มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 14/2560 (ครั้งที่ 47)
เมื่อวันพุธที่ 6 ธันวาคม 2560 เวลา 09.30 น.
1. สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
3. รายงานการตรวจสอบงบการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2559 ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
4. สรุปผลการตรวจสอบเกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560
5. รายงานความเคลื่อนไหวราคาก๊าซ LPG ในรอบเดือนพฤศจิกายน 2560
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(นายศิริ จิระพงษ์พันธ์)
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายทวารัฐ สูตะบุตร)
เรื่องที่ 1 สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
สรุปสาระสำคัญ
เจ้าหน้าที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ได้รายงานภาพรวมเศรษฐกิจโลกว่ามีการเติบโตอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3.6 เนื่องมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ และประเทศอินเดีย ส่งผลให้ปริมาณความต้องการน้ำมันดิบเพิ่มมากขึ้น โดยสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก มีดังนี้ (1) ราคาน้ำมันดิบช่วงเดือนพฤศจิกายน 2560 มีทิศทางปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากกลุ่มโอเปคขยายระยะเวลาในการลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบจากเดิมที่จะสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2561 ไปเป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2561 การปิดซ่อมท่อขนส่งน้ำมันดิบระหว่างประเทศแคนาดาไปสหรัฐฯ และหลายประเทศเข้าสู่ฤดูหนาว รวมทั้งประเทศจีนเพิ่มปริมาณการสำรองน้ำมันดิบ (2) ราคาก๊าซ LPG มีทิศทางปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยราคา CP (Contract Price) ในเดือนธันวาคม 2560 ปรับเพิ่มขึ้น 15 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ 590 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และหลายประเทศเข้าสู่ฤดูหนาว รวมทั้งประเทศสหรัฐฯ ประสบภัยธรรมชาติ และปริมาณสำรองก๊าซ LPG ของประเทศสหรัฐฯ และญี่ปุ่นลดลงต่อเนื่อง (3) ราคาถ่านหินในเดือนพฤศจิกายน 2560 มีแนวโน้มปรับตัวลดลง เนื่องจากประเทศไต้หวันและจีนลดกำลังผลิตไฟฟ้าถ่านหินลงเพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อม และ (4) ราคาก๊าซ LNG มีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากโครงการ LNG ของประเทศออสเตรีย อินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินี ลดปริมาณการผลิตลง ประเทศเกาหลีใต้เพิ่มปริมาณการสั่งซื้อก๊าซ LNG รวมทั้งปริมาณความต้องการของทวีปยุโรปและประเทศสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
ความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผน Gas Plan 2015 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 ไตรมาสที่ 3 ปี 2560 สรุปได้ดังนี้
(1) อัตราการใช้ก๊าซฯ เฉลี่ย 8 เดือนของปี 2560 อยู่ที่ 4,725 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ในแผนร้อยละ 6 และสัดส่วนการใช้ก๊าซฯ ในภาคไฟฟ้าเปรียบเทียบกับเชื้อเพลิงชนิดอื่นในช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายน 2560 เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 60 สำหรับการรักษาระดับการผลิตก๊าซฯ ซึ่งพระราชบัญญัติ ปิโตรเลียม และพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2560 และ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติอยู่ระหว่างจัดทำกฎหมายลำดับรอง ประกอบด้วย กฎกระทรวงและประกาศคณะกรรมการปิโตรเลียม โดยประกาศเรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดพื้นที่ที่จะดำเนินการสำรวจหรือผลิตปิโตรเลียมในรูปแบบของสัมปทาน สัญญาแบ่งปันผลผลิต หรือสัญญาจ้างบริการได้ลงราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 ส่วนกฎกระทรวงเกี่ยวกับเรื่อง แบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contarct : PSC) จำนวน 3 ฉบับ คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเสร็จ 2 ฉบับ กฎกระทรวงเกี่ยวกับค่าธรรมเนียม 1 ฉบับ คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเสร็จ ส่วนกฎกระทรวงเกี่ยวกับสัญญาจ้าง (Service Contract : SC) 4 ฉบับ ได้ยกร่างแล้วเสร็จ 1 ฉบับ ส่วนอีก 3 ฉบับ ชธ. อยู่ระหว่างยกร่าง รวมทั้ง ชธ. อยู่ระหว่างดำเนินการร่างหลักเกณฑ์และข้อกำหนดที่จะใช้ในการเปิดประมูล (2) การเปิดให้ยื่นขอสิทธิในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ จะดำเนินการหลังจากได้ข้อสรุปเรื่องการบริหารจัดการแปลงสัมปทานแหล่งที่จะหมดอายุแล้วเสร็จ (3) การบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ ที่ผลิตจากอ่าวไทยให้มีประสิทธิภาพ ลดก๊าซจากอ่าวไทยที่ไม่ผ่านโรงแยกฯ เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีผลการดำเนินงานโดยอัตราก๊าซที่ไม่ผ่านโรงแยกฯ ในเดือนมกราคม – กันยายน 2560 อยู่ที่ระดับวันละ 416 ล้านลูกบาศก์ฟุต โดยเฉลี่ยต่ำกว่าแผนที่คาดการณ์ไว้ และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงเดียวกันของปี 2558 สำหรับความก้าวหน้า เรื่องหาแหล่งและการบริหารจัดการ LNG อย่างมีประสิทธิภาพ ชธ. ได้ดำเนินโครงการศึกษานโยบายด้านราคาและองค์ประกอบของ LNG ที่เหมาะสมกับประเทศไทย โดยเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2560 ได้มีการรับฟังความคิดเห็นผลการศึกษาและอยู่ระหว่างจัดทำแผนพัฒนา LNG สำหรับความคืบหน้าของงานด้านการมีโครงสร้างพื้นฐานและแนวทางด้านการแข่งขันการก่อสร้าง LNG Terminal แห่งใหม่ ของ ปตท. (ขนาด 7.5 ล้านตันต่อปี) ภายในปี 2565 เพื่อรองรับการเติบโตของปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติ อยู่ระหว่างการทำ EIA ส่วนการก่อสร้างและติดตั้ง FSRU ของ กฟผ. (ขนาด 5 ล้านตันต่อปี) ในอ่าวไทยตอนบน ภายในปี 2567 สำหรับป้อนโรงไฟฟ้าพระนครเหนือและพระนครใต้ เพื่อเพิ่มการแข่งขันในธุรกิจ LNG และสนองต่อยุทธศาสตร์ความมั่นคงในการจัดหาพลังงาน ซึ่งให้มีการรายงานความก้าวหน้าของโครงการเป็นระยะ เพื่อประเมินความเสี่ยงของโครงการและเตรียมแผนรองรับ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการออกแบบ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2560 คณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงานอนุมัติให้ออกงบการเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2559 และเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 สตง. ในฐานะผู้สอบบัญชีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้จัดส่งรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2559 ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มายังสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) สรุปได้ดังนี้ ณ สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2559 มีสินทรัพย์รวม 51,522 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อน 2,260 มีหนี้สินรวม 5,333 ล้านบาท หนี้สินส่วนใหญ่เป็นค่าชดเชยรอการตรวจสอบและรายการค่าชดเชยราคาค้างจ่าย ทั้งนี้หนี้สินเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3,768 ล้านบาท ส่วนผลการดำเนินงานสำหรับปีงบประมาณ 2559 มีรายได้รวม 14,449 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายรวม 15,597 ล้านบาท ส่งผลให้มีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิ จำนวน 1,508 ล้านบาท โดย สตง. ไม่มีประเด็นที่เป็นข้อสังเกตจากการตรวจสอบงบการเงิน ซึ่ง สบพน. จะนำเสนอผลการตรวจสอบต่อ กบง. และกระทรวงการคลังต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 สรุปผลการตรวจสอบเกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560
สรุปสาระสำคัญ
1. ในปีงบประมาณ 2560 ผู้ตรวจสอบภายในของ สบพน. ปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินงานกองทุนน้ำมันฯ สรุปได้ดังนี้ (1) การตรวจสอบการนำส่งเงินเข้าบัญชีกองทุนน้ำมันฯ สำหรับไตรมาสที่ 1 ปีงบประมาณ 2560 (เดือนตุลาคม – เดือนธันวาคม 2559) เป็นเงินจำนวน 2,265,071,359.29 บาท พบว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำเงินส่งเข้าบัญชีกองทุนน้ำมันฯ ภายใน 2 วันทำการนับแต่วันที่ได้รับเงิน และส่วนใหญ่จัดทำรายละเอียดพร้อมแนบสำเนาใบนำฝากเงิน ส่งให้ สบพน. ภายใน 3 วันทำการนับแต่วันที่ได้นำเงินฝากเข้าบัญชีกองทุน ซึ่งเป็นไปตามระยะเวลาที่ระเบียบฯ กำหนดไว้ (2) การควบคุมการเบิก-จ่าย และติดตามการใช้จ่ายเงินของโครงการของ 3 หน่วยงาน คือ กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จากสำนักบริหารการเงินและบัญชีกองทุน (สงบ.) ที่ สบพน. สิ้นสุดไตรมาสที่ 3/2560 จำนวน 4 โครงการ สรุปได้ว่า การเบิกจ่ายเป็นไปตามแผนการใช้จ่ายเงิน 2 โครงการ ไม่เป็นไปตามแผน 1 โครงการ และมีการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดของโครงการ 1 โครงการ (2) การควบคุมการเบิก – จ่าย และติดตามการใช้จ่ายเงินงบบริหาร ในปีงบประมาณ 2560 มีหน่วยงานที่ได้รับการตรวจสอบจำนวน 3 หน่วยงาน ได้แก่ สบพน. กรมศุลกากร และ สป.พน. เป็นงบบริหารที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ 2559 – 2560 ผลการตรวจสอบ พบว่า การเบิก-จ่ายเงินเป็นไปตามแผนการใช้จ่ายเงินที่ได้รับอนุมัติ มีการส่งคืนเงินเหลือจ่ายพร้อมดอกผลให้กองทุนน้ำมันฯ ภายในระยะเวลาตามที่ระเบียบฯ กำหนดไว้ (3) การบันทึกบัญชี พบว่า มีการบันทึกรายการเบิก – จ่าย และคืนเงินคงเหลือพร้อมดอกผลเข้าระบบ GFMIS ของกรมบัญชีกลาง และเป็นไปตามระบบบัญชีกองทุนน้ำมันฯ ที่กรมบัญชีกลางกำหนดไว้ (4) การจัดทำรายงานรับ – จ่ายเงิน พบว่า มีการจัดทำรายงานแล้วเสร็จภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปตามระยะเวลาที่ระเบียบฯ ข้อ 23 กำหนดไว้ (5) การควบคุมภายใน ผู้รับผิดชอบของหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มีระบบการควบคุมภายในเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินโครงการและงบบริหารที่เหมาะสม สามารถค้นหาเอกสารได้ง่ายมีการทำบันทึกขอเบิกเงินตามมติที่ได้รับอนุมัติ และมีผู้อำนวยการสำนักบริหารการเงินและบัญชีกองทุน ของ สบพน. ทำบันทึกเสนอผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน พิจารณาอนุมัติจ่ายเงินทุกครั้ง
2. สรุปผลการตรวจสอบภาพรวมมีการเบิกเงินโครงการและงบบริหารเป็นไปตามแผนการใช้เงินที่ได้รับอนุมัติ มีการปฏิบัติงานเป็นไปตามระเบียบฯ มีความเสี่ยงด้านการปฏิบัติงาน (Operational Risk) ความเสี่ยงทางด้านการเงิน (Financial Risk) และ ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ (Compliance Risk) อยู่ในระดับต่ำ มีการควบคุมภายในด้านการเบิก -จ่าย และติดตามการใช้จ่ายเงินอยู่ในระดับที่เหมาะสม
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 รายงานความเคลื่อนไหวราคาก๊าซ LPG ในรอบเดือนพฤศจิกายน 2560
สรุปสาระสำคัญ
1. สถานการณ์ก๊าซ LPG ในเดือนธันวาคม 2560 สรุปได้ดังนี้ (1) ปริมาณการผลิตภายในประเทศอยู่ที่ประมาณ 520,580 ตัน ความต้องการใช้ภายในประเทศอยู่ที่ประมาณ 539,238 ตัน ทำให้มีส่วนที่ขาดอยู่ประมาณ 18,657 ตัน ซึ่งจะถูกชดเชยด้วยการนำเข้า โดยมีปริมาณการนำเข้าอยู่ที่ประมาณ 70,000 ตัน โดยในจำนวนนี้เป็นการนำเข้ามาเพื่อการส่งออก (re – export) จำนวน 26,000 ตัน และในเดือนธันวาคม 2560 คาดว่าจะมีปริมาณการส่งออกก๊าซ LPG ซึ่งมาจากการผลิตภายในประเทศประมาณ 27,500 ตัน (2) สถานการณ์ราคาก๊าซ LPG ในเดือนธันวาคม 2560 ราคาก๊าซ LPG (CP) อยู่ที่ 580 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2560 ที่ 2.50 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน (3) ราคาก๊าซ LPG เดือนพฤศจิกายน 2560 รายสัปดาห์ ราคาก๊าซ LPG cargo เฉลี่ยสัปดาห์ที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายน 2560 อยู่ที่ 572 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 4.30 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ราคาก๊าซ LPG นำเข้า (LPG cargo + X) เฉลี่ยสัปดาห์ที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายน 2560 อยู่ที่ 20.4263 บาทต่อกิโลกรัม (620.50 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อน 0.0449 บาทต่อกิโลกรัม (4) ต้นทุนราคาก๊าซ LPG จากกลุ่มโรงแยกฯ (เดือนพฤศจิกายน 2560 – มกราคม 2561) ได้แก่ ต้นทุนของโรงแยกก๊าซธรรมชาติ อยู่ที่ 13.3723 บาทต่อกิโลกรัม (406.22 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) ต้นทุนของบริษัท ปตท. สผ. สยาม จำกัด อยู่ที่ 14.50 บาทต่อกิโลกรัม (440.47 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) และต้นทุนของบริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) อยู่ที่ 14.50 บาทต่อกิโลกรัม (440.47 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน) และ (5) อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยสัปดาห์ที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายน 2560 อยู่ที่ 32.9191 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นจากสัปดาห์ก่อนที่ 0.2643 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ในส่วนของกรอบราคาสำหรับกำกับการแข่งขันเท่ากับ 0.67 บาทต่อกิโลกรัม
2. สนพ. ได้ออกประกาศ กบง. ฉบับที่ 27 พ.ศ. 2560 เรื่องการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุน อัตราชดเชย และอัตราเงินคืนกองทุนสำหรับก๊าซตามหลักเกณฑ์การคำนวณโครงสร้างราคาก๊าซ โดยมีการคำนวณอัตราเงินกองทุน #1 รายสัปดาห์ เดือนพฤศจิกายน 2560 ตามหลักเกณฑ์ที่ กบง. ได้มีมติ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 ดังนี้ (1) กำหนดอัตราเก็บเงินเข้ากองทุนจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ 1 - 6 ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่อัตรา 6.3840 บาทต่อกิโลกรัม โดยมาจากต้นทุนโรงแยกฯ สัปดาห์ที่ 4 อยู่ที่ 13.3723 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อบวกกับอัตราเงินสำหรับส่งเสริมให้เกิดการแข่งขัน ที่ 0.67 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้เพดานราคาขั้นสูงของโรงแยกฯ อยู่ที่ 14.0423 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งต่ำกว่าราคา ณ โรงกลั่นที่อ้างอิงราคานำเข้า ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (Import Parity) จำนวน 6.3840 บาทต่อกิโลกรัม (2) กำหนดอัตราเก็บเงินเข้ากองทุนจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด ที่อัตรา 1.2908 บาทต่อกิโลกรัม โดยมาจากต้นทุนโรงแยกฯ ของบริษัท ปตท.สผ. จำกัด อยู่ที่ 14.5000 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อเทียบกับอัตราเงินสำหรับส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่ 0.67 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้เพดานราคาขั้นสูงของโรงแยกฯ ของบริษัท ปตท.สผ. จำกัด อยู่ที่ 15.1700 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งต่ำกว่าราคา ณ โรงกลั่นที่อ้างอิงราคานำเข้า ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (Import Parity) จำนวน 5.2563 บาทต่อกิโลกรัม แต่ต้องหักภาษีและกองทุนน้ำมันฯ #2 จำนวน 3.9055 บาทต่อกิโลกรัม และ(3) กำหนดอัตราเก็บเงินเข้ากองทุนจากโรงแยกฯ ของบริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) ที่อัตรา 3.876 บาทต่อกิโลกรัม โดยมาจากต้นทุนโรงแยกฯ ของบริษัท ยูเอซีฯ สัปดาห์ที่ 4 อยู่ที่ 14.5000 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อเทียบกับอัตราเงินสำหรับส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่ 0.67 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้เพดานราคาขั้นสูงของโรงแยกฯ บริษัท ยูเอซีฯ อยู่ที่ 15.7000 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งต่ำกว่าราคาโรงกลั่นที่อ้างอิงราคานำเข้า ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (Import Parity) จำนวน 5.2563 บาทต่อกิโลกรัม
3. จากการกำหนดอัตราเงินเข้ากองทุนดังกล่าวข้างต้นส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ สัปดาห์ที่ 4 ในส่วนการผลิตและจัดหา (กองทุนน้ำมันฯ#1) มีรายรับ 1,248 ล้านบาทต่อเดือน และในส่วนการจำหน่ายภาคเชื้อเพลิง (กองทุนน้ำมันฯ #2) มีรายจ่าย 2,199 ล้านบาทต่อเดือน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 950 ล้านบาทต่อเดือน และราคาขายปลีกระหว่างสัปดาห์ที่ 1 ถึงสัปดาห์ที่ 4 ไม่มีการเปลี่ยนแปลง คือ อยู่ที่ 21.15 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับมติ กบง. ที่มอบหมายให้ผู้ค้ามาตรา 7 แจ้งราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนและภาคขนส่งต่อ สนพ. ผลปรากฏว่า ผู้ค้าก๊าซ LPG จำนวน 11 บริษัท แจ้งการเปลี่ยนแปลงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ซึ่งมีรายละเอียดราคาขายปลีกก๊าซ LPG บรรจุถังและราคาขายปลีกก๊าซ LPG สถานีบริการบรรจุถัง แสดงอยู่บนหน้าเว็บไซต์ สนพ.
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ