลขานุการของ กบง. ได้จัดส่งเอกสารวาระการประชุม กบง. ครั้งที่ 10/2560 (ครั้งที่ 43) วาระที่ 4.3 เรื่อง การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ชีวมวลให้อัยการสูงสุด ส่วนเอกสารเกี่ยวกับคำร้อง มติคณะระฐมนตรี ระเบียบ รวมทั้งสัญญาซื้อขายไฟฟ้าต่างๆ แม้ว่า ฝ่ายเลขาฯ กบง. จะไม่ได้จัดส่งให้ แต่ในการประชุมคณะทำงานฯ ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2560 ได้ชี้แจงถึงความเป็นมาและเอกสารคำร้องในที่ประชุมแล้ว และผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุดในคณะทำงานฯ ไม่ได้ร้องขอเอกสารเพิ่มเติมแต่อย่างใด รวมทั้งการเชิญอัยการสูงสุดเข้าร่วมประชุม กบง. เพื่อให้ความเห็นแก่ กบง. หากมีประเด็นด้านกฎหมายที่ กบง. อาจจะมีข้อสงสัย (3) ในการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2560 ประธาน กบง. ได้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมการประชุมได้แสดงความคิดเห็นในประเด็นที่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว (4) คณะทำงานแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ชีวมวล เป็นคณะทำงานฯ ที่ดำเนินการศึกษารวบรวมข้อเท็จจริง และพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าชีวมวล เพื่อเสนอ รมว.พน. พิจารณา ก่อนที่จะนำเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป (5) การประชุมคณะทำงานฯ ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2560 ที่ประชุมรับทราบว่า การประชุมนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเยียวยาปัญหาที่เกิดขึ้นของโรงไฟฟ้าชีวมวล SPP และ VSPP ที่เคยเป็น SPP มาก่อน ทั้งนี้ เรื่องการแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้เป็นประเด็นความผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่อย่างใด (6) ในการประชุมคณะทำงานฯ ครั้งที่ 2/2560 เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2560 ที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบให้เสนอ กบง. เรื่อง ให้สำนักงาน กกพ. ทำการพิจารณาเงื่อนไขการยกเว้นการยึดหลักค้ำประกันในการปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและการส่งผ่านค่าใช้จ่ายในการรับซื้อไฟฟ้า เพื่อให้สามารถปรับรูปแบบการรับซื้อไฟฟ้าเป็น FiT ได้ (7) ในที่ประชุม กบง. ครั้งที่ 10/2560 เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2560 ผู้แทนสำนักงาน กกพ. ได้ชี้แจงว่า สามารถเปลี่ยนแปลงและ/หรือเพิ่มเติมเงื่อนไขท้ายสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้ โดยสำนักงาน กกพ.จะพิจารณาหลักเกณฑ์และวิธีการในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเป็น FiT ต่อไป และ (8) การพิจารณาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ชีวมวล ในครั้งนี้ มีแนวทางการพิจารณาและดำเนินการเช่นเดียวกับการแก้ไขปัญหาชีวมวลสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้ให้ความเห็นชอบ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2559 ซึ่งเป็นการดำเนินการเพื่อให้ครอบคลุมทั้งระบบ อย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีความเห็นใน 2 ประเด็น ดังนี้ (1) ประเด็นเกี่ยวกับหน้าที่คณะทำงานฯ และการผูกพันต่อ กบง. ได้แก่ 1) คณะทำงานฯ มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อข้อร้องเรียนหรือข้อเสนอของผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าชีวมวล เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อยุติร่วมกัน 2) จากรายงานผลการดำเนินงานของคณะทำงานฯ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2560 ปรากฏว่าชมรมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ชีวมวล ได้ขอให้นำเสนอต่อ กบง. เพื่อพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาของผู้ประกอบการ SPP ชีวมวล และ 3) เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2560 พพ. ได้มีหนังสือถึง สนพ. แจ้งเรื่องวาระที่ขอเสนอต่อ กบง. เพื่อทราบ จำนวน 2 วาระ และเพื่อพิจารณา จำนวน 1 วาระ ซึ่งคือเรื่อง การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ชีวมวล และ (2) ประเด็นการจัดเตรียมเอกสารให้ กบง. ได้แก่ 1) แม้ว่าในคราวการประชุม กบง. คราวที่แล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ อาจจะไม่ได้เตรียมเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อประกอบการพิจารณาของ กบง. ด้วย เพราะทราบว่าคณะทำงานซึ่งมีองค์ประกอบร่วมจากทุกฝ่าย (ภาครัฐ ผู้ประกอบการ และนักวิชาการ) พิจารณาประเด็นต่างๆ มาเรียบร้อยแล้ว และ 2) แต่ในการประชุมครั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เตรียมเอกสารต่างๆ มาเสนอต่อที่ประชุมครบถ้วน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้นำเรื่องการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ชีวมวล เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาให้ความเห็นชอบ ตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้ให้ความเห็นชอบแล้ว เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2560
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2560 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติเห็นชอบแนวทางการเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG เต็มรูปแบบ โดยมีมติที่เกี่ยวข้องกับกลไกการบริหารกองทุนน้ำมันฯ ดังนี้ (1) ยกเลิกการกำหนดอัตราเงินชดเชยหรือส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของส่วนการผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก (ยกเลิกกองทุน#1) ยกเว้นในกรณีที่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ (2) ปรับกลไกกองทุนน้ำมันฯ (กองทุน#2) ให้มีลักษณะคล้ายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาเสถียรภาพราคา และ (3) สนพ. จะมีกลไกติดตามกรณีที่ราคานำเข้าก๊าซ LPG มีความแตกต่างจากต้นทุนกลุ่มโรงแยกก๊าซธรรมชาติอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจสามารถเสนอ กบง. ในการใช้กลไกกองทุน#1 ได้
2. เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2560 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติเห็นชอบการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซ LPG ดังนี้ (1) เห็นชอบการคำนวณอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของ บริษัท ปตท. สผ. สยาม จำกัด โดยใช้ต้นทุนของการผลิตของตนเอง (Cost Plus) ตามสูตรการคำนวณที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกำหนดไว้เดิม และ (2) เห็นชอบการคำนวณอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของ บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) (UAC) โดยใช้ราคาต้นทุนการผลิตก๊าซ LPG ของโรงแยกก๊าซฯ ของตนเอง (Cost Plus) โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ศึกษาต้นทุนให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน โดยในระหว่างนี้ให้ใช้ต้นทุนการผลิตก๊าซ LPG เท่ากับต้นทุนของบริษัท ปตท. สผ. สยาม จำกัด ไปพลางก่อน
3. สถานการณ์ก๊าซ LPG สำหรับแผนในช่วง 6 เดือนถัดไป (ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 ถึงเดือน มีนาคม 2561) สรุปได้ดังนี้ ปริมาณการผลิตภายในประเทศอยู่ที่ประมาณเดือนละ 489,235 – 538,749 ตัน ความต้องการใช้ภายในประเทศอยู่ที่ประมาณเดือนละ 516,424 – 549,391 ตัน ทำให้มีส่วนที่ขาดอยู่ประมาณเดือนละ 1,385 – 27,188 ตัน ซึ่งชดเชยด้วยการนำเข้าโดยมีปริมาณนำเข้าอยู่ประมาณเดือนละ 47,500-48,000 ตัน ในจำนวนนี้เป็นการนำเข้ามาเพื่อการส่งออก (re-export) เดือนละ 3,500 -4,000 ตัน สถานการณ์ราคาก๊าซ LPG ในเดือนตุลาคม 2560 ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) อยู่ที่ 577.50 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 87.50 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ราคาก๊าซ LPG นำเข้า อยู่ที่ 622 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ราคาก๊าซ LPG จากโรงแยกฯ อยู่ที่ 399เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ราคาก๊าซ LPG จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท. สผ.สยามจำกัดและบริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) อยู่ที่ 453 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน โดยอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนกันยายน 2560 อยู่ที่ 33.3160 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.1132 บาท ต่อเหรียญสหรัฐฯ
4. จากสถานการณ์ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วง 3 เดือน (เดือนสิงหาคม – เดือนตุลาคม 2560) ที่ผ่านมามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 222.50 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน (หรือ 7.09 บาทต่อกิโลกรัม) ซึ่งในอดีตเหตุการณ์แบบนี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก ดังนั้นในช่วงเหตุการณ์ผิดปกติภาครัฐควรมีมาตรการพิเศษในการชะลอการขึ้นราคาขายปลีกในประเทศเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพมากเกินไป รวมถึงให้ประชาชนมีเวลาปรับตัวกับราคาก๊าซ LPG ที่จะเพิ่มขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงมีความเห็นว่าถ้าราคาก๊าซ LPG นำเข้า (CP+X) สูงเกินกว่า 550 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ซึ่งเป็นราคาที่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกในประเทศและสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นอย่างมาก ควรมีการปรับเกณฑ์การเก็บส่วนต่างราคากรณีราคา CP+X สูงกว่าหรือต่ำกว่าต้นทุนกลุ่มโรงแยกก๊าซ LPG เกิน 0.67 บาทต่อกิโลกรัม (หรือกรอบราคาสำหรับติดตามการแข่งขัน ± 0.67 บาทต่อกิโลกรัม หรือ ± 20 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) เป็นศูนย์ เป็นการชั่วคราวจนกว่าราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกจะอยู่ในระดับปกติ ซึ่งจะส่งผลให้กองทุน# 1 มีรายรับเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 140 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้สถานการณ์ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่นที่อ้างอิงราคานำเข้า ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (Import Parity) ปรับเพิ่มขึ้น 3.0246 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 17.6970 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 20.7216 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ในเดือนตุลาคม 2560 มีราคาอยู่ที่ 13.3049 บาทต่อกิโลกรัม ที่ไม่มีกรอบราคาสำหรับติดตามการแข่งขันส่งผลให้ต้นทุนต่ำกว่าราคา ณ โรงกลั่นที่อ้างอิงราคานำเข้า ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (Import Parity) 7.4167 บาทต่อกิโลกรัม จึงเห็นสมควรเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ที่อัตรา 7.4167 บาทต่อกิโลกรัม และต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท. สผ.สยามจำกัด และบริษัทยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) ของในเดือนตุลาคม 2560 อยู่ที่ 15.1000 บาทต่อกิโลกรัม ที่ไม่มีกรอบราคาสำหรับติดตามการแข่งขันส่งผลให้ต้นทุนต่ำกว่าราคา ณ โรงกลั่นที่อ้างอิงราคานำเข้า ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (Import Parity) 5.6216 บาทต่อกิโลกรัมจึงเห็นสมควรเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท. สผ.สยามจำกัด และบริษัทยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) ที่อัตรา 5.6216 บาทต่อกิโลกรัม
5. จากสถานการณ์ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ต้นทุนก๊าซ LPG เดือนตุลาคม 2560 ปรับเพิ่มขึ้น 3.0246 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ส่งผลกระทบต่อประชาชนมากเกินไป ประกอบกับกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนก๊าซ LPG ยังคงมีเงินสะสมอยู่ 5,342 ล้านบาท ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอแนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคา 2 แนวทาง ดังนี้ แนวทางที่ 1 คงราคาขายปลีก ที่ 21.15 บาทต่อกิโลกรัม โดยกองทุนน้ำมันฯ ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชย 3.0246 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมชดเชยที่ 3.5719 บาทต่อกิโลกรัม เป็นชดเชย 6.5965 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกคงเดิมที่ 21.15 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย - 773 ล้านบาทต่อเดือน แนวทางที่ 2 ปรับราคาขายปลีก เป็น 21.82 บาทต่อกิโลกรัม (เพิ่มขึ้น 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม) โดยกองทุนน้ำมันฯ ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชย 2.4000 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมชดเชยที่ 3.5719 บาทต่อกิโลกรัม เป็นชดเชย 5.9719 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.67 บาทต่อกิโลกรัม จาก 21.15 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 21.82 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 10 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม) ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย - 552 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
1. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ศึกษาการกำหนดกรอบราคาสำหรับติดตามการแข่งขันกรณีที่ราคานำเข้าก๊าซ LPG มีความแตกต่างจากต้นทุนกลุ่มโรงแยกก๊าซธรรมชาติอย่างมีนัยสำคัญ และ ศึกษาการอ้างอิงราคา CP หรือ CP Spot (รายวัน) หรือ CP Spot (วันสุดท้ายของเดือน) หรือ CP Spot (เฉลี่ย 30 วัน) กรณีราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกอยู่ในช่วงปรับราคาขึ้นหรือปรับราคาลงจะมีผลกระทบอย่างไร
2. เห็นชอบแนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามแนวทางที่ 1 คงราคาขายปลีก กองทุนน้ำมันฯ ชดเชย 6.5965 บาทต่อกิโลกรัม ดังนี้
(1) ให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรโดยโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ที่จำหน่ายเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง กิโลกรัมละ 6.7467 บาท ทั้งนี้ไม่รวมถึงก๊าซที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ของบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร และก๊าซที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติของบริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย
(2) ให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรโดยโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ของบริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย ที่จำหน่ายเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง กิโลกรัมละ 4.9516 บาท
(3) ให้กำหนดอัตราเงินชดเชยของกองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง กิโลกรัมละ 6.5965 บาท ทั้งนี้ไม่รวมถึงก๊าซที่ซื้อหรือได้มาจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร
(4) ให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่ซื้อหรือได้มาจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ของบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร กิโลกรัมละ 0.7421 บาท
(5) กรณีก๊าซที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนกิโลกรัมละ 0.70 บาท แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงก๊าซที่นำเข้า มาในราชอาณาจักรหรือก๊าซที่ผลิตจากก๊าซที่นำเข้ามาใช้ในราชอาณาจักรตามที่ได้แจ้งต่อกรมธุรกิจพลังงานก่อนนำเข้ามาในราชอาณาจักร
(6) กรณีก๊าซที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 และได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันแล้วให้ส่งเงินชดเชยคืนกองทุน กิโลกรัมละ 6.5965 บาท
3. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ฉบับที่ 24 พ.ศ. 2560 เรื่อง การกำหนด อัตราเงินส่งเข้ากองทุน อัตราเงินชดเชย และอัตราเงินคืนกองทุน สำหรับก๊าซ
ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป
4. มอบหมายกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ตรวจสอบราคาและกลไกราคาขายปลีกก๊าซ LPG บรรจุถัง 15 กิโลกรัม หลังจากการเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG มีการปรับขึ้นราคาหรือลดราคาขายปลีกก๊าซ LPG และผู้บริโภคได้รับประโยชน์จริงหรือไม่
เรื่องที่ 5 แนวทางดำเนินการโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี
สรุปสาระสำคัญ
1. หลังจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ออกประกาศเพื่อขยายระยะเวลาเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า โครงการนำร่อง (Pilot Project) โดยขยายระยะเวลาการเชื่อมต่อระบบฯ จากกำหนดเดิมวันที่ 31 มีนาคม 2560 เป็นภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2560 พบว่า ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2560 สถานะการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ภายใต้โครงการนำร่องการส่งเสริมติดตั้งโซล่าร์รูฟเสรี มีการเชื่อมต่อแล้วรวมทั้งสิ้น 180 ราย กำลังการผลิตรวม 5.63 เมกะวัตต์ (กฟน. จำนวน 153 ราย กำลังการผลิต 3.93 เมกะวัตต์ และ กฟภ. จำนวน 27 ราย กำลังการผลิต 1.70 เมกะวัตต์) ต่อมาเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2560 คณะทำงานกำหนดแนวทางและประสานงานกำกับติดตามโครงการนำร่อง การส่งเสริมติดตั้งโซลาร์รูฟแบบเสรี (ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์สำหรับบ้าน และอาคาร) ได้ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานโครงการนำร่องฯ โดยจุฬาฯ ได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ทางเทคนิค ข้อเสนอแนะด้านนโยบาย ปัญหาอุปสรรค เป็นต้น ซึ่ง พพ.พิจารณารายละเอียดแล้ว ได้จัดทำข้อสรุปเพื่อเสนอเป็นแนวทางขยายผลดำเนินการโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรีต่อไป
2. โครงการนำร่อง (Pilot project) การส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี กำหนดให้ติดตั้งเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองเท่านั้น ไม่มีการรับซื้อไฟฟ้าส่วนที่เหลือใช้แต่อย่างใด และจากผลการศึกษาในโครงการนำร่องฯ พบว่าหากมีการติดตั้งโซลาร์รูฟในสัดส่วนที่เหมาะสม (PV/Load ratio น้อยกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 40) จะทำให้ลดภาระการใช้ไฟฟ้าได้และมีความเหมาะสม หากมีการติดตั้งโซลาร์รูฟในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น (PV/Load ratio มากกว่าร้อยละ 40) จะเริ่มมีไฟฟ้าส่วนเกินกว่าการใช้ไฟฟ้าในช่วงกลางวันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามขนาดการติดตั้งที่สูงขึ้น ทั้งนี้การกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่เหมาะสม จะเป็นการสร้างแรงจูงใจให้มีการติดตั้งโซลาร์รูฟมากขึ้น และเป็นกลไกทางราคาที่ทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าไม่ติดตั้งโซลาร์รูฟขนาดใหญ่เกินความจำเป็น คณะทำงานกำหนดแนวทางดำเนินการฯ ได้ประชุมติดตามและหารือ เพื่อพิจารณาแนวทางดำเนินการโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรีในระยะต่อไป โดยสรุปหลักการส่งเสริมการติดตั้ง ดังนี้ (1) ส่งเสริมให้มีการติดตั้งโซลาร์รูฟ โดยเน้นให้มีการผลิตไฟฟ้าใช้เองเป็นหลัก เพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้าลดภาระค่าไฟฟ้าของตนเอง และภาครัฐลดภาระการนำเข้าเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้า และลดความต้องการไฟฟ้าในช่วงกลางวัน (2) มีการรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินเพื่อรัฐสามารถนำไฟฟ้าส่วนเกินมาใช้ประโยชน์ได้ และเป็นการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟในระยะยาว (3) รับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินในราคาต่ำกว่าค่าไฟฟ้าขายส่งเฉลี่ย จะช่วยให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าของประเทศลดลง (ช่วยลดค่า Ft) และเป็นกลไกทางราคาที่ทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าไม่ติดตั้งโซลาร์รูฟที่มีขนาดใหญ่เกินความจำเป็น (4) กำหนดปริมาณการรับซื้อให้เหมาะสมกับเป้าหมาย AEDP 2015 และนโยบายการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนของรัฐบาล และ (5) มีการทบทวนราคารับซื้อและปริมาณรับซื้ออย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากข้อมูลสถิติจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้าในประเทศประจำเดือนกรกฎาคม 2560 ของ กฟน. และ กฟภ. แบ่งตามประเภทต่างๆ ได้แก่ บ้านอยู่อาศัย กิจการขนาดเล็ก กิจการขนาดกลาง กิจการขนาดใหญ่ และอื่นๆ พบว่า สัดส่วนผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านที่อยู่อาศัยกับกิจการขนาดเล็กจะมีสัดส่วนจำนวนรายผู้ใช้ไฟฟ้าสูง แต่ปริมาณการใช้ไฟฟ้ามีปริมาณต่อรายต่ำ เมื่อเทียบกับกิจการขนาดใหญ่หรือกิจการขนาดกลางจะมีสัดส่วนของหน่วยการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยสูงกว่า
3. พพ. ได้ประเมินผลการดำเนินงานโครงการนำร่อง (Pilot project) การส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี และได้ประชุมหารือคณะทำงานฯ จึงได้จัดทำสรุปข้อเสนอโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี ดังนี้ (1) รูปแบบการส่งเสริมสนับสนุน เสนอรูปแบบ Net Billing ให้นับรอบรายเดือน โดยไม่มีการสะสมเครดิตหน่วยไฟฟ้าและให้คิดมูลค่าการซื้อไฟฟ้าและมูลค่าการขายไฟฟ้า โดยมีบิลแสดงอย่างชัดเจน (2) ปริมาณเป้าหมายและพื้นที่ รับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินในเฟสแรกในปี 2561 จำนวน 300 เมกะวัตต์ โดยรับซื้อในกลุ่มอาคารธุรกิจ/โรงงาน ประมาณร้อยละ 87 และกลุ่มบ้านอยู่อาศัย ร้อยละ 13 (3) ขนาดกำลังผลิตติดตั้ง เห็นควรใช้รูปแบบและวิธีการกำหนดขนาดกำลังผลิตติดตั้งโซล่าร์รูฟเหมือนกับโครงการนำร่องฯ โดยกำหนดตามพิกัดกระแสของมิเตอร์ไฟฟ้าของบ้านอาศัยหรืออาคารธุรกิจ/โรงงานหรือข้อแนะนำตามอัตราส่วนโหลดช่วงกลางวัน สำหรับโรงงานหากมีขนาดกำลังการผลิตติดตั้งมากกว่าหรือเท่ากับ 1 เมกะวัตต์ ให้พิจารณาขนาดตามศักยภาพของสายส่งในการเชื่อมต่อและปฏิบัติตามข้อกำหนด กฎระเบียบของการไฟฟ้าฯ และข้อกำหนดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (4) อัตรารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกิน เห็นควรกำหนด 3 ราคา โดยให้อัตรารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินจากบ้านอาศัยมีอัตราที่สูงกว่าการรับซื้อไฟฟ้าจากอาคารธุรกิจ/โรงงาน โดยบ้านอาศัยราคา 2.50 บาทต่อหน่วย คงที่ระยะเวลา 25 ปี อาคารธุรกิจ/โรงงาน (ขนาดติดตั้งน้อยกว่า 1 เมกะวัตต์) ราคา 1.00 บาทต่อหน่วย คงที่ ระยะเวลา 25 ปี อาคารธุรกิจ/โรงงงาน (ขนาดติดตั้งมากกว่าหรือเท่ากับ 1 เมกะวัตต์) ราคา 0.50 บาทต่อหน่วย คงที่ระยะเวลา 25 ปี โดยจะสามารถวิเคราะห์ผลตอบแทนการลงทุนโซลาร์รูฟอย่างเสรี สรุปได้ดังนี้ กรณีอัตรารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินบ้านอาศัย ที่อัตรา 2.50 บาทต่อหน่วย คงที่เป็นระยะเวลา 25 ปี โดยอัตรา 2.50 บาทต่อหน่วย (เทียบเคียงกับระดับราคาค่าไฟฟ้าขายส่งในปัจจุบัน 2.73 บาทต่อหน่วย) โดยจะทำให้ได้รับผลตอบแทน IRR ร้อยละ 8.0 และคืนทุนภายในเวลาประมาณ 10.4 ปี กรณีอัตรารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินอาคาร/โรงงาน ขนาดติดตั้งน้อยกว่า 1 เมกะวัตต์ ที่อัตรา 1.00 บาทต่อหน่วย คงที่เป็นระยะเวลา 25 ปี หากผู้ประกอบการได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุดร้อยละ 50 จาก BOI จะทำให้ได้รับผลตอบแทน IRR ร้อยละ 18.3 และคืนทุนภายในเวลาประมาณ 5.5 ปี หากไม่สามารถใช้สิทธิประโยชน์จาก BOI จะทำให้ได้รับผลตอบแทน IRR ร้อยละ 8.1 และคืนทุนภายในเวลาประมาณ 10.5 ปี และหากได้รับสิทธิประโยชน์บางส่วน ผลตอบแทนก็จะลดลงตามสัดส่วน และกรณีอัตรารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินอาคาร/โรงงาน ขนาดติดตั้งมากกว่าหรือเท่ากับ 1 เมกะวัตต์ ที่ 0.50 บาทต่อหน่วย คงที่เป็นระยะเวลา 25 ปี หากผู้ประกอบการได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุดร้อยละ 50 จาก BOI จะทำให้ได้รับผลตอบแทน IRR ร้อยละ 18.6 และคืนทุนภายในเวลาประมาณ 5.4 ปี หากไม่สามารถใช้สิทธิประโยชน์จาก BOI จะทำให้ได้รับผลตอบแทน IRR ร้อยละ 8.1 และคืนทุนภายในเวลาประมาณ 10.4 ปี และหากได้รับสิทธิประโยชน์บางส่วน ผลตอบแทนก็จะลดลงตามสัดส่วน และ (5) บ้านอาศัย และอาคาร/โรงงาน ที่เข้าร่วมโครงการนำร่องฯ/กลุ่มขนานเครื่อง ซึ่งมีรูปแบบการส่งเสริมลักษณะเดียวกัน มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการเพื่อจำหน่ายไฟฟ้าส่วนเกินให้กับระบบจำหน่ายของ กฟน. และ กฟภ. ได้ในอัตราและเงื่อนไขเดียวกัน แต่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบ ข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินงาน ดังนี้ 1) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรพิจารณาเรื่องการปรับปรุงระเบียบการเชื่อมต่อ (Grid code) ให้สามารถรองรับปริมาณ Solar Rooftop อย่างเหมาะสมได้ 2) ควรพิจารณาปรับปรุงการลดขั้นตอน กฎระเบียบ ระยะเวลาในการขอใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง (เช่น ใบอนุญาตผลิต ติดตั้ง การเชื่อมต่อ Grid เป็นต้น) เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการ 3) ควรกำหนดให้มีการจัดเก็บข้อมูลการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา ที่มีการเชื่อมต่อกับการไฟฟ้า โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เป็นศูนย์กลางเพื่อที่การไฟฟ้า ฝ่ายจำหน่ายจะได้มีข้อมูลในการปรับปรุงระบบจำหน่าย และกระทรวงพลังงาน (สนพ.) จะสามารถคาดการณ์ และวางแผนการพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าที่เหมาะสมต่อไปได้ และ 4) ควรกำหนดรูปแบบ ขั้นตอน และวิธีการ ในการพิจารณาผู้มีความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการให้ชัดเจน
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หารือร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำแนวทางดำเนินการโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรีให้ชัดเจนและนำมาเสนอให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาอีกครั้งก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 6 แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2561
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2557 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้อนุมัติกรอบแผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบบริหาร ปีงบประมาณ 2558 – 2561 ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) เป็นจำนวนเงิน 153,152,200 บาท และงบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2558 – 2561 เป็นจำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2559 กบง.ได้อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2560 งบบริหาร วงเงิน 21,938,200 บาท ให้ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) เป็นจำนวน 10,532,400 บาท 2,192,900 บาท 6,699,800 บาท 1,145,100 บาท และ 1,368,000 บาท ตามลำดับ โดยงบประมาณทุกหมวดรายจ่ายสามารถนำมาถัวจ่ายได้ทุกรายการ และให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป รวมทั้งอนุมัติให้ดำเนินงานโครงการจำนวน 3 โครงการ จำนวนเงินรวม 17,625,600 บาท โดยให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2560
2. สรุปผลการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2560 ณ สิ้นเดือนกันยายน 2560 ของ 5 หน่วยงาน ได้ดังนี้ (1) เงินงบบริหาร มีผลการเบิกจ่ายจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 14,223,300 บาท หรือร้อยละ 64 โดยแบ่งออกเป็น สป.พน. จำนวน 5,479,700 บาท หรือร้อยละ 52 สนพ. จำนวน 1,235,600 บาท หรือร้อยละ 56 กรมสรรพสามิต จำนวน 6,098,200 บาท หรือร้อยละ 91 กรมศุลกากร จำนวน 417,300 บาท หรือร้อยละ 36 และ สบพน. จำนวน 992,500 บาท หรือร้อยละ 73 และ (2) งบค่าใช้จ่ายอื่น วงเงิน 300 ล้านบาท ได้มีการอนุมัติให้ดำเนินโครงการจำนวน 3 โครงการ จำนวนเงินรวม 17,625,600 บาท คงเหลือ 282,374,400 บาท มีโครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จจำนวน 1 โครงการ อยู่ระหว่างดำเนินงาน 1 โครงการ และขอปรับปรุงรายละเอียดโครงการจำนวน 1 โครงการ ดังนี้ 1) โครงการการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการปฏิบัติงานภายใต้ร่างพระราชบัญญัติ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ของ สบพน. ได้รับอนุมัติ วงเงิน 4,100,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 8 เดือน โดย สบพน. ได้จัดจ้างมูลนิธิเพื่อสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (PTIT) ระยะเวลา 6 เดือน (วันที่ 1 ธันวาคม 2559 – 29 พฤษภาคม 2560 วงเงิน 4,076,807 บาท โดย PTIT ได้ดำเนินโครงการเสร็จเรียบร้อยแล้วตามระยะเวลาของสัญญา และได้ส่งงานตามข้อกำหนดโครงการ เช่น ร่างแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันฯ ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว และแผนรองรับกรณีวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น และ สบพน. ได้เบิกจ่ายเงินและปิดโครงการ ภายในระยะเวลาที่ อบน. ได้อนุมัติไว้ 2) โครงการจัดจ้างที่ปรึกษาด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกรมธุรกิจพลังงาน ของ ธพ. ได้รับอนุมัติ วงเงิน 600,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 15 เดือน ธพ. ได้จัดจ้างที่ปรึกษาเป็นระยะเวลา 11 เดือน (วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 – 30 กันยายน 2560) วงเงิน 550,000 บาทซึ่งปรึกษาได้ดำเนินการดูแล และแก้ไขกฎหมายต่างๆ เช่น ร่างพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 และอนุบัญญัติ ที่ออกตามพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 เป็นต้น โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2560 ธพ. ได้เบิกจ่ายเงินไปแล้วทั้งสิ้น 400,000 บาท คงเหลืออีก 150,000 บาท ซึ่งคาดว่าจะเบิกจ่ายแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ตามที่ อบน. ได้อนุมัติไว้ และ 3) ธพ. ได้ขออนุมัติปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดโครงการฯ และขอเปลี่ยนไปใช้งบค่าใช้จ่ายอื่น ปี 2561
3. เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2560 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) ได้รับทราบผลการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2560 และได้พิจารณาแผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2561 และได้มีมติดังนี้ (1) มอบหมายให้ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. หารือกับฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบบริหาร ปีงบประมาณ 2561 ให้มีความเหมาะสมโดยให้พิจารณาผลการเบิกจ่ายจริงของปีที่ผ่านมาประกอบ การตั้งคำขอเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบบริหารในปีงบประมาณ 2561 และนำเสนอ อบน. ในการประชุม ครั้งต่อไป และ (2) เห็นชอบงบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2561 จำนวน 300,000,000 บาท เพื่อเป็นเงินสำรองกองกลาง โดยเบื้องต้น อบน. ได้อนุมัติในหลักการให้หน่วยงานดำเนินโครงการ จำนวน 5 โครงการ รวมเป็นเงิน 43,915,157 บาท ดังนี้ 1) โครงการศึกษาสภาวะการแข่งขันในตลาดค้าปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์ (สพน.) ระยะเวลาดำเนินการ 15 เดือน วงเงิน 5,396,545 บาท 2) โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลสถานที่เก็บและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองของประเทศ (ธพ.) ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน วงเงิน 4,500,000 บาท 3) โครงการจัดตั้งศูนย์สอบและทะเบียนผู้ปฏิบัติงานตามกฎหมายควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง (ธพ.) ระยะเวลาดำเนินการ 8 เดือน วงเงิน 7,294,600 บาท 4) โครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบแบบไม่ทำลาย (NDT) (ธพ.) ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน วงเงิน 14,000,000 บาท และ 5) โครงการศึกษาการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ ของประเทศไทย (Strategic Petroleum Reserve: SPR) (ธพ.) ระยะเวลาดำเนินการ 9 เดือน วงเงิน 12,724,012 บาท
4. เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2560 อบน. ได้มีมติอนุมัติแผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบบริหาร ปีงบประมาณ 2561 ของทั้ง 5 หน่วยงาน เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 16,698,100 บาท โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป โดยแบ่งเป็น (1) สป.พน. วงเงิน 6,634,300 บาท (2) สนพ. วงเงิน 1,392,000 บาท (3) กรมสรรพสามิต วงเงิน 6,649,800 บาท (4) กรมศุลกากร วงเงิน 1,030,100 บาท และ (5) สบพน. วงเงิน 991,900 บาท ทั้งนี้ สำหรับในส่วนรายจ่ายหมวดครุภัณฑ์ของกรมสรรพสามิต ที่ประชุมได้มอบหมายให้กรมสรรพสามิตจัดทำรายละเอียดข้อมูลจำเพาะ (Specification) และเหตุผลความจำเป็นประกอบในคำขอด้วย และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำแผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2561 เสนอ กบง. ต่อไป ซึ่งจากการที่ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานสอบถามข้อมูลการจัดซื้อครุภัณฑ์ของกรมสรรพสามิต ในช่วงปี 2557 – 2560 พบว่า กรมสรรพสามิตได้มีการจัดซื้อคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะไปแล้ว จำนวนรวม 25 เครื่อง และหากรวมที่ขอจัดซื้อเพิ่มเติมในปี 2561 จะรวมเป็น 33 เครื่อง ซึ่งเกินจำนวนลูกจ้างที่ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ จัดจ้างมาช่วยปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งมีจำนวน 23 คน
มติของที่ประชุม
รับทราบผลการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2560 และอนุมัติในหลักการแผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2561 โดยมอบหมายให้ อบน. ไปทบทวนรายละเอียดเงินงบบริหารของ 5 หน่วยงาน และงบค่าใช้จ่ายอื่น จำนวน 5 โครงการ ให้มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันฯ ตามระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2556 และให้นำกลับมาเสนอ กบง. อีกครั้ง